- Normal People หรือ ‘ปกติคือไม่รัก’ เป็นนิยายรักผลงานของ แซลลี รูนีย์ (Sally Rooney) นักเขียนชาวไอร์แลนด์ แปลไทยโดย ณัฐชานันท์ กล้าหาญ
- นิยายเล่าถึงความสัมพันธ์อันแสนหวานแต่หม่นมัว ของ ‘แมรีแอนน์’ และ ‘คอนเนลล์’ ที่ให้บทเรียนเราว่า ในเรื่องความสัมพันธ์ เราควรเรียนรู้ที่จะตระหนักถึงคุณค่าของตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด
- ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา ที่ต้องการความรักและการยอมรับจากคนอื่น และเหนือสิ่งอื่นใด คาดหวังจะให้คนอื่นมองเห็นคุณค่า เพื่อที่เราจะได้ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง
หลายวันก่อน ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งจบไป เป็นนิยายเล่มเล็กๆ แต่สร้างความประทับใจได้ใหญ่โตอย่างเหลือเชื่อ
หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า Normal People ผลงานของ แซลลี รูนีย์ (Sally Rooney) นักเขียนชาวไอร์แลนด์ ซึ่งในฉบับแปลไทยโดย ณัฐชานันท์ กล้าหาญ ใช้ชื่อว่า ‘ปกติคือไม่รัก’
ใช่แล้วครับ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายรัก แถมยังเป็นรักที่ดูน้ำเน่าเหมือนในละครอีกด้วย
ตัวเอกฝ่ายหญิงของเรื่อง คือ ‘แมรีแอนน์’ เป็นคุณหนูบ้านรวย แต่ที่โรงเรียน เธอคือคนที่ไม่มีใครคบ ด้วยนิสัยตรงไปตรงมา บวกกับท่าทีที่เฉยชาต่อสังคม ทำให้เธอกลายเป็นคนแปลกๆ ซึ่งในหนังสือใช้คำว่า “แมรีแอนน์มีค่าเท่ากับก้อนที่น่ารังเกียจในสายตาของคนอื่นในโรงเรียน”
แน่นอน แมรีแอนน์รู้เรื่องนี้ดี แต่แล้วไงล่ะ เธอไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว เธอกินข้าวคนเดียว นั่งเรียนลำพังคนเดียว ซึ่งจะเรียนก็ต่อเมื่อสนใจอยากจะเรียน เพราะเธอรู้ดีว่า ตัวเองฉลาดกว่าเพื่อนๆ ทุกคนในโรงเรียน (รวมทั้งครูบางคนด้วย)
อาจจะไม่ทุกคนหรอก แมรีแอนน์รู้ดีว่า ความฉลาดของเธอ อาจต้องยอมยกเว้นให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ ‘คอนเนลล์’
คอนเนลล์ ตัวเอกฝ่ายชายของเรื่อง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของแมรีแอนน์ เขาคือชายหนุ่มสุดป๊อปในโรงเรียน หน้าตาดี นิสัยดี เป็นที่รักของทุกคน และคอนเนลล์เอง ก็มีความรักและน้ำใจเผื่อแผ่ให้เพื่อนๆ ทุกคน
ยกเว้นแต่เด็กสาวที่ชื่อ แมรีแอนน์ ซึ่งก็แน่ล่ะ เด็กสาวแปลกประหลาด หรือก้อนที่น่ารังเกียจในสายตาของทุกคนในโรงเรียน จะให้เขาไปยุ่งด้วยก็คงแปลก ดีไม่ดี เพื่อนๆ จะหาว่าเขาเป็นตัวประหลาดเหมือนกับแมรีแอนน์ไปด้วย
ครอบครัวของคอนเนลล์ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แม่ของคอนเนลล์ ทำงานเป็นแม่บ้านที่บ้าน-ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่า คฤหาสน์ของแมรีแอนน์ ทำให้คอนเนลล์ ซึ่งคอยขับรถรับส่งแม่ ได้มีโอกาสพบเจอกับแมรีแอนน์อยู่บ่อยๆ
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ค่อยๆ พัฒนาจากความเงียบกลายเป็นการทักทาย จากการพูดคุยกลายเป็นความสนิทสนม กระทั่งหลอมรวมทั้งคำว่าเพื่อนสนิทกับคนรักเข้าด้วยกัน
แต่ความสัมพันธ์ของแมรีแอนน์และคอนเนลล์ รวมถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ไม่เคยเป็นเรื่องที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาอยู่แล้ว หากแต่ซับซ้อน สับสน และบางครั้งก็ไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง
แมรีแอนน์และคอนเนลล์ ต่างมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน อย่างที่ไม่เคยมีให้กับคนอื่น แต่นอกจากทั้งคู่แล้ว ไม่มีใครได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
คอนเนลล์ ไม่กล้าให้คนอื่น โดยเฉพาะเพื่อนๆ ในโรงเรียน รับรู้เรื่องที่เขาเป็นเพื่อนสนิทกับแมรีแอนน์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเกินคำว่าเพื่อนสนิทเลย
จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะทุกคนในช่วงวัยรุ่น ล้วนแต่ยกให้เพื่อนมาเป็นอันดับหนึ่ง ทุกคำพูด ทุกความคิดเห็นของเพื่อน มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อการกระทำและความคิดของเรา
อาจเป็นเพราะในช่วงวัยรุ่น เรายังไม่รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ เรายังต้องการการยอมรับจากคนอื่น เรายังหวาดกลัวการถูกปฏิเสธไม่ให้ร่วมเป็นสมาชิกของฝูง
บางที อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของการเป็นสัตว์สังคม สิ่งที่เราหวาดกลัวที่สุด การถูกขับออกจากกลุ่ม หรือ การต้องยืนหยัดเพียงลำพังคนเดียว
แต่แมรีแอนน์ ไม่เป็นเช่นนั้น อาจเป็นเพราะเธอไม่ใช่สัตว์สังคม แต่เธอคือสัตว์ป่าสันโดษ
แมรีแอนน์ ไม่คิดที่จะบอกให้ใครได้รับรู้ว่า เธอกำลังคบหาอยู่กับคอนเนลล์ เพราะเธอไม่มีใครให้บอก ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียวในโรงเรียน ส่วนคนในบ้านก็ไม่ต่างกัน ทั้งแม่และพี่ชาย ไม่เคยเป็นเซฟโซน ตรงกันข้าม ทั้งคู่ปฏิบัติต่อเธอเลวร้ายยิ่งกว่าที่คนในโรงเรียนทำเสียอีก
หรือต่อให้แมรีแอนน์มีเพื่อนมากมาย เธอก็ไม่คิดจะบอกให้เพื่อนรับรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ด้วยนิสัยที่เป็นตัวของตัวเองอย่างยิ่ง แมรีแอนน์ไม่จำเป็นต้องให้ใครมายอมรับ เห็นดีเห็นงาม หรืออนุญาต ในการจะคบใครสักคน
เหตุผลอีกข้อหนึ่ง อาจจะเป็นเหตุผลแรกด้วยซ้ำ ก็คือ แมรีแอนน์รู้ดีว่า คอนเนลล์แคร์สายตา แคร์เสียงซุบซิบนินทาของเพื่อนๆ ในโรงเรียน ซึ่งหากเธอเปิดเผยเรื่องความสัมพันธ์นี้ให้คนอื่นรับรู้ คอนเนลล์อาจจะอับอายจนเลิกคบกับเธอ
ในเรื่องความสัมพันธ์ คนที่เราควรแคร์มากที่สุด คือ ตัวของเราเอง และอีกคนที่เรารัก แต่หากใครคนใดคนหนึ่งในความสัมพันธ์ของสองคน กลับแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเองและคนที่เรารัก ความสัมพันธ์นั้นก็ยากที่จะดำเนินไปอย่างราบรื่น
ด้วยความกลัวว่าเพื่อนๆ ในโรงเรียนจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เขามีต่อแมรีแอนน์ คอนเนลล์ตัดสินใจชวนหญิงสาวคนอื่นไปงานเต้นรำในช่วงปีสุดท้ายของโรงเรียน แน่นอนว่า แมรีแอนน์ หัวใจแตกสลาย แต่เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย เธอทำสิ่งที่ ‘เจ๋ง’ กว่านั้น คือ ห้ามคอนเนลล์เหยียบเข้าไปในบ้านเธออีก พร้อมกันนั้น แมรีแอนน์ ลาออกจากโรงเรียน ใช้เวลาอยู่กับบ้านเรียนด้วยตัวเองเพื่อเตรียมสอบเข้าวิทยาลัย
ความสัมพันธ์ที่แสนหวานแต่หม่นมัว ปิดฉากลงพร้อมกับช่วงสุดท้ายของวัยนักเรียน แล้วทั้งคู่ก็ก้าวเข้าสู่บทใหม่ของชีวิต ด้วยการเป็นนักศึกษาวิทยาลัย
แม้แมรีแอนน์จะจากไป แต่สิ่งหนึ่งที่เธอทิ้งไว้ให้กับคอนเนลล์ คือ การเรียนรู้ที่จะไล่ตามความฝัน เธอเป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้คอนเนลล์ ผู้รักในการเขียน และการอ่าน เลือกเรียนด้านภาษาที่วิทยาลัยทรินิตี้ แทนที่จะเลือกเรียนด้านอื่นที่อาจจะง่ายต่อการทำมาหาเลี้ยงชีพมากกว่า
ชีวิตมักจะเล่นตลกกับเราอยู่เสมอ หนุ่มคอนเนลล์ ผู้เคยเป็นที่รักของเพื่อนๆ ในโรงเรียน กลับกลายเป็นชายหนุ่มบ้านนอก ซื่อๆ ติ๋มๆ ที่ดูจะเข้ากับเพื่อนๆ ชาวกรุงไม่ค่อยได้ และที่วิทยาลัยทรินิตี้ คอนเนลล์ก็ได้พบกับแมรีแอนน์อีกครั้ง ทว่าในครั้งนี้ แมรีแอนน์ อดีตก้อนที่น่ารังเกียจ กลับกลายเป็นสาวเปี่ยมเสน่ห์ที่ชายหนุ่มหลงใหล และเป็นที่รักของเพื่อนหญิงมากมาย
กาลเวลาอาจจะเปลี่ยน แต่ความรู้สึกดีๆ ของทั้งคู่ไม่เคยเปลี่ยน อาจเพราะทั้งคู่เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนกัน ซึ่งความเป็นเพื่อน นับเป็นความสัมพันธ์ที่ยากจะตัดขาดอยู่แล้ว
ความรู้สึกดีๆ ของทั้งคู่ กลับคืนมาได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อคอนเนลล์ เอ่ยปากขอโทษที่เขาไม่ได้ชวนเธอไปเต้นรำ เพียงเพราะกลัวเพื่อนๆ จะรู้และล้อ ซึ่งเอาเข้าจริงๆ แล้ว คอนเนลล์ ได้มารู้ทีหลังว่า ทุกคนในโรงเรียน ต่างรู้เรื่องความสัมพันธ์ลับๆ ของเขากับแมรีแอนน์อยู่แล้ว และไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร หรือควรจะหยิบมาล้อเลียนด้วย
ผมอ่านถึงตอนนี้แล้วอดคิดไม่ได้ว่า บางครั้ง เรามักกลัวคำพูดของคนอื่น จนไม่กล้าทำในสิ่งที่ใจอยากทำ ก่อนจะมาเสียใจในภายหลัง เมื่อได้รับรู้ว่า ที่จริงแล้ว ไม่มีใครสนใจหรอกว่าเราจะทำอะไร ตราบเท่าที่เรื่องนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเสียหายให้แก่พวกเขา
ความรักของแมรีแอนน์และคอนเนลล์ ไม่ได้เป็นเทพนิยายที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งในตอนนั้น ทั้งคู่มีเรื่องให้เข้าใจผิด จนต้องเลิกรากันไปอีก แต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนต่อกันเสมอ จนกระทั่งในช่วงท้ายของเรื่อง เมื่อทั้งคู่ ต่างสะสางปมที่ติดค้างอยู่ในใจลงได้ และกลับมาคบกันอย่างจริงจังในที่สุด
สรุปเรื่องย่อแบบนี้ อาจทำให้หลายคนคิดว่า หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ต่างจากนิยายโรแมนซ์ทั่วไป เดี๋ยวรักกันเดี๋ยวเลิกกัน สุดท้ายก็กลับมารักกัน แต่ไม่ใช่เลยครับ แซลลี รูนีย์ ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นนักเขียนที่มีความโดดเด่นในเรื่องความสัมพันธ์ของผู้คน ทำให้นิยายที่มีพล็อตน้ำเน่า กลายเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ ที่มีแง่มุมทางจิตวิทยาอย่างน่าสนใจ
ทั้งแมรีแอนน์และคอนเนลล์ ต่างก็เป็นตัวละครที่มีปัญหาในเรื่อง self-esteem หรือการเห็นคุณค่าในตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน
ในส่วนของคอนเนลล์ แม้ว่าเขาจะมีจิตใจดี สติปัญญาดี เป็นที่รักของเพื่อนๆ แต่ลึกๆแล้ว คอนเนลล์ยังคิดว่าตัวเองมีฐานะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับแมรีแอนน์ ไม่คู่ควรที่จะคบกับเธอ ทำให้เขาตัดสินใจเลิกกับเธออยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น จิตใจของคอนเนลล์ยิ่งตกต่ำลง จนป่วยด้วยโรคซึมเศร้าขั้นร้ายแรง
ขณะที่แมรีแอนน์ มีปมเรื่องการถูกทำร้ายโดยคนในครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก จนเธอฝังใจว่า ตัวเองไม่มีค่า และสมควรที่จะถูกกระทำด้วยความรุนแรง โดยเฉพาะจากผู้ชายที่กำลังคบกับเธอ และนั่นทำให้แมรีแอนน์ ที่เคยเป็นสาวฮอทในวิทยาลัย ต้องกลายเป็นผู้หญิงฉาวโฉ่ที่มีพฤติกรรมมาโซคิสต์
นักจิตวิทยาหลายคนเชื่อว่า การเห็นคุณค่าในตัวเอง ส่งผลอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของคน คนที่มี self-esteem หรือมองเห็นคุณค่าในตัวเอง จะมีความเชื่อมั่น มีทัศนคติในเชิงบวก ซึ่งช่วยให้สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆในชีวิตได้
คอนเนลล์ เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง เมื่อเขาตัดสินใจส่งเรื่องสั้นผลงานตัวเองไปให้สำนักพิมพ์พิจารณา และได้รับการตีพิมพ์ แน่นอนว่า การที่เขาตัดสินใจมาเรียนด้านภาษา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแมรีแอนน์ แต่การตัดสินใจมุ่งสู่เส้นทางนักเขียนอย่างจริงจัง คือ การตัดสินใจของเขาล้วนๆ และเขาก็ได้รับการตอบรับที่ดีด้วย
ตอนเรียนอยู่ที่วิทยาลัยทรินิตี้ คอนเนลล์อาจรู้สึกเงอะๆ งะๆ เพราะคิดว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเขา ไม่มีใครรักและยอมรับเขาเหมือนตอนอยู่โรงเรียนในเมืองเล็กๆ แต่การได้รับการยอมรับและคำชื่นชมจากผู้คนในแวดวงนักเขียน ทำให้คอนเนลล์ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างแท้จริง
สำหรับแมรีแอนน์ อาจจะยากกว่านั้น เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนอย่างคอนเนลล์ เธอไม่ใส่ใจว่าจะมีใครยอมรับในผลงานที่เธอทำหรือไม่ สิ่งที่เธอต้องการมีแค่คนที่ยอมรับและรักเธอในแบบที่เธอเป็นจริงๆ
แมรีแอนน์ อาจเป็นสัตว์ป่าโดดเดี่ยว แต่เมื่อเธอได้รับความรักจากคอนเนลล์อย่างสม่ำเสมอ เธอจึงรู้ว่า ไม่มีใครโดดเดี่ยวตัดขาดจากคนอื่นโดยสมบูรณ์ได้หรอก เธอยอมปล่อยให้ตัวเองต้องพึ่งพาคอนเนลล์ เหมือนที่เขาต้องพึ่งพาเธอ แล้วเธอก็ยอมรับว่า ตัวตนแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบลง ผมเพิ่งจะคิดได้ว่า ทำไมแซลลี รูนีย์ ถึงตั้งชื่อนิยายเรื่องนี้ว่า Normal People
เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นลูกคุณหนูบ้านรวย เด็กหนุ่มสุดป๊อป หญิงสาวที่มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ หรือผู้ชายจิตตก ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา ที่ต้องการความรักและการยอมรับจากคนอื่น โหยหาอ้อมกอดและคำชื่นชมจากคนอื่น และเหนือสิ่งอื่นใด คาดหวังจะให้คนอื่นมองเห็นคุณค่า เพื่อที่เราจะได้ตระหนักถึงคุณค่าในตัวเอง
และนี่คือ เรื่องราวของผู้คนธรรมดา