- The Let Them Theory หรือ ทฤษฎีปล่อยเขา เขียนโดย เมล ร็อบบินส์ นักเขียนหนังสือขายดีของนิวยอร์กไทมส์และผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงด้านกรอบทัศนคติ แรงจูงใจ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เแปลไทยโดย เขมลักษณ์ ดีประวัติ (สำนักพิมพ์อมรินทร์ฮาวทู)
- ใจความสำคัญของทฤษฎีปล่อยเขา คือการหยุดสิ้นเปลืองเวลาให้กับการควบคุมสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ โดยเฉพาะความคิด คำพูด และการกระทำของคนอื่น เพื่อหันกลับมาทุ่มเทพลังให้กับสิ่งที่เราควบคุมได้นั่นคือตัวเราเอง
- “เวลาที่มีอะไรก็ตามทำให้คุณรู้สึกเครียด จงพูดว่า ปล่อยเขา จากนั้นหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า ให้ฉัน…หายใจเข้าอีกครั้งหนึ่ง ให้การตอบสนองต่อความเครียดของคุณช้าลง ให้ร่างกายและจิตใจของคุณสงบลง กลับมามีอำนาจควบคุมและเอาพลังของคุณคืนมา”
“หากคุณกำลังดิ้นรนเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ หรือกำลังรู้สึกว่าความสุขอยู่ไกลเสียเหลือเกิน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณ แต่เป็นพลังอำนาจที่คุณยกมันให้คนอื่นไปต่างหาก”
ข้อความตอนหนึ่งจากปกหลังของหนังสือ THE LET THEM THEORY หรือ ทฤษฎีปล่อยเขา เขียนโดย เมล ร็อบบินส์ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจและนักเขียนชื่อดัง ที่เพิ่งได้รับการยกย่องจากนิตยสาร TIME ให้เป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลทางดิจิทัลระดับแนวหน้าประจำปี 2025 เธอได้กลั่นจากประสบการณ์ชีวิตจริงของตัวเอง ทั้งยังอธิบายความรู้สึกที่ผมแบกรับมาตลอดหลายปี
ในวันที่เรารู้สึกเหนื่อย เครียด วิตกกังวล หรือรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างบอกไม่ถูก เมลอธิบายว่าสาเหตุหนึ่งเกิดจากการที่เราอนุญาตให้สิ่งรอบตัวเข้ามากำหนดวิถีชีวิตของเรา โดยเฉพาะ ‘คนอื่น’ ที่เราให้ความคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำบางคำที่เราหยิบมาใส่ใจมากเกินไป หรือความพยายามที่เราใช้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนในแบบที่เราคิดว่าเขาจะชอบ
“คุณทำผิดด้วยการคิดว่า ถ้าพูดสิ่งที่ถูกต้องเหมาะควร ทุกคนจะพึงพอใจ ถ้าพยายามอย่างหนัก คนรักของคุณจะไม่ผิดหวัง ถ้าแสดงความเป็นมิตรมากพอ เพื่อนร่วมงานอาจชอบคุณมากขึ้น ถ้าทำตัวสงบเสงี่ยมเอาไว้ ครอบครัวอาจเลิกตัดสินสิ่งที่คุณเลือก”
เมลบอกต่อว่าแรงผลักดันที่ทำให้เราอยากควบคุมสิ่งต่างๆ ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากความกลัว…กลัวที่จะถูกมองข้าม กลัวจะถูกปฏิเสธ หรือกลัวจะไม่เป็นที่รัก ฯลฯ แต่ยิ่งเราพยายามควบคุมมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเหนื่อยและกลายเป็นคนที่ห่างไกลจากความสุขมากขึ้นทุกที ดังนั้นการ ‘ปล่อยเขา’ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราปลดล็อกสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะมันคือการยอมรับอย่างเต็มใจว่า ‘ชีวิตเขา…ก็คือของเขา’ ไม่ว่าเขาจะคิด จะพูด หรือจะทำอะไร นั่นเป็นสิทธิของเขา และเราไม่มีหน้าที่ต้องวิ่งตามหรือจัดการกับความคาดหวังของคนอื่น
“ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นในแบบที่คุณต้องการให้เป็น อย่าบังคับให้พวกเขาเปลี่ยน ปล่อยให้พวกเขาเป็นตัวเอง เพราะพวกเขากำลังแสดงตัวตนที่แท้จริงให้คุณเห็น ก็แค่ ปล่อยเขา แล้วคุณจะได้เป็นฝ่ายเลือกสิ่งที่คุณจะทำต่อไป”
ถึงอย่างนั้น การปล่อยเขาที่เมลพยายามอธิบายไม่ได้หมายถึงการหยุดห่วงใยหรือไม่สนใจใครอีกต่อไป เพราะเรายังสามารถให้คำแนะนำ ยังสามารถดูแล และให้คำปรึกษาแก่คนรอบตัวได้ แต่ไม่จำเป็นต้องแบกความคาดหวังว่าทุกคนจะต้องเปลี่ยนไป
“ทฤษฎีปล่อยเขาจะสอนคุณว่า ยิ่งคุณปล่อยให้คนอื่นใช้ชีวิตของพวกเขาไป ชีวิตของคุณก็จะยิ่งดีขึ้น ยิ่งคุณปล่อยให้คนอื่นเป็นคนแบบที่พวกเขาเป็น รู้สึกแบบที่พวกเขารู้สึก คิดแบบที่พวกเขาคิด ความสัมพันธ์ของคุณกับคนอื่นๆ ก็จะยิ่งดีขึ้น”
เมื่อเราเลิกวิ่งไล่จับกับการควบคุมคนรอบตัว เราจะพบกับอิสรภาพที่ช่วยให้เราหันกลับมาโฟกัสและรับผิดชอบกับตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยเมลบอกว่ายิ่งเราจดจ่อกับชีวิตตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีพลังเพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้นขั้นตอนถัดมาที่จะช่วยทำให้ทุกอย่างลงตัวมากขึ้นคือการ Let me หรือ ‘ให้ฉัน’ ซึ่งเป็นการตระหนักรู้ในตัวเอง ไม่ว่าโลกภายนอกจะหมุนไปยังไง เรามีหน้าที่แค่ควบคุมความคิด พฤติกรรม กาย ใจ ของเราเท่านั้น
“เมื่อคุณพูดว่า ให้ฉัน (Let me) คือคุณจะรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณจะกระทำต่อไป…มันแสดงให้เห็นทันทีเลยว่าคุณควบคุมอะไรได้บ้าง มีหลายสิ่งเลยที่คุณสามารถควบคุมได้ ทัศนคติของคุณ พฤติกรรมของคุณ ค่านิยมของคุณ ความจำเป็น และความปรารถนาของคุณ และสิ่งที่คุณต้องการทำเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มันตรงข้ามกับการตัดสินนะ ให้ฉัน คือการตระหนักรู้ในตนเอง ความเห็นอกเห็นใจ การเสริมสร้างพลัง และความรับผิดชอบส่วนบุคคล”
แน่นอนว่าสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้คือวิธีการตอบสนองของเราต่อสิ่งต่างๆ แต่ในทางปฏิบัติมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เมลจึงแนะนำเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและทรงพลังที่สุดที่ใครก็สามารถทำได้ นั่นคือการกลับมาอยู่กับลมหายใจ (ปัจจุบันขณะ)
“ตลอดทั้งวัน ใครๆ จะทำเรื่องที่กวนใจคุณ ทำให้คุณหงุดหงิด หรือว่าเครียด มันต้องเกิดขึ้นแน่นอน คุณควบคุมไม่ได้ เมื่อคุณยอมให้พฤติกรรมของใครมาทำให้เครียด เท่ากับคุณเอาพลังอำนาจไปให้ผู้อื่น ส่งผลให้คุณหมดเรี่ยวแรง ไม่มีเวลาหรือพลังงานเหลือให้ตัวเอง…ร่างกายของคุณจะตอบสนองต่อความเครียดเป็นระบบอัตโนมัติ คุณจะรู้สึกรำคาญขึ้นมาเอง รู้สึกหงุดหงิดท้อแท้ รู้สึกว่าความโกรธและกระวนกระวายโจมตีเข้ามา
คุณไม่อาจควบคุมอารมณ์ที่เกิดขึ้นภายในตัวได้ แต่คุณเรียนรู้ที่จะตั้งค่าการตอบสนองต่อความเครียดเสียใหม่ เพื่อไม่ให้อารมณ์ปล้นเอาอำนาจของคุณไป
เวลาที่มีอะไรก็ตามทำให้คุณรู้สึกเครียด จงพูดว่า ‘ปล่อยเขา’ จากนั้นหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า ‘ให้ฉัน’ …หายใจเข้าอีกครั้งหนึ่ง ให้การตอบสนองต่อความเครียดของคุณช้าลง ให้ร่างกายและจิตใจของคุณสงบลง กลับมามีอำนาจควบคุมและเอาพลังของคุณคืนมา มันอาจดูเหมือนไม่สำคัญอะไรนัก แต่การเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้คุณกลายเป็นคนใหม่ การหยุดระบบตอบสนองต่อความเครียดเอาไว้ด้วยการกล่าวว่า ปล่อยเขา และ ให้ฉัน จะทำให้คุณสามารถเลือกสิ่งที่คิด พูด หรือทำ แทนที่จะปล่อยให้อารมณ์มาปล้นเอาการตอบสนองของคุณไป
การสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่าช่วยลดการตอบสนองต่อความเครียดของคุณได้ การหายใจเต็มปอด รู้สึกถึงอากาศที่ทำให้หน้าท้องของคุณพองออกช่วยกระตุ้นประสาทเวกัส ซึ่งส่งสัญญาณตรงไปยังสมองของคุณว่า ‘เราสามารถสงบลงได้’ ”
แม้การหายใจดูเหมือนจะเป็นสิ่งง่ายๆ ที่ผมเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก แต่ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเร่งรีบ ผมพบว่าการหาโอกาสให้ตัวเองได้ลองหยุดหายใจเพียงไม่กี่วินาที…เพื่อเรียกสติและพลังอำนาจของเรากลับคืนมา สำหรับผมมันคือก้าวเล็กๆ ที่ปูทางให้ผมมุ่งไปสู่จุดเริ่มต้นของการเป็นคนใหม่…คนที่ไม่ถูกอารมณ์หรือความคาดหวังของคนอื่นมานำทางชีวิต แต่มีสติอยู่กับความคิด คำพูด การกระทำ และเลือกใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างอิสระในแบบที่ผมเป็น เหมือนกับการปล่อยวางคนอื่น…ให้เป็นไปตามทางของเขา และให้ผม…ได้กลับมาดูแลสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต นั่นคือตัวของผมเอง