- การที่วัยรุ่นสักคนลุกขึ้นมาพูดอย่างจริงจังว่า “ผมอยากจะเป็นชาวสวน” มันไม่ใช่แค่เรื่องเท่
- เพราะสิ่งนี้ทำให้ลูกชายเลือกเรียนต่อด้านเกษตร เพื่อกลับมาสานต่องานสวนมะพร้าวที่บ้าน หลังจากพ่อหมดหวังและคิดว่าไร้ทายาทเคี่ยวน้ำตาลรุ่นต่อไปซะแล้ว
- สิ่งนี้เรียกง่ายๆ ว่า passion แต่หา ‘ยาก’ ซะเหลือเกิน
เรื่อง: พัชรี ชาติเผือก
เตาตาลที่ไร้คนเคี่ยวตาล ก็เหมือนขนมหวานที่ไร้คนชิม…
เรากำลังพูดถึงหนึ่งใน ‘ยี่ห้อ’ สำคัญของจังหวัดสมุทรสงครามอย่าง ‘น้ำตาลมะพร้าว’ ที่ พ.ศ.นี้ กลายเป็นของหายากขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะในตำบลท่าคา จากการสำรวจของเยาวชนจาก โครงการบอกกล่าวเล่าขานน้ำตาลมะพร้าวท่าคา พบว่าปัจจุบันเหลือเตาตาลอยู่ในพื้นที่ไม่ถึง 40 เตา จากเดิมเคยมีการบันทึกไว้ว่า พ.ศ. 2500-2510 จังหวัดสมุทรสงครามเป็นจังหวัดที่เสียภาษีสูงที่สุดในประเทศ เพราะมีรายได้จากน้ำตาล ในหนึ่งปีสามารถผลิตน้ำตาลได้ถึง 1,200,000 ปี๊บ
ออกไปหา passion
ปอย-ปิยวัฒน์ วัชนุชา เจเนอเรชั่นล่าสุดของตำบลท่าคา เขาบอกว่าอาชีพในฝันไม่ใช่ข้าราชการหรือพนักงานบริษัทใส่ชุดเท่ๆ แต่สิ่งที่ปอยอยากเป็นคือ ‘ชาวสวนธรรมดา’ ที่ได้สานต่ออาชีพจากครอบครัวที่ทำมากว่า 40 ปีให้คงอยู่ต่อไป
อะไรทำให้ปอยคิดแบบนั้น?
คำตอบคือ เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าอาชีพนี้มีคุณค่าอย่างไร สิ่งนี้นำทางให้เขาค่อยๆ ค้นพบเป้าหมายที่อยากทำ อยากเป็น ปอยเรียกสิ่งนั้นว่า passion
ทั้งที่เมื่อสองปีก่อน ปอยยังมองว่าการทำน้ำตาลมะพร้าว เป็นแค่อาชีพที่สร้างรายได้ให้ครอบครัวเท่านั้น
“ไม่ได้ภูมิใจอะไรกับอาชีพนี้เท่าไหร่ ถามว่าช่วยที่บ้านไหม ก็มีช่วยบ้าง แต่ก็ช่วยตามประสาเด็กที่ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจรายละเอียดอะไร”
แน่นอน ตอนนั้นลูกคนทำเตาตาล ไม่เคยคิดจะสานต่ออาชีพของครอบครัว กระทั่งมีโอกาสเข้ามาร่วมโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตก ทำให้มุมมองที่มีต่อเตาตาลของปอยเปลี่ยนไป
“เห็นเพื่อนมาทำโครงการในชุมชนของเรา ทั้งๆ ที่เขาไม่ใช่คนในชุมชน จนได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูล ทำให้เราเห็นความพยายามของเพื่อนที่ต้องเก็บข้อมูลทั้งตำบล เลยเริ่มกลับมามองตัวเองว่า เราเป็นคนในพื้นที่แท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่สนใจเรื่องราวในชุมชนตัวเอง
ยิ่งลงพื้นที่บ่อยก็ยิ่งเห็นสวนมะพร้าวถูกทิ้งร้าง ที่ดินถูกขาย บางบ้านเหลือแต่คนแก่ที่ทำเตาตาล ส่วนลูกหลานพากันออกไปทำงานข้างนอก ทำให้ผมฉุกคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน และอยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
“เพื่อให้เยาวชนเห็นคุณค่าของอาชีพการทำน้ำตาลมะพร้าว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเข้ามาสานต่อการทำโครงการเกี่ยวกับน้ำตาลมะพร้าวในปีที่สอง” ปอยเล่าถึงจุดเปลี่ยนของตัวเองให้ฟัง ก่อนที่จะหันหน้าเข้ามาศึกษาเรื่องราวของการทำน้ำตาลมะพร้าวอย่างจริงจัง
กระบวนการทำงานในปีที่สอง ปอยและเพื่อนร่วมทีมต้องลงพื้นที่พูดคุยเพื่อสืบค้นข้อมูลเรื่องการทำน้ำตาลมะพร้าวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจากเจ้าของเตาตาลแต่ละแห่ง จากน้้น ลงไปเรียนรู้ขั้นตอนการเคี่ยวตาลแต่ละบ้าน การได้เข้าไปสัมผัสกับความยากลำบากของคนทำตาล ทำให้ปอยอยากกลับไปสานต่ออาชีพของครอบครัวตัวเอง
“การที่ผมได้ลองเคี่ยวตาล ลองเก็บน้ำตาลมะพร้าว ช่วยคนในครอบครัวอย่างจริงจัง ไม่ใช่ช่วยแค่เพราะหน้าที่เหมือนที่เคยเป็นมา ทำให้ผมเห็นความยากลำบากของครอบครัว เห็นความสำคัญของอาชีพคนทำตาลที่ผูกพันกับคนในชุมชน จนรู้ซึ้งว่าน้ำตาลมะพร้าวมีคุณค่ากับผมมากๆ เพราะที่บ้านทำมาตั้งแต่รุ่นย่า รุ่นยาย ครอบครัวทางย่าก็ทำน้ำตาลมะพร้าว ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยรู้ประวัติเตาตาลของที่บ้านด้วยซ้ำว่า ทำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่พอมาทำโครงการนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยซักถามประวัติเตาตาล ทำให้เราเห็นของดีๆ ที่มีอยู่ในบ้านเรามากขึ้น”
ปอยบอกต่ออีกว่า พ่อของเขาเกือบจะเลิกหวังให้เขามาสานต่ออาชีพคนทำตาลไปแล้ว แต่มาวันนี้พ่อมั่นใจแล้วว่าเตาตาลของครอบครัวที่พ่อสืบทอดมาจะไม่ร้างคนเคี่ยวตาลอีกต่อไป เพราะมีปอยเข้ามารับช่วงต่อ
‘ลงมือทำ’ เท่านั้น
กว่าปอยจะคิดได้เช่นนี้ต้องยกนิ้วให้พี่เลี้ยงโครงการพลังเด็กและเยาวชนเพื่อการเรียนรู้ภูมิสังคมภาคตะวันตกที่ทั้งผลักและดันให้เขากล้าเผชิญปัญหา
“ผมคิดว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมได้ค้นพบตัวเอง เพราะพี่เลี้ยงที่คอยสร้างเงื่อนไขให้ผมได้มีโอกาสแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยิ่งเราเจอปัญหาใหญ่ๆ แล้วเราสามารถแก้ปัญหานั้นได้ ยิ่งทำให้เรารู้สึกภูมิใจ พี่เขาสอนให้ผมและทีมงานได้คิดและวางแผนมากขึ้น เวลาเจอปัญหาเขาจะคอยดูเราอยู่ห่างๆ การได้เข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กับน้ำตาลมะพร้าวอย่างใกล้ชิด ได้เห็นว่านับวันอาชีพทำน้ำตาลมะพร้าวในจังหวัดสมุทรสงครามเริ่มลดน้อยลง ยิ่งทำให้เรารักและเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำไปโดยปริยาย”
เมื่อเจอเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ทำให้วันนี้ปอยเลือกที่จะเรียนคณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน หวังว่าจะได้นำความรู้ใหม่ๆ มารับใช้อาชีพทำน้ำตาลมะพร้าวที่ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความรู้เรื่องการทำน้ำตาลคุณภาพเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้ถึงลูกค้า เพื่อให้เขาประกอบอาชีพเลี้ยงตนได้ด้วยเช่นกัน
เรื่องของปอยทำให้เราได้เรียนรู้ว่า passion นั้นเป็นเข็มทิศนำทางให้คนรุ่นหลังรู้ว่าตัวเองจะเดินไปทางไหน และการจะหา passion ให้เจอนั้น คือการลงมือทำ
สำหรับปอย มันคือการีเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ฝึก (practice) ผ่านการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ที่สร้างประโยชน์ต่อตัวเองและส่วนรวมในลักษณะการฝึกซ้ำโดยมีการไตร่ตรองสะท้อนคิด และหาทางปรับปรุง และเมื่อเจอปัญหาเขาจะไม่ท้อไปเสียง่ายๆ แต่จะมุมานะที่จะทำให้สำเร็จให้จงได้