- การไม่ตรงเวลานัด จนบางทีต้องบอกนัดกันแบบ ‘เผื่อเวลา’ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจสำหรับ ‘คนตรงต่อเวลา’ จนอาจทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือนำไปสู่ความขัดแย้งบางอย่าง
- สัญญาณที่อาจแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคน ‘บอดเวลา (time blindness)’ นอกจากการมาสาย ได้แก่ มีความสามารถในการประเมินเวลาที่ใช้ทำงานต่ำ จนทำให้ต้องเร่งรีบในตอนท้ายเสมอเพื่อให้ทันเวลา
- คนที่สมาธิสั้น คนที่เป็นออทิสติกหรือมีปัญหาทางร่างกายที่เกิดจากความบกพร่องในการควบคุมการสร้างสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ก็อาจแสดงออกแบบบอดเวลาได้ด้วยเช่นกัน
มีเรื่องเล่ากันว่า เพื่อที่จะอธิบายเกี่ยวกับ ‘การยืดออกของเวลา’ ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพของเขา อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์กล่าวในเชิงเทียบเคียงว่า “ลองเอามือคุณไปวางบนเตาสักนาทีก็อาจรู้สึกเหมือนกับนานเป็นชั่วโมง แต่ถ้าได้นั่งคุยกับสาวสวยสักชั่วโมง คุณก็อาจรู้สึกว่าเพิ่งผ่านไปแค่นาทีเดียว และนี่ก็คือสัมพัทธภาพของเวลา”
แม้ว่าเรื่องนี้อาจไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีนักที่จะใช้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ (เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เกี่ยวอะไรกับทฤษฎีสัมพัทธภาพเลย) และอันที่จริงแล้วเรื่องนี้ก็อาจไม่ได้เกิดขึ้นจริงด้วยซ้ำไป เป็นแค่เรื่องขำขันที่นักข่าวเขียนลงในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ปี 1929 แค่นั้น [1]
แต่เรื่องนี้ก็ฮิตเหลือเกินจวบจนถึงยุคปัจจุบันและมีประโยชน์ในแง่ว่าทำให้เราฉุกคิดได้ถึง ‘การรับรู้เวลา’ ของเราว่า อาจผิดเพี้ยนได้ง่ายเพียงใด
เรื่องหนึ่งที่ถือว่าไม่ใช่เรื่องดีนัก แต่คนไทยจำนวนมากก็ทำหรือคุ้นเคยกันดีคือ การไม่ตรงเวลานัด จนบางทีต้องบอกนัดกันแบบ ‘เผื่อเวลา’ ซึ่งก็จะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญใจสำหรับ ‘คนตรงต่อเวลา’ เป็นอย่างมาก อาจทำให้เกิดความไม่พอใจ ไม่ชอบใจ หรือนำไปสู่ความขัดแย้งบางอย่างได้อีกด้วย
เรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับอาการแบบนี้ที่วิทยาศาสตร์ช่วยบอกกับเราก็คือ บางคนที่มาสาย มาไม่ทันตลอดเวลา อาจไม่ใช่แค่ชาชินหรือติดนิสัยทำอะไรชักช้า หรือไม่เห็นคุณค่าของการตรงต่อเวลา (แม้บางรายจะใช่ก็ตาม) เพราะบางคนในจำนวนนั้นอาจป่วยเป็นโรคบางอย่าง เราจะกลับมาพูดถึงเรื่องโรคเหล่านี้อีกที
นอกจากอาการมาสายเป็นประจำแล้ว ‘สัญญาณ’ อื่นๆ ที่อาจแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคน ‘บอดเวลา (time blindness)’ ได้แก่ มีความสามารถในการประเมินเวลาที่ใช้ทำงานอะไรสักอย่างต่ำ จนการประเมินนั้นผิดพลาดไปทำให้ต้องเร่งรีบในตอนท้ายเสมอเพื่อให้ทันเวลา บางคนก็อาจรู้สึกยากลำบากมากในการวางแผนและทำให้ได้ตามไทม์ไลน์ในแผนนั้นๆ นอกจากนี้ เมื่อลงมือทำอะไรสักอย่างไปแล้วก็มักจะหมกมุ่นจนลืมวันเวลาไปเลย และสุดท้ายคือ เป็นคนที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่งอยู่เสมอ เพราะไม่อาจ ‘รับรู้’ ได้ถึงเดดไลน์ที่กำลังใกล้เข้ามา [2]
สำหรับนักเรียนนักศึกษาที่เข้าสู่ฤดูสอบ ต้องสอบหลายวิชาติดต่อกันก็อาจเกิดอาการแปลกๆ เช่น ไม่อ่านวิชาที่จะสอบพรุ่งนี้ (เพราะเป็นวิชาที่ไม่ชอบหรือเรียนไม่เข้าใจ) แต่ดันไปหยิบเอาตำราวิชาที่จะสอบมะรืนนี้ขึ้นมาอ่านแทน ทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาสอบ หรือหนักกว่านั้นคือหนีไปเล่นเกม จนเหลือเวลาอ่านน้อยนิดในช่วงท้ายสุดให้ใช้อ่านทบทวน นี่เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของพฤติกรรมที่พบได้เช่นกัน
แต่เดี๋ยวก่อน ต่อให้มีพฤติกรรมเป็นตามที่ว่ามาทุกข้อ ก็ยังอาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าคุณป่วยเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งแน่นอน ต้องตรวจสอบเพิ่มเติมอีก และหากเป็นแค่เพียงพฤติกรรมหรือนิสัยจากความเคยชิน ก็อาจจะมีทางแก้ไขพฤติกรรมการไม่ตรงเวลาแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน
คราวนี้เราจะมาเจาะถึงสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากไม่ตรงเวลากันครับ
ปกติสมองของเราจะสลับการทำงานในสองแบบอยู่ตลอดเวลา แบบหนึ่งคือ การจดจ่อแบบอัตโนมัติ (automatic attention) ส่วนอีกแบบเป็นการจดจ่อแบบที่ต้องตั้งใจบังคับสั่งการ (directed attention) [3] และอาการ ‘บอดเวลา’ นั้นอาจเกิดกับคนปกติได้เป็นครั้งคราว เวลาที่เราจดจ่อกับการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ
ปกติแล้วเครือข่ายประสาทในสมองของเราจะพยายามอยู่ในโหมดอัตโนมัติ ซึ่งจะเกิดขึ้นเวลาเรามีความสุขกับการทำอะไรสักอย่าง อาจเป็นงานอดิเรกหรือการพักผ่อนหลังจากทำงานหนักมา เรียกว่าสมองเรียกหาสภาวะแบบนี้ก็คงไม่ผิด ขณะที่งานบางอย่างที่เรา ‘จำเป็นต้องทำ’ แต่ในใจเรากลับ ‘ไม่รู้สึกอยากทำ’ เลย ตัวอย่างชัดๆ ก็คืองานบ้านหรือการบ้าน อาจรวมไปถึงการเข้าฟังในคลาสอาจารย์ที่สอนน่าเบื่อ การกรอกแบบฟอร์มบางอย่าง การทำรายละเอียดภาษี ฯลฯ
ในกรณีหลังนี้ต้องใช้ความพยายามมากเป็นอย่างยิ่งที่จะมีสมาธิ ไม่ฟุ้งซ่านหลุดไปคิดเรื่องสนุกๆ อื่นๆ ที่อยากทำ เพื่อทำให้สมองกลับไปอยู่โหมดอัตโนมัติให้เร็วที่สุด
สำหรับคนที่เป็นโรคสมาธิสั้นหรือ ADHD (Attention Deficit Hyperactivity Disorder) นั้น จะมีสภาวะทางระบบประสาทที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง จนทำให้มีปัญหาเรื่องสมาธิ ดูภายนอกจะเห็นว่าเป็นคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ หากเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ก็จะรู้สึกว่าซนกว่าเด็กปกติทั่วไป
นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการขาดการยับยั้งชั่งใจหรือทำอะไรแบบหุนหันพลันแล่นได้ ที่น่าสนใจคือคนเป็น ADHD แบบนี้มีแนวโน้มว่าระบบสมองแบบอัตโนมัติจะทำงานได้ดีผิดปกติเป็นอย่างมาก ดังนั้นหากคนเหล่านี้ไปเจอสิ่งที่ตัวเองชอบ จะพุ่งความสนใจจดจ่อได้ดีเป็นพิเศษ (Hyperfocus) จนลืมสภาะรอบตัวไปหมด
ในทางกลับกัน ผู้ป่วย ADHA จะประสบปัญหามากในการควบคุมสมองให้จดจ่อแบบที่ต้องตั้งใจบังคับสั่งการ จึงมักโดนแปะป้ายว่าเป็นพวกบอดเวลา
ไม่แค่เพียงผู้ป่วยสมาธิสั้นเท่านั้น คนที่เป็นออทิสติกหรือมีปัญหาทางร่างกายที่เกิดจากความบกพร่องในการควบคุมการสร้างสารสื่อประสาทโดพามีน (Dopamine) ก็อาจแสดงออกแบบบอดเวลาได้ด้วยเช่นกัน
ดังนั้น อาการบอดเวลาจึงอาจเป็นได้ทั้งจากนิสัยที่สั่งสมมาจนกลายเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา หรืออาจเกิดจากความผิดปกติของร่างกายหรือป่วยเป็นโรคบางอย่างก็ได้เช่นกัน
มีวิธีการแก้ไขหรือมีตัวช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่สำหรับคนเหล่านี้?
วิธีการมาตรฐานที่มักแนะนำกันมีหลายวิธี [2-4] วิธีการแรกสุดคือใช้อุปกรณ์จับเวลาในการช่วยปรับพฤติกรรม อาจเป็นตัวจับเวลาเฉพาะหรือใช้เป็นแอปบนมือถือก็ได้ทั้งนั้น แบ่งเวลาตามความจำเป็นให้เหมาะสม และตั้งเวลาที่สอดคล้องกันให้เหมาะสม เพื่อเตือนว่าครบเวลาแล้วต้องขยับไปทำอย่างอื่นแล้ว
อีกวิธีก็คืออาศัยการตั้ง ‘เวลากันชน’ เผื่อไว้สำหรับให้เปลี่ยนผ่านจากกิจกรรมหนึ่งไปยังอีกกิจกรรมหนึ่งก็อาจพอช่วยได้เช่นกัน สำหรับบางคนการใช้นาฬิกาแบบเข็มจะช่วยได้มากกว่านาฬิกาแบบตัวเลข เพราะทำให้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจนกว่า
การจดบันทึกหรือไดอารีเพื่อให้เห็นว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง หรือมีอะไรที่ยังต้องทำบ้างภายในเวลาที่มีอยู่ก็ช่วยได้เช่นกัน หากจำเป็นก็แบ่งย่อยกิจกรรมนั้นๆ ลงไปให้ละเอียดมากขึ้นก็ช่วยได้มากขึ้นไปอีก
การฝึกสติก็ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อและทำตามแผนการที่วางไว้ให้ดีขึ้นได้
ฝึกหัดประเมินเวลาที่ใช้สำหรับรูปแบบกิจกรรมที่แตกต่างกัน อาจทำให้รับรู้ได้ว่ากิจกรรมบางอย่างจำเป็นต้องใช้เวลามากเป็นพิเศษ ก็จะทำให้สามารถวางแผนแบบยืดหยุ่นและทำได้จริงมากขึ้น
บางคนก็ใช้เทคนิค ‘เงื่อนไข’ ในการตั้งเป้าหมายและทำให้สำเร็จ เช่น หากอ่านหนังสือจบหนึ่งบท ก็อนุญาตให้ตัวเองพักกินอะไรอร่อยๆ หรือพักดูซีรีส์ได้ 1 ตอน (เท่านั้น!)
บางครั้งสมองที่ยุ่งวุ่นวายกับการแก้ปัญหาก็อาจทำงานดีขึ้นได้ หากเราได้หยุดพักให้สดชื่น อาจหย่อนใจไปเดินในสวนหรือบริเวณใกล้บ้านสัก 5-10 นาที ก่อนเริ่มทำงานชิ้นต่อไป
คำแนะนำทั้งหลายข้างต้นสำหรับคนที่ ‘บอดเวลา’ นั้น จะใช้การได้ดีในกรณีของคนทั่วไป หากมีอาการป่วยหรือผิดปกติบางอย่าง การแก้ไขปัญหาอาจทำได้ลำบากมากขึ้นและต้องพึ่งพาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาต่อไป
เอกสารอ้างอิง
[1] https://www.history.com/articles/here-are-6-things-albert-einstein-never-said เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025
[2] https://www.psychologytoday.com/us/basics/time-blindness เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025
[3] https://health.clevelandclinic.org/time-blindness เข้าถึงข้อมูลวันที่ 1 ก.ย. 2025
[4] Karen Evennett, 2024, Are You Time Blind? Psychology Now, vol. 9, 26-27