- ลิด-เดช-แบงค์ 3 เด็กหนุ่มที่เคยบอกว่าตัวเองเป็น ‘เด็กแว้น’ สร้างแต่ปัญหา วันนี้หันมาเป็นเด็กเลี้ยงไก่ เลี้ยงเพื่อนำไข่ไปขาย หารายได้ให้ตัวเอง
- 3 เด็กหนุ่ม เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ในเล้า ตั้งแต่ยังเป็นลูกเจี๊ยบ เรื่องการให้อาหาร ลักษณะอาการต่างๆ ของไก่
- จักรยานยนต์ที่เป็นพาหนะคู่ใจในการซิ่ง ตอนนี้ใช้ขี่เพื่อส่งไข่ไปทั่วพื้นที่บ้านหมู่
เรื่อง : นิธิ นิธิวีรกุล
ภาพ : โกวิท โพธิสาร
“โว้ยยยย จะขี่รถซิ่งไปไหนกัน ไม่เกรงใจพ่อแม่มึงเรอะไง!”
ถ้อยคำประมาณนี้ จากภาษาถิ่นอีสาน ผรุสวาทจากปากคำของชาวบ้านในละแวกหมู่ 2 ตำบลคูซอด อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ หลังรถจักรยานยนต์สามคันที่ควบขับโดยเด็กหนุ่มสามคนแผดเสียงเร่งเครื่องขนาดความจุ 110 cc. พุ่งผ่านถนนสายเล็กๆ ตัดผ่านใจกลางพื้นที่หมู่ 2 ทิ้งไว้แต่กลุ่มควันจางๆ ที่ระเหิดหายไปเหลือแต่เสียงก่นด่าที่ นางโพนทอง คันศร ได้แต่เก็บก้อนสะอื้นของความเสียใจและผิดหวังไว้ในใจ
ด้วยถ้อยคำตะโกนด่าของชาวบ้านที่ลอยมาให้ได้ยินนั้น หากไม่ใช่เพราะสองในสามนั้นเป็นลูกๆ ของโพนทอง เธอก็คงปล่อยถ้อยคำให้เพียงลอยผ่านไป
ครอบครัวของโพนทอง เป็นครอบครัวธรรมดา สามีทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนในตัวเมือง ซึ่งทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการเลี้ยงไก่เพื่อฟักไข่ ด้วยความรู้ในด้านปศุสัตว์มาตั้งแต่สมัยเรียน สามีของโพนทองนำความรู้ในด้านเลี้ยงไก่มาเพาะฟาร์มเล็กๆ ให้เป็นรายได้หนุนเสริมให้กับคนในครอบครัว เป็นเสาหลักของครอบครัว และเหมือนผู้ชายทั่วไปที่ทำงานหนัก และไม่ค่อยมีเวลาให้กับลูกทั้งสอง กังวาฬ คันศร เด็กหนุ่มวัย 19 ลูกคนโต และ อัครเดช คันศร หรือ เดช วัย 15 น้องชาย จึงมักใช้เวลาสลับระหว่างเรียนหนังสือ และขับขี่รถจักรยานยนต์ไปทั่วพื้นที่ตำบลคูซอด และเคยไปไกลถึงผามออีแดง ริมชายแดน
“กังวาฬชอบทำปศุสัตว์เหมือนพ่อของเขา วันๆ อยู่แต่กับควาย แต่กับอัครเดชจะน่าเป็นห่วงหน่อย” คนเป็นแม่ว่าอย่างนั้น
โพนทองเล่าว่าลูกๆ จะเกรงใจพ่อ ไม่ค่อยที่จะกล้าพูดหรือเล่นด้วย ผิดกับเธอ ซึ่งเป็นผู้ที่มักใช้เวลาขลุกอยู่กับลูกๆ มากกว่า นับตั้งแต่อุ้มท้องทั้งสองมาจนกระทั่งคลอด เมื่อสามีออกไปทำงาน โพนทองจึงเป็นคนที่รับก้อนอิฐและดอกไม้จากคนในชุมชน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ในแง่ของผลิตภัณฑ์เรื่องไข่ที่สดใหม่ และมีราคาถูกกว่าในตลาดประจำตำบลคูซอด หรือก้อนอิฐที่มาจากพฤติกรรมของสองลูกชาย และเพื่อนพ้องนักซิ่งของพวกเขา
คิดยังไงในตอนที่ขี่มอเตอร์ไซค์? ฉันถามพาซื่อ เพราะอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ขึ้นอยู่กับปัจเจกทางความรู้สึก และฉันคงไม่ถามว่าคนซื้อไอโฟนแปดคิดยังไง?
ฉันใดฉันนั้น
แววตาของเด็กๆ ที่มองมาแล้วมองกันเอง จึงทำให้เรารู้สึกว่า ความเป็นผู้ใหญ่นี่นะ ขอให้ได้ตัดสินไปล่วงหน้าก่อนแล้วว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนั้นไม่ดี
ลิด หรือ อดิศักดิ์ สาลี หนึ่งในแก๊งซิ่งเป็นคนตอบ น้ำเสียงเขาเบา ค่อนข้างห้วนแต่ไม่ใช่ไม่สุภาพ และยิ้มด้วยสีหน้าขวยเขินของความเป็นเด็กที่ยังหลงเหลือก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นนายตามคำนำหน้าในบัตรประชาชน
“สนุกครับ”
คำตอบของลิดแทนความรู้สึกของทั้งเดช และ แบงค์ หรือ ภานุพงษ์ วงษาเนาว์ เด็กหนุ่มในวัย 15 ปี อีกหนึ่งเพื่อนร่วมก๊วนแก๊งซิ่ง เด็กหนุ่มทั้งสามนั่งอยู่บนเบาะจักรยานยนต์คันเก่งของพวกเขาที่ตบแต่งมาอย่างสวยงาม แม้ไม่สวยที่สุดในสายตาลิด และอันที่จริงเป็นจักรยานยนต์ของพ่อที่ซื้อมาเพื่อใช้งานกันในครอบครัว แต่จักรยานยนต์ความจุเครื่อง 110 cc. ก็ถูกตบแต่งให้กลายเป็นรถของลิดไปโดยปริยาย
ตอนที่รู้ว่าคนแถวนี้เขาพูดถึงพวกเราว่าเป็นเด็กแว้นรู้สึกยังไง?
“เสียใจครับ” เดช เป็นคนตอบฉัน
ขณะที่แม่ของพวกเขาจับตามองด้วยแววตาชื่นชม และมีรื้นของน้ำตาเอ่อท้นอยู่ภายใน โพนทองเตือนฉันมาก่อนแล้วว่าลูกๆ ของเธอไม่ค่อยพูด ตอนไปประชุมร่วมกับเยาวชนในพื้นที่อื่นๆ ของจังหวัดศรีสะเกษภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิสยามกัมมาจลใน ‘โครงการพัฒนาเยาวชนพลเมืองดีศรีสะเกษ’ ลิดและเดช รวมถึงแบงค์จะเป็นกลุ่มเด็กที่พูดน้อยที่สุดในจำนวนเด็กและเยาวชนจากหลากหลายพื้นที่ในจังหวัดศรีสะเกษที่มาร่วมทำงานกัน
หากแต่เดชกลับกล่าวต่อว่า ตอนที่แม่มาบอกเขาและน้องนั้น เขารู้สึกเสียใจ เพราะแม่ร้องไห้ ร้องไห้ทั้งที่โกรธ มากกว่านั้นคือความเป็นห่วง แม้จะโกรธและเสียใจ และทั้งเดชและลิดต่างรับรู้ความรู้สึกนั้นของผู้ให้กำเนิดไม่แตกต่างกัน
ด้วยความรู้สึกนั้น เดชและลิดจึงเริ่มพูดคุยกันถึงสิ่งที่อยากจะทำเพื่อแม่ และเพื่อชุมชนที่เคยก่นด่าพวกเขาในฐานะเด็กแว้นที่สร้างความเดือดร้อน
แต่จะทำอะไร และจะเริ่มต้นยังไง?
คำตอบมาลงตัวยังเสียงกุ๊กๆ ของไก่ที่พ่อของพวกเขาเพาะเลี้ยงไว้ ลิดและเดชผลัดกันเล่าว่าที่เลือกไก่ เพราะต่างก็เห็นมาตั้งแต่เด็ก และรู้ว่าไม่เพียงไม่ต้องไปเริ่มต้นจากศูนย์ หากติดข้องปัญหาตรงไหน พวกเขาสามารถหันไปหาแม่และพ่อได้ โดยเฉพาะกับพ่อที่มีความรู้ในเรื่องนี้โดยตรง ผ่านการผลักดันในฐานะพี่เลี้ยงของแม่ที่วาดหวังให้ลูกๆ ห่างไกลจากคำว่าเด็กแว้นมากที่สุด
เดช ลิด และแบงค์ที่มาตามคำชวน เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงไก่ในเล้า ตั้งแต่ยังเป็นเพียงลูกเจี๊ยบ ทั้งเรื่องการให้อาหาร ต้องวันละกี่รอบ ให้ในปริมาณเท่าไหร่ รวมถึงเรียนรู้ที่จะสังเกตอาการต่างๆ ของไก่ที่ผิดปกติ ไก่ทุกตัวจะมีรอบการให้ไข่แตกต่างกันไป แต่เมื่อครบรอบแล้ว ไก่จะถูกนำออกขาย หรือไม่ก็ถูกนำไปเป็นอาหาร
ไข่ แต่ละใบจากกิจการภายในครอบครัวคันศรมีขนาดแตกต่างกันออกไป นางโพนทองบอกฉันว่าไม่ได้ขายไข่แยกตามขนาดเป็นเบอร์ 0 เบอร์ 1 เบอร์ 2 เหมือนที่ฉันมักคุ้นเวลาไปซื้อตามตลาดสด แต่ขายเป็นถาดๆ ไป ในหนึ่งวัน เธอจะสามารถเก็บไข่ได้ในช่วงบ่าย ซึ่งคนทำหน้าที่นี้คือ ลิด เดช และแบงค์ สลับกัน ฉันหันไปถามพวกเขาว่ารู้สึกยังไงตอนที่ไก่แต่ละตัวที่เลี้ยงออกไข่
“รู้สึกดีใจครับ” แบงค์เป็นคนตอบ และไม่ทิ้งลายพูดน้อย ยิ้มเล็กๆ ประจำกลุ่ม แม้จะเป็นเพื่อนของลิด แต่การได้มีส่วนในกิจการเล็กๆ ของครอบครัวคันศรกลับทำให้แบงค์หวนมามองรอยจางของกลุ่มควันจากท่อไอเสียที่พวกตนได้ขับขี่ผ่านมา
รวมถึงลิดและเดช
เด็กหนุ่มทั้งสามได้ข้อสรุปว่าการได้แว้น (ตามคำจำกัดความของชาวบ้าน) ที่เคยเป็นมาแต่เดิม ไม่ให้ประโยชน์อะไร นอกจากก่อความรำคาญ และสร้างความเสียใจให้กับพ่อแม่ของตนเอง แต่การจะให้เลิกไปเสียเลย พวกเขาก็ยังรู้สึกว่าการได้ขี่รถจักรยานยนต์มันให้อะไรมากกว่าแค่ความสนุก
‘มิตรภาพ’ ฉันคิดของฉันในใจเมื่อมองดูพวกเขาพูดกัน ก่อนจะตอบฉันว่า ทั้งหมดคือคำตอบที่นำพวกเขามาสู่กิจกรรมที่มีโพนทอง คันศร เป็นตัวตั้งตัวตีในฐานะของแม่เพื่อผลักดันโครงการในชื่อ ‘โครงการไก่ไข่เพื่อการเรียนรู้’
จักรยานยนต์ของพวกเขา จากที่เคยเป็นพาหนะพาพวกเขาไปที่ไหนๆ ตามแต่ใจปรารถนา จะบิด จะเร่งเครื่องแซง จะก่อเสียงดัง จะทิ้งควันเป็นทางไว้แค่ไหน ก่อนหน้านี้ พวกเขาแทบไม่เคยสนใจ แต่จนเมื่อไก่ออกไข่ จนเมื่อไข่จากการฟูมฟักแตกตัวเป็นลูกเจี๊ยบ และอีกหลายๆ ใบกลายเป็นอาหารเลิศรสในฐานะของไข่ไก่ที่แดงสด ในราคาถูกกว่าตลาดทั่วไป ผู้คนในคูซอดจึงได้เห็นภาพคุ้นตาของจักรยานยนต์ผ่านการตบแต่งของพวกเขาบิดส่งไข่ไปทั่วพื้นที่บ้านหมู่ 2 แทนการก่อความรำคาญ
พวกเขาจึงได้เห็นจักรยานยนต์ที่พวกเขาเรียกขานกันเองว่า นั่นไง รถส่งไข่มาแล้วๆ ที่ไม่ใช่ด้วยน้ำเสียงก่นด่า หรือขำขันเป็นเรื่องตลกเยาะเย้ย หากแต่ด้วยน้ำเสียงชื่นชมในตัวเด็กหนุ่มทั้งสามที่รู้จักเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนตัวเองได้จากไข่หนึ่งฟอง
“แล้วแม่จะทอดไข่เจียวให้กินนะ” โพนทอง คันศรบอกฉัน แล้วหายไปในครัว ลมพัดผ่านกิ่งใบในลมแรกของฤดูหนาวอ่อนๆ ฉันหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสามที่คุยกันเบาๆ กลิ่นทอดไข่ลอยโชยมาเรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ท้องร้องเบาๆ และเมื่อโพนทองเดินออกมาพร้อมกับบอกให้ลูกๆ เตรียมจาน ช้อน และยกหม้อหุงข้าวมาวางบนแคร่เพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน
ไม่รู้สิ เด็กแว้นที่ชาวบ้านเคยตะโกนด่าตามหลัง ยามนั้นกลับดูไม่ต่างจากลูกเจี๊ยบสามหน่อที่เดินตามแม่ไก่ต้อยๆ เลย
ไข่เจียวมื้อนั้นเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดมื้อหนึ่ง