Skip to content
ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    EF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGrit
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์
Social Issue
8 September 2025

‘ครูที่ใส่ใจ’ พื้นที่ปลอดภัยและโอกาสของเด็กสมุย: ครูจ๋า-จสิตา เชียะคง ครูรัก(ษ์)ถิ่น แห่งโรงเรียนบ้านดอนธูป

เรื่อง The Potential ภาพ The Potential

  • จากนักศึกษาทุนในโครงการ ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ สู่บทบาทครูผู้ช่วยของโรงเรียนบ้านดอนธูป ครูจ๋าคือเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตและผลิดอกออกผลตามเป้าหมายของโครงการฯ คือการตอบแทนชุมชนบ้านเกิด ด้วยความมุ่งมั่นในการจัดการศึกษาคุณภาพให้กับเด็กๆ บนเกาะสมุย 
  • ห้องเรียนอนุบาลของครูจ๋า ใช้การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ 6 กิจกรรมหลัก ร่วมกับนวัตกรรม Loose Parts เน้นให้เด็กได้ลงมือทำ บนความคาดหวังว่าพวกเขาจะได้ทักษะทางสังคมและทักษะทางจิตใจ เพื่อจะได้เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ
  • หัวใจสำคัญคือการดูแลเด็กด้วยความใส่ใจ เท่าเทียมและทั่วถึง เป็นพื้นที่ปลอดภัยและเรียนรู้ไปพร้อมเด็ก ทำงานร่วมกับเพื่อนครูในการยกระดับคุณภาพห้องเรียน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและคนในชุมชน เพื่อให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสอย่างแท้จริง

“ก่อนที่เราจะไปพัฒนาคนอื่นได้ เราจะต้องพัฒนาที่ตัวเองก่อน”

ไม่ใช่แค่คำพูดสวยๆ แต่เป็นมายด์เซ็ตที่พา ครูจ๋า – จสิตา เชียะคง ในวัย 24 ปี มายืนอยู่หน้าชั้นเรียนอนุบาลด้วยความภาคภูมิใจ ในฐานะ ‘ครูผู้ช่วย’ ของ โรงเรียนบ้านดอนธูป ตำบลลิปะน้อย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี 

ครูจ๋าเกิดและโตบนเกาะสมุย หลังจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนมัธยมเกาะสมุย เธอได้รับทุนจากโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อเรียนต่อในหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี

แม้จะเป็นครูรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นชีวิตการเป็นครูได้เพียงปีกว่าๆ แต่ครูจ๋าก็ใช้ทั้งความรู้และความรักในการออกแบบชั้นเรียนที่เต็มไปด้วยสนามพลังบวก เธอนำนวัตกรรมการศึกษาที่ได้ร่ำเรียนมา บูรณาการเข้ากับความตั้งใจที่จะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กๆ เพื่อให้พวกเขาได้เติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งทางด้านความคิด จิตใจ และการอยู่ร่วมในสังคม

“จิตวิญญาณความเป็นครูก็คือ การดูแลเอาใจใส่เด็กอย่างทั่วถึง และเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก” ครูจ๋า พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ทุกวันนี้นอกจากจะเป็นขวัญใจเด็กๆ ครูจ๋ายังทำงานร่วมกับเพื่อนครู ผู้อำนวยการโรงเรียน รวมถึงคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี เป้าหมายคือการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนในพื้นที่บ้านเกิดให้เป็นพื้นที่แห่งโอกาสในการเรียนรู้ ด้วยความตระหนักว่าโอกาสทางการศึกษาเป็นสิ่งมีค่าที่ควรส่งต่อให้เด็กทุกคน

ห้องเรียนชีวิตจริง ยิ่งกว่าในตำรา 

แม้หลักสูตรครุศาสตร์จะเตรียมความพร้อมให้คุณครูก่อนลงสนามมาพอสมควร แต่พอได้มาใช้เวลากับเด็กปฐมวัยตัวจริง ครูจ๋าในวันที่ชิมลางการเป็นครูฝึกสอนก็แทบจะถอดใจ 

“ตอนนั้นใจหนึ่งคือเราไม่ได้อยากเป็นครูแล้วค่ะ เรารู้สึกว่าทำไมเด็กทำอะไรเองไม่ได้เลย แต่พอมีครั้งหนึ่งเราสอนไปเรื่อยๆ แล้วเด็กเขาคอยเชียร์อัพเรา เป็นพลังบวกให้เรา รู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีความหมายกับเขา เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสำคัญของเด็กไปแล้ว เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก ตรงนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนค่ะ”

ครูจ๋าตัดสินใจเดินต่อบนเส้นทางชีวิตการเป็นครูปฐมวัย โดยหลังจากฝึกสอน เธอได้บรรจุเป็นครูผู้ช่วยที่โรงเรียนบ้านดอนธูป รับผิดชอบชั้นอนุบาล 1 โดยใช้แนวทางการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ 6 กิจกรรมหลัก ร่วมกับนวัตกรรม Loose Parts เนื่องจากโรงเรียนบ้านดอนธูปเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีสื่อไม่มากพอสำหรับเด็กทุกคน การใช้ Loose Parts ซึ่งเป็นสื่อที่ได้มาจากการประยุกต์สิ่งของธรรมชาติในชุมชน น่าจะเหมาะสมและสามารถใช้พัฒนาเด็กได้ดีที่สุด

“ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับโรงเรียนโดยการนำลูกยาง ลูกสน มาให้ค่ะ ซึ่งเราก็นำมาใช้โดยวิธีบูรณาการในชั้นเรียนกับกิจกรรมเสริมประสบการณ์ ศิลปะสร้างสรรค์ ให้เด็กได้จับ ได้เล่น แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือนำสื่อ Loose Parts ไปสร้างเป็นเกมการศึกษาให้เด็กได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นผิวสัมผัส การนับจำนวนตัวเลข รูปร่างรูปทรง ใช้บูรณาการในกิจกรรมปฐมวัยได้หมดเลย เรามองว่าสื่อที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นสื่อที่มีราคาแพง แต่เป็นสื่อที่พัฒนาเด็กได้มากที่สุด ครบองค์ประกอบทักษะ 4 ด้าน”

ห้องเรียนของครูจ๋า เด็กๆ จะไม่ได้นั่งฟังเฉยๆ เขาจะต้องหยิบจับอุปกรณ์ที่เตรียมให้ เช่น ลูกยาง ลูกสน ไม้ไผ่ มาสร้างสรรค์ผลงาน เกิดเป็นกิจกรรมหนูน้อยนักสร้างสรรค์ ซึ่งหัวใจสำคัญคือให้เด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง 

“แล้วเราก็ไม่ได้วัดเด็กที่ผลงานค่ะ แต่วัดที่ทักษะจิตใจทักษะทางสังคมของเขา เช่น เราจะถามว่า ‘วันนี้หนูได้ทำงานกับใครบ้างคะลูก’ ‘หนูสนุกไหมคะ’ หรือถามว่า ‘ผลงานหนูชื่ออะไร’ ถ้าเขาบอกว่าบ้าน เราก็จะไม่ได้มองว่าอันนี้ไม่เหมือนบ้านเลย หนูสร้างอะไรก็ไม่รู้…”

ครูจ๋าบอกว่าการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้จากการลงมือทำ ผลลัพธ์ที่เห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมคือ เด็กๆ มีทักษะในการจัดการตนเอง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เช่น ถือกระเป๋าเองได้ ถือกล่องข้าวมาโรงอาหารเองได้ วางรองเท้าในชั้นวางรองเท้าได้อย่างเป็นระเบียบ สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้เป็นการพื้นฐานสำคัญในเรื่องการมีระเบียบวินัยด้วย ซึ่งเด็กๆ ซึมซับนำกลับไปใช้ที่บ้านด้วย

“เรื่องทักษะนั้น เขาได้ทักษะการจัดการตนเอง ทักษะการวางแผนอย่างเป็นระบบ แล้วเขาก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องมีคุณครู หรือผู้ปกครองคอยบอก 

แรกๆ อาจจะยังต้องคอยบอกอยู่ แต่ตอนนี้น้อยลงมาเป็นสเต็ปๆ วางกระเป๋าเรียงซ้อนกันเขาก็สามารถวางเป็นแล้ว ในห้องอนุบาล 1 เป็นสิ่งที่ยากมากค่ะ แต่ละอย่างที่เราจะพัฒนา เราต้องค่อยเป็นค่อยไป เราต้องพูดอยู่อย่างนั้นค่ะ ทำซ้ำๆ จนเป็นนิสัย เพื่อให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพ”

จิตวิญญาณความเป็นครู คือดูแลใส่ใจเด็กอย่างทั่วถึง

แม้แนวคิดหลักในการจัดการเรียนรู้จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำ (Active Learning) เปิดพื้นที่ให้โต้ตอบกันอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ถูกตัดสิน แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ครูจ๋าให้ความสำคัญคือ การดูแลเด็กด้วยความใส่ใจ เท่าเทียมและทั่วถึง เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขา ซึ่งช่วยให้เด็กกล้าพูด กล้าคิด กล้าทำ

“อย่างในตอนเช้าก็จะมีกิจกรรมเช็คอินความรู้สึก ‘เช้านี้หนูรู้สึกยังไง’ ก่อนเที่ยงก็จะเป็น ‘หนูน้อยร้อยเวที’ ให้เขาได้แสดงความสามารถที่อยากทำ เพราะว่าบางวันมาจากบ้าน เขาไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟังเลย แต่พอเทำกิจกรรมนี้เรารู้ได้เลยว่าในใจลึกๆ เขาคิดอะไรอยู่ วันนี้หนูอยากเล่าอะไร หนูอยากร้องเพลงอะไร ได้เลย..ครูจัดให้”

“จิตวิญญาณความเป็นครูก็คือการดูแลใส่ใจเด็กอย่างทั่วถึง เราไม่เป็นศูนย์กลางจักรวาล แต่เราให้เด็กเป็นศูนย์กลางค่ะ เราเรียนรู้ไปพร้อมเด็ก เพราะว่าความรู้ได้มาจากเด็กทั้งนั้น ซึ่งเราเองก็ต้องพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ค่ะ”

สำหรับเป้าหมายในการดูแลเด็กปฐมวัย โดยเฉพาะเด็กๆ ชั้นอนุบาล 1 ที่ดูแลอยู่นั้น ครูจ๋าบอกว่า ไม่ได้คาดหวังทักษะวิชาการ แต่คาดหวังให้เด็กๆ ได้ทักษะทางสังคม และทักษะทางจิตใจ 

“เราต้องการแค่ให้เขามาโรงเรียนแล้วเขาสามารถเล่นกับเพื่อนได้ มีทักษะสังคมที่ดี รู้จักแบ่งปันสิ่งของให้เพื่อน มีทักษะการพูด ส่วนทักษะวิชาการจะไม่ได้เน้นเรื่องอ่านเขียน แต่เขาจะเรียนรู้ภาษาธรรมชาติหรือว่า Whole Language ไปพร้อมๆ กัน แค่นี้พอค่ะ” 

ครูจ๋าย้ำว่า ทักษะทางสังคมและทักษะทางจิตใจ สองสิ่งนี้เป็นการปูพื้นฐานให้เด็กมีรากฐานที่เข้มแข็ง และเติบโตไปอย่างมีคุณภาพ

“การได้รับคุณธรรมคู่กับการศึกษาจะทำให้เด็กเติบโตอย่างยั่งยืน ก็เลยเล็งเห็นทักษะทางสังคมกับทักษะทางจิตใจค่ะ ถ้าเด็กมีจิตใจที่ดี สังคมที่ดี เข้ากับเพื่อนได้ จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาตนเองและคนรอบข้าง”

ตอบแทนชุมชนบ้านเกิด อุดมการณ์ ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ 

ในฐานะนักศึกษาทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น นอกจากวิชาความรู้ที่ครูจ๋านำมาออกแบบการเรียนรู้ให้เด็กๆ แล้ว เธอยังได้รับทักษะต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาตนเองและกลับมาพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะงานฝึมือที่หลายคนอาจไม่คิดว่ามีความสำคัญ เช่น จับจีบผ้า จัดดอกไม้ จัดแจกัน จัดอาหาร ทำขนม จัดเบรก เป็นต้น  

“ทั้งหมดนี้อยู่ในหลักสูตรสานสัมพันธ์ชุมชน คือเราจะทำยังไงให้เป็นที่ยอมรับของชุมชน จะเข้าไปช่วยชุมชนยังไง หรือเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนยังไงได้บ้าง ทักษะเหล่านี้ช่วยได้มาก”

นอกจากนี้ครูจ๋ายังยกตัวอย่างหลักสูตรพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม ‘4+6 โมเดล’ ที่เธอได้ไปอบรมและนำกลับมาใช้ที่โรงเรียนดอนธูป รวมทั้งไปเป็นวิทยากรให้กับโรงเรียนอื่นๆ ในพื้นที่เกาะสมุย ว่าเป็นหนึ่งในความภูมิใจที่ได้ร่วมพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนในพื้นที่

4+6 โมเดล เพื่อพัฒนาโรงเรียนคุณธรรม ประกอบด้วย 4 หลักการ คือ 1.ทำทั้งโรงเรียน 2.ทำแบบ Bottom Up 3.ทำอย่างมีส่วนร่วม 4.ทำอย่างสม่ำเสมอ และ 6 กระบวนการ คือ 1. สร้างการรับรู้และการยอมรับในโรงเรียน 2. สร้างครูแกนนำ นักเรียนแกนนำ 3. กำหนดเป้าหมาย 4. กำหนดวิธีการ 5. ลงมือปฏิบัติ 6. สร้างกลไกขับเคลื่อน

สำหรับโรงเรียนบ้านดอนธูปซึ่งเป็นโรงเรียนนำร่องโรงเรียนแรกที่นำมา 4+6 โมลเดลมาใช้นั้น ในปีแรกได้นำเสนอ ‘โครงงานรองเท้าเข้าที่’ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างนักเรียนและคุณครู

“เราทำทั้งโรงเรียนค่ะ แล้วก็ทำจากล่างขึ้นบน โดยเริ่มต้นจากนักเรียนเป็นผู้ที่คิดค้นสิ่งที่มองว่าเป็นปัญหาและอยากแก้ไขให้ดีขึ้น ซึ่งแค่ตัวนักเรียนก่อนนะคะ โดยมีคุณครูช่วยชี้แนะแล้วทำไปพร้อมนักเรียน ทำให้ปัญหาตรงนี้ลดทอนไป ก็คือมันกลายเป็นพฤติกรรมบ่งชี้เชิงบวกขึ้นมา 

ตัวอย่างนะคะ จากที่เด็กทำรองเท้าหาย ต้องซื้อรองเท้าใหม่ พอเราใช้กระบวนการนี้ 4+6 โมเดล โดยเริ่มต้นจากตัวนักเรียนก่อน รองเท้าที่ว่าหาย รองเท้าที่ไม่เป็นระเบียบ ไม่มีชั้นวาง ตอนนี้โรงเรียนเราเป็นระเบียบในเรื่องของการวางรองเท้า รวมไปถึงเรื่องของการเข้าแถว การเดิน การทานอาหารในโรงอาหาร ระเบียบแถว วินัยต่างๆ เด็กเขาจะได้รับการปลูกฝังบ่มเพาะไปตั้งแต่เนิ่นๆ โดยใช้กระบวนการ 4+6 นี่แหละค่ะ” 

ทั้งนี้ ครูจ๋ามองว่า 4+6 โมเดลนี้เป็นเหมือนเข็มทิศนำทางให้เด็กๆ พัฒนาทั้งคุณธรรมและคุณภาพไปพร้อมกัน ที่สำคัญคือครูเองก็ได้รับการพัฒนาด้วย เพราะ “การจะปลูกฝังคุณธรรมให้เด็ก ครูต้องมีคุณธรรมก่อนค่ะ”

โอกาสทางการศึกษา บ่มเพาะชีวิตให้งอกงามและแข็งแกร่ง

จากเด็กที่ไม่เคยแน่ใจในอนาคต สู่การเป็นนักเรียนทุน ‘ครูรัก(ษ์)ถิ่น’ กระทั่งได้เป็นคุณครูอย่างเต็มภาคภูมิ ครูจ๋าบอกว่านอกจากประสบการณ์ในชั้นเรียน, การทำงานร่วมกับเพื่อนครู และการสนับสนุนจากผู้อำนวยการโรงเรียน รวมไปถึงคนในชุมชน คือเชื้อเพลิงสำคัญที่ทำให้ไฟของครูรุ่นใหม่อย่างเธอไม่เคยมอดดับลง เช่นเดียวกับความหวังที่จะใช้ความรู้ความสามารถพัฒนาโรงเรียน สร้างการศึกษาคุณภาพให้เด็กๆ ในถิ่นฐานบ้านเกิด

“วันนี้รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นครูของเด็กๆ ที่นี่ แล้วก็รู้สึกประสบความสำเร็จในการเข้าถึงชุมชน คุณครูที่โรงเรียนก็ให้การสนับสนุนอย่างมาก แม้จะเป็นครูที่เด็กที่สุดในโรงเรียน แต่ทุกคนรับฟังในสิ่งที่เราเสนอ พร้อมที่จะเรียนรู้ และช่วยกันพัฒนาโรงเรียน”

“สำหรับเรา การเป็นที่ยอมรับของโรงเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน อันนี้ถือว่าผ่านความสำเร็จมาหนึ่งขั้น แต่สิ่งที่อยากเติบโตมากกว่านี้คือ การทำให้ชุมชนรู้สึกว่าโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนที่ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมได้”

เพราะหัวใจของครูรัก(ษ์)ถิ่น คือการตอบแทนสังคมชุมชนด้วยการศึกษา และการศึกษาคุณภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม

“สิ่งที่ กสศ. ให้ ไม่ว่าจะเป็นทุนทรัพย์ ความรู้ หรือโครงการต่างๆ หนูพูดเลยว่าหนูเป็นคนหนึ่งที่เอาทุกอย่างมาใช้อย่างเต็มที่ค่ะ รู้สึกอยากให้ตัวเองเป็นเมล็ดพันธ์ที่งอกงามอย่างสวยงาม ภูมิใจค่ะที่เราเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับโอกาส แล้วไม่ทิ้งโอกาสนั้นแบบทิ้งขว้าง เห็นคุณค่าจากสิ่งเล็กๆ ตรงนี้ค่ะ”

ครูจ๋าบอกว่าอยากขอบคุณทุกโอกาสในชีวิต โดยเฉพาะโอกาสที่ได้จากโครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น ซึ่งเปลี่ยนเด็กธรรมดาคนหนึ่งให้กลายเป็น ‘ครู’ ที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้สังคมได้

“เรารักในวิชาชีพครู รักในโอกาสที่ได้มา เราอยากทำให้โอกาสตรงนี้เติบโตได้มากที่สุด อยากให้มันเป็นต้นกล้าที่แข็งแกร่งมากที่สุด”

ครูจ๋าทิ้งท้ายว่า สิ่งที่จะทำต่อเนื่องไป คือการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองเก่ง แต่เพราะต้องการเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักเรียนตัวน้อยที่เป็นแรงบันดาลใจในชีวิตความเป็นครู

โครงการครูรัก(ษ์)ถิ่น มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้กับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ด้วยการมอบทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพและกลับมาเป็นครูรุ่นใหม่ที่มีบทบาทในการพัฒนาโรงเรียนในพื้นที่บ้านเกิดของตนเอง และยังเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูอีกทางหนึ่ง
สำหรับโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ได้แก่ โรงเรียนบนพื้นที่สูง, โรงเรียนตามแนวชายขอบ, โรงเรียนที่ตั้งอยู่บนเกาะแก่ง และโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย มักพบปัญหาคือ ครูขอย้ายบ่อยเพราะไม่ใช่คนในท้องถิ่น และไม่มีครูมาทดแทน ครูจึงไม่พอกับชั้นเรียน 

Tags:

โรงเรียนบ้านดอนธูปครูจ๋า-จสิตา เชียะคงห้องเรียนอนุบาลจิตวิญญาณความเป็นครูโอกาสทางการศึกษานวัตกรรมการศึกษาความใส่ใจ (Attention)ครูรัก(ษ์)ถิ่น

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    ‘Lampang One Team’ พลังเครือข่ายตำบลลำปางหลวง ที่โอบรับเด็กทุกคนสู่เส้นทางการศึกษาคุณภาพ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Teacher makes a positive difference
    Transformative learning
    ครูในฐานะผู้สร้างความแตกต่างในชีวิตของเด็ก

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล

  • โรงเรียนเล็ก โรงเรียนใหญ่ แก้ปัญหาแบบไหนที่ตรงจุด?: มองหาทางออกใหม่ ให้การศึกษาไทยได้ไปต่อ

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง

  • Unique Teacher
    ‘ครูงอกงามจากเด็ก’ พรสวรรค์ ศิริวัฒน์: ครูเกษียณผู้ใช้จิตศึกษาและ PBL เปลี่ยนมายเซ็ตให้ทั้งครูและเด็กเป็นนักเรียนรู้

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘ถึงไม่ได้เติบโตมาอย่างดีก็เอาดีได้’ จากนักพนันรุ่นจิ๋วสู่ครูมโนราห์ของเด็กนอกระบบ: วิชญะ เดชอรุณ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel