- หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เด็กคนหนึ่งยืนหยัดเพื่อตัวเขาเองได้ คือ การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-value) เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะสามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ เช่น ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราทำ และสิ่งที่เรารัก
- การมองเห็นคุณค่าในตัวเองไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากแต่ก็ต้องได้รับการสร้างและพัฒนา โดยต้องได้รับความรัก การช่วยเหลือ การสอน และการมีแบบอย่างที่ดีจากผู้เลี้ยงดูหลัก ‘พ่อแม่’ หรือสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ
- พ่อแม่เป็นบุคคลแรกในชีวิตของลูกที่จะช่วยเติมเต็มการมองเห็นคุณค่าตัวเองในขั้นแรกสุด โดยการรักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานทางกาย ในวันที่ลูกยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
เด็กๆ ที่เติบโตขึ้นบนโลกที่เต็มไปด้วยความสับสนอลหม่าน หากพวกเขาสามารถรักษาใจของเขาให้เข้มแข็งและมั่นคงเพียงพอ เขาจะสามารถเติบโตต่อไปเป็นตัวเองที่มีความสุขได้ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในการทำให้เด็กคนหนึ่งยืนหยัดเพื่อตัวเขาเองได้ คือ ‘การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง’
การมองเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self-value) หมายถึง บุคคลรับรู้ถึงการมีคุณค่าในตัวเอง ทำให้ตัวเองเชื่อว่า “ตนนั้นมีคุณค่า”
ความสำคัญของการมองเห็นคุณค่าในตัวเอง
- เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะยอมรับในตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจในชีวิต
- เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะสามารถยืนหยัดเพื่อตัวเองได้ เช่น ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราทำ และสิ่งที่เรารัก
- เมื่อเรารับรู้ว่า ‘ตัวเรานั้นมีคุณค่า’ เราจะไตร่ตรองก่อนที่จะทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น ยิ่งสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราจะไม่อยากทำมัน เพราะเรารู้ว่าตัวเรานั้นมีค่ามากพอที่จะไม่ไปทำสิ่งที่ไม่ดี
- คุณค่าที่เรารับรู้เกิดจากภายใน ทำให้เมื่อภายนอกมากระทบเรา เราจะไม่หวั่นไหวต่อการกระทบนั้น เช่น ถ้าเรารับรู้ว่า เรามีความสามารถ และเราสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง เมื่อคนมาบอกเราว่า “ไอ้ขี้แพ้” “ไอ้คนไม่เอาไหน” เราจะรู้สึกว่าคำพูดนั้นไม่เป็นความจริง และไม่ควรค่าพอจะเอาเก็บมาคิดหรือใส่ใจ
- ไม่เพียงแค่ตัวเราที่รับคุณค่าในตัวเอง แต่เรารับรู้ว่าผู้อื่นสามารถมองเห็นคุณค่าในตัวเราเช่นกัน ทำให้เราอยากทำสิ่งดีๆ เพื่อส่วนรวมอีกด้วย
- เมื่อรับรู้ถึงคุณค่าภายในตัวเองแล้ว การรับรู้จะแผ่ขยายไปสู่การรับรู้ถึงคุณค่าของผู้อื่นเช่นกัน
การมองเห็นคุณค่าในตัวเองไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากแต่ก็ต้องได้รับการสร้างและพัฒนา โดยต้องได้รับความรัก การช่วยเหลือ การสอน และการมีแบบอย่างที่ดีจากผู้เลี้ยงดูหลัก ในที่นี้ คือ ‘พ่อแม่’ หรือ ในบางครอบครัวอาจจะเป็นสมาชิกในครอบครัวท่านอื่นๆ เช่น คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณลุงคุณป้า เป็นต้น
แนวทางการสร้างการมองเห็นคุณค่าในตัวเองให้กับเด็กๆ
ขั้นที่ 1 ให้ความรัก ให้เวลาคุณภาพ ให้การตอบสนอง ในเด็กเเรกเกิด
‘การมองเห็นในคุณค่าในตัวเองต้องเริ่มจาก ผู้อื่นให้ความสำคัญและตอบสนองต่อความต้องการของเขา’
พ่อแม่เป็นบุคคลแรกในชีวิตของลูกที่จะช่วยเติมเต็มในขั้นแรกสุด โดยการรักลูกอย่างไม่มีเงื่อนไข ยอมรับเขาในแบบที่เขาเป็น ตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐานทางกาย ในวันที่ลูกยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ขั้นที่ 2 สอนเด็กช่วยเหลือตัวเอง
‘การมองเห็นคุณค่าในตัวเองพัฒนาได้จาก ผู้อื่นยอมรับในสิ่งที่เขาทำ’
เมื่อเด็กๆ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ดี พวกเขาจะสามารถพัฒนาการรับรู้ความสามารถในตนเอง และการเป็นที่ยอมรับของสังคม
ขั้นที่ 3 สอนเด็กดูแลข้าวของเครื่องใช้ของตนเองและพื้นที่ที่ตนใช้
เด็กๆ ที่ดูร่างกายของตัวเองพอสมควร เราจะมอบหมายให้เขาดูแลข้าวของเครื่องใช้ (Belongings) และพื้นที่ที่ตนเข้าไปใช้งานได้ เช่น
เมื่อเล่นของเล่นเสร็จ ให้เขาเก็บของเล่นด้วยตนเอง
เมื่อกินข้าวเสร็จ นำจานไปวางในอ่าง แล้วกลับมาเช็ดโต๊ะบริเวณที่เขากิน
เมื่อกลับมาจากโรงเรียน นำของใช้ในกระเป๋าออกมาดูแล จะซัก จะทิ้ง จะจัด เพื่อเตรียมสำหรับวันถัดไป
เมื่อรองเท้า-ถุงเท้าสกปรก เราสอนเขาซักได้ เป็นต้น
เพราะเมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบของๆ ตนเอง และพื้นที่ที่เขาใช้ เด็กจะเรียนรู้ว่า “ตนเองสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ และไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร” ซึ่งถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญของทุกๆ คนในสังคมก็ว่าได้
ขั้นที่ 4 สอนการดูแลส่วนรวม โดยเริ่มจากงานบ้าน
‘งานบ้าน’ ถือเป็นงานส่วนรวมงานแรกในชีวิตของเด็กเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเด็กทำงานบ้าน เขาได้ทำประโยชน์ให้กับคนที่มาใช้งานพื้นที่นั้น หรือของตรงนั้น เด็กจะรับรู้ถึงคุณค่าภายในตัวเองว่า “เขาสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้”
การมอบหมายงานบ้านให้เด็กๆ ทำ ไม่ได้มีเป้าหมายไปที่ ‘ผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ’ เช่น บ้านที่สะอาด การทำงานได้ดีเยี่ยมไม่มีที่ติ แต่เพื่อ
‘ให้เด็ก ๆ ฝึกความอดทนอดกลั้น ทำงานบ้านให้เสร็จก่อนไปเล่น’ เพื่อสอนเขาเรื่องหน้าที่และลำดับความสำคัญ
‘ให้เด็กได้ใช้ความพยายามทำสิ่งที่มีคุณค่า’ เพื่อสอนเขาเรื่องการทำให้ตนเองมีคุณค่า ต้องอาศัยความพยายามและและความอดทน
‘ให้เด็กทำในสิ่งที่เขาทำได้ เพื่อผู้อื่นบ้าง’ เพื่อดึงเขาออกจากศูนย์กลาง (Egocentrics) ทำให้เขามองเห็นและเข้าอกเข้าใจผู้อื่นบ้าง
เด็กๆ หลายคน เกิดมาเพื่อเป็นผู้ช่วยเหลือ แต่ความอยากช่วยค่อยๆ เลือนหายไป เนื่องด้วย ‘การถูกตำหนิที่ผลลัพธ์ก่อนได้รับการชื่นชมในความตั้งใจทำ’ เพราะพ่อแม่อาจจะลืมไปว่า ผลลัพธ์สำคัญน้อยกว่าความพยายาม เด็กๆ ทำไม่ได้ดี เขาพัฒนาได้ แต่ถ้าเราห้ามเขาทำ บ่นที่เขาทำไม่ได้ดังความคาดหวังของเรา เด็กจะไม่อยากทำมันอีก นานวันไป ก็กลายเป็น ‘เขาไม่ทำมันดี น่าจะดีที่สุด’ เพราะเขาไม่อยากถูกบ่นหรือตำหนิ
ดังนั้น คุณค่าในตนเองเริ่มจาก ‘การทำให้ตนเองมีคุณค่า’ ผ่านการลงมือทำ ช่วยเหลือตัวเองไม่ให้เป็นภาระของใคร ดูแลของใช้และพื้นที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น และเมื่อดูแลตัวเองและของๆ ตัวเองได้ ก็พัฒนาไปสู่การช่วยเหลือส่วนรวม โดยเริ่มจากงานบ้านเพื่อคนที่บ้าน ซึ่งเป็นบุคคลที่เขารัก และสุดท้าย แม้จะไม่ได้เกิดกับทุกคน คือ การช่วยเหลือส่วนรวม ซึ่งเป็นบุคคลอื่นๆ ที่เด็ก อาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน
“สิ่งที่เด็กลงมือทำคือสิ่งที่มีคุณค่า เมื่อคุณค่าถูกส่งออกไปจากตัวเขาไปสู่ผู้อื่น สิ่งที่ได้รับกลับมา คือ การที่ผู้อื่นรับรู้ถึงคุณค่าในตัวเขา เป็นการยืนยันว่าเขามีคุณค่าในขั้นแรก นานวันเขาไม่จำเป็นต้องรอผู้อื่นมายืนยันคุณค่านั้นอีก เพราะเขาเรียนรู้แล้วว่า ภายในเขามีคุณค่า”
การรับรู้ถึงความรักที่พ่อแม่มอบให้เขาอย่างไม่มีเงื่อนไข และการรับรู้ความสามารถในตนเอง และการรับรู้ว่าตนเองทำอะไรได้บ้างเพื่อผู้อื่น ทำให้การมองเห็นคุณค่าในเด็กจะชัดเจนขึ้น และระยะยาวจะส่งผลดีต่อตัวเขา ในวันที่เขาต้องเจอกับปัญหา เขาจะฝ่าฟันมันไปได้ โดยไม่ยอมแพ้เสียก่อน