- การเติบโตของรายการเล็กๆ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนพูดได้ว่า หนังพาไปได้เปลี่ยนผ่านจากวัยใสสู่วัยผู้ใหญ่ที่กล้าคิดกล้าตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะคำถามที่คนทั่วไปอาจไม่คิดว่าจะอยู่ในรายการท่องเที่ยว อย่างแนวคิดทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปรัชญาการใช้ชีวิต…
- The Potential ชวนคู่หูนักเดินทาง ‘บอล-ยอด’ มาถ่ายทอดมุมมองที่กรองจากประสบการณ์การเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกของทั้งคู่
- เมื่อมุมมองเรากว้างขึ้น มันก็ทำให้เราสนุกที่จะดูโลก ดูมนุษย์ และกลับมาดูตัวเอง ความคิดเราก็น่าจะเปลี่ยนไป มองโลกอย่างเข้าใจความแตกต่างหลากหลาย เรารับมันได้มากขึ้น
“ถ้าจะบอกว่าประเทศไหนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด คิดว่าแทบทุกประเทศมีตัวอย่างให้เรามองเห็น และตาสว่างมากขึ้น อาจจะไม่ตาสว่างที่เป็นจริงแท้นะ แต่ทำให้เราสวมแว่นแล้วทำให้การมองของเราทั้งมองตัวเอง มองเขา อย่างเข้าใจคนที่คิดต่างจากเราได้เยอะขึ้น”
มุมมองที่กรองจากประสบการณ์การเดินทางไปทั่วทุกมุมโลกของ บอล – ทายาท เดชเสถียร และ ยอด – พิศาล แสงจันทร์ ไม่เพียงถูกถ่ายทอดผ่านบทสนทนากับ The Potential แต่ยังสื่อสารผ่านเส้นเรื่องของรายการ ‘หนังพาไป’ ที่เดินทางมาถึงปีที่ 13
จากรายการแนววาไรตี้เชิงสารคดีท่องเที่ยว ที่พาผู้ชมเรียนรู้โลกกว้างไปกับคนรุ่นใหม่คาแรคเตอร์ใสซื่อ โดยมีจุดเด่นคือการเล่าเรื่องอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับการตั้งคำถามชวนคิด วันนี้คู่หู ‘บอล-ยอด’ ได้พาตัวเองและรายการเล็กๆ ของเขาเติบโตพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนพูดได้ว่า หนังพาไปได้เปลี่ยนผ่านจากวัยใสสู่วัยผู้ใหญ่ที่กล้าคิดกล้าตั้งคำถามมากขึ้น โดยเฉพาะคำถามที่คนทั่วไปอาจไม่คิดว่าจะอยู่ในรายการท่องเที่ยว อย่างแนวคิดทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปรัชญาการใช้ชีวิต…
ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นของหนังพาไป มุมมองของทั้งสองคนตอนนั้นเป็นอย่างไร?
ยอด: ตอนนั้นมุมมองของเราเป็นแบบวัยรุ่น จะเรียกว่าแคบก็แคบนะถ้าเทียบกับตอนนี้ แต่มันก็มีความกล้า และมีอุดมการณ์ วัยรุ่นทุกคนก็น่าจะเคยผ่านช่วงนั้นของชีวิตมา แต่การมองโลกก็อาจจะยังมองไม่ละเอียด ไม่กว้างพอ มันก็ส่งผลต่อเรื่องการตัดสินใจ การยอมรับในความหลากหลาย ความแตกต่าง แต่จริงๆ แล้ว ก็เป็นเรื่องดีที่เรายังมีความกล้าและบ้าบิ่น
บอล: คล้ายกันครับ เมื่อก่อนเรายังเด็ก มองโลกแล้วรู้สึกว่าโลกมันกว้างมาก ทำอะไรได้เยอะแยะ แล้วเราก็ฝันว่าโลกในอุดมคติที่ดีมันก็มี แต่พอตอนนี้เราโตขึ้น มุมมองต่อโลกก็เปลี่ยนไป เราค้นพบว่าโลกที่มันดีอาจจะไม่มีอยู่จริง มันมีแค่ดีมากดีน้อย ตอนนั้นเรามีความกล้า แต่ยังขาดความรอบคอบ ขาดความเข้าใจคนอื่น
ยอด: การเป็นวัยรุ่นเมื่อก่อนเราคิดว่าโลกคือความยุติธรรม บาปบุญคุณโทษขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้คน ความยุติธรรมเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนโลกนี้ และทำให้โลกนี้น่าอยู่ แต่ตอนนี้กาลเวลาก็ได้สอนเรา สังคมได้สอนเรา ว่ามันไม่ใช่
จุดที่ทำให้ความกล้ากับความฝันมีพลังพอที่จะลงมือสร้างหนังพาไปคืออะไร?
ยอด: มันอาจจะเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ไม่รู้จะอธิบายได้หมดหรือเปล่า เรารู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสีย เพราะต้นทุนเราน้อย หมายถึงว่า ตอนนั้นก็วัยรุ่นคนหนึ่งที่อยากออกผจญภัย อยากจะดูโลก ก็ลงมือทำ ทำเลย ตื่นเช้ามาวันนี้ไม่มีภาระหน้าที่อะไรนี่หว่า ก็ออกไปเลย ไปทำ ตัวขับเคลื่อนก็อาจจะเพราะเรามองโลกน้อย พอเรามองโลกน้อยแล้วมันมีความกล้า กล้าคิดที่จะเปลี่ยนโลก โลกนี้เปลี่ยนได้
การเริ่มต้นมักจะยากเสมอ ตอนนั้นยากขนาดไหน?
บอล: ผมฝันถึงการเดินทางไปต่างประเทศ ตอนนั้นมีฝันเรื่องอยากทำหนัง สองฝันนี้รวมกันมันก็อยู่ในหนังพาไป เพราะหนังพาไปเป็นองค์ประกอบรวมของความฝันของผม จึงมีพลังที่อยากจะทำเยอะ แต่ว่ารอบๆ ตัวไม่มีใครเชื่อในความฝันเรา รวมทั้งตัวเราเองในบางเวลาด้วย เรารู้สึกลังเลว่าเราจะไปทางนี้จริงหรือ เพราะยุคนั้นมันไม่ได้ง่าย ทั้งช่องทางการสื่อสารความฝันของเรา ทำออกมาแล้วไปฉายที่ไหน เดี๋ยวนี้ยังมียูทูบ มีโซเชียลมีเดียที่เราปล่อยของได้เลยไปถึงผู้ชม แต่ยุคนั้นมันไม่มีช่องทาง การจะออกอากาศไปถึงผู้ชมมันต้องผ่านสถานีโทรทัศน์ ซึ่งแค่นี้ก็ยากแล้ว ยังไม่ต้องนับเรื่องความฝันที่จะไปต่างประเทศได้ง่ายๆ ยุคนั้นยังไม่มี Lowcost Airline การไปต่างประเทศต้องใช้เงินเยอะ ขอวีซ่าทำอย่างไร เราก็ยังไม่มีงานทำ ทุกอย่างมันยากไปหมดเลย ก็เลยรู้สึกว่าไม่มีใครเชื่อในความฝันเราหรอก
ตอนกำลังนั่งตัดต่อซีซั่นหนึ่ง ผมเปิดให้แม่ดู ถามว่าสนุกไหมแม่ แม่ก็นั่งดู แล้วแม่ก็บอกว่ามันสนุกเนาะ แต่ใครจะดู มันก็เป็นคำถามที่ เออจริง จริงมากเลยในสายตาคนอื่น ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจคุยกับพี่ยอดว่าเราเลือกที่จะลองทำสิ่งที่เราเชื่อก่อน ถ้ามันทำไม่ได้ค่อยว่ากัน แต่ถ้าเราทิ้งมันไปเลย เราอาจจะสงสัยไปจนตายว่าถ้าวันนั้นเราไม่หยุด มันจะเป็นจริงหรือเปล่า ก็เลยลองเสี่ยง ลองดื้อตาใสกับพ่อแม่ กับครอบครัว แล้วมันก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง แต่มันก็ใช้เวลานานมาก นานจนบางทีเราก็ท้อ ก็เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก เพราะเงินเราก็ไม่มี แทนที่เราจะได้ดูพ่อแม่แล้ว พ่อแม่กลับยังต้องดูแลเรา เราก็ต้องหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำ ในขณะที่เพื่อนๆ ตอนนั้นก็เริ่มเป็นวิศวกร เริ่มมีเงินเดือนเยอะแยะ ดูแลตัวเองได้ เราไม่ได้เลย ตอนนั้นก็เป็นความรู้สึกว่าเรากำลังทำอะไรอยู่วะ แล้วฝันมันจะเป็นจริงไหม
ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็น Loser หรือเปล่า?
บอล: เรารู้สึกว่าเป็น Loser แต่เราเชื่อในความฝันเรามาก แต่ฝันของเรามันเป็นสิ่งที่จุกอก ที่บอกใครไม่ได้ เพราะเราเคยบอกแล้วไม่มีใครเชื่อฝันเราสักคน ซึ่งมันก็ไม่น่าเชื่อแหละในความเป็นจริง หน้าตาแบบเรา ศักยภาพแบบเรา การเล่าเรื่องแบบนั้นในยุคนั้น ไม่มีใครเชื่อ
ขี้แพ้ไหม มันขี้แพ้นะ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงขับคือ เราจะทำให้ดู เราเชื่อในงานเรา แต่เอาจริงๆ มันก็ยากนะ เราก็กังวลนะว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่า (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นก็จัดการด้วยการให้เดดไลน์กับตัวเองว่าจะพิสูจน์ความฝันของเราเป็นระยะเวลากี่ปี ถ้าถึงตรงนี้แล้วถือว่าเราทำเต็มที่แล้ว เราก็ยอมปล่อยมันไปโดยไม่เสียดาย ก็เป็นความรู้สึกที่ค่อยยังชั่วหน่อย ว่ามันมีลิมิต มี KPI ว่าแค่ไหน
เดดไลน์คือกี่ปี?
บอล: ตั้งไว้ว่าถ้าอายุถึง 30 แล้วไม่สำเร็จก็พอ ตอนนั้นอายุประมาณ 20 ก็ได้มาเป็นรายการตอนที่อายุ 27 ปี ก็คือใกล้ถึงเดดไลน์แล้ว จริงๆ ฝันตอนแรกของผมใน 10 ปี คือฝันอยากเป็นผู้กำกับ อยากทำหนังใหญ่ แต่ว่ามันค่อยๆ เบนมาเป็นหนังพาไป จากการทำหนังสั้นแล้วไปประกวด แล้วไปถ่ายการเดินทางมาจนเป็นสารคดี ฝันก็เลยเปลี่ยนแปลง ถามว่าช่วงปลายเดดไลน์เราเร่งมากขึ้นไหม เราไม่ได้เร่ง แต่ว่าฝันมันค่อยๆ ขยับไป
แล้วพอใกล้เวลา กลับมีความรู้สึกว่าอยากทำอะไรต้องรีบทำแล้ว เพราะถ้าพ้น 10 ปี ผมต้องกลับไปทำงานประจำ อาจไปเป็นวิศวกร เข้าโรงงาน ซึ่งเป็นชีวิตที่ไม่เหมาะกับผม ช่วงหลังๆ เราไม่ได้มองเดดไลน์เราแค่มีโอกาสอะไรเข้ามาเราทำหมดเลย เหมือนเราใกล้ตาย
เมื่อหนังพาไปเกิดขึ้นแล้ว จากที่เคยมองโลกไม่กว้างพอ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
ยอด: พอมองย้อนไป ตอนนั้นเรามองโลกไม่ออก เรามองมันไม่กว้างพอ เพราะเราเคยเจอแค่เหตุการณ์แค่นี้ เราก็จะมองได้แค่กรอบตรงนั้น แต่หลังจากเราได้เดินทางไปที่นู่นที่นี่ ไปต่างประเทศ แล้วก็ได้ทำหนังพาไป กรอบนั้นมันก็ถูกขยายให้กว้างขึ้น มันก็ทำให้เรา อ๋อ มันมีเรื่องอย่างนี้ อ๋อ มันเป็นแบบนี้เหรอ ไอ้สิ่งที่เราเคยฟันธง เรื่องพวกนี้มันไม่ใช่แฮะ บางที่เขาไม่เป็นแบบนี้ บางที่ในโลกเขาก็ไม่ใช่ มนุษย์บางคนก็ไม่ได้คิดแบบนี้นี่นา
เมื่อมุมมองเรากว้างขึ้น มันก็ทำให้เราสนุกที่จะดูโลก ดูมนุษย์ และกลับมาดูตัวเอง ความคิดเราก็น่าจะเปลี่ยนไป มองโลกอย่างเข้าใจความแตกต่างหลากหลาย เรารับมันได้มากขึ้น
เช่นการที่เราไม่ต้องมาบอกว่าต้องรักชาตินะ แต่ก่อนเมื่อมีคนบอกว่ารักชาติสิ เราก็เออรัก เริ่มที่ตัวเอง มีจิตสำนึก มันไม่ใช่ เพราะที่แท้เขาไม่ได้ทำอะไรให้เรา ถึงต้องให้มาเริ่มที่เรา แล้วก็กดหัวพวกเราต่อไป เราก็จะเห็นเลยว่าโลกมันเป็นแบบนี้นี่หว่า การที่ใครบางคนเชื่อสนิทใจว่าเราคือชาติไทยที่ยิ่งใหญ่ แล้วมีความสุขที่สุดในโลก พอเราได้มองโลกกว้างๆ ก็น่าเห็นใจพวกเขานะ รู้สึกได้ถึงความทุเรศของการปกครองหรือการถูกทำให้คิดแบบนี้
บอล: ผมจะไปอยู่ที่หนึ่งๆ นานประมาณหนึ่ง และไปในแบบที่ไม่ได้ไปเก็บที่ท่องเที่ยวหลัก ก็ไปดูว่าคนเขาใช้ชีวิตอย่างไร พอไปเจอโจทย์ที่หลากหลายขึ้น ก็พบว่าโลกนี้มีความหลากหลายในแบบที่ตกใจว่าเราเคยเชื่อว่าสังคมที่เราเติบโตมามันดีที่สุดไปได้อย่างไร
อย่างเรื่องความหลากหลายทางเพศ เราก็รู้สึกว่าเมืองไทยก็ยอมรับความหลากหลายทางเพศได้ประมาณหนึ่ง จากข้อถกเถียงที่มักจะบอกว่าแค่นี้ก็ดีหนักหนาแล้ว จะเอาอะไรอีก เราก็เชื่อในข้อถกเถียงของสังคมแคบๆ ของเรา แต่พอไปอยู่ไต้หวัน แค่การที่เอาตัวเราไปอยู่ ไม่ต้องไปเจอกับการต่อสู้เรื่องความหลากหลายทางความคิดใดๆ ก็ตาม แต่บรรยากาศของเมืองที่ยอมรับในความหลากหลายมันทำให้เรารู้สึกสบายมากขึ้น และเราเห็นความเป็นตัวของตัวเองของผู้คนในสังคม ทุกคนไม่มีมานั่งมองหรือเหยียดกัน มันเป็นความรู้สึกที่เราไม่เคยสัมผัสในสังคมของเรา พอไปเราก็ตกใจว่าเรารู้สึกแบบนี้ได้ด้วยเหรอ มันมีความรู้สึกแบบนี้บนโลกได้ด้วยเหรอ
หรือบางทีเราไปอยู่ในสังคมที่เคร่งครัดบางกฎมากๆ พอเรารู้เราก็ไม่ Make Sense หรอก คุณทนกันมาได้ไง ทำไมถึงเชื่ออะไรแบบนั้น พอเราไปคุยกับเขา ก็มีคำอธิบายแบบเขา ซึ่งทำให้เรามองย้อนกลับมาว่า การที่ต่างชาติมองสังคมเราว่าอยู่กันแบบนี้ได้อย่างไร กฎระเบียบบางอย่างหรือความเชื่อบางอย่างที่เรามองเขาเป็นตัวประหลาด แต่เราเองก็เป็นตัวประหลาดในสังคมโลกที่เขาเสรีกว่าเรา พอไปเจอแบบนี้มันน่าเจ็บปวดว่าเราโตมาในสังคมแบบนี้ที่เราเชื่อแบบนี้ได้อย่างไร
ก็ต้องขอบคุณที่ได้ไปเห็นโลก ความอหังการของเราในฐานะการเป็นคนไทย ความกล้าหาญในการเป็นวัยรุ่นของเรามันถูกทุบทำลายทุกครั้งที่เราไปเหยียบดินแดนใหม่ๆ
พวกผมมักจะถูกด่าว่าชอบตำหนิประเทศตัวเอง แต่เพราะเราไปเจอแล้วเจ็บปวดจากความเชื่อเดิมที่เราโตมา เราค้นพบว่าเราดีกว่านี้ได้จริงๆ นะ แต่ในขณะที่เราบอกว่าดีขึ้นได้จริงๆ นะ ก็มีคนอีกจำนวนหนึ่งบอกว่าไม่ต้องหรอก ไม่ต้องพูดถึง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเทรนด์ของสังคมตอนนี้เปิดรับเรื่องพวกนี้ได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้ถกเถียงกันมากขึ้น คนมีโอกาสได้ไปเห็นโลกกว้างกันง่ายขึ้นมาก
ประเทศไหนที่ทำให้รู้สึกว่าได้เรียนรู้อะไรมากมาย?
ยอด: ทุกประเทศเลย แค่ได้ออกไปสัมผัสสังคมที่แตกต่างกัน แทบจะทุกประเทศเลย ต่อให้เป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบที่เผด็จการยิ่งกว่าเรา เราก็จะยิ่งเห็นตัวอย่างที่ทำให้เรารู้สึกว่าสุดยอดเลย นี่เราผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาได้อย่างไร และเข้าใจบางคนที่บอกว่าเมืองไทยดีอยู่แล้ว เพราะเขาเคยปากกัดตีบถีบมาในช่วงเวลาแบบนั้น ถ้าย้อนไปในยุคของเขา เขาเคยถูกปกครองมาในแบบนั้น แล้วมันพูดอะไรไม่ได้มากกว่านั้นอีก ทำอะไรไม่ได้มากกว่าที่ปัจจุบันเราทำได้ เขาถึงบอกว่าปัจจุบันประเทศไทยก็ดีอยู่แล้ว ก็เข้าใจเขาได้เลย เพราะเราเคยเห็นประเทศที่ยิ่งกว่าเรา
ถ้าจะบอกว่าประเทศไหนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด คิดว่าแทบทุกประเทศมีตัวอย่างให้เรามองเห็น และตาสว่างมากขึ้น อาจจะไม่ตาสว่างที่เป็นจริงแท้นะ แต่ทำให้เราสวมแว่นแล้วทำให้การมองของเราทั้งมองตัวเอง มองเขา อย่างเข้าใจคนที่คิดต่างจากเราได้เยอะขึ้น
บอล: จนถึงวันนี้มันทำให้ผมกลับมาสงสัยในตัวเองเลยนะว่า ถ้าตัวเราในอีก Multiverse หนึ่งไปถูกวางอยู่ในสังคมอื่น ในประเทศอื่นๆ วันนี้ตัวเราจะเป็นอย่างไร เราจะทำอาชีพอะไร เราจะฝันอะไร ผมพบว่าถ้ามีโลกจำลองแบบนั้น เราจะพบความจริงว่าระบบการเมืองต่างกัน ระบบสังคมต่างกัน เราจะมีชีวิตต่างออกไปจากนี้ เอาแค่ความฝัน ถ้าเราไปเกิดในอิหร่าน ความฝันของเราจะเปลี่ยนไปเลย มันจะมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่ทำให้เราทำไม่ได้แบบนี้ หรือถูกผลักดันให้ไปทำอีกแบบแล้วดีกว่าก็ได้
แล้วไอ้เวอร์ชั่นที่เราเป็นเราอยู่ทุกวันนี้ เราผ่านการโบยตีอะไรมาบ้าง หรือเราถูกปิดประตูบางอย่าง หรือมีแค่บางประตูที่เปิดโอกาสให้เราอย่างไร
มุมมองที่โตขึ้น โทนของหนังพาไปก็โตตามด้วยหรือไม่?
บอล: โตขึ้น ตอนนั้นใสๆ ตื่นเต้นกับการได้ไปเมืองนอก ได้ไปเห็นหิมะ ได้ไปเห็นโบสถ์ ไปเห็นหอไอเฟล แค่นั้นเราก็ดีใจแล้ว สิ่งที่เราเล่าคือประวัติของมัน แต่ตอนหลังอย่างที่บอกว่าเหมือนเราเข้าใจโลกมากขึ้น และตั้งคำถามมากขึ้น หรือบังเอิญหนังพาไปเลือกที่จะตั้งคำถามกับสังคมตั้งแต่ซีซั่นแรกเลย เช่น รถไฟไม่ตรงเวลา ทำไมรถเมล์เราตรงเวลาไม่ได้ ซึ่งผ่านมา 13 ปี รถเมล์ก็ยังกำหนดเวลาไม่ได้ รู้แค่ว่าใกล้มาหรือยัง แต่ยังกำหนดตารางเวลาไม่ได้อยู่ดี
พอเรามาทำซีซั่นใหม่ๆ ก็จะเจอปัญหาเดิมๆ รถเมล์ยังไม่ตรงเวลา เราเลยมาตั้งคำถามว่าทำไมมันไม่เปลี่ยนแปลงสักทีวะ สุดท้ายเราจะเลิกพูดไปเอง เพราะปัญหามันอยู่ที่เดิม จนเริ่มสงสัยว่าอะไรทำให้มันไม่เปลี่ยน
ซีซั่นหลังๆ พอมองเห็นสังคมต่างๆ เราค้นพบว่าทำไมเราตั้งคำถามขนาดนี้ องค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนก็ยังอยู่ได้วะ ทำไมผู้บริหารยังก้าวหน้าขึ้นไปเป็นผู้บริหารองค์กรและเขาก็ปลดเกษียณไปโดยไม่ต้องแก้ปัญหาที่ประชาชนตั้งคำถามเป็นสิบปีก็ได้ เพราะอะไร
เพราะอำนาจของเขาไม่ได้ยึดโยงกับเรานี่หว่า คนที่จะให้ KPI เขาได้ คือคนที่อยู่ข้างบน โครงสร้างมันกลับตาลปัตร ในขณะที่เขาต้องทำงานซัพพอร์ตเรา ประชาชนยกมือถาม เขาต้องถามแล้วว่าประชาชนมีอะไรเดือดร้อน รถเมล์ไม่ตรงเวลามีอะไรแก้ได้บ้าง แต่นี่สิบกว่าปีปัญหายังอยู่เหมือนเดิม เราจะยังตื่นเต้นกับหอไอเฟลแบบเดิมไม่ได้แล้ว สังคมเรามันวิกฤตแล้ว ซีซั่นหลังเราจึงหนักขึ้น ผู้ชมจำนวนหนึ่งก็เลือกที่จะไม่เดินทางต่อกับเรา เขาอาจจะตกใจกับเรา
ยอด: แต่ก็มีคนที่โตไปกับเราเยอะ รายการหนึ่งอายุสิบกว่าปีจะไม่โตก็ไม่ได้ มันต้องไปถึงจุดที่เดินทางแล้วเห็นโลกใหม่ๆ ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ โต ตั้งคำถามกัน มันก็ดีนะ เหมือนเป็นคอมมูนิตี้ที่อบอุ่น
เห็นการเติบโตไปพร้อมกับเราอย่างไรบ้าง?
ยอด: อย่างเรื่องถุงพลาสติก ซีซั่นแรกๆ เราไปเมียนมา ก็ตื่นเต้นกับเรื่องถุงพลาสติกเขาไม่มีใช้ เขาใช้ใบตอง ก็ตั้งคำถามเรื่องการแยกขยะ ปัญหาเรื่องถุงพลาสติก แล้วคอมเมนต์ที่ออกมาคือบางคนตั้งคำถามว่าการไม่แจกถุงมันไม่ใช่เรื่องดี เพราะคนที่ได้ประโยชน์คือเจ้าของห้าง คือนายทุน แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ เรากลับมาเล่าเรื่องนี้อีก หลายคนเข้าใจและเติบโตว่าการไม่ใช้ถุงพลาสติกมันก็ดีนะ มันช่วยโลกอย่างไร มันไปสู่คำถามว่าเงินของนายทุนที่ลดจากไม่แจกถุงพลาสติกมันจะถูกเอามาใช้อะไร มันควรจะต้องเอาไปทำในส่วนไหน หรือเอาไปพัฒนาสังคมอย่างไร คนเข้ามาถกเถียงกันได้มากขึ้น จำนวนคนที่ไม่เห็นด้วยในช่วงแรกๆ ที่เราพูดเรื่องถุงพลาสติกจะมีเยอะ แต่เวลาผ่านไปมีคนเห็นด้วยกันมากขึ้น
หนังพาไปไม่ได้แค่พาเที่ยว แต่พาไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ คือความตั้งใจของทั้งสองคน?
บอล: จริงๆ เราไม่ได้วางเป็นโจทย์ ตอนแรกเราไปตามความสนใจของตัวเอง รายการก็เลยออกมาเป็นโทนแบบนี้มั้ง
ยอด: เราไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่เราสงสัยน่าจะเป็นความสงสัยร่วมของคนในชาติ เราจะไม่เห็นการสงสัยอย่างนี้ในรายการท่องเที่ยวอื่นๆ เลย
บอล: ดังนั้นพอรายการมาถึงซีซั่นหลังๆ โทนของรายการก็เลยเปลี่ยนไปตามความสนใจของพวกเรา มันไม่ได้มีฟอร์แมทที่ล็อกไว้ชัดเจน เพราะถ้าเราต้องไปเล่าสิ่งที่เราไม่อิน มันจะไม่สนุก เคยพยายามแล้ว
สิ่งที่หนังพาไปกำลังเล่าเป็นเสมือนแพลตฟอร์มเผยแพร่ความรู้?
ยอด: ใช่ เราเป็นรายการที่มีสาระอยู่แล้ว (หัวเราะ) จริงๆ อาจจะไม่ใช่รายการเชิงความรู้แบบที่ต้องหาข้อเท็จจริง แต่เป็นการตั้งคำถามมากกว่า อย่างเรื่องนี้มันควรจะโยนคำถามให้ร่วมกันถกเถียงหรือหาทางออกให้สังคม
บอล: แม้กระทั่งข้อมูลดิบที่เอามาประกอบ ผมก็พยายามใส่เข้าไป อาจเพราะเราโตมากับรูปแบบรายการโทรทัศน์ ในยุคนั้นการออกทีวีเรารู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นการเล่าเรื่องก็ต้องมีสาระ มีคุณค่า ถ้ายังไม่มีเราก็ต้องไปหาวิธีเล่ามาให้ได้ มันต่างจากคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียเดี๋ยวนี้ ที่อาจไม่ต้องกังวลเรื่องสาระ แค่สร้างความบันเทิงก็ไปได้ แต่ในยุคที่เราโตมาอาจจะถูกเทรนมาด้วยความคิดแบบนี้
มองว่าการตั้งคำถามในสังคมไทย ณ ปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้าง?
ยอด: ดีขึ้นเยอะเลย ข้อดีของโลกโซเชียลคือทำให้ความคิดเล็กๆ หรือความเห็นเล็กๆ มันถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นใหญ่ หรือทำให้น่าสนใจมากขึ้น มันมีความคิดหลากหลาย เห็นได้ชัดว่าคนในสังคมไม่เป็นจำเป็นต้องมีความคิดเห็นเดียวกัน ทุกคนมีเสียงเท่ากัน มันทำให้สนุก มีคนคิดแบบนี้ด้วย มีมุมมองแบบนี้ด้วยแฮะ ตามอ่านไปก็รู้สึกดีจัง ที่โลกมันมีความหลากหลายทางความคิด ผู้คนมีความหลากหลายขึ้นเยอะจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องเห็นตามสิ่งเหล่านี้ที่เป็นมวลหมู่ Mass ก็ได้นี่นา
บอล: ผมมองว่าช่วงนี้เป็นช่วงความอลหม่าน หลังจากที่ความเห็นหรือคำถามมันไปถึงคนได้กว้างขึ้น สังคมเดิมกำลังตกใจ แล้วหนังพาไปจะโยนคำถามเข้าไปเยอะ และเริ่มเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้น แนวคิดทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปรัชญาการใช้ชีวิต ทำให้ผมค้นพบแรงกระแทกบางอย่างที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยมี เมื่อก่อนเราโยนคำถามเรื่องรถเมล์ รถไฟ ไม่ตรงเวลา ทางเท้าแย่ ระบบจักรยาน ฯลฯ เรารู้สึกว่าคนที่จะมาต้านเราคือหน่วยงานรัฐ แต่พอมายุคนี้เป็นยุคที่อลหม่านทางความคิด โครงสร้างสังคมกำลังถูกทำให้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เวลาผมตั้งคำถามไป จะไม่ถูกโต้ด้วยเหตุผลจากอีกฟากแล้ว จะถูกโต้ด้วยคำว่า “หุบปาก” หรือ “อย่าพูด” ซึ่งจริงๆ ผมชอบมากเลยถ้าเกิดเจอคำตอบหรือเหตุผลอีกด้านมาถกเถียงกัน มันทำให้เราเติบโต และเราพร้อมจะเปลี่ยนความเชื่อของเราด้วยนะถ้ามันมีเหตุผล แต่สิ่งที่กำลังปะทะเราตอนนี้มันทำให้รู้สึกสนุกน้อยลง คนไม่เถียงด้วยเหตุผล แค่พยายามเอามือมาปิดปากด้วยวิธีการต่างๆ
ยอด: ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องดีนะ เพราะถ้าใครพูดว่าไม่ควรพูดหรือหุบปาก เขาจะโดนคนตั้งคำถามว่าทำไม ก็จะเห็นได้ชัดว่าเขาก็รู้นี่นาว่าเรื่องอะไรที่บอกว่าห้ามพูด ก็เลยกลายเป็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะรับมือด้วยวิธีการเดิมๆ ไม่ได้อีกแล้ว ต้องรับมือด้วยวิธีการใหม่ๆ หาเหตุผลมาสนับสนุน แล้วเราจะเริ่มเห็นตรรกะแปลกๆ มากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็คือมีพื้นที่สำหรับคนที่คิดเห็นแบบคนส่วนน้อย
ถ้า 13 ปีก่อน หนังพาไปคือวัยรุ่น ตอนนี้หนังพาไปคืออะไร?
ยอด: ตอนนี้เป็นคนเฒ่า เพราะมันเร็วจริงๆ นะ เวลาในโลกโซเชียลยุคสมัยนี้มันเร็ว จนคนยุคเก่าตกใจและรับมือไม่ทัน กว่าเราจะเห็นคนหนึ่งคนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านใดด้านหนึ่งในรุ่นเรา เขาต้องสั่งสมประสบการณ์ ถ้าเราอยากรู้ก็ต้องไปเรียนรู้ ฝากตัวเป็นศิษย์ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เพราะการได้มาซึ่งความรู้มันง่ายแล้ว และความรู้นั้นมันใช้ได้กับยุคนี้ไหมก็ถูกตั้งคำถามและสั่นคลอนจากโซเชียล
เราเลยรู้สึกว่าหนังพาไปแก่เร็ว เริ่มเป็นผู้เฒ่าแล้ว และอาจจะมีสัญญาณบางอย่างบอกว่า เราไม่ใช่ผู้ที่ให้แรงบันดาลใจสังคมได้อีกต่อไป เราอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่มาก็คิดถึงกัน หรือเคลื่อนไหวเมื่อจำเป็น เป็นแรงสนับสนุนให้คนรุ่นต่อไป
บอล: ตอนนี้รู้สึกว่าความตั้งใจแรกที่ทำหนังพาไปเมื่อ 13 ปีที่แล้ว ว่าเราอยากตั้งคำถามกับสังคมมากในทุกเรื่อง แต่พอมายุคนี้ผมคิดว่ามีคนตื่นรู้เยอะแยะ เด็กรุ่นใหม่ๆ ตั้งคำถามเยอะมาก และมีพลังยิ่งกว่าเราอีกในการสร้างสรรค์การสื่อสาร ก็เลยคิดว่าต่อให้เราเฒ่าแล้วก็สบายใจอยู่ประมาณหนึ่ง เพราะสังคมก็อาจจะดีขึ้นแล้วโดยที่ไม่มีเราก็ได้
ในมุมของคนเฒ่า หนังพาไปจะเดินทางไปกับสังคมไทยอย่างไรต่อ?
ยอด: ถ้าอีก 50 ปี ดูหนังพาไปแล้วยังรู้สึกกับคำถามของพวกเรา ถือว่าสังคมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เป็นความเศร้าอย่างหนึ่ง เราคงเป็นบันไดให้คนในสังคมและคนรุ่นต่อไปเหยียบขึ้นไปในสิ่งที่ดีกว่า
บอล: ตอนนี้รู้สึกว่าการทำหนังพาไป แรงขับมันเปลี่ยนไปจากช่วงแรก เมื่อก่อนเราอยากทำอีก อยากเที่ยวอีก อยากเห็นโลกอีก ตอนนี้พอเราอายุขนาดนี้มันเหมือนเราแค่อยากเล่าสิ่งที่เราเชื่อ พอเราถอดหัวใจออกมาจากชื่อเสียง จากยอดวิว เราสบายใจขึ้นเยอะเลย ก็เราสะดวกแบบนี้