- เอไอจะเข้ามาช่วยลดภาระงานของครูได้ด้วยการประมวลผลและวิเคราะห์อย่างรวดเร็วในราคาที่ถูกหรือฟรีไปเลย ทำให้ครูมีเวลาใส่ใจเด็กมากขึ้น เห็นว่าเด็กแต่ละคนมีความต้องการอย่างไร มีเรื่องไหนที่เด็กยังขาดตกบกพร่อง ทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างตรงจุด
- ความคาดหวังต่อบทบาทของครูในโลกยุคดิจิทัลจึงไม่ใช่แค่ผู้บรรยาย แต่ต้องเป็น ‘โค้ช’ หรือ ‘ผู้เอื้ออำนวย’ ให้กับการเรียนรู้ของเด็ก ออกแบบกิจกรรมหรือวิธีการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง
- สิ่งสำคัญที่เอไอไม่อาจแทนที่ครูได้คือ ‘การสร้างสัมพันธภาพ’ (Relationship) แม้ว่าเด็กจะสามารถพูดคุยกับเอไอได้ แต่คนที่จะแสดงออกถึง ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ เด็กก็คือครูที่เป็นคนจริงๆ
เอไอจะแทนที่ครูไหม?
ตั้งแต่ ChatGPT เปิดตัวสู่สาธารณชนในปลายปี 2022 โลกของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ‘เอไอ’ หรือ ‘ปัญญาประดิษฐ์’ (Artificial Intelligence) เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้น อีกทั้งยังสร้างความกังวลให้กับหลายภาคส่วนด้วยว่าเอไอจะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์ได้หรือไม่
หนังสือ Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning กล่าวไว้ว่า อินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเรากับความรู้ ส่วนเอไอจะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเรากับการคิด กล่าวคือ อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ปฏิวัติการเข้าถึงความรู้ ส่วนเอไอจะปฏิวัติวิธีคิดของมนุษย์ เอไอจะเข้ามาช่วยคิดและเป็นผู้ช่วยที่พร้อมทำงานได้ 24 ชั่วโมง ทำให้มนุษย์เรามีเวลาในการพัฒนาด้านอื่นๆ มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เอไอจะไม่เข้ามาแทนที่ครู แต่จะช่วยให้ครูได้แสดงขีดความสามารถของตัวเองอย่างเต็มพิกัด ซึ่งจะทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบ
เอไอคือผู้ช่วยครู ไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่ครู
ปัจจุบันครูไม่ได้ทำหน้าที่สอนหนังสือเพียงอย่างเดียว จากการสำรวจของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) ในปี 2019 พบว่า ร้อยละ 58 ของครูไทยใช้เวลาไปกับงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนมากกว่า 6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือคิดเป็นเวลาทำงานเกือบ 1 วันต่อสัปดาห์ การมีภาระ ‘งานอื่น’ ที่มากย่อมเบียดบังการสอนและการพัฒนาเด็ก
ภาระงานอื่นประกอบไปด้วยงานซ้ำซากเป็นจำนวนมาก เช่น การทำเอกสาร การวางแผนการสอน งานประเมิน งานธุรการ ฯลฯ ถึงขนาดมีการเรียกร้องให้ ‘คืนครูสู่ห้องเรียน’ อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมามีโครงการในลักษณะนี้ผุดขึ้นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครูก็ยังมีภาระงานอื่นที่เบียดบังการสอนอยู่
รศ.ดร.จุไรรัตน์ สุดรุ่ง ผู้ทรงวุฒิ สาขาวิชานิเทศการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การที่ครูต้องทำงานหลายอย่างที่มากกว่าการสอน ส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ของเด็กทางอ้อม อาชีพครูควรจะแบ่งเป็น 2 สายงานอย่างชัดเจน คือ ‘ครูการสอน’ และ ‘ครูสนับสนุน’
จากโครงการประเมินสมรรถนะนักเรียนในระดับสากล (PISA) เผยว่า ประเทศที่มีคะแนน PISA สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีการจัดโครงสร้างงานที่แยก ‘การสอน’ ออกจาก ‘งานฝ่ายสนับสนุน’ อย่างชัดเจน ทำให้ครูสามารถทุ่มเทให้กับการสอนได้อย่างเต็มที่
ซัลมาน คาน (Salman Khan) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Khan Academy องค์การการศึกษาไม่แสวงหากำไร กล่าวว่า เราคงไม่มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการจัดหาครูผู้ช่วยให้กับครูทุกคนได้ แต่เรามีสิ่งเทียบเท่าในราคาไม่แพงที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าผู้ช่วยที่เป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำไป นั่นคือ ‘เอไอ’
ด้วยการทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยตลอด 24 ชั่วโมง เอไอจะเข้ามาช่วยลดภาระงานของครูได้ด้วยการประมวลผลและวิเคราะห์อย่างรวดเร็วในราคาที่ถูกหรือฟรีไปเลย เช่น การร่างฟีดแบ็กให้กับงานของนักเรียน การทำเอกสาร ช่วยวางแผนการสอน หรือแม้กระทั่งช่วยออกแบบการเรียนรู้ที่เหมาะกับนักเรียนเป็นคนๆ ไป
เมื่อครูมีเวลามากขึ้นก็จะทำให้ทุ่มเทกับการสอนและการดูแลเด็กได้อย่างทั่วถึง กล่าวคือ เมื่อครูมีเวลาใส่ใจเด็กมากขึ้นก็จะทำให้เห็นว่าเด็กแต่ละคนมีความต้องการอย่างไร มีเรื่องไหนที่เด็กยังขาดตกบกพร่อง ทำให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างตรงจุด
ครูต้องไม่ใช่แค่ผู้บรรยายหน้าชั้น
ตั้งแต่อินเทอร์เน็ตไปจนถึงเอไอ ความรู้กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ การที่ครูมีบทบาทเแค่การบรรยายหน้าชั้นเรียนเพียงอย่างเดียว นอกจากจะซ้ำซ้อนกับสิ่งที่เทคโนโลยีสามารถทำได้ในปัจจุบัน ยังไม่ได้กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวนเช่นในปัจจุบัน
ความคาดหวังต่อบทบาทของครูในโลกยุคดิจิทัลจึงไม่ใช่แค่ผู้บรรยาย แต่ต้องเป็น ‘โค้ช’ หรือ ‘ผู้เอื้ออำนวย’ (Facilitator) ให้กับการเรียนรู้ของเด็ก พูดง่ายๆ ก็คือ แทนที่ครูจะบรรยายหน้าชั้นอย่างเดียว ครูต้องออกแบบกิจกรรมหรือวิธีการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาศักยภาพของตัวเอง
อีธาน มอลลิก (Ethan Mollick) นักวิจัยเอไอและรองศาสตราจารย์ที่โรงเรียนธุรกิจวอร์ตันแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวว่า สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปในยุคของเอไอมี 3 ข้อใหญ่ๆ ได้แก่
- ครูจะต้องปรับเปลี่ยนการสอน – ครูแต่ละคนจะปรับเปลี่ยนวิธีการสอนในรูปแบบต่างที่กันแล้วแต่บริบทของตัวเอง เช่น ครูอาจให้นักเรียนทำงานในห้องเพื่อป้องกันการใช้เอไอ หรืออนุญาตให้เด็กใช้เอไอในการทำโครงงาน
- สนับสนุนให้เด็กใช้เอไอ – ข้อนี้อาจฟังดูขัดแย้งกับสิ่งที่หลายคนคิด แต่เอไอจะกลายเป็นเพื่อนคู่คิดที่เยี่ยมยอดให้กับเด็กได้ เด็กจะมีโอกาสเข้าถึงฟีดแบ็กงานของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ ได้ตรวจทานงานก่อนที่จะส่งครู อีกทั้งโครงการต่างๆ ของเด็กจะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น เพราะเด็กได้ให้เอไอช่วยวิเคราะห์ถึงจุดแข็งจุดอ่อนแล้ว ทำให้เด็กได้แก้ปัญหาเหล่านั้นก่อนที่จะส่งงาน
- ห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) – อธิบายง่ายๆ คือการปรับเปลี่ยนแนวคิดของห้องเรียน โดยให้เด็กใช้เวลานอกห้องเรียนเพื่อศึกษาความรู้ แล้วใช้เวลาในห้องเรียนเพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมความรู้นั้น ห้องเรียนในลักษณะนี้จะตอบโจทย์กับบทบาทของครูในยุคปัจจุบันที่ต้องเป็นโค้ชส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของเด็ก
การสนับสนุนให้เด็กใช้เอไอเป็นและใช้อย่างเหมาะสมเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเราไม่สามารถยับยั้งความรุดหน้าทางเทคโนโลยีได้ ไม่ว่าเราจะห้ามเด็กใช้เครื่องคิดเลขในห้องเรียนอย่างไร แต่เมื่อเขาไปอยู่ในโลกภายนอกก็จำเป็นต้องใช้อยู่ดี เอไอก็เช่นกัน
แม้เราจะห้ามเด็กใช้เอไอ แต่โลกข้างนอกนั้นต้องการคนที่ใช้เอไอเป็น จากผลวิจัย Work Trend Index 2024 ที่ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ทำร่วมกับ LinkedIn เผยว่า ผู้บริหารไทย 74% ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษะเอไอ และ 90% เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีทักษะเอไอ โดยไม่ได้สนใจประสบการณ์การทำงาน
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีแพลตฟอร์มที่อำนวยความสะดวกในการใช้เอไอเพื่อช่วยสอนและติดตามผลการเรียนรู้ของเด็กมากมาย เช่น ‘Khan Academy’ ที่มีผู้ใช้ลงทะเบียนไปมากกว่า 170 ล้านคนจากทั่วโลก และยังมี Khanmigo เป็นเอไอประจำแพลตฟอร์มดังกล่าว หรือในประเทศไทยก็มีแพลตฟอร์มลักษณะนี้เช่นกัน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘LEAD Education’ บริการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล
แพลตฟอร์มนี้จะเป็นแหล่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนให้กับเด็ก โดยผ่านการปรับแต่งให้มีความจำเพาะกับผู้เรียนรายบุคคล เปิดโอกาสให้เด็กทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเรียนช้าหรือเรียนเร็ว ได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม อีกทั้งครูยังสามารถติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนของเด็กได้ผ่านเอไอที่ทำหน้าที่เสมือน ‘ผู้ช่วยส่วนตัว’
แอนดรูว์ เมย์นาร์ด (Andrew Maynard) ศาสตราจารย์ที่ Arizona State University ได้ทดลองใช้ ChatGPT ช่วยออกแบบคอร์สเรียนพบว่า ด้วยเวลาเพียงน้อยนิดเอไอก็สามารถสร้างผลลัพธ์ออกมาได้ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับตนหากต้องใช้เวลาเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามก็ต้องมีการปรับแก้เพิ่มเติมผ่านการพูดคุยกับ ChatGPT อีกหลายครั้ง จนได้ออกมาเป็นการออกแบบคอร์สเรียนที่สมบูรณ์
ศาสตราจารย์เมย์นาร์ดเน้นย้ำว่า การใช้เทคโนโลยีเอไอในลักษณะนี้คือการค้นพบครั้งใหม่ ซึ่งไม่ใช่การเอามาทำงานแทนตน แต่คือการเอามาทำงานร่วมกับตน การคิดงานร่วมกับเอไอช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมด้วยเวลาที่สั้นลงเป็นอย่างมาก เอไอช่วยทำให้ตนเป็นอาจารย์ที่เก่งขึ้น ไม่ได้เป็นคู่แข่งที่จะเข้ามาแทนที่
ครูต้องมุ่งพัฒนาสิ่งที่เอไอไม่มีวันทำแทนได้
สิ่งสำคัญที่เอไอไม่อาจแทนที่ครูได้คือ ‘การสร้างสัมพันธภาพ’ (Relationship) แม้ว่าเด็กจะสามารถพูดคุยกับเอไอได้ แต่การคุยกับเอไอก็ไม่เหมือนกับคนจริงๆ ครูอาจใช้เอไอติดตาม วิเคราะห์ และประเมินความต้องการของเด็กได้ แต่คนที่จะแสดงออกถึง ‘ความเข้าอกเข้าใจ’ เด็กก็คือครูที่เป็นคนจริงๆ
เอไอแชตบอตในปัจจุบันมีลักษณะเป็นแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) กล่าวคือ เอไอเลือกสรรคำที่ใช้โต้ตอบกับมนุษย์ได้เหมือนคนมากจริงๆ โดยที่ตัวมันเองก็ไม่ได้เข้าใจถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เพียงแต่ใช้หลักความน่าจะเป็นในการเลือกคำที่เหมาะสมเท่านั้น
ดังนั้น การมีปฏิสัมพันธ์หรือการสร้างสัมพันธภาพกับมนุษย์จึงไม่สามารถแทนที่ได้ด้วยเอไอ เพราะมนุษย์เราสามารถแสดงความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ และความสนิทสนมเฉพาะตัว ทำให้เราไว้วางใจและตอบสนองในด้านบวกต่อคนคนนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบันที่มีเอไอเข้ามา ยิ่งเปิดโอกาสให้ครูได้สร้างสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นกับเด็กมากยิ่งขึ้น เพราะเอไอจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระงานของครู ทำให้ครูมีโอกาสได้ใช้เวลารู้จักเด็กมากขึ้น อีกทั้งเอไอก็ยังช่วยวิเคราะห์ได้ว่าเด็กมีจุดไหนที่ขาดตกบกพร่องไป ทำให้ครูเข้าใจเด็กมากยิ่งขึ้นและแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
เอไอในปัจจุบันไม่ได้มุ่งพัฒนาเพื่อเข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยมีมา ในตอนแรกครูอาจยังกังวลเรื่องการใช้เอไอ แต่หากได้ลองใช้งานดูแล้วก็จะค้นพบว่า งานของตัวเองนั้นพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีโอกาสได้สร้างสัมพันธภาพที่ดีกับเด็กได้มากยิ่งขึ้นต่อไป
อ้างอิง
กองบรรณาธิการ The Potential. (2025). ห้องเรียน AI ก้าวใหม่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ‘ครูกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช’ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว.
วิภาภรณ์ สุภาพันธ์. (2025). หยุดความเชื่อ ‘ครูไทยต้องเสียสละ’ เพราะครูก็เป็นคน เหนื่อยเป็น เครียดเป็น.
วรรณวิศา สืบนุสรณ์ คล้ายจาแลง. (2024). Brave New Words: How AI Will Revolutionize Education (and Why That’s a Good Thing). วารสารศึกษาศาสตร์ปริทัศน์, 39(3), 96-98.
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ [สวทช.]. (2568). สวทช. และพันธมิตร พาชม “แพลตฟอร์ม LEAD Education” ช่วย ‘ติดตาม-วิเคราะห์-ประเมินผล’ ผู้เรียน เทคโนโลยีใหม่ด้านการศึกษา ลดความเลื่อมล้ำด้านการเรียนรู้.
ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์. (2023). AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู.
ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์. (2024). AI Literacy (2): ทักษะจำเป็นที่จะทำให้มนุษย์ไม่ถูกกลืนหายในโลกที่ AI ฉลาดขึ้นทุกที.
อธิเจต มงคลโสฬศ. (2568). ครูแบก “งาน” รากของปัญหามาจากไหน ?
Andrew Maynard. (2023). I Asked ChatGPT to Develop a College Class About Itself.
Bowen, J. A., & Watson, C. E. (2024). Teaching with AI: A Practical Guide to a New Era of Human Learning. Johns Hopkins University Press.
Eric Rosenbaum. (2024). Microsoft, Khan Academy provide free AI assistant for all educators in US.
Khan, S. (2024). Brave New Words: How AI Will Revolutionize Education (and Why That’s a Good Thing). Viking.