Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    RelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroomHealing the trauma
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: September 2025

ห้องเรียน AI ก้าวใหม่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ‘ครูกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช’ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
Education trend
28 September 2025

ห้องเรียน AI ก้าวใหม่การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ‘ครูกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช’ โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว

เรื่อง The Potential

  • การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน ช่วยให้ครูติดตามความก้าวหน้าการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายบุคคล และผู้เรียนสามารถบริหารจัดการการเรียนรู้ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ครูกรกันต์ นำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาออกแบบกระบวนการเรียนการสอนในลักษณะของ ‘Flip Classroom’ ให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองมาก่อนแล้วมาทำกิจกรรมในห้องเรียนสร้างการเรียนรู้เชิงรุกที่เด็กได้ลงมือทำ
  • “ข้อดีของการนำแพลตฟอร์ม AI มาใช้ คือการกระตุ้นให้เด็กอยากออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น เป็นการปลูกฝัง ‘กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ซึ่งสำคัญมาก เพราะการเรียนรู้อยู่รอบตัวเรา ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน”

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI พัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง การใช้ประโยชน์จาก AI ขยายขอบเขตไปในทุกวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการศึกษา ที่นอกจากจะใช้งาน AI Chatbot กันอย่างแพร่หลาย ยังมีการออกแบบแพลตฟอร์มที่ช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นรายบุคคลอย่าง LEAD Education (LEarning analytics of ADaptive Education) ซึ่งเริ่มทดลองนำร่องใช้จริงในโรงเรียนสังกัด สพฐ.  โดยตั้งเป้าเข้าถึงโรงเรียน 750 แห่ง คุณครูประมาณ 1,400 คน และนักเรียนไม่น้อยกว่า 140,000 คน ทั่วประเทศ

ครูกรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว หนึ่งในคุณครูที่ได้นำแพลตฟอร์ม LEAD Education มาใช้ติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน เล่าว่าที่ผ่านมาการเรียนการสอนส่วนใหญ่เป็นลักษณะของการบรรยาย แม้จะพยายามนำกิจกรรมที่เป็น Active Learning เข้ามาเสริม แต่ก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะติดตามและประเมินความเข้าใจของทุกคนได้อย่างทั่วถึง หรือเป็นรายบุคคล เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนเป็นแบบเดียวกันทั้งชั้น ขณะที่แต่ละคนมีความเร็วในการเรียนรู้ต่างกัน ส่งผลให้เด็กอาจเรียนไม่ทันกัน 

“บางคนเรียนรู้เร็ว ไปได้ไว อาจทำให้รู้สึกเบื่อ ก็ต้องส่งเสริมเพิ่มเนื้อหาและโจทย์ที่ท้าทายให้เกิดการพัฒนาต่อ ขณะที่บางคนเรียนรู้ช้า ก็อาจจะกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้ายกมือถาม ทำให้พัฒนาการในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน จึงทำให้มีเด็กตกหล่นในจุดนี้ไปบ้าง ซึ่งกว่าที่ครูจะรู้ว่าเด็กแต่ละคนเข้าใจและเข้าถึงเนื้อหาการเรียนการสอนระดับไหน ต้องรอวัดผลจากการสอบ ซึ่งบางทีอาจจะช้าเกินไป เพราะไม่สามารถพัฒนาในระดับชั้นเรียนนั้นได้อีก หรือบางรายวิชาก็เกินเวลาที่จะย้อนกลับมาได้แล้ว” 

ใช้เทคโนโลยี AI เสริมพลังครู สร้างการเรียนรู้แบบรายบุคคล

LEAD Education คือแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยครูติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านระบบออนไลน์ หรือ E-Learning 

ครูกรกันต์เล่าว่าได้นำ LEAD Education เข้ามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนวิชาจริยธรรมและความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ AI พร้อมทั้งออกแบบกระบวนการเรียนการสอนใหม่ในลักษณะของ ‘ห้องเรียนกลับด้าน หรือ Flip Classroom’ เปลี่ยนจากการเรียนในห้องเรียนแล้วทำการบ้านที่บ้าน มาเป็นการเรียนด้วยตนเองที่บ้านแล้วมาทำกิจกรรมในห้องเรียน เช่น การทำโจทย์ อภิปรายระดมความคิดเห็น เล่นเกม ออกแบบการทดลอง หรือการเรียนรู้ที่เน้นการแก้ปัญหา 

แพลตฟอร์ม LEAD Education มีเทคโนโลยีติดตามกระบวนการเรียนรู้ผ่าน E-Learning ที่พร้อมให้บริการแล้ว 4 เทคโนโลยี ได้แก่ 

1. BookRoll ช่วยติดตามการอ่านเอกสารสื่อการเรียนรู้ที่เป็นไฟล์ PDF เพื่อระบุว่าผู้เรียนใช้เวลาอ่านเนื้อหาส่วนไหนมากเป็นพิเศษ การเน้นข้อความสำคัญ 

2. VIOLA ติดตามการเรียนรู้ผ่านสื่อวิดีโอ เช่น ระยะเวลาที่ใช้ดูวิดีโอ อัตราการดูซ้ำ หรือคะแนนจากแบบทดสอบในวิดีโอ 

3. Abdul for Education ติดตามการตอบคำถามในระบบแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจ 

4. KidBright Simulator ติดตามการเรียนรู้ทักษะโค้ดดิง (coding) ผ่านการฝึกเขียนโค้ดในรูปแบบบล็อก (Blockly) 

“ในการนำแพลตฟอร์มมาใช้งาน จะเริ่มจากมอบหมายให้นักเรียนเข้าไปล็อกอินเรียนรู้หลักสูตร E-Learning ซึ่งรูปแบบการเรียนจะมีหลากหลายทั้งวิดีโอที่บรรยายโดยอาจารย์ระดับมหาลัย มีบทเรียนให้อ่านในรูปแบบ PDF ดังนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความถนัดหรือความสนใจ ถ้านักเรียนคนไหนชอบฟังก็ใช้การดูวิดีโอ แต่ถ้านักเรียนคนไหนชอบอ่าน ก็เลือกอ่านในไฟล์ PDF ได้เลย ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามจังหวะของตนเอง เช่น ความเร็ว-ช้า การหยุด ดูซ้ำ หรือเร่งได้ตามต้องการ ถือว่าเป็นรูปแบบการเรียนที่ตอบโจทย์กับนักเรียนแต่ละบุคคล” 

นอกจากการปรับรูปแบบการเรียนรู้ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นแล้ว แพลตฟอร์มยังมีจุดเด่นสำคัญ คือ การพัฒนา AI ให้ทำหน้าที่เสมือน ‘ครูผู้ช่วยส่วนตัว’ ที่คอยติดตามเก็บข้อมูลพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น เวลาในการเรียน ความก้าวหน้าในการเรียนรู้ การทำแบบทดสอบ การให้คำแนะนำ และการเก็บคะแนนวัดผล

“หลังจากที่นักเรียนเรียนจบในแต่ละหลักสูตรจะมีแบบทดสอบให้ทำ ซึ่งการทดสอบจะไม่ใช่ข้อสอบที่มีตัวเลือกแบบ A B C D แต่เป็นการทดสอบในลักษณะการพูดคุยกับแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจของเนื้อหา หากนักเรียนตอบถูก แชตบอตจะให้กำลังใจและปรับระดับคำถามต่อไปให้ท้าทายขึ้น แต่ถ้านักเรียนตอบผิดแชตบอตจะช่วยให้คำอธิบาย และให้คำแนะนำว่านักเรียนควรไปทบทวนในหัวข้อใดบ้าง ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาตนเองได้ตรงจุดทันที” 

AI ช่วยลดภาระงานครู เพิ่มเวลาพัฒนาการเรียนรู้เชิงรุก 

การนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในห้องเรียน นอกจากช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามความสนใจและพัฒนาศักยภาพได้อย่างเหมาะสมแล้ว ครูก็ยังสามารถใช้ AI เป็นผู้ช่วยติดตามความก้าวหน้าการเรียนรู้และการประเมินผล ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระ และทำให้มีเวลาพัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากขึ้น

ครูกรกันต์เล่าว่า พอสลับให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองนอกเวลาเรียนมาก่อน เราก็สามารถเปลี่ยนห้องเรียนที่เน้นการบรรยายไปสู่การทำกิจกรรมเชิงรุก เพื่อให้เด็กได้ลงมือทำ ได้ฝึกการทำงานเป็นทีม ฝึกการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นทักษะที่ยากจะเกิดขึ้นจากการฟังครูบรรยายอย่างเดียว 

“การทำกิจกรรมในห้องเรียน ทุกครั้งผมจะแจ้งนักเรียนล่วงหน้าว่า ในครั้งถัดไปจะสอนหัวข้ออะไร เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนกลับไปศึกษาบทเรียนนั้นมาก่อน จากนั้นมาทำกิจกรรมเสริมในห้องเรียน เพื่อทบทวนและทดสอบความเข้าใจ ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจว่าเด็กได้เรียนรู้ในวิชานั้นจริงๆ” 

ที่สำคัญแพลตฟอร์ม LEAD Education ยังมี Dashboard ที่คุณครูล็อกอินเข้าไปติดตามความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของนักเรียนได้ ระบบจะแสดงข้อมูลให้เห็นว่านักเรียนคนใดลงทะเบียนแล้ว หรือยังไม่ลงทะเบียน มีการเรียนคืบหน้ามากน้อยขนาดไหน รวมทั้งแสดงผลคะแนนทดสอบในแต่ละโมดูล

 “ข้อมูล Dashboard หลังบ้าน จะช่วยให้เรารู้ว่านักเรียนแต่ละคนมีความเข้าใจเนื้อหาอยู่ในระดับใด นักเรียนคนไหนควรได้รับการดูแลช่วยเหลือเป็นพิเศษ หรือภาพรวมการเรียนรู้ของห้องเรียนแต่ละห้องอยู่ระดับใด เพื่อวางแผนการจัดการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพ 

เช่น ห้อง A เรียนรู้ได้ไว ก็จะมีกิจกรรมที่ท้าทายการเรียนรู้ไปอีกระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นเกมเพื่อทดสอบความรู้ การระดมสมอง กิจกรรมทวนความรู้ แต่ห้อง B ที่อาจจะเรียนรู้ช้าหน่อย ก็ต้องส่งเสริมกิจกรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น การทำ Mind Mapping สรุปความรู้ การทำ Infographic สรุปความรู้สั้นๆ ในหนึ่งหน้า เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดศักยภาพในการเรียนรู้ที่เท่ากัน สำหรับรูปแบบกิจกรรมที่ใช้ก็ประยุกต์มาจากเวทีการอบรมต่างๆ และอาศัยการศึกษาและสืบค้นมาจากอินเทอร์เน็ต” 

ห้องเรียนยุคใหม่ เด็กไทยต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยี 

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Adaptive Education Platform กำลังเป็นเทรนด์การศึกษาที่หลายประเทศชั้นนำให้ความสนใจ และเริ่มนำมาใช้จริงในห้องเรียนเพื่อลดช่องว่างการเรียนรู้ ดังนั้นการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนของประเทศไทยจึงอาจไม่ใช่ ‘ทางเลือก’ แต่เป็น ‘ความจำเป็น’ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กไทยให้เท่าทันโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ครูกรกันต์ เล่าว่า ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยี AI กำลังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และตอบสนองความต้องการของผู้เรียนแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริง หากเด็กคนไหนทำกิจกรรมในห้องเรียนแล้วรู้สึกว่ายังมีความรู้ยังไม่เพียงพอหรือไม่เข้าใจในเนื้อหาส่วนไหน ก็สามารถกลับไปศึกษาเพิ่มเติมในคลิปวิดีโอหรือเอกสารประกอบการเรียนได้ตลอดเวลา ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ซ้ำที่เป็นประโยชน์ ไม่ต้องกังวล หรือกล้าๆ กลัวๆ ที่จะยกมือถามครูในห้องเรียนอีกต่อไป ขณะเดียวกันเนื้อหาที่นำมาใช้สอนก็เป็นเนื้อหาที่เข้าถึงง่ายและตรงกับยุคสมัย 

อย่างไรก็ดี ประโยชน์สำคัญของ Adaptive Education Platform ที่มากไปกว่าการเติมเต็มช่องว่างการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน คือการเปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเองในทุกที่ทุกเวลาตามความสนใจ 

“ข้อดีที่เห็นชัดเจนจากการนำแพลตฟอร์ม AI มาใช้สอนในห้องเรียน คือ นักเรียนสามารถบริหารจัดการกระบวนการเรียนรู้ของเด็กเองได้ ซึ่งในแง่หนึ่งเป็นการกระตุ้นให้เด็กอยากออกไปเรียนรู้ด้วยตัวเองมากขึ้น เป็นการปลูกฝังให้เกิด ‘กระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต’ ซึ่งผมมองว่าสำคัญมาก เพราะการเรียนรู้อยู่รอบตัวเรา ไม่ได้อยู่แค่ในห้องเรียน 

หากนักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้และเข้าถึงความรู้ได้ด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาหรืออาศัยเพียงแค่ในโรงเรียนอย่างเดียว จะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ ปรับตัว และพัฒนาตนเองได้เสมอ เป็นพลเมืองที่มีคุณภาพพร้อมรับมือกับความท้าทายในโลกอนาคต” 

อย่างไรก็ตาม แม้ AI จะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือช่วยการเรียนการสอนที่ทรงพลัง แต่ครูหลายคนยังคง ‘ลังเล’ ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ เพราะกังวลว่านักเรียนจะนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างไม่เหมาะสม

ครูกรกันต์กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าในช่วงแรกตนเองก็มีความลังเลอยู่พอสมควรในการนำมาใช้ในห้องเรียน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจนำมาใช้สอน เพราะมองว่าทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลก้าวไปเร็วมาก ทำให้เด็กต้องรู้และเข้าใจเพื่อที่จะมีศักยภาพในการปรับตัวให้พร้อมรองรับต่อสังคมรอบด้านให้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมเรื่องการใช้งานที่ถูกต้อง สร้างความตระหนักรู้ในประเด็นด้านจริยธรรมให้กับเด็กตั้งแต่ต้นทาง เพื่อให้เขารู้เท่าทันในการใช้เทคโนโลยี 

“ตัวเราและเด็กเองต่างต้องอยู่กับเทคโนโลยีที่เข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นเราต้องสอนเด็กให้รู้เท่าทัน เพราะไม่เช่นนั้นเทคโนโลยีจะกลืนกินเรา ผมพยายามพูดคุยกับเด็กและปลูกฝังเสมอว่า เราควรใช้เทคโนโลยีในบริบทใดให้เหมาะสม สิ่งสำคัญคืออย่านำมาใช้ด้อยคุณภาพของตัวเอง แต่ต้องใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพตัวเอง ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์และเพิ่มทักษะติดสปีดให้ตัวเราไปไกลมากกว่าคนอื่น”  

สุดท้ายเมื่อถามถึงสิ่งที่อยากฝากไปถึงครูท่านอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างตัดสินใจนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ในชั้นเรียน 

“ทุกวันนี้รูปแบบการเรียนการสอนแตกต่างไปจากเดิมมาก เด็กสามารถเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย และเข้าถึงความรู้ได้เยอะขึ้น ฉะนั้นเราในฐานะครูต้องพร้อมเรียนรู้และคอยเป็นโค้ชที่คอยชี้แนะหรือสนับสนุนเด็กในทุกทางที่เหมาะสม ก็อยากส่งกำลังใจให้กับครูทุกท่าน อยากให้เปิดใจลองนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อที่จะช่วยกันพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของเด็กไทย และเปลี่ยนผ่านระบบการศึกษาไทยให้ไปได้ไกลกว่าเดิมครับ” ครูกรกันต์กล่าวทิ้งท้าย 

Tags:


Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP1: ครูจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI หากใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ยกระดับการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

The Let Them Theory (2): เปลี่ยน ‘การเปรียบเทียบ’ อันขมขื่น ให้เป็นบทเรียนที่นำเราไปสู่ศักยภาพซ่อนเร้น
Book
25 September 2025

The Let Them Theory (2): เปลี่ยน ‘การเปรียบเทียบ’ อันขมขื่น ให้เป็นบทเรียนที่นำเราไปสู่ศักยภาพซ่อนเร้น

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • การเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่หลายคนติดหล่มการเปรียบเทียบจนทำให้ตนเองเป็นทุกข์ บทความนี้ชวนทุกคนทำความเข้าใจการเปรียบเทียบทั้งในเชิงบวกและลบ เพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นประโยชน์
  • เมล ร็อบบินส์ ผู้เขียน The Let Them Theory กล่าวว่าการเปรียบเทียบสองรูปแบบที่ผู้คนกระทำกันคือ การเปรียบเทียบที่เป็น ‘เครื่องทรมาน’ และเป็น ‘ครูสอน’ ดังนั้นจงถามตัวเองว่า คุณกำลังทำอะไรอยู่เวลาที่คุณเปรียบเทียบ
  • เมล แนะนำ 3 สเต็ปเพื่อเอาชนะโรคชอบเปรียบเทียบ เริ่มจากการมองให้เห็นปัญหา แล้วยอมรับความจริงว่าโลกไม่ยุติธรรม จากนั้นจึงลงมือแก้ปัญหาด้วยการใช้ ‘ทฤษฎีปล่อยเขา’ เปลี่ยนความอิจฉามาเป็นแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนตัวเองสู่เส้นทางชีวิตที่คู่ควร

“การเปรียบเทียบกับคนอื่นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เรามักจะมองไปรอบตัวและดูว่าคนอื่นกำลังทำอะไรอยู่ และเราเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับพวกเขา”

เมล ร็อบบินส์ นักพูดสร้างแรงบันดาลใจชาวอเมริกันกล่าวไว้ใน The Let Them Theory ว่าการเปรียบเทียบเป็นธรรมชาติ เพียงแต่ธรรมชาตินี้มักเล่นตลกกับผมเสมอ ราวกับลงโทษให้ผมกลายเป็น ‘โรคชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น’ จนเผลอจิตตกและรู้สึกแย่กับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง 

ผมรู้ดีว่าการเปรียบเทียบเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ แต่ก็ไม่อาจห้ามกลไกในสมองได้เลย โดยเฉพาะเวลาที่เห็นเพื่อน (ที่เคยบูลลี่ผมว่าอ้วน) โพสต์อวดหุ่นลีนๆ ที่ผมแทบไม่มีทางทำได้ หรือเวลาที่พ่อแม่ดูใจดีกับคนอื่นมากกว่าผม…ทุกครั้งมันทำให้ผมรู้สึกเป็นทุกข์และกดดันตัวเองหนักขึ้น

ผมยอมรับว่าผมหวังจะเห็นคำปลอบใจจากเมล แต่แทนที่จะอุ่นใจ ข้อความของเธอแต่ละบรรทัดกลับเหมือนน้ำเย็นที่สาดใส่หน้าของผม ผ่านความจริงที่ผมไม่อยากฟัง ว่าชีวิตนั้นไม่ยุติธรรม และตัวผมนี่แหละคือปัญหาสำคัญในสมการนี้

“เมื่อคุณมองว่าชีวิตของคนอื่นคือหลักฐานที่บ่งบอกถึงความล้มเหลวในตัวคุณ บ่งบอกว่าคุณไม่มีเสน่ห์หรือไม่ดีพอ ตัวคุณนั่นแหละคืออุปสรรคใหญ่สุดของตัวเอง

คุณเลื่อนหน้าจอดูโซเชียลทีเดียอย่างไร้สติ หรือไม่ก็รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นจนทำอะไรไม่ได้ สิ้นหวังและต้องเป็นฝ่ายตามหลังคนอื่นอยู่ตลอดกาล คุณกำลังทรมานตัวเองโดยไม่มีเหตุผลเลย คุณยอมให้คนอื่นทำให้คุณตื้อตันไม่ขยับออก ซึ่งนำไปสู่การผัดวันประกันพรุ่งและการวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง”

เมลกล่าวว่า หากอยากเอาชนะโรคชอบเปรียบเทียบ จะต้องทำตาม 3 สเต็ปที่เธอแนะนำ เริ่มจากการมองให้เห็นปัญหา เพราะมนุษย์มักทุ่มเทเวลาและพลังงานมากมายไปกับการบ่นว่าโลกไม่ยุติธรรม และเอาตัวเองไปเปรียบกับคนที่โดดเด่นกว่า ซึ่งไม่เพียงไม่ช่วยยกระดับตัวเอง แต่ยังพาให้จมปลักอยู่กับความหงุดหงิดท้อแท้ที่ค่อยๆ นำพาเราไปสู่กับดักของความสมบูรณ์แบบจนไม่ลงมือทำอะไรเลย

“ฟังนะ ฉันเข้าใจคุณ! มันเลวร้ายมากที่เวลามองไพ่ในมือแล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังถือไพ่ที่ห่วยที่สุดในโลก มันง่ายที่จะพูดว่า ‘ทำไมต้องเป็นฉัน!’ มันง่ายที่จะสงสารตัวเอง มันง่ายที่จะมองคนอื่นแล้วทำให้ตัวเองรู้สึกแย่…แต่การเปรียบเทียบชีวิตของคุณกับความโชคดีในชีวิตของคนอื่นเป็นการเสียเวลาเปล่า

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเรามีแนวโน้มชอบเปรียบเทียบ ปัญหาคือสิ่งที่เราทำเมื่อเปรียบเทียบต่างหาก ดังนั้นจงถามตัวเองว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่เวลาที่คุณเปรียบเทียบ กำลังทรมานตัวเอง หรือกำลังสอนบทเรียนสำคัญให้ตัวเอง”

เมื่อมองเห็นปัญหาแล้ว สเต็ปที่สองคือ การยอมรับความจริงว่าโลกไม่ยุติธรรม ยังไงย่อมต้องมีคนที่โชคดีกว่า ประสบความสำเร็จกว่าเราเสมอ แต่เราไม่ควรปล่อยให้มันกัดกินใจจนบั่นทอนตัวเอง เมลจึงชวนให้เราทำความเข้าใจความจริงข้อนี้ใหม่ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การเปรียบเทียบ แต่เป็นการไม่รู้จักใช้มันให้เป็นประโยชน์ 

“ความจริงก็คือมีการเปรียบเทียบสองรูปแบบที่ผู้คนกระทำกัน นั่นคือการใช้การเปรียบเทียบเป็น ‘เครื่องทรมาน’ หรือใช้เป็น ‘ครูสอน’ 

หากจะใช้การเปรียบเทียบให้เป็นประโยชน์ คุณจะต้องระบุให้ได้ก่อนว่าคุณกำลังเปรียบเทียบแบบไหน การแยกความแตกต่างนั้นง่ายมาก การเปรียบเทียบประเภทแรกเป็นการทรมาน คุณรู้สึกว่าตัวเองหมกมุ่น เอาแต่คิดกังวล หรือตำหนิตัวเองในเรื่องที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ การเปรียบเทียบจะรู้สึกเป็นความทรมานเมื่อคุณจดจ่อไปยังลักษณะถาวรของชีวิตคนอื่น ตัวอย่างเช่น รูปร่างหน้าตา พ่อแม่ ประสบการณ์ในอดีต พรสวรรค์ทั้งหลาย…

นักจิตวิทยาจะบอกคุณว่า รากเหง้าของภาวะผิดปกติหลายอย่าง คือความปรารถนาอย่างหมกมุ่นที่จะควบคุมสิ่งต่างๆ …เมื่อใดก็ตามที่คุณพยายามควบคุมสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มันจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกไร้การควบคุมและไร้อำนาจมากกว่าเดิม

การเปรียบเทียบประเภทที่สองเป็นขุมสมบัติสำหรับคุณเลยละ คือการเปรียบเทียบที่ช่วยสอนบทเรียน คุณจะได้รู้ว่าการเปรียบเทียบเช่นนี้เป็นเรื่องดี เพราะคุณกำลังเพ่งมองไปที่แง่มุมของชีวิตหรือความสำเร็จของคนอื่นที่คุณสามารถสร้างให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้…

หากใครสักคนทำสิ่งที่ดีกว่า ยิ่งใหญ่กว่า หรือดูเท่กว่าที่คุณเคยจินตนาการไว้ ปล่อยเขา ปล่อยเขาได้รับความสำเร็จนั้น ปล่อยเขาให้ทำได้ดีกว่าคุณ ปล่อยเขาให้ทำได้อย่างฉลาดหลักแหลมและดูดีที่สุด ความสำเร็จของพวกเขาจะให้สูตรสำเร็จกับคุณ

เมื่อคุณมองการเปรียบเทียบเป็นครู คุณจะตระหนักว่าคนอื่นไม่ได้พรากสิ่งใดไปจากคุณ  แต่พวกเขากำลังมอบบางสิ่งให้ต่างหาก 

คนอื่นมีศักยภาพอันงดงามที่จะแสดงให้คุณเห็นชิ้นถึงส่วนอนาคตของคุณที่ตัวคุณยังมองไม่เห็นภาพสมบูรณ์ พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่คุณไม่รู้ว่ามีอยู่จริง หรือเป็นสิ่งที่คุณบอกตัวเองว่าไม่สามารถที่จะทำได้สำเร็จ”

และสเต็ปสุดท้าย คือการลงมือแก้ปัญหาด้วยการใช้ ‘ทฤษฎีปล่อยเขา’ ผ่านการเปรียบเทียบให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนความอิจฉามาเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อนำความสำเร็จของคนอื่นมาเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนตัวเองสู่เส้นทางชีวิตอันน่าอัศจรรย์ที่คู่ควรกับเรา

“ใครหรืออะไรก็ตามที่ทำให้คุณอิจฉา ดีแล้ว ความสำเร็จและชัยชนะของพวกเขาไม่ได้ลดทอนโอกาสที่คุณจะสร้างสิ่งที่ต้องการ แต่พวกเขากลับขยายให้มันใหญ่ขึ้นด้วย ปล่อยเขาให้นำทางคุณไป เปลี่ยนความอิจฉาให้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ดูว่าสิ่งใดเป็นไปได้ผ่านทางตัวอย่างจากพวกเขา คนที่คุณเปรียบเทียบตัวเองด้วยจะทำหน้าที่เป็นเหมือนกระจกเงาสะท้อนโอกาสเป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น…

ดังนั้นจงปล่อยเขาทำให้คุณโกรธแทบบ้า คุณควรขอบคุณคนที่ทำให้คุณโกรธด้วยซ้ำ เพราะที่จริงแล้วคุณไม่ได้โกรธเขาหรอก ความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจของคุณ คือความโกรธตัวเอง เพราะคุณรู้ว่าตัวเองควรทำสิ่งนั้นให้เร็วกว่านี้ รู้ว่าคุณมีความสามารถที่จะคิดวิธีทำสิ่งนี้ได้ แต่ว่าคุณไม่ทำเอง

ช่วงเวลาเหล่านั้นมันเจ็บปวดจริงๆ และจะเกิดขึ้นหลายครั้งในชีวิต ดังนั้นเตรียมใจไว้ได้เลย เมื่อคุณใช้ทฤษฎีปล่อยเขา คุณจะดูออกว่าความรู้สึกอิจฉากำลังสอนอะไรให้คุณ 

ความอิจฉาเป็นการแง้มประตูสู่อนาคตให้คุณเห็น หน้าที่ของคุณคือต้องมองให้ออกว่าอะไรเกิดขึ้น ถีบประตูให้เปิด แล้วเดินออกไป

เมื่อคุณปล่อยให้คนอื่นเป็นผู้นำทาง คุณจะตระหนักว่าภายใต้ความกลัว ข้ออ้าง และเวลาที่สูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ คือชีวิตที่คุณต้องการตลอดมา ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉุดรั้งคุณจากการควบคุมชีวิตของตัวเองก็คือข้ออ้าง ความกลัว และอารมณ์ต่างๆ นี่คือจุดที่คุณจะเปลี่ยนจากการพยายามควบคุมสิ่งที่คนอื่นคิด รู้สึก หรือกระทำ ไปเป็นการใช้เวลาและพลังงานไปกับการสร้างบทที่ดีที่สุดของชีวิตคุณเอง”

ในฐานะของคนที่เป็นโรคชอบเปรียบเทียบ ผมชอบตอนหนึ่งที่เมลยกประโยคของ ‘ทอม เบรดี’ ตำนานนักอเมริกันฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่บอกว่าเราไม่จำเป็นต้อง ‘พิเศษ’ แต่ต้องเป็นในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เป็น นั่นคือการเป็นคนสม่ำเสมอ มุ่งมั่น และเต็มใจทำสิ่งที่ยากซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะนี่ต่างหากคือหนทางที่จะค่อยๆ พาเราไต่ขึ้นไปยืนบนยอดเขาแห่งความสำเร็จ ไม่ใช่การนั่งฝัน นั่งจินตนาการ และนั่งเปรียบเทียบให้ตัวเองติดกับดักของความทรมานโดยไม่ลงมือทำอะไรเลย

Tags:

หนังสือการเปรียบเทียบการแก้ปัญหาLet themศักยภาพ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Related Posts

  • ปาฏิหาริย์ร้านชำของคุณนามิยะ: ปาฏิหาริย์ของการรับฟัง ‘โดยไม่ตัดสิน’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    นักบินรบ : การค้นพบความหวัง ในสมรภูมิที่สิ้นหวัง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Transformative learning
    เอื้อระบบนิเวศ เพื่อครูเป็นผู้ก่อการ: 7. ลัทธิบูชาผลงาน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Movie
    Gifted (2017) ‘ขอโทษ’ ของขวัญที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

‘ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง’ ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ผู้ออกแบบหลักสูตรม่วนๆ ‘หมอลำศึกษา’
Everyone can be an Educator
23 September 2025

‘ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง’ ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ผู้ออกแบบหลักสูตรม่วนๆ ‘หมอลำศึกษา’

เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของเด็กทุกคน ‘อาจารย์ใหม่’  ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์ ใช้แนวคิดการศึกษาบนฐานชีวิต จัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นบนความเข้าใจวิถีที่แตกต่างของเด็กนอกระบบการศึกษา
  • หลักสูตรหมอลำศึกษา เป็นหลักสูตรใหม่ล่าสุดของศูนย์การเรียนฯ ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับโจทย์ชีวิตของเด็กและเยาวชนในคณะหมอลำ โดยมีคอนเซ็ปต์คือ‘เฮียนไป ม่วนไป มีรายได้’
  • “การเรียนต้องไม่ไปแตะเรื่องขององค์ความรู้อย่างเดียว แต่มันต้องแตะอารมณ์ความรู้สึก หรือเซนส์ที่นำไปสู่การเรียนรู้ด้วย ซึ่งพอดีไซน์แบบนี้ ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ”

“เด็กเคลื่อนที่ การศึกษาเคลื่อนที่ เราใช้วงหมอลำเป็นโรงเรียน ในลักษณะของ Nomad Learning การศึกษาที่เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ ตามตัวเด็ก”

วิสัยทัศน์การจัดการเรียนรู้ที่ยึดประโยชน์ของเด็กเป็นตัวตั้ง ของ ‘อาจารย์ใหม่’ ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์ คือสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ และหลักสูตรม่วนๆ ‘หมอลำศึกษา’ ที่เปลี่ยนคณะหมอลำเป็นโรงเรียน เปิดให้เยาวชนที่ออกจากระบบการศึกษา กลับสู่เส้นทางการเรียนรู้เพื่อสานฝันสร้างโอกาสให้กับตนเอง

อาจารย์ใหม่นิยามตัวเองว่า ‘นักออกแบบยุทธศาสตร์การเรียนรู้’ เขานำ นำหลักคิดทั้งด้านรัฐศาสตร์และการศึกษา มาคลุกเคล้ากับประสบการณ์ในฐานะนักกิจกรรม ออกแบบการเรียนรู้ที่ไม่ติดกรอบ เพื่อโอบรับเด็กๆ ทุกโจทย์ชีวิตให้ได้มีพื้นที่ปลอดภัยในการพัฒนาศักยภาพและเติบโตต่อไปอย่างมีคุณภาพ  

“ก่อนหน้านี้ผมป็นอาจารย์สอนอยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี แล้วก็ออกมาเรียนต่อสาขาการศึกษานอกระบบโรงเรียน ที่จุฬาฯ พร้อมกับตั้งมูลนิธิปัญญากัลป์ เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ด้านการศึกษา”

เริ่มแรกอาจารย์ใหม่มีโอกาสทำงานกับเด็กในสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก ซึ่งทำให้เขามองเห็นข้อจำกัดของการศึกษาในระบบ จึงมีความตั้งใจที่จะหาแนวทางจัดการเรียนรู้ที่ช่วยให้เด็กๆ เหล่านี้มีความรู้และทักษะชีวิตเพียงพอที่จะเริ่มต้นใหม่

“ผมมองว่ามนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ แต่เขาไม่มีพื้นที่ที่จะแสดงศักยภาพนั้น เราก็เลยดีไซน์โดยใช้แนวคิดการเรียนรู้โดยการกำหนดเอง คือเด็กเป็นผู้กำหนดขึ้นมาเองว่าเขาอยากเรียนอะไร”

และเพื่อให้การเรียนรู้นั้นสอดรับกับเป้าหมายและเงื่อนไขชีวิตที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะเด็กที่ไม่สามารถเรียนต่อในระบบได้ อาจารย์ใหม่ใช้ศูนย์การเรียนมาตรา 12 เป็นเครื่องมือจัดการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์

ปัจจุบัน ศูนย์การเรียนปัญญากัลป์จัดการเรียนรู้ให้เด็กนอกระบบมากว่า 3 ปีแล้ว และโจทย์ท้าทายล่าสุดที่มาพร้อมกับสีสันความสนุกสนานอย่างหลักสูตรหมอลำศึกษา ก็กำลังผลิดอกออกผลพร้อมเป็นโมเดลต้นแบบการจัดการศึกษาบนฐานชีวิตและวัฒนธรรม ให้ผู้เกี่ยวข้องได้เรียนรู้และนำไปใช้เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาที่ไม่ปล่อยให้เด็กคนไหนตกหล่นระหว่างทาง

ดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ ประธานมูลนิธิปัญญากัลป์

จากความเชื่อ สู่ความชอบ กอปรเป็นการเรียนรู้ที่ใช่

“แรงบันดาลใจในการสร้างหลักสูตรหมอลำศึกษา ก็คือตัวเองชอบฟังหมอลำอยู่แล้ว ตอนเด็กๆ ไปดูหมอลำกับคุณแม่ มีวันหนึ่งที่นั่งฟังแล้วมีท่อนหนึ่งของเพลงบอกว่า ‘เด็กตาดำๆ หอบวุฒิ ม.3 จาก กศน.’ เราก็เลยอยากรู้ว่าจริงๆ น้องๆ ในวงหมอลำเขาเรียนจบระดับไหนกันบ้าง แล้ววงหนึ่งมีคน 400-500 คน ส่วนใหญ่ที่เห็นก็เป็นเด็กทั้งนั้น 

เราเลยไปชวนน้องๆ ในศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ทำสำรวจกับ 44 วงหมอลำในภาคอีสาน ว่าใน 44 วงนี้ มีเด็กที่ไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานกี่คน และไม่จบการศึกษาภาคบังคับกี่คน ซึ่งผลสำรวจก็ออกมาว่า เด็กร้อยละ 30 ไม่จบการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือไม่จบ ม. 6 แล้วก็ร้อยละ 13 นิดๆ ไม่จบ ม.3 เราก็เลยรู้สึกว่า มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่เด็กหันหลังให้กับโรงเรียนและเดินหน้าเข้าสู่ความฝันการเป็นศิลปินของเขา”

แต่หลังจากอาจารย์ใหม่ได้พูดคุยกับเด็กๆ ถึงเหตุผลในการออกจากโรงเรียนมาทำงานในวงหมอลำ คำตอบที่ได้กลับต่างออกไป เพราะสิ่งที่ผลักพวกเขาออกมา แท้จริงแล้วคือความยากจนและกรอบเกณฑ์

ของการเรียนในระบบที่ทำให้เด็กไม่สามาถทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยได้

“เด็กเหล่านี้อยู่ในภาวะที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับเรื่องของเศรษฐานะทางครัวเรือน เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับภาวะของครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนกับแรงกดดันในการถูกบูลลี่ที่โรงเรียน มีน้องหลายคนที่อยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองมีความสามารถ สามารถที่จะสร้างรายได้ให้กับตัวเอง สามารถที่จะยืนได้ด้วยตัวเอง และประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยตัวเอง เขาก็เลยมองว่า หมอลำนี่แหละเป็นอาขีพที่สามารถทำได้เลยด้วยศักยภาพที่เขามีครับ”

‘หลักสูตรหมอลำ’ เปลี่ยนข้อจำกัดทางการศึกษา เป็นเส้นทางการเรียนรู้สู่อนาคต 

หลังสำรวจพบว่าเด็กในวงหมอลำจำนวนไม่น้อยออกจากโรงเรียนกลางคันและยังไม่ได้รับวุฒิการศึกษา อาจารย์ใหม่จึงมองไปที่รูปแบบการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับสภาพชีวิตและการทำงานของเด็กๆ กลุ่มนี้ 

“เรามีต้นทุนเดิมก็คือศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ที่จัดการศึกษาให้กับน้องๆ ที่อยู่นอกระบบการศึกษา หรือหลุดออกจากระบบการศึกษาอยู่แล้ว ซึ่งศูนย์การเรียนทำหลักสูตร 3 หลักสูตรด้วยกัน หลักสูตรแรกคือ สังคมอาชีพ เราใช้สำหรับน้องๆ ในชุมชนที่หลุดออกจากระบบ หรือน้องๆ ที่อยู่ในสถานพินิจ กับศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชน อีกหนึ่งหลักสูตรเราพัฒนาร่วมกับ กสศ. และ KFC ก็คือหลักสูตรอาชีพและผู้ประกอบการ สำหรับน้องๆ ที่ได้รับการปล่อยตัวจากศูนย์ฝึกฯ สถานพินิจ เรือนจำต่างๆ”  

หลักสูตรหมอลำ เป็นหลักสูตรใหม่แกะกล่องของศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ร่วมกับนิวเจนเอ็นเตอร์เทนเมนท์ ภายใต้การสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เพื่อพาเยาวชนในคณะหมอลำกลับสู่เส้นทางการเรียนรู้เพื่อปูทางสู่อนาคตที่มั่นคงมากขึ้น

“มันเกิดจากความคิดว่าถ้าเราไม่ทำอะไร น้องๆ จะแค่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แล้วพอวันนึงเขาหมดแรงแล้วเดินออกไปจากวงหมอลำ เขาจะไม่มีทางเลือกอื่นๆ เลยในการประกอบอาชีพ 

คือถ้ารับจ้างก็จะเป็นแค่ลูกจ้างชั่วคราว ไม่สามารถเป็นพนักงานประจำได้ เพราะไม่มีวุฒิ ม.3 หรือ ม.6 สิทธิสวัสดิการอื่นๆ ก็จะน้อยกว่าคนอื่น ในขณะที่อยู่ในวง ก็อาจถูกบูลลี่จากเพื่อนที่จบสูงกว่า มีน้องๆ หลายคนที่ได้สัมภาษณ์ เขาก็จะมีประเด็นนี้เหมือนกัน”

อาจารย์ใหม่บอกว่าเมื่อมองเห็นข้อจำกัด เขาจึงพยายามสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ให้เด็กๆ ได้เดินต่อ…  “ไหนก็ไหนไหนแล้ว ก็เลยท้าทายตัวเองด้วยการพัฒนาขึ้นมาเป็นหลักสูตร โดยมองในระยะไกลว่า ถ้าเราทำหลักสูตรหมอลำสำเร็จ หลักสูตรนี้จะเป็นฐานที่ทำให้วิชาชีพอื่นที่น้องๆ เข้าไปทำงานนั้น สามารถที่จะปรับหรือประยุกต์ไปเป็นหลักสูตรให้น้องๆ ได้มีโอกาสในการเรียนเพิ่มมากขึ้นครับ”

ออกแบบการเรียนรู้บนฐานชีวิตจริง อิงหลักวิชาการ วิชาชีพ วิชาชีวิต 

เมื่อเป็นหลักสูตร ผู้เรียนย่อมต้องได้ทั้งค่านิยม เจตคติ ทักษะและความรู้ แม้จะเป็นการเรียนนอกรั้วโรงเรียน แต่อาจารย์ใหม่ก็พยายามออกแบบการเรียนรู้ให้นักเรียนหมอลำศึกษาทุกคนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ครบด้าน

“แกนของหลักสูตรจะอิงกับวิถีชีวิตน้องๆ เนื่องจากผมมีงานวิจัยที่ตัวเองทำแล้วสังเคราะห์ออกมา ก็คือ ‘การเรียนรู้บนฐานชีวิต’ เราใช้เป็นหลักในการจัดการศึกษา”

ในการออกแบบหลักสูตรหมอลำสำหรับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เนื้อหาแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกเรียกว่า ‘หน้าฮ้าน’ (ฮ้านคือเวที) จะเป็นเรื่องของการทำงานหน้าเวที ส่วนที่สองเรียกว่า ‘เทิ้งฮ้าน’ หรืองานบนเวที ส่วนที่สามคือ ‘หลังฮ้าน’ หรืองานที่เกิดขึ้นหลังเวที

“ส่วนหน้าฮ้านเราก็ไปดูว่า น้องๆ ที่อยู่หน้าเวที มีงานอะไรบ้าง แล้วก็อธิบาย Job Description ของแต่ละงาน เช่น ขายตั๋ว ทำโปสเตอร์ ล้อมสังกะสี เตรียมเวที ไปดูเรื่องโครงสร้างและองค์ประกอบของเวที ไปดูเรื่องการจัดการเชิงพื้นที่ ไปดูเรื่องการประชาสัมพันธ์ 

ขยับขึ้นมาเป็นเทิ้งฮ้าน เราก็มาดูว่าบนเวทีมีอะไรบ้างที่จะมาแปลงเป็นวิชาต่างๆ อย่างเช่น แดนซ์ โคโรกราฟ ไฟ เสียง ดนตรี อย่างนี้ครับ ส่วนหลังฮ้าน เราเจออะไรบ้าง แต่งหน้า คอสตูม การจัดการพื้นที่ เตรียมห้องสำหรับศิลปิน การจัดระบบงานครัว อาหารต่างๆ เด็กๆ ทำหมดเลย พิธีกรรมการไหว้อ้อ สวดมนต์ เราก็ดีไซน์ออกมาเป็นหลักสูตร แล้วทำให้เป็นหน่วยบูรณาการเรียนรู้ครับ” 

หลังทำหลักสูตรเสร็จเรียบร้อย ห้องเรียนหมอลำ ในนามศูนย์การเรียนปัญญากัลป์ ก็เปิดรับนักเรียนรุ่นแรกจำนวน 20 คน จาก 7 วงหมอลำ

“น้องบางคนที่ยังไม่จบ ม. ต้น เราก็ปรับพื้นฐานให้จบ ม.ต้นในหลักสูตรสังคมอาชีพก่อน แล้วค่อยมาเรียน ม.ปลายต่อในหลักสูตรหมอลำศึกษา นั่นหมายความว่าน้องที่ยังไม่จบ ม.ต้น ต้องเรียน 2 ฤดูกาล ถึงจะจบ ม.6 แต่ถ้าน้องมีวุฒิม.3 แล้วมาเรียนต่อ ม.ปลาย เขาจะเรียนแค่ 1 ฤดูกาล ก็คือ 8 เดือน”

สำหรับวิชาที่เด็กๆ จะต้องเรียน ประกอบด้วยหมวดวิชาพื้นฐาน 8 สาระวิชา อ้างอิงตามหลักสูตรแกนกลาง 51 ของ สพฐ. โดยเป็นการเรียนออนไลน์ที่เด็กสามารถเลือกช่วงเวลาในการเข้าเรียนกับคุณครูได้ 

“เริ่มสอนตั้งแต่ 4 โมงเย็นไปจนถึง 2 ทุ่ม เนื่องจากช่วงกลางวันน้องๆ จะไม่มีเวลา ซึ่งถ้าไม่เข้าเรียนก็สามารถตามวิดีโอย้อนหลังในเฟซบุ๊กกลุ่มปิด แล้วทำใบงานส่งได้”

ในหมวดเพิ่มเติม หรือเรียกง่ายๆ ว่า วิชาหมอลำ โจทย์จะถูกนำไปแทรกในใบงานต่างๆ ที่คุณครูเป็นผู้ออกแบบ และนักเรียนต้องทำแฟ้มสะสมผลงาน ซึ่งโจทย์รวมถึงข้อสอบจะอิงบริบทหมอลำทั้งหมด เช่น การวัดความกว้างยาวของเวที การคำนวณความกว้างของเสียงระหว่างสังกะสีฝั่งซ้ายไปยังฝั่งขวา การคำนวณรายได้ของค่าจ้าง 1 ฤดูกาล หรือชุดคำศัพท์ภาษาอังกฤษจากวรรณกรรมพื้นบ้านอีสาน เป็นต้น

“มันจะเป็นโจทย์กว้างๆ ให้เขาเรียนรู้แบบ Self-Directed Learning เรียนรู้โดยการนำตนเอง แล้วเราจะใช้กระบวนการรีเฟล็กความรู้เหล่านั้นผ่านใบงาน”

“จริงๆ เรื่องการเรียนหรือการวัดผลก็คล้ายๆ กับห้องเรียนทั่วไป ถ้าครูปรับหรือพลิกแพลงโจทย์นิดหน่อย ให้มันเหมาะกับชีวิตหรือเหมาะกับวิถีของเด็ก มันจะทำให้เขาสนุกกับการหาคำตอบเหล่านั้น” 

สุดท้ายสิ่งที่นักเรียนหมอลำต้องทำก่อนจบหลักสูตร ก็คือ หมอลำนิพนธ์ หรือโครงงานที่แต่ละคนพัฒนาขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่าทุกคนจะต้องเข้าค่าย 5 วัน เพื่อประมวลความรู้ที่ได้เรียนมาและเติมเต็มต่อยอดเป็นผลงานการแสดงของตนเอง

“การเรียนต้องไม่ไปแตะเรื่องขององค์ความรู้อย่างเดียว แต่มันต้องแตะอารมณ์ความรู้สึก หรือเซนส์ที่นำไปสู่การเรียนรู้ด้วย ซึ่งพอดีไซน์แบบนี้ ปลายทางการเรียนรู้คือเด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ” 

หมอลำนิพนธ์ บนเวทีแห่งศักยภาพของหมอลำนิวเจน

แม้ว่านักเรียนทั้ง 20 คนของหลักสูตรหมอลำศึกษารุ่นที่ 1 จะทำงานในคณะหมอลำด้วยบทบาทที่ต่างกัน บางคนเป็นนักร้อง บางคนเป็นแดนเซอร์ บางคนเป็นช่างแต่งหน้า บางคนดูแลงานหลังเวที แต่ช่วงเวลา 5 วันในค่ายเสริมสร้างทักษะ ‘เสริมศาสตร์ สานศิลป์ สืบภูมิปัญญา” ที่จัดไปเมื่อวันที่ 16-20 สิงหาคม 2568 ณ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทุกคนจะได้รับความรู้ในทุกองค์ประกอบของการแสดงหมอลำเหมือนๆ กัน

 “ค่ายนี้เราได้รับความกรุณาจากทีมนักวิชาการ 8 สถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ภาคอีสาน ในการมาร่วมออกแบบทั้งตัวกระบวนการค่าย ตัวเนื้อหาในค่าย รวมไปถึงกระบวนการในการวัดประเมินผลน้องๆ”

ภายในค่ายนอกจากจะมีการเสริมทักษะความรู้ทั้งในเชิงวิชาการและวิชาชีพ ยังมีเวิร์กชอปให้ได้ฝึกปฏิบัติ โดยทุกคนจะได้รับการเสริมทักษะในทุกด้าน 

“เรามองว่าการเข้ามาเรียนนั้น น้องๆ ที่เป็นแดนซ์ หรือน้องๆ ที่เป็นนักร้องอยู่แล้ว เขาจะมีสกิลเดียวที่เขาถนัด แต่การมาค่ายจะเป็นการอัพสกิลของเขา ในวันแรกจะได้เรียนเรื่องของการร้อง ที่เรียกว่าการ ‘ลำ’ นั่นแหละ เรียนกับศิลปินแห่งชาติ แม่ครูหมอลำที่เป็น Original 

แล้ววันที่สองจะเรียนเรื่องการประพันธ์ กับเรื่องของดนตรีที่เป็นดนตรีพื้นบ้าน มาทำความเข้าใจและหาคีย์ที่เหมาะสมกับแครักเตอร์ของตัวเอง เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้ตัวเอง แล้วเขาก็จะมีกลอนลำที่ได้เรียนจากแม่ครูต่างๆ มาประยุกต์โดยประดิษฐ์คำใหม่ขึ้นมา 

วันถัดมาก็จะเป็นเรื่องของการฟ้อน เขาจะเรียนฟ้อนแม่บทอีสาน เรียนเรื่องของท่ารำ ถอดท่ารำของศิลปินแห่งชาติด้านหมอลำ ว่าเขาจะมีท่ารำที่เป็นอัตลักษณ์อย่างไรบ้าง แล้วก็เรียนเรื่องการประยุกต์ หลังจากนั้นก็จะเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์งานแสดง” 

จะเห็นว่ากิจกรรมส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในค่ายจะเน้นไปที่การอนุรักษ์และการฝึกปฏิบัติ เพื่อปูพื้นฐานในการนำไปประยุกต์ใช้ โดยในวันสุดท้ายทุกคนจะได้ร่วมกันออกแบบการแสดงที่นำความสามารถของแต่ละคนออกมาสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน

อาจารย์ใหม่บอกว่า เนื่องจากค่ายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของห้องเรียนหมอลำ ที่มีหมอลำนิพนธ์เป็นการวัดผลครั้งสุดท้ายเพื่อสำเร็จการศึกษา แนวทางการประเมินผลจึงถูกวางไว้อย่างเป็นระบบ 

“เราใช้การวัดผลเชิงประจักษ์ Authentic Assessment  โดยในค่ายจะถูกแบ่งการประเมินออกเป็น 3 ส่วน 20 คะแนนแรกนั้นเด็กจะประเมินตัวเอง ว่ามีความรู้ ทักษะและคุณสมบัติความเป็นหมอลำระดับไหน

อีก 60 คะแนน จะเป็นการประเมินของ Assessor ในค่าย ซึ่งเป็นทีมสตาฟที่ผ่านการฝึกมา แล้วเราก็จะมีคู่มือให้ Assessor ประเมิน โดยประเมินจากพฤติกรรม ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับวิทยากร ก็คือพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เข้ามาสอนในค่ายนี้ แล้วเขาก็จะมี Oral Test กับเด็กเป็นระยะ โดยไม่ให้เด็กรู้ตัวว่ากำลังถูกทดสอบอยู่” 

สำหรับการประเมินนี้ อาจารย์ใหม่บอกว่าในคู่มือกำหนดจุดจ้องมองไว้สองส่วนคือ หนึ่ง เด็กมีความรู้เรื่องศาสตร์ศิลป์ความเป็นหมอลำมากน้อยแค่ไหน สอง ทักษะเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นจากการร่วมกิจกรรมในค่าย ที่เพิ่มเติมหรือนอกเหนือไปจากทักษะเดิมที่เขามีอยู่ 

“สุดท้าย ถ้าเป็นในโรงเรียนปกติจะมองเรื่องทัศนคติต่อการเรียนรู้ของเด็ก หรือ Attitude แต่เราจะมองเป็นเชิงสมรรถนะ คือมองเป็น Attribute มองเรื่องของคุณลักษณะที่ดีของความเป็นหมอลำ ซึ่งจะต้องมีทั้ง Attitude และ Value ประกอบกัน  

ปลายทางก็คือ เขาจะสร้างสรรค์งานหมอลำนิพนธ์ออกมา ซึ่งก็เป็น Challenge มากๆ เพราะว่าอย่างเราสอนนักศึกษา กว่าเด็กจะทำโปรเจ็กต์เสร็จใช้เวลาเป็นเทอม แต่นี่เขาทำ 5 วัน แล้วก็เอามาประกอบสร้างเป็นหมอลำนิพนธ์ ซึ่งจะมีอีก 20 คะแนน ให้ครูบาอาจารย์ที่มาสอนในค่ายเป็นคนประเมิน”

เมื่อความรู้มาจากโจทย์ชีวิต การเรียนรู้ก็มีความหมายและสร้างคุณค่าให้ผู้เรียน

ในที่สุดการแสดงหมอลำนิพนธ์ของนักเรียนรุ่นแรกก็ปิดฉากลงอย่างน่าประทับใจ ทั้ง 20 คนไม่เพียงได้รับวุฒิการศึกษา ยังได้รับทุนตั้งต้นอาชีพ 10,000 บาทจากกสศ. แต่เหนืออื่นใด อาจารย์ใหม่เชื่อว่าเด็กๆ เหล่านี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้

“เราอยากให้เขาเห็นคุณค่าในตัวเอง เห็นคุณค่าในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ คือไม่ได้มองเรื่องรายได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างเดียว แต่ให้เขาเห็นคุณค่าว่า หนึ่งคือ การเรียนยังสำคัญกับเขา การเรียนรู้ หรือการมีนิสัยที่รักการเรียนรู้นั้นสำคัญกับเขา 

อันที่สองคือ อยากให้เขาเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำ อยากให้เขามีความแข็งแกร่งในตัวเองด้วย แล้วก็รู้สึกว่าการเรียนเหล่านี้มันไม่ได้ไปกดทับความเป็นมนุษย์ในตัวเขาลงไป แต่มันกำลังจะส่งเสริมให้เขาเห็นอะไรบางอย่าง เหมือนกับมองเป้าหมายในอนาคตของตัวเองชัด แล้วก็เห็นเส้นทางการเติบโตของชีวิต”

“ส่วนทุนการศึกษา เราให้เด็กๆ ทุกคนเขียนแผนอาชีพ ก็คือแผนการใช้งบประมาณที่ กสศ.ให้มา เด็กแต่ละคนก็จะมีความฝันต่างกัน เช่น น้องบางคนจะเอาไปซื้อเพชรที่ใช้ปักชุด เพื่อขายให้พี่ศิลปิน 1 ชุดจะได้ 4,000-5,000 บาท สำหรับค่าปักนะครับ หรือบางคนก็จะเอาไปซื้ออุปกรณ์สำหรับไลฟ์ อะไรอย่างนี้ครับ”

ทั้งหมดคือต้นทุนชีวิตและวิชาชีพที่นักเรียนหมอลำได้รับ แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ผู้ออกแบบหลักสูตรอย่างอาจารย์ใหม่ภูมิใจ คือพัฒนาการทางความคิดและทักษะชีวิตที่ทำให้เห็นว่าพวกเขาเติบโตขึ้น

“เด็กๆ มีพัฒนาการที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเปิดตัวเองมากขึ้น มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น แล้วก็เห็นความสำคัญของการเรียนรู้มากขึ้น รวมไปถึงการที่เขามีวินัยมากขึ้นด้วย มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองและต่อการเรียนรู้ครับ” 

หมอลำศึกษา โมเดลต้นแบบการเรียนรู้บนฐานชีวิตและวัฒนธรรม

ถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่าหลักสูตรหมอลำศึกษาได้ไปถึงผลลัพธ์การเรียนรู้ที่วางไว้แล้ว และผู้ออกแบบหลักสูตรอย่างอาจารย์ใหม่ก็พร้อมจะส่งต่อแนวคิดสร้างแรงบันดาลใจให้กับการจัดการเรียนรู้บนฐานชีวิตและวัฒนธรรมอื่นๆ เพื่อสร้างทางเลือกให้กับเด็กและเยาวชนที่อาจจะไม่พร้อมหรือไม่ลงตัวกับการศึกษาในระบบ

“หลักสูตรหมอลำ คอนเซ็ปต์เราคือ ‘เฮียนไป ม่วนไป มีรายได้’ เป็นหลักสูตรที่เรียนรู้แล้วกินได้จริงๆ เป็นหลักสูตรที่เรามองว่า เรียนรู้แล้วมีความสุข เป็นหลักสูตรที่แต่ละคนเรียนรู้การบริหารชีวิตของตนเอง

ฉะนั้นสิ่งที่อยากเชิญชวนให้คนอื่นเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้ คือไม่อยากให้มองว่า ไปดูแล้วม่วนจอยอย่างเดียว แต่อยากชวนให้เห็นว่า น้องๆ บนเวทีควรได้รับโอกาสในการเติบโตในเส้นทางชีวิตของเขา เขาควรมีทางเลือกได้มากกว่านี้ ฉะนั้นก็อยากชวนพ่อแม่แฟนคลับเอฟซีน้องๆ หมอลำช่วยสนับสนุนให้เขาได้เข้ามาเรียนรู้ในลักษณะนี้มากขึ้น และในขณะเดียวกันอยากให้พ่อแม่เอฟซีหมอลำ ได้สนับสนุนให้เขาเติบโตบนเส้นทางชีวิตในมิติอื่นด้วย”

อีกด้านหนึ่ง อาจารย์ใหม่เสนอว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องพยายามสื่อสารให้เห็นว่า “รากเหง้าทางวัฒนธรรมนั้น นำไปสู่การสร้างมูลค่าหรือสร้างคุณค่าควบคู่กันไป ปีที่แล้วเรามีเงินหมุนเวียนในอุตสาหกรรมหมอลำ 6,600 ล้าน ซึ่งน่าสนใจว่าคนที่ทำงานในคณะหมอลำไม่ได้มีแค่ภาคอีสาน มีคนจากภาคอื่นๆ ด้วย”

ที่สำคัญและน่าจะเป็นประโยชน์สูงสุด คือการใช้หลักสูตรหมอลำสร้างแรงบันดาลใจให้กับวิชาชีพอื่นๆ ในการนำทักษะและองค์ความรู้ของตนเองมาออกแบบการเรียนรู้ที่สร้างคุณค่าให้กับคนในสายงานนั้นๆ 

“โนราห์ หนังใหญ่ ลิเก หรือฐานวิชาชีพอื่นๆ สื่อมวลชน นักเขียน น้องๆ อาจจะมีความใฝ่ฝันอยากเดินตาม ถ้าเราเอาคอนเซ็ปต์ของการคิดแบบนี้มาวาง แล้วดีไซน์โดยเอาเนื้อหาของแต่ละวิชาชีพ หรือความเชี่ยวชาญเฉพาะวิชาชีพ แครักเตอร์ของแต่ละวิชาชีพ ใส่เข้าไป ผมคิดว่าหลักสูตรหมอลำจะเป็นพื้นฐานนั้นให้กับวิชาชีพอื่นๆ ได้”

ถอดบทเรียนระบบการศึกษาไทย หาคำตอบใหม่สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต

จากประสบการณ์การทำงานเพื่อเปิดทางเลือกและโอกาสทางการศึกษาให้เด็กนอกระบบ อาจารย์ใหม่มองว่าต้นตอของปัญหานอกจากความยากจนแล้ว ต้องทำความเข้าใจข้อจำกัดภายใต้ระบบการศึกษาไทยด้วย

“ผมไม่ได้โทษการจัดการเชิงระบบของกระทรวงศึกษาธิการ แต่กำลังมองว่าระบบการศึกษามันถูกออกแบบมาให้แข็งตัวเกินไป มันทำให้เด็กบางคนอยู่นอกเลนส์สายตาของครู อยู่นอกเลนส์ความคาดหวังของครู แล้วทำให้เขาไม่มีตัวตนในห้องเรียนหรือในโรงเรียน มันทำให้เขารู้สึกว่า ห้องเรียนหรือการเรียนรู้แบบนั้นอาจจะไม่ตอบชีวิตเขา เมื่อไปผนวกกับปัจจัยอื่น มันผลักดันให้เขาเดินออกมา”

ดังนั้น การแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา (Drop out) นอกจากโฟกัสไปที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว การลดข้อจำกัดและเพิ่มทางเลือกในการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สอดคล้องกับโจทย์ชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย ก็จะทำให้เด็กอีกมากยังคงอยู่หรือกลับสู่เส้นทางการเรียนรู้ได้

“เราจะต้องเอาชีวิตเด็กมาเป็นฐานในการออกแบบการเรียนรู้ เด็กทุกคนมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันมาก ถ้าเขาได้เรียนรู้บนฐานชีวิตของตัวเอง มันจะสร้างความเติบโต เขาจะรู้สึกภูมิใจว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้มันเอาไปใช้ได้จริง

“แล้วจริงๆ โรงเรียนเองก็ทำได้ อย่างที่ กสศ. ทำ 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ มาตรา 15 พ.ร.บ.การศึกษา มันเปิดโอกาสให้โรงเรียนดีไซน์ได้ เพียงแต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งก็เห็นว่า ภาระงานของครูในโรงเรียนมันไม่เอื้อที่จะให้เขาทำแบบนั้น หรือการดีไซน์การเรียนรู้ที่แมตช์กับชีวิตของเด็ก อาจจะลำบาก ฉะนั้นการเปิดโอกาสให้ครูได้อยู่กับเด็กก็เป็นเรื่องสำคัญ”

“ประเด็นที่สอง ถ้าขยับมาอีกนิดนึง ครูกับผู้ปกครองต้องทำงานด้วยกัน ผู้ปกครองอาจจะไม่ได้หมายถึงพ่อแม่เท่านั้น ปู่ย่าตายายที่เลี้ยงดูเด็กๆ หรือแม้กระทั่งคนที่ดูแลเขาอย่างใกล้ชิด น้องๆ ในสถานสงเคราะห์ น้องๆ ในสถานพินิจที่เราทำงานด้วย เขาก็มีพี่ๆ เจ้าหน้าที่คอยดูแล เรามองว่าจะต้องทำงานคู่กันกับครู คือไม่ได้มองว่ามันจะต้องเรียนรู้แบบเป็นแพทเทิร์นตามหลักสูตรแกนกลางเท่านั้น แต่เราใช้ตัวพื้นฐานเหล่านั้นมาดีไซน์ใหม่” 

นอกจากนี้ หากทุกภาคส่วนในสังคมสนับสนุนให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดเฉพาะรั้วโรงเรียนหรือสถานศึกษา เด็กๆ ก็จะเข้าถึงโอกาสในการยกระดับการเรียนรู้ของตัวเองได้ง่ายขึ้น

“ในเชิงนโยบาย ผมมองว่าหน่วยงานเชิงนโยบายต้องสร้างความร่วมมือกันอยางจริงจัง ในการออกแบบการศึกษาที่ตอบชีวิตของคนทุกกลุ่มวัยให้ได้ ไม่อย่างนั้นเราลงทุนกับงานซ่อมมากกว่างานสร้างเยอะมาก”

เมื่อถามว่าแนวคิดนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร อาจารย์ใหม่ชี้ไปที่ ‘การปฏิรูปการศึกษา’ โดยใช้ท้องถิ่นเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ

“เราพูดกันมานาน แต่ก็ไม่สำเร็จสักที ตัว พ.ร.บ.การศึกษาก็ยังไม่ถูกพยายาม หรือขยับก็ขยับไปในทิศทางที่ถูกความเป็นรัฐครอบงำการศึกษาของประชาชน ในขณะเดียวกัน ผมกำลังมองว่าถ้ารัฐเห็นความสำคัญของต้นทุนที่มีในแต่ละพื้นที่ตามบริบทนั้น ควรสร้างพื้นที่ที่มันยืดหยุ่นแล้วก็กระจายอำนาจให้โรงเรียนสามารถที่จะดีไซน์ หรือออกแบบการเรียนรู้บนฐานทรัพยากรที่เขามี 

ผมยังมองว่าท้องถิ่นจะเป็นพาหนะสำคัญที่จะทำให้การศึกษาและการเรียนรู้ หรือแม้กระทั่งการขับเคลื่อนเชิงนโยบายทางการศึกษามันเปลี่ยนหน้าตาไป การศึกษาจะเป็นของทุกคน โรงเรียนจะเป็นโรงเรียนที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ 

การเรียนรู้ตลอดชีวิตมันจะเกิด ขณะเดียวกันการเรียนรู้จะเป็นได้หลากหลายมิติ เช่น การเรียนรู้ผ่านพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ตามีตามายายสีตาสา ทุกคนต่างเป็นครูซึ่งกันและกัน ตรงกับคอนเซ็ปต์ของปัญญากัลป์ ก็คือ เราต่างเป็นปัญญาของกันและกัน และเป็นปัญญาที่ไม่มีที่สิ้นสุด”

Tags:

เฮียนไป ม่วนไป มีรายได้Nomad Learningการเรียนรู้ด้วยตัวเอง(self-directed learning)เด็กนอกระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นหมอลำศึกษาดร.ศุภชัย ไตรไทยธีระ

Author:

illustrator

ชุติมา ซุ้นเจริญ

ลูกครึ่งมานุษยวิทยาและนิเทศศาสตร์ รักการเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร พอๆ กับการเดินทางข้ามพรมแดนทุกรูปแบบ เชื่อเสมอว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่ไม่นิยมแบกโลกไว้บนบ่า

Photographer:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Voice of New Gen
    หมอลำนิวเจน: เรียนไป ม่วนไป เพราะทุกที่คือห้องเรียน ทุกเวทีคืออนาคต

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • SpaceLife Long Learning
    TK Park พื้นที่ลดความเหลื่อมล้ำทางการเรียนรู้ ที่ชวนทุกคนมาอ่าน คิด และลงมือทำ: กิตติรัตน์ ปิติพานิช ผอ.สถาบันอุทยานการเรียนรู้

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘ถึงไม่ได้เติบโตมาอย่างดีก็เอาดีได้’ จากนักพนันรุ่นจิ๋วสู่ครูมโนราห์ของเด็กนอกระบบ: วิชญะ เดชอรุณ

    เรื่อง ชุติมา ซุ้นเจริญ ภาพ ปริสุทธิ์

  • นวัตกรรม ‘ห้องเรียนเคลื่อนที่’ การจัดการเรียนรู้ในพื้นที่ห่างไกล เมื่อออนไลน์ไปไม่ถึง

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • Learning Theory
    HOME-BASED LEARNING : บทบาทผู้ปกครองในวันที่ลูกต้องเรียนแบบ homemade ที่บ้าน

    เรื่อง ปรียานุช ปรีชามาตย์

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย
Transformative learning
22 September 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 7 เสนอข้อตีความจากบทที่ 5 Getting Unstuck : The Roundabout Path to Forward Progress

ข้อสรุปอย่างสั้นที่สุดคือ เพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุด ต้องรู้จักเดินทางไกล เดินทางเอาชนะเส้นทางที่ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างรุนแรง จนในบางจุดบางช่วงเวลาต้องเดินย้อนกลับหรือเดินบนต่างเส้นทาง โดยไม่ละเป้าหมายเดิม อาจต้องมีการ ‘เติมไฟ’ ด้วยกิจกรรมอื่น เช่น งานอดิเรก อาจต้องมีการ Unlearn บางทักษะ เพื่อ Relearn ทักษะที่ต้องการใช้บรรลุเป้าหมายสูงสุดนั้น

เรื่องราวในบทนี้ทั้งบท เป็นเรื่องเล่าชีวิต ‘ตกต่ำเจ็ดที ขึ้นเป็นสตาร์เจ็ดหน’ ของนักกีฬาเบสบอลอาชีพของอเมริกา R.A. Dickey เอามาเป็นบทเรียนว่าชีวิตของการไต่ขึ้นสู่ความสำเร็จสูงสุดนั้น ไม่ใช่เส้นทางที่เป็นเส้นตรง แต่เป็นเส้นทางที่ดิ่งลงเหว และไต่ขึ้นเขาด้วย ต้องฉุดตัวขึ้นจากหล่มเป็น ตรงกับคำพังเพยไทยโบราณว่า ชีวิตคนเรา ‘ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน’

ฉุดตัวเองขึ้นจากหล่ม โดยรู้จักปะติดปะต่อคำแนะนำของคนอื่น เอามาสร้าง ‘นั่งร้าน’ (Scaffolding) ให้แก่ตนเอง ตรงตามสาระในหนังสือ เพื่อครูและนักเรียนเป็นนักพัฒนาตนเอง 

ถอยหลังเพื่อเคลื่อนไปข้างหน้า

R.A. Dickey เกิดมาเป็นดาวเด่นของกีฬาเบสบอลตั้งแต่เรียนเกรด 7 และมีความสำเร็จและชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว ตอนอายุ 22 ปี ไปเตรียมเซ็นสัญญาเข้าทีม The Ranger โค้ชคนหนึ่งสังเกตว่าแขนขวาของเขาห้อยในท่าที่ผิดปกติ จึงส่งไปเอ็กซเรย์ และพบว่าข้อศอกขวาของเขาไม่มีเอ็นเส้นหนึ่ง ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการขว้าง มีผลให้เขาได้รับการปฏิเสธให้เข้าทีม

เขาต้องเล่นเบสบอลในทีมเล็กๆ อยู่ 7 ปี The Ranger จึงดึงเขาเข้าทีม แต่ผลงานของเขาไม่ดี แม้จะได้พยายามฝึกวิธีขว้างบอลแบบใหม่ที่หลอกล่อผู้ตีลูกฝ่ายตรงข้าม เขาถูกลดลงไปเล่นในทีมรอง เป็นความล้มเหลวครั้งที่สอง

เขาฝึกซ้อมอย่างหนักในช่วงนอกฤดูกาลแข่งขัน ปีต่อไป The Ranger ให้เขาเล่นใน Major League อีก และล้มเหลวอีกเป็นครั้งที่สาม เมื่ออายุ 31 ปี

อายุ 35 R.A. Dickey เกิดใหม่เป็นนักเบสบอลดาวเด่น ผู้ขว้างลูกแบบซิกแซ็ก ผู้ตีลูกเล็งทิศยาก ที่เรียกว่าการขว้างแบบ Knuckleball จากการฝึกฝนตนเอง สร้างนั่งร้านให้แก่ตนเอง ผ่านการได้รับคำแนะนำที่หลากหลายจากโค้ช

เล็งเป้าแล้วยิงโดยไม่กลัวผิด

แนวทางเก่าที่ไม่ได้ผลไม่สามารถพัฒนาให้นำสู่เป้าหมายที่ต้องการได้ เพื่อแสวงหาแนวทางใหม่เราต้องการเข็มทิศ หรือการชี้นำหรือชี้แนะ แต่การที่จะได้รับการชี้แนะตัวเราต้องแสดงท่าว่าต้องการ ความมุ่งมั่นของ R.A. Dickey ที่จะพัฒนาตัวเป็นนักขว้างเบสบอลชั้นเลิศ แสดงออกโดยการหมั่นฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอนับสิบปี ช่วยให้เขาได้รับคำชี้แนะ ที่ผมเชื่อว่าได้รับมากมายหลากหลาย

ผมเชื่อว่า คนที่จะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ในชีวิตนั้น ต้องรู้จักเลือกคำชี้แนะด้วยความปรารถนาดี และ R.A. Dickey เลือกเชื่อคำแนะนำว่า ท่าขว้างลูกของเขานั้น คล้ายกับท่า Knuckleball เขาจึงเลือกเอามาฝึกเป็นท่าพิเศษประจำตัว ที่นอกจากฝึกเองแล้วยังติดต่อขอคำแนะนำ รวมทั้งเดินทางไปพบนักขว้าง Knuckleball จำนวนมาก เพื่อขอให้แสดงท่าให้ดูและสอนวิธีขว้าง

เขานำเอามาฝึกตัวเองให้เลิกใช้ท่าขว้างแบบที่ใช้อยู่ (Unlearn) และเรียน (ฝึก) วิธีใหม่ (Relearn) ซึ่งสุดแสนจะยากเย็น

ผู้เชี่ยวชาญสอนไม่เป็น

มีผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย นอร์ธเวสเทอร์น รวบรวมข้อมูลจากนักศึกษาน้องใหม่ปี 2001 – 2008 จำนวนกว่า 15,000 คน เปรียบเทียบผลการเรียนวิชานั้นในชั้นปีที่ 2 ระหว่างผู้ที่เรียนวิชา บทนำ ในปีที่ 1 กับศาสตราจารย์ กับผู้ที่เรียนกับอาจารย์ธรรมดา พบว่า ไม่ว่าวิชาใด นักศึกษากลุ่มที่เรียนวิชาบทนำกับอาจารย์ธรรมดา มีผลการเรียนวิชานั้นในปีที่ 2 ดีกว่านักศึกษากลุ่มที่เรียนกับศาสตราจารย์ บอกเราว่า คนที่รู้มากมักสอนไม่เก่ง ปรากฏการณ์นี้ เรียกว่า ‘คำสาปของความรู้’ (Curse of Knowledge)

คนที่จะมาช่วยชี้แนะวิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศจึงควรมีหลายคน อย่างที่ R.A. Dickey ได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญหลายคน คนหนึ่งชี้แนะที่จุดหนึ่ง อีกคนชี้แนะที่อีกจุด แล้วเลือกนำมาทดลองและปรับปรุงให้เหมาะกับตัวเรา นั่นคือ ในที่สุดแล้ว เราเขียนคู่มือฝึกให้แก่ตัวเอง

เขียนหนังสือคู่มือฝึกให้แก่ตนเอง

ในกรณีของ R.A. Dickey ไม่มีการเขียนคู่มือจริงๆ เป็นการเปรียบเทียบ ว่าคล้ายเขียนคู่มือฝึกให้แก่ตนเอง ผ่านการไปขอคำแนะนำจากนักขว้าง Knuckleball ระดับดาราหลายคน บางคนไปหลายครั้ง ไปขว้างให้ดู แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญแนะว่าควรปรับตรงไหนอีกบ้าง เขาจดจำนำมาฝึก ทดลองปรับ รวมทั้งออกแบบวิธีฝึก รวมทั้งความยาวของเล็บที่ใช้จิกลูกบอล ให้แก่ตนเอง รวมแล้วมีการฝึกขว้างลูกกว่าสามหมื่นครั้ง จึงสามารถขว้างท่า Knuckleball ได้เป็นอย่างดี

แต่การขว้างลูกท่านี้มีจุดอ่อนรุนแรง คือผู้ขว้างเองก็ไม่รู้ว่าลูกในจะแล่นไปทางไหน การเล่นโดยใช้ท่าขว้างนี้จึงต้องการความมั่นคงทางอารมณ์ที่สูงมาก

สามปีหลังการฝึกท่านี้ เขาลงเล่นด้วยการขว้างแบบนี้ และล้มเหลว นำสู่สภาพอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (Languish) หรือหมดไฟอยู่เป็นเวลาหนึ่ง นี่คือสภาพทางอารมณ์ที่คนที่มุ่งมั่นจะพัฒนาตนเองสู่เป้าหมายยิ่งใหญ่ทุกคนต้องเผชิญ

เดินออกนอกเส้นทางเพื่อพิชิตเส้นทาง   

เรามักเข้าใจกันว่า การฝึกฝนเพื่อบรรลุทักษะชั้นเลิศนั้น ต้องพุ่งพลังทั้งหมดให้แก่เรื่องนั้น ไม่สนใจเรื่องอื่นที่จะมาแย่งพลังไปจากเรื่องนั้น นั่นคือความเข้าใจผิด

ในความเป็นจริง เราต้องเพิ่มพลังโดยการหยุดพักไปทำอย่างอื่นบ้าง การหยุดพักไปทำอย่างอื่นไม่เป็นการเสียเวลาและเสียพลัง แต่จะเป็นการเพิ่มพลัง ช่วยให้บรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และยากยิ่งนั้น ได้ง่ายขึ้น คือช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจ (Motivation)

มีผลงานวิจัย บอกว่าการมีงานอดิเรกที่บ้าน ช่วยให้งานในที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น หากงานอดิเรกนั้นเป็นคนละเรื่องหรือไม่เกี่ยวข้องกับงาน ทำให้ผมตีความว่า เป็นการประยุกต์หลักการ ‘แทรกสลับ’ (Interleaving) ในการเรียน

หลักการทางจิตวิทยาบอกว่า คนเราต้องการกำลังใจจากการได้เห็นความก้าวหน้า หากงานที่กำลังทำมีความก้าวหน้าช้าหรือยังไม่ค่อยเห็น หากเรามีงานอดิเรก หรือกิจกรรมเสริมที่มองเห็นความก้าวหน้าชัดเจน โดยที่อาจเป็นเพียงความก้าวหน้าเล็กๆ น้อยๆ ก็จะช่วยให้เรามีกำลังใจทำงานหลักได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ในกรณีของ R.A. Dickey การเดินออกนอกเส้นทางนี้ไปไกลและสูง คือไปปีนยอดเขาคิลิมันจาโร (Kilimanjaro) ที่สูงที่สุดในอัฟริกา เพื่อรวบรวมทุนการกุศล 1 แสนเหรียญ ไม่ทราบว่าความแกร่งจากการปีนเขา หรือจิตสุขที่ได้ทำบุญ เมื่อเขากลับมาลงเล่นเกมแข่งขัน ก็นำเขาสู่ผลงานที่เป็นจุดสูงสุดในชีวิต

ขอสะท้อนคิดเชื่อมโยงการมีทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills) ของ R.A. Dickey ที่ช่วยให้เขามุ่งมั่นฟันฝ่าสู่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ จะเห็นว่าเขามีสามในสี่มิติของทักษะเชิงลักษณะนิสัย อันได้แก่ พฤติกรรมเชิงรุก (Proactive) มีวินัย (Disciplined) ตั้งจิตมั่น (Determined) โดยมิติที่ไม่ชัดคือ เห็นแก่ส่วนรวม (Prosocial)

ข้อเรียนรู้ต่อวงการศึกษา

Generative AI Perplexity ให้คำแนะนำว่า ข้อเรียนรู้สำหรับวงการศึกษาจากชีวิตของ R.A. Dickey ตามที่เล่าในหนังสือ Hidden Potential ได้แก่

  • มีใจกว้างต่อเส้นทางความสำเร็จในชีวิตของนักเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความชอบหรือหลงใหลของตน
  • ฝึกนิสัยให้เป็นคนมานะพยายาม ต่อสู้ฟันฝ่า ไม่ท้อถอยเมื่อล้มเหลว
  • ส่งเสริมให้เด็กที่มีเป้าหมายการฝึกฝนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง ได้มีครูฝึก (Mentorship)
  • สอนเรื่องการปรับตัว ที่ในอนาคตอาจต้องเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และละทิ้ง (Unlearn) บางวิธีการ อย่างที่ R.A. Dickey ทำ เพื่อหันไปเรียนรู้วิธีการใหม่ (Relearn)
  • ทำความเข้าใจต่อ ความล้มเหลว (Failure) เสียใหม่ ว่าเป็นเส้นทางที่ดีเยี่ยมต่อการเรียนรู้ ที่จะนำสู่ความสำเร็จในที่สุด คนเราต้องรู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลว มองความล้มเหลวเป็นเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP6 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

Tags:

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชความสำเร็จความล้มเหลวการฝึกฝน

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

The Iron Claw: ท่าไม้ตายของพ่อแม่ คือการแสดงความรักอย่างปราศจากเงื่อนไข
Movie
19 September 2025

The Iron Claw: ท่าไม้ตายของพ่อแม่ คือการแสดงความรักอย่างปราศจากเงื่อนไข

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • The Iron Claw เป็นภาพยนตร์อเมริกันดรามาจากสตูดิโอ A24 ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของครอบครัว วอน เอริช ซึ่งโด่งดังในวงการมวยปล้ำยุค 70-90 กำกับและเขียนบทโดย ฌอน เดอร์กิน
  • ภาพยนตร์สะท้อนภาพของการเลี้ยงลูกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันและความคาดหวังของพ่อแม่ที่ยัดเยียดความต้องการของตนให้กับลูก พร้อมกับประเมินคุณค่าของลูกแต่ละคนผ่านผลลัพธ์ที่ตนต้องการ
  • แฟนภาพยนตร์หลายคนเห็นตรงกันว่า นี่คือหนึ่งในการการแสดงที่ดีที่สุดของ ‘แซค เอฟรอน’ ในบท ‘เควิน วอน เอริช’ พี่ชายที่ต้องสูญเสียน้องๆ ไปทีละคน

“คำว่าพ่อแม่รักลูกทุกคนเท่ากันมันน้ำเน่า”  

“นิ้วมือยังมีห้านิ้ว ยังไงกูก็รักพวกมึงไม่เท่ากัน” 

“ใครทำตามที่กูสั่งได้ กูก็รักคนนั้นมากกว่า”

เสียงของพ่อที่เคยกรอกหูผมสมัยเด็กดังขึ้นมาอีกครั้ง ระหว่างนั่งดู The Iron Claw ภาพยนตร์ที่สร้างจากโศกนาฏกรรมจริงของ วอน เอริช ตระกูลนักมวยปล้ำชื่อโด่งดังยุค 70-90 เพราะสิ่งที่พ่ออย่าง ‘ฟลิตซ์’ พูดกับลูกชายทั้งสี่ แทบไม่ต่างอะไรจากคำที่ผมเคยได้ยินมาเลย

‘ฟลิตซ์’ เป็นอดีตนักมวยปล้ำผู้ดุดัน เขามีท่าไม้ตายอันโด่งดัง ‘The Iron Claw’ (กรงเล็บเหล็ก) ที่บดขยี้กะโหลกคู่ต่อสู้จนคว้าชัยมานับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกลับถูก ‘การเมืองในวงการ’ ปิดกั้นไม่ให้ชิงแชมป์โลก เขาจึงผลักดันลูกชายทั้งสี่ให้สานต่อฝันนั้น พร้อมจัดอันดับความรักของลูกแต่ละคนตามผลงานบนเวที และย้ำว่า ‘อันดับเปลี่ยนแปลงได้เสมอ’ ดังนั้นความรักในครอบครัววอน เอริช จึงกลายเป็นเหมือนรางวัล…ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วโดยไม่ต้องพิสูจน์   

ลูกก็คือลูก ลูกไม่ใช่เครื่องมือชดเชยความฝันที่ไม่สำเร็จของพ่อแม่

ฟลิตซ์คือภาพแทนของพ่อแม่ที่นำความฝันของตนเองมาผูกไว้กับลูก โดยใช้ความรักเป็น ‘เหยื่อล่อ’ ให้ลูกเชื่อว่าความรักต้องแลกมาด้วยผลงานและความสำเร็จ สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ‘คำสาปแห่งวอน เอริช’ ที่พรากลูกชายไปทีละคน ซึ่งสะท้อนชัดเจนผ่านคำพูดของเควิน ลูกชายคนรอง

“ตั้งแต่เด็ก คนเอาแต่พูดว่าครอบครัวผมถูกสาป เราไม่เคยคุยกันเรื่องนี้เลย ผมไม่รู้ว่าตอนนั้น น้องๆ ผมเชื่อหรือเปล่า แต่เรื่องร้ายชอบเกิดขึ้นกับเราเสมอ แม่พยายามใช้พระเจ้าปกป้องเรา ส่วนพ่อใช้มวยปล้ำปกป้องพวกเรา พ่อบอกว่าถ้าเราแกร่งที่สุด แข็งแรงที่สุด ประสบความสำเร็จที่สุด จะไม่มีอะไรทำร้ายเราได้ ผมเชื่อพ่อ พวกเราทุกคนด้วย พวกเรารักพ่อและเรารักมวยปล้ำมาก” 

สำหรับเด็ก พ่อแม่เปรียบดั่งพระเจ้า ทุกถ้อยคำและการกระทำของพ่อแม่ล้วนทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาไว้ในใจ ดังนั้นการที่เควินกับน้องๆ บอกว่ารักมวยปล้ำและอยากเป็นแชมป์โลกจึงอาจไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริง หากแต่เป็นการพยายามไขว่คว้าหาความรักจากพ่อ…แต่น่าเสียดายที่ฟลิตซ์กลับผูกความรักเข้ากับผลงานและชัยชนะบนสังเวียน ทำให้ลูกๆ ต้องวิ่งตามเงื่อนไขที่เติมเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม

เมื่อฟลิตซ์ติดกระดุมเม็ดแรกผิด คำสาปแห่งวอน เอริช ก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน เริ่มจาก ‘เดวิด’ ที่ทุ่มเทฝึกซ้อมจนร่างกายพังและเสียชีวิตกะทันหัน  

สิ่งที่ผมจุกอกคือ ในงานศพของเดวิด ฟลิตซ์ไม่เพียงสั่งลูกว่าห้ามแสดงความอ่อนแอหรือร้องไห้ แต่ยังบอกลูกๆ ในคืนเดียวกันว่าอย่าปล่อยให้ความตายนี้เป็นอุปสรรคต่อผลงานและเป้าหมายในการเป็นแชมป์โลก

“ถอดแว่นกันแดดออกให้หมดทุกคนเลย ไม่ต้องแอบซ่อน พระเจ้าได้ตัดสินใจแล้วว่าถึงเวลาที่เดวิดต้องไป เราต้องยอมรับให้ได้ ชีวิต 25 ปีของมัน ใช้มาเหมือน 75 ปี” ฟลิตซ์กล่าวกับลูกๆ อย่างไม่แยแส

ตัวละครถัดมาที่ต้องคำสาป คือ ‘ไมเคิล’ ลูกคนเล็กที่ไม่ชอบมวยปล้ำแต่รักดนตรี โชคร้ายที่เขาถูกพ่อแม่กีดกัน ทั้งยังบังคับเขาให้เข้าวงการมวยปล้ำ จนสุดท้ายสิ้นหวังและจบชีวิตตัวเอง

“ผมกลัวมากครับแม่ ผมไม่ใช่เดวิด ทุกคนอยากให้ผมเป็นเดวิด แต่ผมแทนที่พี่ไม่ได้หรอก” ไมเคิลบอกแม่ แต่น่าเสียดายที่แม่ไม่สนใจจะช่วยหรือลองหาทางคุยกับพ่อ แถมยังเอาแต่อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นพระประสงค์บางอย่างของพระเจ้า

ส่วนลูกรักอย่าง ‘แครี่’ ที่ทำความฝันพ่อสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท นอกจากเขาดูจะไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยังเคราะห์ร้ายประสบอุบัติเหตุจนต้องถูกตัดขา จนในที่สุดก็เลือกจบชีวิตลง เพราะนอกจากมวยปล้ำแล้ว เขาไม่เคยเห็นคุณค่าอื่นใดในตัวเอง  

“ฉันกลัวมากเลยพี่ ฉันกลัวคิดอะไรไม่ออกแล้ว ฉันเจ็บมาก ฉันเจ็บปวดตลอดเวลา ฉันมันพิการ แอบซ่อนมันไม่ไหวอีกแล้ว พวกนั้นไม่ให้สัญญาฉบับใหม่ฉัน จากนี้ไปให้ปล้ำแต่ในโชว์ พวกนั้นไม่ต้องการฉันอีกแล้ว ฉันไม่มีที่ไป ฉันไม่เหลือใคร…ฉันต้องการใครสักคน ฉันอยากมีครอบครัว แต่ฉันจะให้ลูกๆ ของพี่เห็นฉันในสภาพนี้ไม่ได้หรอก ฉันอยากให้ทุกอย่างมันจบจริงๆ ฉันมันถูกสาป ฉันอยากตาย คำสาปอยู่กับฉันแล้ว ฉันเป็นของมัน” แครี่โทรมาระบายความในใจกับเควินเป็นครั้งสุดท้าย 

ในฐานะลูกที่ถูกตั้งเงื่อนไขในความรัก ผมขอย้ำอีกครั้งว่าการกระตุ้นให้ลูกสนองความต้องการของพ่อแม่โดยเอาความรักเป็นเหยื่อล่อคือความเลวร้าย 

เพราะเด็กๆ ต่างต้องการเป็นที่รักของพ่อแม่ เขาจึงยอมทุ่มเททำทุกวิถีทางเพื่อให้ตนเองกลายเป็นที่รัก แม้ว่าระหว่างทางจะต้องแลกมาด้วยการฝืนความต้องการของตัวเอง การมองพี่น้องเป็นคู่แข่ง หรือการประสบปัญหาทางสุขภาพจิต แต่น่าเสียดายที่พ่ออย่างฟลิตซ์มองลูกๆ ของเขาในฐานะเครื่องมือสู่ความสำเร็จ จนลืมไปว่าที่สุดแล้ว ลูกก็คือลูก…ไม่ใช่นักกีฬา

อย่าลืมความเจ็บปวดที่โดนทำร้าย อย่ากลายเป็นคนแบบที่เราเกลียด

บาดแผลที่ฝังลึกของฟลิตซ์คือการถูกการเมืองในวงการ ‘ปล้นโอกาส’ ชิงแชมป์โลกไปจากตัวเอง แต่มันก็ช่างย้อนแย้งราวกับตลกร้ายฉากใหญ่ เมื่อเขาผันตัวมาเป็นโปรโมเตอร์ และเลือกทำซ้ำในสิ่งที่เขารังเกียจกับลูกชาย โดยเฉพาะ ‘เควิน’ ผู้ที่แบกความหวังไว้เต็มสองบ่า แต่กลับถูกกีดกันด้วยข้ออ้างและเหตุผลนับร้อยที่ฟลิตซ์ใช้กลบเกลื่อน ทั้งที่ความจริงคือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม

แม้เควินจะเป็นแชมป์เท็กซัส เคยชนะแชมป์โลกอย่าง ‘ฮาร์ลีย์ เรซ’ แบบไม่เป็นทางการ และมีฝีมือที่คู่ควรกับโอกาสที่สุด แต่เมื่อถึงเวลาต้องเลือกตัวแทนขึ้นชิงเข็มขัดที่รอคอย พ่อกลับเลือกเดวิดเพียงเพราะเขามี ‘ภาพลักษณ์และฝีปาก’ ที่ ‘ขายได้’ มากกว่า  

“ฉันทำใจไม่ค่อยได้ที่แกแซงหน้าฉัน ฉันโกรธมาก ไม่ได้โกรธแกนะ แต่โกรธสถานการณ์ทั้งหมด แต่ฉันเองไม่ได้อยากได้แชมป์ขนาดนั้น ฉันแค่สนุกกับการออกไปปล้ำกับพวกแก มันเป็นอย่างเดียวที่สำคัญสำหรับฉัน” เควินเปิดใจกับเดวิดด้วยความปวดร้าว

และแม้เดวิดจะเสียชีวิตลงกะทันหัน ฟลิตซ์ก็ยังอุตส่าห์ใช้วิธีคัดเลือกลูกที่จะขึ้นมาเป็นตัวแทนของเดวิด ด้วยการโยนเหรียญเสี่ยงทายระหว่างเควินกับแครี่ กระทั่งแครี่ประสบอุบัติเหตุจนต้องตัดขาทิ้ง เควินถึงได้ขึ้นชิงแชมป์โลกเป็นครั้งแรกกับ ‘ริค แฟลร์’ 

ในการแข่งครั้งประวัติศาสตร์แห่งวงการมวยปล้ำ เควินใช้ท่าไม้ตาย ‘กรงเล็บเหล็ก’ บดขยี้กะโหลกของริค แฟลร์ ราวกับจะให้แหลกคามือ โดยไม่สนใจว่าริค แฟลร์จะเอื้อมไปสัมผัสเชือก หรือกรรมการจะสั่งให้เขาปล่อยมือ เควินก็ไม่ยอมหยุด…จนถูกปรับแพ้ฟาวล์ทันที 

บางคนอาจมองว่าการกระทำของเควินนั้นช่างไร้น้ำใจนักกีฬา บางคนอาจบอกว่าเควินอาจก่อกบฏเลยต้องโชว์เหนือ…เพราะมวยปล้ำก็แค่การแสดงที่ผู้จัดล็อกผลให้ ริค แฟลร์ เป็นฝ่ายชนะมาตั้งแต่แรก แต่ผมมองว่าฉากดังกล่าวคือ การระเบิดความแค้นความเจ็บปวดที่สะสมมาทั้งชีวิต ซึ่งเป็นสัญญาณกรีดร้องของหัวใจที่แหลกสลาย และไม่เคยได้รับการเยียวยาของเด็กในร่างผู้ใหญ่คนหนึ่ง

หลังจากนั้น ภาพยนตร์ก็ตัดภาพไปที่เควินที่ผันตัวไปอยู่เบื้องหลังเหมือนพ่อของเขา คำถามสำคัญของผมก็ตามมาว่าเมื่อเควินเป็นพ่อ เขาจะเดินซ้ำรอยฟลิตซ์ หรือเลือกเส้นทางที่ตรงกันข้าม? 

และภาพยนตร์ก็ได้มอบคำตอบอันงดงามผ่านฉากที่เควินเผลอร้องไห้ต่อหน้าลูกชาย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่อขอโทษที่ต้องให้ลูกมาเห็นพ่อในสภาพแบบนี้…พ่อก็แค่เคยเป็นพี่ชาย แต่ตอนนี้พ่อไม่ใช่พี่ชายอีกแล้ว” แต่ลูกชายของเขาไม่ได้แสดงท่าทีผิดหวังหรือตกใจ ทั้งยังตอบพ่อด้วยความอ่อนโยน “ไม่เป็นไรครับพ่อ พ่อร้องไห้เถอะ ใครๆ ก็ร้องไห้ทั้งนั้น…งั้นให้ผมเป็นน้องชายของพ่อก็ได้นะครับ” 

ผมคิดว่าช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่ ‘คำสาปแห่งวอน เอริช’ ถูกทำลายลง เพราะมันทำให้เควินเลือกที่จะไม่เป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เขาเกลียด เขารักลูก เพราะลูกเป็นลูก ลูกที่ทำให้เขารู้ว่าผู้ชายก็ร้องไห้ได้ อ่อนแอได้ และยังคงมีคุณค่าเสมอ

ท้ายที่สุด ผมคิดว่าหัวใจของภาพยนตร์คือการบอกเราว่า ความรักของลูกที่มีต่อพ่อแม่นั้นไม่ได้ถูกวัดด้วยความสมบูรณ์แบบหรือเกียรติยศ แต่เป็นหัวใจที่โหยหาการยอมรับเสมอ ดังนั้นหน้าที่ของพ่อแม่จึงไม่ใช่การสร้างเงื่อนไข หากแต่เป็นการมองเห็นคุณค่าในตัวลูก และรักลูกในแบบที่เขาเป็น เพื่อจะได้ไม่เผลอเดินซ้ำรอยกลายเป็นผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ในแบบเดียวกับที่ตัวเองเคยเกลียด…โดยที่เราอาจไม่เคยรู้ตัว   

Tags:


Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Book
    หินของซิซีฟัส : โลกที่ไร้เหตุผลที่กับความหมายที่ไม่ต้องรอให้ใครกำหนด

    เรื่อง เจษฎา อิงคภัทรางกูร

  • Book
    การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์: การเรียนรู้ผ่านอุปสรรคและโพยภัย

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ที่ที่ดีที่สุดในโลกอยู่ตรงนี้: เมื่อหยุดค้นหาจึงได้ค้นพบ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Let Them Theory (2): เปลี่ยน ‘การเปรียบเทียบ’ อันขมขื่น ให้เป็นบทเรียนที่นำเราไปสู่ศักยภาพซ่อนเร้น

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    ‘เด็กบึง’ เหยื่ออคติผู้พลิกชีวิตด้วยความใฝ่รู้: ปมรักในบึงลึก

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

Gamification EP2: ‘เกม’ เพื่อ ‘การศึกษา’ ที่แท้ ต้องช่วยให้เด็กเชื่อมโยงกับโลกจริง ไม่ใช่เชื่อมโยงกับการได้รางวัล
Education trend
18 September 2025

Gamification EP2: ‘เกม’ เพื่อ ‘การศึกษา’ ที่แท้ ต้องช่วยให้เด็กเชื่อมโยงกับโลกจริง ไม่ใช่เชื่อมโยงกับการได้รางวัล

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • ‘Meaningful Gamification’ หมายถึง การนำองค์ประกอบของเกมมาช่วยสร้าง ‘แรงจูงใจภายใน’ และ ‘ความหมาย’ ในบริบทที่ไม่ใช่เกม โดยแนวคิดนี้มีหัวใจหลักที่ว่า คนเราเข้าร่วมกิจกรรมเพราะความต้องการของตัวเอง
  • การนำ Gamification เข้ามาอาจทำให้เด็กบางคนรู้สึกถูกบังคับให้เล่นเกม ซึ่งการเล่นสนุกที่ผ่านการบังคับไม่ใช่การเล่นสนุกที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม การไม่บังคับให้เด็กเล่นเลยคงไม่สามารถทำได้ แต่เราสามารถลดทอนความรุนแรงในการบังคับได้ผ่านการเพิ่มทางเลือกในการสำรวจ
  • Gamification เกิดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมความรักในการเรียนรู้ แต่เมื่อรางวัลได้กลายมาเป็นเป้าหมายหลัก เช่นนั้นแล้ว Gamification ก็ไม่ต่างอะไรกับการศึกษาในปัจจุบันที่เน้นแต่เกรดและคะแนน จนทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็กให้หายไปหมดสิ้น

บทความที่แล้วเราพูดถึง ‘Gamification’ การนำรูปแบบหรือองค์ประกอบของเกมเข้ามาประยุกต์ใช้ในบริบทการศึกษา ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความสนุกแล้ว ยังส่งเสริมให้เด็กรักการเรียนรู้ได้จากการสร้างแรงจูงใจภายในด้วยการเติมเต็มความรู้สึกถึงการมีความสามารถ ความเป็นอิสระ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม การออกแบบ Gamification โดยไม่คำนึกถึงเงื่อนไข 3 ประการในข้างต้นก็อาจนำไปสู่ผลเสียได้ เช่น การใช้รางวัลภายนอกมากเกินไปจนเด็กไม่ได้สนใจการเรียนรู้ หรือการเกิดความเครียดและความรู้สึกต้อยต่ำจากการแข่งขันที่ยากเกินไปดังนั้นจึงได้มีการคิดค้น Gamification รูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ได้มุ่งเน้นรางวัลภายนอกมากเกินไป แต่เน้นไปที่การสร้างความหมายให้กับการเรียนรู้อย่าง ‘Meaningful Gamification’

Meaningful Gamification คืออะไร?

สก็อตต์ นิโคลสัน (Scott Nicholson) ศาสตราจารย์ด้านการออกแบบและพัฒนาเกมที่ Wilfrid Laurier University กล่าวว่า ในปัจจุบัน Gamification บางส่วนไม่ได้รับการออกแบบอย่างรอบคอบ กล่าวคือ นำแค่องค์ประกอบของเกมอย่างแต้ม (Point) เข้ามา โดยไม่ได้สนใจผู้เล่นแต่อย่างใด ลักษณะเช่นนี้ควรเรียกว่า ‘Pointsification’ เสียมากกว่า

อีกทั้งผู้สร้างเกมบางส่วนมักไม่ได้คิดถึงการเสริมสร้างแรงจูงใจภายใน แต่มุ่งเน้นไปที่แรงจูงใจภายนอกเพียงอย่างเดียว การทำเช่นนี้จะสร้างความเปลี่ยนแปลงแค่ในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเมื่อพฤติกรรมไหนถูกขับเคลื่อนด้วยรางวัล พฤติกรรมนั้นจะต้องตกอยู่ในวังวนของรางวัลตลอดไป ถ้ารางวัลหายไป พฤติกรรมนั้นก็จบลง

การสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องใช้ ‘แรงจูงใจภายใน’ โดยจะเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ ได้แก่ ความรู้สึกถึงการมีความสามารถ ความเป็นอิสระ และความสัมพันธ์กับผู้อื่น เมื่อระบบเกมสามารถเติมเต็มความต้องการเหล่านี้ได้ ผู้เล่นจะเกิดแรงกระตุ้นจากภายในให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้นต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องใช้รางวัลภายนอก 

ด้วยเหตุนี้ ศาสตราจารย์นิโคลสันจึงเสนอแนวคิดที่เรียกว่า ‘Meaningful Gamification’ หมายถึง การนำองค์ประกอบของเกมมาช่วยสร้าง ‘แรงจูงใจภายใน’ และ ‘ความหมาย’ ในบริบทที่ไม่ใช่เกม โดยแนวคิดนี้มีหัวใจหลักที่ว่า คนเราเข้าร่วมกิจกรรมเพราะความต้องการของตัวเอง ถ้าเราช่วยจูงใจจากภายในและสร้างความหมายให้กับกิจกรรมนั้น ก็จะทำให้คนหันมาสนใจ เข้าร่วม และเกิดการเรียนรู้ได้

นอกจากนี้ การสร้างให้สิ่งหนึ่งมีความหมาย สิ่งนั้นจะต้องมีความเชื่อมโยงกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของบุคคลนั้น โดยการเชื่อมโยงที่ง่ายที่สุดและเกี่ยวข้องกับทุกคนคือ ‘การเชื่อมโยงกับโลกจริง’

เช่น ถ้าเราเอาตรีโกณมิติให้เด็กเรียนเฉยๆ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย วิธีแก้ปัญหาแบบคลาสสิกคือการเพิ่มรางวัลเข้าไป เช่น ให้คะแนนหรือรางวัลพิเศษ แต่เราถ้าสร้างให้ตรีโกณมิติมีความหมายความกับเด็กผ่านการเชื่อมโยงกับโลกจริง เช่น นำตรีโกณมิติมาใช้ในการคำนวณหยดเลือดเพื่อสืบคดี เช่นนี้เด็กจะรู้สึกสนใจและอยากเรียนรู้เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องได้

เพื่อจะบรรลุเป้าประสงค์ของ Meaningful Gamification ศาสตราจารย์นิโคลสันจึงเสนอแนวทางในการสร้าง Meaningful Gamification ผ่าน 6 องค์ประกอบ ได้แก่ การเล่นสนุก (Play), การปูพื้นเรื่อง (Exposition), ทางเลือก (Choice), ข้อมูล (Information), การมีส่วนร่วม (Engagement) และการสะท้อนทบทวน (Reflection) โดยเมื่อนำอักษรตัวแรกของแต่ละคำมาจัดเรียงใหม่จะได้ว่า ‘RECIPE’

  • การเล่นสนุก (Play)

การเล่นสนุกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นมีอิสระ มีทางเลือก และมีขอบเขตให้สำรวจอย่างเสรี ทั้งนี้ ‘เกม’ กับ ‘การเล่นสนุก’ มีความแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่เกมจะมีเป้าหมายและแบบแผนที่ตายตัว แต่การเล่นสนุกจะมีเป้าหมายและแบบแผนที่ยืดหยุ่นมากกว่า โดยผู้เล่นมักเป็นคนกำหนดกันเอง

ดังนั้นการสร้าง Gamification ที่เน้นการเล่นสนุก คือ การสร้างพื้นที่ให้ผู้เล่นสามารถสร้างและปรับเปลี่ยนข้อจำกัดต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง สิ่งไหนที่ผู้เล่นเห็นว่าไม่สนุกก็จะมีการปรับเปลี่ยน ทำให้การเล่นเป็นกิจกรรมที่สนุกในตัวมันเอง โดยไม่ต้องพึ่งพารางวัลภายนอก

นอกจากนี้ การนำ Gamification เข้ามาอาจทำให้เด็กบางคนรู้สึกถูกบังคับให้เล่นเกม ซึ่งการเล่นสนุกที่ผ่านการบังคับไม่ใช่การเล่นสนุกที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม การไม่บังคับให้เด็กเล่นเลยคงไม่สามารถทำได้ แต่เราสามารถลดทอนความรุนแรงในการบังคับได้ผ่านการเพิ่มทางเลือกในการสำรวจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอิสระและไม่รู้สึกถึงการบังคับ

ศาสตราจารย์นิโคลสันยกตัวอย่างว่า ‘พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์’ คือแบบอย่างที่ดีในการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ผ่านการเล่นสนุก (Ludic Learning Space) เนื่องจากภายในพิพิธภัณฑ์มีการนำเสนอสิ่งต่างๆ ผ่านเกมและการเล่นสนุกที่เชื่อมโยงกับความรู้ในโลกจริง ทำให้ผู้ชมสนใจ เข้าร่วม และเกิดการเรียนรู้ โดยที่ไม่ต้องใช้แต้มหรือรางวัลเป็นตัวกระตุ้น 

อีกทั้งพิพิธภัณฑ์ยังเปิดโอกาสให้เดินสำรวจพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกถูกบังคับให้มาได้ ในกรณีที่เด็กถูกบังคับให้มาทัศนศึกษา หากการออกแบบเกมนำแนวคิดจากตัวอย่างเหล่านี้มาปรับใช้ก็จะช่วยสร้าง Meaningful Gamification โดยไม่ต้องพึ่งพารางวัลจากภายนอก

  • การปูพื้นเรื่อง (Exposition)

การปูพื้นเรื่องในบริบทของเกม คือ การนำเสนอเรื่องราว (Narrative) ผ่านองค์ประกอบของเกม การใช้เรื่องราวใน Gamification จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าถึงและเข้าใจความรู้ได้มากยิ่งขึ้น โดยการปูพื้นเรื่องในที่นี้ คือ การสร้างเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับโลกจริง ซึ่งเรื่องราวอาจเป็น ‘การจำลองโลกจริง’ (Simulation) หรือ ‘การเปรียบเทียบ’ (Analogy)

‘การจำลองโลกจริง’ คือ การนำกลไกหรือระบบในโลกจริงมาย่อลงในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างง่ายๆ คือพวกบอร์ดเกม ปัจจุบันมีการใช้บอร์ดเกมเพื่อการศึกษาอยู่จำนวนไม่น้อย เช่น ใช้เกมเศรษฐีจำลองระบบการเงินในโลกจริง หรือแม้แต่วงการแพทย์ก็มีการใช้บอร์ดเกมในจำลองการเข้าสังคม เพื่อศึกษาและบำบัดผู้ป่วย

ส่วน ‘การเปรียบเทียบ’ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแสดงแนวคิดที่ยากหรือเป็นนามธรรมให้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปในชีวิตประจำ เช่น ‘เวลาเดินช้า’ (เปรียบว่าเวลาเหมือนสิ่งมีชีวิตที่สามารถใช้เท้าในการก้าวเดินได้ ทั้งที่จริงเวลาเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้) 

ตัวอย่างการใช้การเปรียบเทียบคือ ‘การสอนเคมีด้วย Crossword’ (เกมอักษรไขว้ภาษาอังกฤษ) โดยในงานวิจัยนี้จะสอนนักเรียนเรื่องไอโซเมอร์ (Isomer) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน แต่มีการจัดเรียงอะตอมที่ต่างกันเลยมีคุณสมบัติและชื่อที่ต่างกัน

ปัญหาคือนักเรียนไม่เข้าใจว่าไอโซเมอร์แต่ละตัวแตกต่างกันอย่างไร ครูจึงใช้เกม Crossword ในการเปรียบเทียบเป็นไอโซเมอร์ โดยในเกม Crossword จะมีการ์ดตัวอักษรภาษาอังกฤษซึ่งสามารถนำมาจัดเรียงเป็นคำต่างๆ ได้ เช่น มีการ์ดตัว E, I, L, M และ S นักเรียนสามารถจัดเรียงได้เป็นคำว่า smile, miles, slime ฯลฯ

ในที่นี้ ‘อักษร’ แต่ละตัวเปรียบเหมือนกับ ‘อะตอม’ ตัวหนึ่ง แม้เราจะมีชุดอักษรที่เหมือนกัน แต่ถ้านำมาจัดเรียงต่างกันก็เกิดเป็นคำที่ต่างกัน อะตอมก็เช่นกัน สารเคมีแต่ละตัวแม้จะมีอะตอมเหมือนกัน แต่ถ้าจัดเรียงต่างกันก็เกิดเป็นสารที่มีรูปร่างหน้าตาต่างกันและมีคุณสมบัติที่ต่างกัน

อย่างไรก็ดี แม้การเปรียบเทียบจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจแนวคิดยากๆ ได้ แต่ศาสตราจารย์นิโคลสันเตือนว่า ถ้าเรื่องราวที่นำมาเปรียบเทียบหลุดโลกเกินไปก็อาจเสี่ยงที่จะทำให้ผู้เรียนหลงลืมถึงความเชื่อมโยงกับโลกจริง ทำให้ไม่สามารถถ่ายโยงความรู้มาใช้ในโลกจริงได้ ดังนั้นการเปรียบเทียบจึงควรเลือกใช้อย่างเหมาะสม

  • ทางเลือก (Choice)

ทางเลือกเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของการเกิดแรงจูงใจภายใน นั่นคือ ‘ความเป็นอิสระ’ (Autonomy) อีกทั้งผู้เรียนแต่ละคนก็มีวิธีการเรียนรู้ที่ต่างกัน เมื่อเปิดโอกาสให้เลือกได้ ผู้เรียนก็จะค้นพบวิธีการที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด

นอกจากนี้ ‘ทางเลือก’ เป็นสิ่งที่มาพร้อมกับ ‘การเล่นสนุก’ เพราะการเล่นสนุกจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้เล่นมีอิสระในการสำรวจ ศาสตราจารย์นิโคลสันกล่าวว่า วิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มทางเลือกคือ การให้ผู้เล่นเลือกว่าจะทำกิจกรรมไหน

อย่างไรก็ตาม การมีทางเลือกมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความสับสนว่าต้องไปทางไหน เราสามารถแก้ปัญหาได้โดยเปลี่ยนให้ผู้เล่นเป็นคนเลือกเป้าหมาย จากนั้นจึงค่อยแนะนำถึงวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น

ศาสตราจารย์นิโคลสันยกตัวอย่างโปรแกรม Scratch ของ MIT ซึ่งเป็นโปรแกรมช่วยสอนเด็กเขียนโค้ด เด็กสามารถสร้างโลกแบบใดก็ได้ภายในโปรแกรมนี้ เช่น อยากทำให้ตัวละครเดินไปทางขวา ก็ต้องใส่คำสั่งเข้าไป โดยคำสั่งก็คือ ‘โค้ด’ แต่จะแสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่ายเป็นบล็อกคำสั่งอย่าง ‘เดินหน้า’ ‘ถอยหลัง’ ถ้าเอาบล็อกคำสั่งเดินหน้า 2 ตัวมาต่อกัน (เดินหน้า–เดินหน้า) ก็จะทำให้ตัวละครเดินหน้าไป 2 ก้าว

จากนั้นโปรแกรมก็อาจแนะนำเพิ่มเติมว่า ถ้าใช้คำสั่งเดิมซ้ำๆ ควรใช้ ‘ลูป’ แทน เช่น ลูป {เดินหน้า} 4 ครั้ง แทนที่จะเอาบล็อกคำสั่งเดินหน้า 4 ตัว (เดินหน้า–เดินหน้า–เดินหน้า–เดินหน้า) มาวางต่อกัน ซึ่งจะสะดวกมากกว่า

Scratch คือตัวอย่างที่ดีในการให้อิสระและทางเลือก ทำให้ผู้เล่นเป็นคนกำหนดเป้าหมายด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีการให้คำแนะนำที่ช่วยผู้เล่นบรรลุเป้าหมาย โดยไม่ต้องมีระบบคะแนนหรือรางวัลพิเศษอะไร เพราะเมื่อผู้เล่นมีอิสระก็จะเกิดความสนุก และสิ่งนี้จะขับเคลื่อนพฤติกรรมด้วยตัวมันเอง โดยไม่ต้องใช้รางวัล

  • ข้อมูล (Information)

ข้อมูลในที่นี้ หมายถึง การแสดงผลว่าการกระทำของผู้เล่นเกิดผลอย่างไร เช่น การรายงานความคืบหน้า หรือฟีดแบ็กของผู้เล่นในการเล่นเกม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเติมเต็ม ‘ความรู้สึกถึงการมีความสามารถ’ เมื่อผู้เล่นเห็นว่าตัวเองได้ทำอะไรไปบ้างแล้วและเข้าใกล้เป้าหมายมากเพียงใด ผู้เล่นจะรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถที่จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ จึงดำเนินพฤติกรรมนั้นต่อไป

อย่างไรก็ตาม Gamification ตามปกติมักบอกแค่ว่าผู้เล่น ‘ทำอะไรไปบ้าง’ และ ‘ได้กี่คะแนน’ ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นไม่เห็นภาพว่าตัวเองเกิดการพัฒนาอย่างไรและมันมีประโยชน์อะไรนอกจากได้คะแนน สิ่งที่ควรทำคือการเน้นย้ำถึงความสำคัญของพฤติกรรมนั้นและความเชื่อมโยงกับโลกจริง โดยสามารถทำได้ด้วยการเพิ่มเหตุผลว่าผู้เล่น ‘ทำสิ่งนี้ทำไม’ และ ‘ส่งผลอย่างไร’

ยกตัวอย่างง่ายๆ เป็นเกมแก้โจทย์คณิตศาสตร์ เมื่อแก้โจทย์แต่ละข้อก็จะได้รับแต้ม เช่น “คุณได้รับ 10 แต้มสำหรับการแก้ไขโจทย์ 5 ข้อ” ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้บอกผู้เล่นมากนักว่าตัวเองเกิดการพัฒนาและเชื่อมโยงกับโลกจริงอย่างไร เพียงแค่บอกว่าสิ่งนี้มีค่ากี่แต้ม แรกๆ ผู้เล่นอาจรู้สึกตื่นเต้นและเล่นต่อไปเรื่อยๆ แต่ในที่สุดก็จะเบื่อเพราะไม่เห็นว่าแต้มจะมีประโยชน์อะไรและช่วยพัฒนาตัวเองอย่างไร

แต่ถ้าเราเพิ่มเข้าไปด้วยว่าสิ่งที่ผู้เล่นทำมีความสำคัญและเชื่อมโยงกับโลกจริงอย่างไร ก็จะช่วยให้ผู้เล่นรับรู้ถึงประโยชน์ที่ได้รับ รู้สึกว่าได้พัฒนาความสามารถ และอยากที่จะเรียนรู้ต่อ เช่น “คุณได้รับ 10 แต้มสำหรับการแก้ไขโจทย์ 5 ข้อ โจทย์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มพูนทักษะพีชคณิต ซึ่งสามารถใช้ในการคำนวณรายจ่ายและวางแผนการเงินได้”

ทั้งนี้ ศาสตราจารย์นิโคลสันชี้ว่า การให้ข้อมูลฟีดแบ็กในลักษณะนี้สามารถทำได้ในหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นหน้าจอแสดงผลเพียงอย่างเดียว เช่น ใช้ตัวละครในเกม (NPC), เรื่องราวที่สอดคล้องกับการปูพื้นเรื่อง หรือระบบเกมที่จำลองกลไกในโลกจริง

  • การมีส่วนร่วม (Engagement)

การมีส่วนร่วมในที่นี้หมายถึง 2 ส่วน คือ การมีส่วนร่วมในสังคม (Social Engagement) และการมีส่วนร่วมในระบบเกม (Gameplay Engagement) ‘การมีส่วนร่วมในสังคม’ เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญของการเกิดแรงจูงใจภายในที่ว่าด้วย ‘ความสัมพันธ์กับผู้อื่น’ (Relatedness) โดยสามารถเกิดได้จากการมีกลุ่มเพื่อน การเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ หรือการทำเป้าหมายร่วมกัน

ส่วน ‘การมีส่วนร่วมในระบบเกม’ จะเกี่ยวข้องกับการสร้าง ‘ภาวะลื่นไหล’ (Flow) หมายถึงภาวะที่เราจดจ่อไปกับกิจกรรมตรงหน้าและเกิดความรู้สึกทางบวกต่างๆ กล่าวคือ การสร้างให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมในระบบเกมอย่างเต็มที่ จะต้องเอื้อให้ผู้เล่นเข้าสู่ภาวะลื่นไหล โดยการเข้าสู่ภาวะลื่นไหลมี 3 องค์ประกอบ คือ

  1. ต้องเข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ ด้วยตนเอง
  2. ต้องได้รับการตอบสนองอย่างทันที
  3. ต้องเกิดสมดุลระหว่างทักษะที่มีกับความท้าทายในกิจกรรมนั้นๆ (กิจกรรมไม่ง่ายหรือยากเกินไป)

ในการออกแบบเกมสามารถผสมผสานการมีส่วนร่วมทั้งสองส่วนได้ เช่น ให้ผู้เล่นเริ่มต้นด้วยการเล่นคนเดียวเพื่อทำความเข้าใจระบบเกมและพัฒนาทักษะของตัวเอง จากนั้นจึงค่อยนำเสนอการเล่นหลายคนอย่างเช่น การแข่งขัน การทำภารกิจร่วมกัน การพูดคุยกันผ่านห้องสนทนา ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันควรออกแบบให้ดี โดยเฉพาะเมื่อมีการแสดงผลคะแนน คนที่ได้คะแนนสูงๆ อาจรู้สึกสนุกและอยากเล่นต่อ แต่คนที่ได้คะแนนต่ำอยู่บ่อยๆ อาจรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ (อ่านประเด็นนี้เพิ่มเติมได้ในบทความก่อนหน้า)

ศาสตราจารย์นิโคลสันยกตัวอย่างแอปพลิเคชันวิ่ง Nike Run Club โดยผู้ใช้จะเห็นความก้าวหน้าของตัวเองในการวิ่งและมีการกำหนดความท้าทายที่เหมาะสมเพื่อการพัฒนา ในขณะเดียวกันเพื่อนก็สามารถให้กำลังใจเราได้ในตอนที่เราออกกำลังกาย เปรียบเทียบการวิ่ง และเข้าร่วมกลุ่มเพื่อวิ่งในภารกิจเดียวกัน เห็นได้ว่าแอปพลิเคชันส่งเสริมทั้งการเข้าถึงภาวะลื่นไหลและการเชื่อมต่อกับผู้อื่น ทำให้ผู้ใช้อยากวิ่งต่อไปเรื่อยๆ

  • การสะท้อนทบทวน (Reflection)

การสะท้อนทบทวนในที่นี้ คือ การให้เวลาผู้เล่นมองย้อนกลับไปยังประสบการณ์ที่ผ่านมา เมื่อผู้เล่นมีโอกาสคิดทบทวนจะเกิดการเรียนรู้และการเชื่อมโยงกับชีวิตของตัวเอง ประสบการณ์ที่ปราศจากการสะท้อนทบทวนไม่ทำให้คนเราเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปหรือสิ่งที่เกิดขึ้นมีความหมายอย่างไร เพราะขาดการเชื่อมโยงกับชีวิตของตัวเอง

ในการทหารเรียกขั้นตอนนี้ว่า ‘Debriefing’ หมายถึงการประชุมหลังจากเสร็จภารกิจหรือปฏิบัติการแล้ว โดยจะให้ผู้เข้าร่วมแต่ละคนได้พิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น บรรยายออกมาเป็นข้อมูล และนำข้อมูลนั้นไปวิเคราะห์เพื่อวางแผนในปฏิบัติการครั้งต่อไป

นอกจากนี้ การสะท้อนทบทวนจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทำร่วมกับผู้อื่น เพราะแต่ละคนจะได้รับรู้ถึงมุมมองของคนอื่น ทำให้เข้าใจถึงภาพใหญ่มากขึ้น และยังเกิดการเรียนรู้จากมุมมองใหม่ๆ โดยการสะท้อนทบทวนในบริบท Gamification ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้

  1. อธิบาย (Description) – นึกย้อนและแบ่งปันเรื่องราวว่าได้ว่าทำอะไรไปบ้าง
  2. วิเคราะห์ (Analysis) – วิเคราะห์ว่าการกระทำนั้นเชื่อมโยงกับชีวิตตัวเองอย่างไร
  3. ประยุกต์ (Application) – นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับใช้ในโลกจริง

ศาสตราจารย์นิโคลสันแนะนำว่า การสะท้อนทบทวนใน Gamification สามารถทำได้ผ่านการเปลี่ยนมุมมองตัวละคร เช่น ตอนแรกให้เล่นตัวละครหนึ่ง พอเล่นจบก็ใช้อีกตัวละครหนึ่ง (เช่น นักข่าว นักสืบ) มาย้อนดูการกระทำของเรา เพื่อสะท้อนทบทวนในสิ่งที่ได้เล่นไป

หรือจะใช้เป็นการสรุปภาพรวมกิจกรรมของผู้เล่นก็ได้ เช่น ในแอป Nike Run Club จะแสดงเส้นทางที่ผู้ใช้วิ่งไป พร้อมกับความเร็วและข้อมูลอื่นๆ อีกทั้งยังสอบถามความรู้สึกที่เกิดขึ้นในการวิ่งครั้งนี้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คือการสะท้อนทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป และสามารถนำมาวิเคราะห์เพื่อปรับใช้ในการวิ่งครั้งต่อไปได้

การปฏิบัติตาม RECIPE เพื่อสร้าง Meaningful Gamification

ศาสตราจารย์นิโคลสันชี้ว่า การสร้าง Meaningful Gamification ต้องเน้นประโยชน์ที่ผู้เล่นจะได้รับเป็นสำคัญ ซึ่งจะสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพารางวัลตลอดเวลา อีกทั้งในการสร้างต้องคำนึงถึงองค์ประกอบของ Meaningful Gamification นั่นคือ ‘RECIPE’ โดยผู้ออกแบบสามารถใช้ประเด็นคำถามเหล่านี้ในการช่วยออกแบบ Gamification ของตนได้

  • องค์ประกอบการเล่นสนุก (Play) หลักๆ ของระบบ Gamification นี้มีอะไรบ้าง?
  • จะใช้การปูพื้นเรื่อง (Exposition) อย่างไรเพื่อช่วยให้ผู้เล่นเชื่อมโยงกิจกรรมในเกมกับโลกจริง?
  • ผู้เล่นจะได้รับทางเลือก (Choice) ของกิจกรรมต่างๆ อย่างไร?
  • ผู้เล่นจะได้รับข้อมูล (Information) เกี่ยวกับการกระทำของตัวเองด้วยวิธีใดบ้าง?
  • ผู้เล่นจะมีส่วนร่วม (Engaged) ระหว่างกันได้อย่างไร?
  • ผู้เล่นจะสะท้อนทบทวน (Reflect) สิ่งที่ตัวเองได้ทำไปอย่างไร?

แม้การสร้าง Meaningful Gamification จะมีองค์ประกอบหลายส่วน แต่องค์ประกอบแต่ละอย่างจะมีความเชื่อมโยงและส่งเสริมกันอยู่แล้ว เช่น การมี ‘ทางเลือก’ จะทำให้เกิด ‘การเล่นสนุก’ หรือการให้ ‘ข้อมูล’ อย่างเหมาะสมจะเป็นวัตถุดิบที่ดีใน ‘การสะท้อนทบทวน’ ดังนั้นการออกแบบ Meaningful Gamification จึงไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด

ทั้งนี้ การสร้างความเปลี่ยนแปลงในระยะยาวสามารถนำรางวัลเข้ามาใช้ร่วมได้ แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและไม่ใช้มากจนเกินไป

รางวัลควรเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือให้ผู้เรียนบรรลุเป้าหมายและนำไปสู่การเรียนรู้ที่มีความหมาย ไม่ใช่กลายเป็นเป้าหมายเสียเอง 

Gamification เกิดขึ้นมาเพื่อส่งเสริมความรักในการเรียนรู้ แต่เมื่อรางวัลได้กลายมาเป็นเป้าหมายหลัก เช่นนั้นแล้ว Gamification ก็ไม่ต่างอะไรกับการศึกษาในปัจจุบันที่เน้นแต่เกรดและคะแนน จนทำลายความรักในการเรียนรู้ของเด็กให้หายไปหมดสิ้น

อ้างอิง

กนกพิชญ์ อุ่นคง. (2023). เรียนเมตริกซ์จาก KFC เรียนตรีโกณฯ จากคดีฆาตกรรม: ห้องเรียนคณิตของ ‘ครูนัน’ ที่พาเด็กเชื่อมใช้ได้จริง.

ชยากร ศรีพรภาคย์. (2560). ความลื่นไหลในกิจกรรมการสอนของครู [วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยแม่โจ้.

ปริสุทธิ์. (2021). Board Game โลกการเรียนรู้ของเกมกระดาน พื้นที่สันทนาการที่เปลี่ยนการเล่นให้เป็นทักษะ.

ภูมิ์ ตริตระการ. (2560). การ Debrief สถานการณ์จำลองทางการแพทย์อย่างมีประสิทธิภาพ. เวชบันทึกศิริราช, 10(3), 180-185.

Nicholson, S. (2012). A User-Centered Theoretical Framework for Meaningful Gamification.

Nicholson, S. (2012). Strategies for meaningful gamification: Concepts behind transformative play and participatory museums.

Nicholson, S. (2014). A RECIPE for Meaningful Gamification. In T. Reiners & L. Wood (Eds.), Gamification in Education and Business (pp. 1-20). Springer.Sriboonruang, O., Suwannoi, P., & Treagust, D.F. (2022). Teaching Chemistry Effectively with Analogy in Thai Year 10 and 12 Classrooms. International Journal of Science Education and Teaching, 1(1), 22-31.

Tags:


Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Education trend
    ห้องเรียน AI EP1: ครูจะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI หากใช้เป็น ‘ผู้ช่วย’ ยกระดับการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก
Transformative learning
15 September 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 6 เสนอข้อตีความจากบทที่ 4 Transforming the Daily Grind : Infusing Passion into Practice

ข้อสรุปคือ จะปลดปล่อยพลังซ่อนเร้นออกมาได้ ต้องมีการฝึกเรื่องที่เรามุ่งมั่นอย่างเอาจริงเอาจังปนสนุก โดยมีตัวช่วย ‘ปีนที่สูง’ หรือนั่งร้าน (Scaffolding) ที่ผู้ช่วยให้นั่งร้านอาจเป็นโค้ช หรือเราสร้างนั่งร้านให้ตัวเอง 

เอาชนะอุปสรรคด้วยนั่งร้าน

นั่งร้าน (Scaffold) เป็นโครงสร้างสำหรับปีนที่สูง เราเปรียบเทียบความพยายามฝึกเพื่อให้พลังซ่อนเร้นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งถูกปลดปล่อยออกมา ว่าเสมือนการปีนที่สูง จึงต้องการ ‘นั่งร้าน’ เป็นตัวช่วย โดยมีครูหรือโค้ชช่วยให้ ‘นั่งร้าน’ ให้ผู้ฝึกปีนเอง ไม่ใช่ครูช่วยอุ้ม จนในที่สุดผู้ฝึกจะปฏิบัติเรื่องนั้นได้ด้วยตัวเองไม่ต้องมี ‘นั่งร้าน’ ช่วย

นั่งร้านเป็นโครงสร้างชั่วคราวสำหรับช่วยให้กิจการใดกิจการหนึ่งสำเร็จ เมื่อสำเร็จแล้วนั่งร้านจะถูกเอาออกไป ดังกรณีนั่งร้านก่อสร้างอาคาร ‘นั่งร้าน’ สำหรับฝึกฝนทักษะหรือความสามารถพิเศษก็เช่นเดียวกัน เมื่อฝึกจนบังเกิดผลแล้ว ก็ไม่ต้องการนั่งร้านอีกต่อไป    

‘นั่งร้าน’ สำหรับฝึกความสามารถพิเศษ มีลักษณะสำคัญ 4 ประการ คือ (1) มาจากผู้อื่น (2) ออกแบบพิเศษเพื่อเอาชนะอุปสรรคที่เผชิญ (3) การให้นั่งร้าน ต้องให้ ณ จุดหรือเวลาที่ต้องการเอาชนะอุปสรรค ไม่ใช่เตรียมไว้ก่อน หรือให้ภายหลัง (4) เป็นกิจกรรมชั่วคราว   

ผมอดเถียงไม่ได้ ว่าคนเราให้ ‘นั่งร้าน’ แก่ตนเองได้ โดยมาจากประสบการณ์ของตัวผมเอง ที่เมื่อเผชิญอุปสรรคในชีวิตหรือหน้าที่การงาน ผมได้รับ ‘นั่งร้าน’ จากที่ไหนก็ไม่ทราบ ที่เมื่อมีคนถามผมจะตอบว่า “เทวดาช่วย” โดยในใจจริงๆ ผมคิดว่ามาจาก ‘ปัญญาญาณ’ (Intuition) ที่ทุกคนมีหากฝึกฝนตนเอง

เป้าหมายของครูในการให้ ‘นั่งร้าน’ สำหรับฝึกสมรรถนะแก่ศิษย์คือ เพื่อช่วยให้นักเรียนเรียนรู้สมรรถนะใหม่ได้ เชื่อมต่อจากสมรรถนะเดิมที่ตนมีอยู่แล้ว ‘นั่งร้าน’ ที่ครูจัดให้ศิษย์จึงคล้ายเป็น ‘สะพานเชื่อม’ ระหว่างสมรรถนะเดิมที่นักเรียนมีอยู่แล้ว กับสมรรถนะใหม่ที่นักเรียนต้องการเรียนรู้ ตามที่ระบุไว้ในหนังสือ การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างไร  

เพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว ครูควรทำความเข้าใจหลักการ Zone of Proximal Development ที่อธิบายไว้ในหนังสือ เพื่อครูและนักเรียนเป็นนักพัฒนาตนเอง หน้า 89 – 105

หลักการสำหรับครูให้ ‘นั่งร้าน’ แก่ศิษย์ มีดังนี้ (1) ให้คำถาม เพื่อให้นักเรียนเชื่อมสมรรถนะเดิม กับสมรรถนะที่จะเรียนรู้ สู่การนำไปทดลองปฏิบัติเพื่อเรียนรู้ (2) ทำตัวเป็นตัวอย่างในเรื่องนั้นๆ (3) ค่อยๆ ถอยออก ให้นักเรียนปฏิบัติกันเอง (4) ประเมิน และให้คำแนะนำป้อนกลับแบบสร้างสรรค์ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจความก้าวหน้า และโอกาสปรับปรุงการเรียนรู้ของตน (5) ใช้เทคนิคในหนังสือ ปรับปรุงการสอนเล็กน้อย ได้ผลยิ่งใหญ่ และ สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน (6) ให้นักเรียนเรียนแบบร่วมมือกัน (7) ให้โอกาสฝึก ตามด้วยการสะท้อนคิดสู่หลักการ

ครูต้องมองการเรียนรู้ของศิษย์ว่าเป็นกิจกรรมที่คล้ายศิษย์ต้อง ‘ปีนที่สูง’ มีความยากลำบาก ครูมีหน้าที่จัด ‘นั่งร้านตามปกติ’ ในกระบวนการเรียนรู้ของเด็กทุกคน และให้ ‘นั่งร้านพิเศษและจำเพาะ’ แก่เด็กบางคนที่ต้องการ แล้วครูจะรู้สึกชื่นใจ ที่ได้เห็นพัฒนาการของศิษย์

ปฏิบัติ หรือฝึกซ้อม อย่างมุ่งมั่น 

เขายกประวัติของ Dame Evelyn Glennie นักดนตรีด้าน Percussion ชั้นยอดของโลก ที่หูหนวก แต่มีความมุ่งมั่นมานะพยายาม และได้ครูฝึกดี แต่เมื่อไปสมัครเข้าเรียนที่ Royal Academy of Music, London ครั้งแรกได้รับการปฏิเสธ เพราะกรรมการไม่เชื่อว่าคนหูหนวกจะเป็นนักดนตรีชั้นเลิศได้ แต่เมื่อ เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ กลับไปฝึกซ้อมเพิ่มเติม และกลับไปสมัครใหม่ ผลงานของเธอทำให้คณะกรรมการแก้กฎของการตัดสินรับนักเรียนว่า ไม่พิจารณาที่ปัจจัยทางกาย แต่พิจารณาจากผลงาน และรับเธอเข้าเรียน นำทางเธอสู่การเป็นนักดนตรีด้านการเคาะชั้นยอดของโลก   

อ่านเรื่องราวจากในหนังสือ Hidden Potential และในวิกิพีเดียแล้ว ผมตีความว่า เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ ต้องฝึกซ้อมตนเองใน 2 ด้านไปพร้อมๆ กัน คือด้านเล่นดนตรี กับด้านการรับเสียงจากทั่วร่างกาย เพราะหูของเธอรับเสียงไม่ได้ และตั้งข้อสงสัยว่า การฝึกเข้มข้น 2 ด้านพร้อมกัน ก่อผลเสริมหรือสนธิพลัง (Synergy) กัน (Synergy) หรือไม่ อย่างไร 

เคล็ดลับของ เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ คือการฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเรื่องเดียวกันกับความสนุก งานกับเล่นเป็นเรื่องเดียวกัน Adam Grant ใช้คำว่า เป็นการเปลี่ยนความคร่ำเคร่งประจำวัน (Daily Grind) เป็นความสนุกสนานประจำวัน (Daily Joy)

การฝึกซ้อมเพื่อบรรลุทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งในระดับที่เป็นเลิศ ต้องการการฝึกซ้อมซ้ำๆ ที่มีผู้บอกว่าใช้เวลา 10,000 ชั่วโมง เพื่อบอกว่าหากต้องการเป็นเลิศ ต้องไม่กลัวและไม่เบื่อการฝึกซ้ำๆ อย่างยาวนาน แต่เวลาฝึกซ้อมที่ยาวนานยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการพิเคราะห์พิจารณาเพื่อหาทางปับปรุงพัฒนา การฝึกซ้อมที่จะนำสู่ความเป็นเลิศ จึงเป็น ‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ (Deliberate Practice)

การปฏิบัติอย่างมุ่งมั่นเป็นเวลายาวนานไม่ใช่เรื่องง่าย เสี่ยงต่อการเกิดอาการ ‘หมดไฟ’ (Burn Out) และ ‘เบื่อ’ (Boreout) หากเป็นการฝึกซ้ำๆ อย่างเดิม ที่เขาเล่าว่า แม้แต่ Mozart ก็มีอาการทั้งสอง

จึงต้องมีวิธีทำให้การฝึกซ้ำๆ นั้น ไม่เป็นการทำแบบเดิมซ้ำๆ แต่มีการทดลองปรับรายละเอียดบางจุด ที่เป็นลักษณะของ ‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ (Deliberate Practice) การมีโค้ชคอยให้คำแนะนำป้อนกลับเชิง ‘นั่งร้าน’ จึงช่วยได้มาก

‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ (Deliberate Practice) ที่นำสู่ความสุขสนุกสนานในการฝึกซ้อม ที่สภาพจิตของผู้ฝึกอยู่ในสภาพ Flow คือตัวตนของผู้ฝึกเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งหรือเรื่องที่ฝึก และโลกโดยรอบละลายหายไป เวลาผ่านไปคล้ายโลกหยุดหมุน ที่ผมเคยเขียนไว้ว่า เกิดความสุขดั่งบรรลุนิพพาน ‘การฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่น’ จึงไม่ใช่กิจกรรมที่เข้ามาบงการชีวิต แต่เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้มีชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ทั้งหมดนั้น เกิดจากพลังของ การมีฉันทะ (Passion) ที่นำสู่วิริยะ (Persistence) ส่งผลต่อการบรรลุผลงาน (Performance) ที่เป็นเลิศ ที่ผมขอเพิ่มเติมว่า เกิดจากใส่จิตตะ และวิมังสา จนครบวงจร Kolb’s Experiential Learning Cycle     

เล่นอย่างมุ่งมั่น 

เล่นอย่างมุ่งมั่น (Deliberate Play) ช่วยให้การฝึกอย่างมุ่งมั่นเป็นเรื่องสนุกหรือให้ความสุข เล่นอย่างมุ่งมั่นเป็นการผสมผสานสององค์ประกอบคือ ฝึกอย่างมุ่งมั่น กับเล่นอิสระ (Free Play) โดยมีโครงสร้างเพื่อบรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ในระดับสูง (Mastery) ผ่านการฝึกร่วมกับการพักผ่อนหย่อนใจ มีการออกแบบการฝึกงานที่ซับซ้อนออกเป็นงานที่ง่ายกว่าเป็นช่วงๆ เพื่อการบรรลุเป้าหมายที่ยากขึ้นทีละขั้น

เป็นการนำเอาความแปลกใหม่ กับความแตกต่างหลากหลาย เข้าสู่การฝึก เมื่อ เอเวอร์ลีน เกล็นนี่ ฝึกเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งจนเหนื่อยหรือเบื่อ เธอเปลี่ยนเครื่องดนตรี ทำให้ผมย้อนคิดถึงตัวเองสมัยอายุสิบห้าสิบหกปี ต้องการเรียนให้ได้ผลดีเลิศ จึงฝึกซ้อมการเรียนและการสอบในทำนอง ‘เล่นอย่างมุ่งมั่น’ นี้ เมื่อเรียนวิชาหนึ่งจนล้า ก็สลับไปอีกวิชาหนึ่ง รู้สึกสมองแล่นขึ้นมาทันที หากสมองตื้อจริงๆ ก็ไปอาบน้ำ ใช้เวลา 5 นาทีกลับมาเรียนใหม่ สมองโปร่งโล่งขึ้นทันที

เคล็ดลับของการเล่นอย่างมุ่งมั่นคือ การเล่นแข่งกับตนเอง โดยกำหนดเป้าหมายผลงานที่บรรลุยาก แล้วหาทางทำให้ได้ เมื่อบรรลุก็ตั้งเป้าที่ยากยิ่งขึ้น ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ โอกาสบรรลุเป้าหมายที่เป็นเลิศก็ง่ายขึ้น นี่คือการเล่นเกมกับตนเอง แข่งกับตนเองในอดีต เพื่อสร้างตนเองในอนาคตที่ต้องการ

เขาแนะนำ การฝึกแบบแทรกสลับ (Interleaving) ที่จะช่วยลดความรู้สึกเบื่อหรือจำเจ โดยไม่ฝึกทักษะเดียวหรือเรื่องเดียวตะลุยไป มีการสลับกับทักษะอื่นเป็นช่วงๆ หรือเอาทักษะที่เคยทำได้ดีแล้วเอามาฝึกใหม่เป็นบางช่วง จะช่วยให้พัฒนาได้เร็วกว่า หนังสือ ปรับปรุงการสอนเล็กน้อย ได้ผลยิ่งใหญ่ หน้า 34 – 48 เสนอวิธีจัดการเรียนการสอนที่ใช้เทคนิกนี้นี้ไว้อย่างละเอียด

การฝึกปนเล่น และเล่นอย่างมุ่งมั่น จะได้ผลดี ต้องมีการพัก

พลังของการพัก

การฝึกอย่างมุ่งมั่น แม้จะฝึกปนเล่นเป็นเล่นอย่างมุ่งมั่น หาก ‘ฝึกมากเกิน’ (Over-Practice) ก็ก่อผลร้าย ต้องมีการพักผ่อนบ้าง จะเห็นว่า ไม่ว่าเรื่องอะไร ต้องการความพอดี หรือทางสายกลางเสมอ

การพักเป็นช่วงๆ ช่วยให้ประโยชน์อย่างน้อย 3 ประการคือ (1) ช่วยให้ธำรงพลังขับดันหรือฉันทะไว้อย่างต่อเนื่อง (2) การพักช่วยให้เกิดไอเดียใหม่ๆ (3) ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ระดับลึก

จึงเกิดวิธีฝึกหรือเรียนแบบที่เรียกว่า แบบ ‘ซ้ำเป็นช่วงๆ’ (Space Repetition) เช่นแทนที่จะฝึกรวดเดียว 60 นาที ก็แบ่งเป็นฝึก 15 นาที 4 รอบ สลับกับพักครั้งละ 5 นาที จะได้ผลสูงกว่ามาก ดังระบุไว้ในหนังสือ ปรับปรุงการสอนเล็กน้อย ได้ผลยิ่งใหญ่ หน้า 82 

การพักไม่ใช่การเสียเวลาเปล่า แต่เป็นช่วงเวลาเติมพลัง ที่ผมมีความเห็นว่า น่าจะใช้เป็นช่วงเวลาของการใคร่ครวญสะท้อนคิด ด้วย Kolb’s Experiential Learning Cycle เพื่อทำความเข้าใจหลักการใหม่ๆ หรือแนวทางใหม่ๆ ที่ได้จากประสบการณ์การฝึกช่วงที่แล้ว ไม่ทราบว่าแนวคิดเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่

ประยุกต์ใช้การฝึกอย่างมุ่งมั่น และการเล่นอย่างมุ่งมั่นในระบบการศึกษา

Generative AI แนะนำผมว่า สามารถประยุกต์ใช้วิธีการที่เสนอในตอนที่ 6 นี้ คือการฝึกอย่างมุ่งมั่นและการเล่นอย่างมุ่งมั่นในระบบการศึกษาที่เป็นทางการได้เป็นอย่างดี โดย 

  • ชวนนักเรียนตั้งเป้าหมายการเรียนรู้ที่ชัดเจน (SMART : S = Specific, M = Measurable, A = Achievable, R = Relevant, T = Time-Bound) มีความหมาย และน่าสนใจสำหรับนักเรียน
  • ส่งเสริมให้นักเรียนฝึกอย่างจริงจังและมุ่งมั่น ในทักษะหรือประเด็นที่เลือกแล้ว
  • จัดบรรยากาศการเรียนรู้ที่มีความร่าเริงสนุกสนาน เอาจริงปนเล่น (Playful) สร้างพื้นที่ที่เด็กสามารถสำรวจ ทดลอง และเรียนรู้ ผ่านการเล่น
  • จัดสมดุลระหว่างการฝึกอย่างมุ่งมั่นและการเล่นอย่างมุ่งมั่น   
  • จัดระบบให้คำแนะนำป้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ เพื่อให้นักเรียนได้รับทราบสิ่งที่ตนควรปรับปรุง
  • ส่งเสริมให้นักเรียนสะท้อนคิดกับตัวเอง เพื่อทำความเข้าใจความก้าวหน้าที่เกิดขึ้น และหาจุดที่จะต้องเรียนรู้และปรับปรุงต่อไป

คำแนะนำนี้สอดคล้องกับสภาพในโรงเรียนของประเทศเดนมาร์กที่ผมไปดูงานระหว่างวันที่ 12 – 17 สิงหาคม 2567 การศึกษาของเดนมาร์กเน้น Play-Based Learning ที่เน้นกระบวนการเรียน มากกว่าที่ผลลัพธ์ แต่คุณภาพการศึกษาของเขากลับสูงเด่น ที่ผมตีความว่า เพราะเขามีเป้าหมายของการศึกษาที่ถูกต้อง คือเน้นพัฒนาองค์รวม และมีวิธีการเรียนรู้ที่ถูกต้อง คือเรียนรู้เชิงรุกผ่านการปฏิบัติแล้วสะท้อนคิด 

สาระในบทนี้ของหนังสือ Hidden Potential เน้นการฝึกนักกีฬาให้เป็นดารา การนำหลักการในบทนี้มาประยุกต์ต่อระบบการศึกษา ต้องแยกแยะการประยุกต์ใช้ออกเป็น 2 เป้าหมาย คือ (1) การใช้ดึงศักยภาพในการเรียนรู้ทุกด้าน ของเด็กทุกคน เพื่อให้ทุกคนบรรลุผลการเรียนรู้ระดับ Mastery Learning (2) การใช้หนุนนักเรียนบางคนที่ใฝ่ฝันการบรรลุความเป็นเลิศในด้านที่เขาต้องการ ส่วนใหญ่ของสาระในบทนี้เน้นเป้าหมายที่ 2 แต่ผมได้พยายามเสริมประเด็นที่นำไปใช้ในเป้าหมายที่ 1 โดยเฉพาะหัวข้อย่อยสุดท้าย เขียนเพื่อเสนอแนะต่อวงการศึกษาไทยโดยเฉพาะ      

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP5 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

Tags:

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิชActive Learningปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)Experiential LearningReflective Learning

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

เปลี่ยนวิชาน่าเบื่อให้เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย: ครูขุนทอง คล้ายทอง ผู้พาเด็กๆ เข้าถึงหัวใจของ ‘วิทยาศาสตร์’
Unique Teacher
15 September 2025

เปลี่ยนวิชาน่าเบื่อให้เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย: ครูขุนทอง คล้ายทอง ผู้พาเด็กๆ เข้าถึงหัวใจของ ‘วิทยาศาสตร์’

เรื่อง The Potential

  • “ปัจจุบันเด็กหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเรียนหนังสือเพื่ออะไร แต่การเรียนแบบวิทยาศาสตร์จะเริ่มต้นจากสิ่งที่เราสงสัย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เราหาคำตอบได้อย่างถูกต้อง และทำให้เด็กมีระบบคิดที่มีทิศทางมากยิ่งขึ้น เด็กจะได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายและสร้างคุณค่าให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น”
  • ครูขุนทอง คล้ายทอง แห่งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ทำให้นักเรียนหลายคนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ และค้นพบความสนใจของตนเองในที่สุด
  • หัวใจสำคัญคือการเปิดโอกาสให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ คิดโจทย์คำถามและแสวงหาคำตอบด้วยตัวเอง

“ผมมีเป้าหมายอยากเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก” 

ความมุ่งมั่นของ ครูขุนทอง คล้ายทอง แห่งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี ทำให้เขาวางบทบาทเป็น ‘โค้ช’ และ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับหน่วยการเรียนรู้ ‘โครงงานวิทยาศาสตร์’ ที่ตนเองรับผิดชอบ จนทำให้นักเรียนหลายคนเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อวิชาวิทยาศาสตร์ และค้นพบความสนใจของตนเองในที่สุด

“วิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นวิชาที่เด็กทุกคนอยากเรียน และวิทยาศาสตร์อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กหลายคน แต่ในขณะเดียวกันความเป็นวิทยาศาสตร์เองมีลักษณะหลายอย่างที่น่าสนใจ และควรค่าแก่การค้นหา 

ปัจจุบันเด็กหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองเรียนหนังสือเพื่ออะไร แต่การเรียนแบบวิทยาศาสตร์จะเริ่มต้นจากสิ่งที่เราสงสัย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เราหาคำตอบได้อย่างถูกต้อง และทำให้เด็กมีระบบคิดที่มีทิศทางมากยิ่งขึ้น เด็กจะได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมายและสร้างคุณค่าให้กับเด็กมากยิ่งขึ้น”

นี่คือแนวคิดที่ครูขุนทองนำมาใช้ในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านการทำโครงงาน ที่เปิดโอกาสให้เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ ด้วยการค้นหาหัวข้อที่สนใจ ออกแบบการทดลองและค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยมีครูเป็นเพื่อนคู่คิดและผู้อำนวยความสะดวก เพื่อเปิดประสบการณ์ให้เด็กๆ ได้ฝึกทักษะที่จำเป็น เช่น การตั้งคำถาม การคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม พร้อมๆ ไปกับการบูรณาการองค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้เรียนมา

“ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องวิธีคิดและการใช้ชีวิต เพราะมองว่าการใช้ชีวิตคือสิ่งสำคัญมากกว่าการที่เขาได้รับรางวัลหรือว่าประสบความสำเร็จบนเวทีอะไรก็ตาม เพราะถ้าเราสอนวิธีการคิดให้กับเขาได้ ต่อไปถึงไม่มีเรา เขาจะคิดได้ด้วยตัวเขาเอง”

ครูขุนทองจบระดับปริญญาตรีจากภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จากนั้นเข้าศึกษาต่อหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพครู ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และเริ่มต้นเส้นทางอาชีพครูที่โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ปทุมธานี จนถึงปัจจุบันเป็นครูมากว่า 16 ปีแล้ว 

“ผมอยากเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่เด็ก เพราะผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า การที่เรามีแรงบันดาลใจที่ดี เราจะทำอะไรก็ได้ แม้เหนื่อยยากขนาดไหน เราก็จะพยายามทำ ดังนั้นเช่นเดียวกัน ถ้าเด็กมีแรงบันดาลใจที่ดีในการเรียนรู้ เขาจะเรียนรู้ได้อย่างมีเป้าหมาย และเดินไปยังหมุดหมายที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ”

ปัจจุบัน ครูขุนทอง เป็นหัวหน้างาน งานส่งเสริมโครงงานและนวัตกรรมนักเรียน และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาที่คอยสนับสนุนโครงงานวิทยาศาสตร์ของลูกศิษย์จำนวนมาก หลายโครงงานช่วยจุดประกายเด็กๆ ให้ค้นพบศักยภาพของตนเอง หลายโครงงานนำพาพวกเขาเจอเป้าหมายในชีวิต ขณะที่อีกหลายโครงงานเป็นใบเบิกทางพาเด็กๆ ก้าวสู่การคว้ารางวัลสร้างชื่อเสียงทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ

มองว่าความท้าทายในการสอนวิชาโครงงานวิทยาศาสตร์คืออะไร 

ปัญหาของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กไทย หนึ่งคือเด็กไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม บางคนเข้าใจว่าทำเพื่อไปประกวด บางคนเข้าใจว่าทำเพื่อส่งครูในห้องเรียน แต่จริงๆ ผมมองว่ามันมีความสวยงามมากกว่านั้น การเรียนแบบโครงงานวิทยาศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปพอเราได้ปัญหา เราต้องหาว่ามีวิธีการแบบใดที่จะได้คำตอบ ทำให้เราเริ่มต้นตั้งสมมติฐานถึงคำตอบที่จะเป็นไปได้ จากนั้นเด็กจะเข้าสู่กระบวนการออกแบบการทดลองเพื่อหาคำตอบในสิ่งนั้น และเมื่อเขาใช้องค์ความรู้ในสิ่งที่ได้เรียนมา รวมถึงการสืบค้นเพิ่มเติมทั้งหมดแล้วจะทำให้เด็กได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเขาเอง

อีกปัญหาที่สำคัญยิ่งกว่า คือ ครูไทยหลายคนรู้สึกว่าการทำโครงงานเป็นสิ่งที่ยาก ทำให้เขาเสียเวลา เพราะไม่มีใครที่เรียนจบด้านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์มาโดยตรง ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นเรียนรู้ ถ้าครูมองว่ามันคือโอกาสที่จะได้เรียนรู้ไปกับเด็กในเรื่องที่เขาสนใจ ผมมองว่ามันคือความสนุกและความท้าทาย ซึ่งอยากให้ครูรู้สึกแบบนี้เยอะๆ เพราะการทำโครงงานคือการค้นพบอะไรบางอย่าง ที่แม้ว่าบางทีจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ผมว่าเด็กจะเกิดความภูมิใจในสิ่งที่เขาได้คิดค้นหรือค้นพบด้วยตนเอง 

ครูขุนทองมีแนวทางอย่างไรในการออกแบบกระบวนการเรียนรู้ผ่านการทำโครงงานวิทยาศาสตร์

สิ่งที่ผมทำอยู่ อันดับแรกคือพยายามหาให้ได้ก่อนว่า ‘เด็กแต่ละคนมีแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างไร’ เด็กบางคนอยากมีเวทีในการแข่งขันเพื่อนำผลงานไปเป็นส่วนหนึ่งของ Portfolio แต่เด็กบางคนแค่รู้สึกว่าอยากหาคำตอบกับเรื่องอะไรง่ายๆ ซึ่งเราเปิดโอกาสให้เด็กทำในทุกรูปแบบ โดยหลักๆ ผมจะแบ่งเด็กเป็น 3 กลุ่ม หนึ่งคือ ‘กลุ่มที่มีความต้องการทำเพียงง่ายๆ แค่ให้ผ่าน’ แต่อย่างน้อยได้เรียนรู้กระบวนการ กลุ่มที่สองคือ ‘กลุ่มที่ทำหรือไม่ทำก็ได้’ และกลุ่มสุดท้ายคือ ‘กลุ่มที่อยากทำและมีความพยายามสูงมาก’ พอรู้ลักษณะเด็กแบบนี้แล้ว จะทำให้ไม่กดดันเด็กมากเกินไป 

หลังจากแบ่งกลุ่มเด็กแล้ว เราก็ใช้ความหลากหลายของเด็กมาสร้างกระบวนการเรียนรู้ เช่น ผมจะให้เด็กกลุ่มที่ 3 ไปชวนเพื่อนกลุ่มที่ 2 มาทำโครงงานด้วยกัน เพราะมองว่าถ้าเกิดเราชวนเด็กกลุ่มนี้เข้ามาเรียนรู้ได้ก็จะเกิดประโยชน์กับเขามากขึ้น ส่วนเด็กกลุ่มที่ 3 ที่มีเป้าหมายชัดเจน เราก็ส่งเสริมผลักดันให้เต็มที่ เชื่อมั้ยมีเด็กบางคนเดินมาหาผมแล้วบอกว่า ‘อาจารย์ครับ ผมอยากมีโอกาสสักครั้งหนึ่งในการถือธงชาติไทยอยู่ในเวทีระดับนานาชาติ’ ซึ่งถ้าเราเจอเด็กที่มุ่งมั่นขนาดนี้ เราก็ต้องพร้อมส่งเสริมผลักดัน 

ฉะนั้นการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ไม่ใช่วิชาที่อยู่แค่ในห้องเรียนแล้ว กลายเป็นว่าเราต้องคุยกับเด็กแบบรายบุคคลหรือแบบกลุ่ม เพื่อทำความเข้าใจก่อนว่าเขาต้องการอะไร และสิ่งที่เขาต้องการอยู่ตรงไหน เพื่อที่เราเองจะได้สนับสนุนให้ตรงกับความต้องการของเด็ก ก็เลยเป็นความสนุกและความท้าทายไปด้วยกันทั้งเด็กและเรา

เด็กแต่ละกลุ่มอาจมีความสนใจในการทำหัวข้อโครงงานที่ไม่เหมือนกันทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เกษตร ครูมีวิธีจัดการอย่างไร

การที่เด็กๆ สนใจโจทย์โครงงานที่อาจจะแตกต่างหลากหลายสาขาวิชาเลย บางคนอาจจะรู้สึกว่ายาก แต่ผมรู้สึกว่านั่นคือโอกาสที่ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ พอเด็กนำเสนอหัวข้อโครงงานมา ตัวครูเองก็ต้องไปเตรียมตัว ผมเองก็ต้องไปอ่านงานวิจัยเหมือนกัน ไม่ใช่แค่บอกให้เด็กไปอ่านงานวิจัยแล้วมาเล่าให้ครูฟัง แต่เราก็ต้องมีองค์ความรู้ในเรื่องเหล่านั้นด้วย แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องระวังไม่ไปเป็นผู้นำ หรือ Leader เด็ก เพราะบางทีพอเรามีความรู้มากพอก็จะไปเป็นผู้นำเด็ก คราวนี้เด็กจะเสียโอกาสในการเรียนรู้

ดังนั้นการเป็นโค้ชที่ดีให้เด็กที่ทำโครงงานวิทยาศาสตร์ต้องมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง

สิ่งที่ผมพยายามทำคือใช้วิธี ‘การตั้งคำถาม’ แล้วให้เขามาเป็น Leader ชวนเราคุย โดยผมจะออกแบบจัดเวลาให้เด็กกลุ่มละ 15 นาที ซึ่ง 5 นาทีแรก เด็กต้องมาเล่าให้ฟัง มาขายไอเดียว่าจะทำอะไร หรือออกแบบการทดลองไว้อย่างไร จากนั้น 5 นาทีต่อมา ผมจะให้ Feedback กลับไปว่า ผมเห็นอะไรจากสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ และในมุมมองของครูเป็นอย่างไร แต่เราจะไม่ตัดสินหรือบอกว่าต้องทำแบบนี้นะ ส่วน 5 นาทีสุดท้าย เขาต้องบอกว่าจากคำแนะนำที่เราให้ไป เขาคิดว่าจะนำไปวางแผนต่อยอดหรือทำอะไรต่อ รวมถึงครั้งต่อไปจะนัดคุยกันวันไหน และเป็นหัวข้อเกี่ยวกับอะไร 

สาเหตุที่ออกแบบเช่นนี้ เพราะช่วงแรกผมเจอเด็กที่เข้ามาปรึกษาแล้วบอกว่าคิดไม่ออกว่าจะพูดหรือถามอะไร แต่พอเรามีกรอบที่ชัดเจน เขาจะสามารถวางแผนได้ดี และฝึกเรื่องความรับผิดชอบด้วย เพราะว่าถ้ามาสาย ผมจะให้คิวแทรกเลย ฉะนั้นพอมีระบบแบบนี้ เด็กจะเติบโตอย่างเห็นได้ชัด มีการวางแผนงานที่เป็นระบบ การคุยกันก็จะไม่ใช่แค่ได้คำตอบในเรื่องที่เขาสงสัย แต่ทำให้เขามี Soft Skill ที่ติดตัวไปใช้ต่อในอนาคตได้ ซึ่งผมว่ามองว่าสิ่งนี้สำคัญกว่ารางวัลที่เขาจะได้ในบั้นปลายของโครงงานเขาอีก

นอกจากครูต้องไม่เป็นผู้นำ เปลี่ยนการบอกเป็นการตั้งคำถามแล้ว โค้ชที่ดีต้องมีอะไรอีกบ้าง

แต่ก่อนผมยังไม่มีสิ่งนี้ แต่ตอนนี้มีแล้ว นั่นคือ ‘ความใจเย็น’ ครูต้องใจเย็นรอฟังเด็กเล่าก่อน เพราะแต่ก่อนจะรู้สึกว่าเด็กคิดช้าจังเลย พอคิดช้าก็จะบอก พอบอกปุ๊บนั่นหมายความว่าองค์ความรู้ทั้งหมดจะอยู่ที่ครู และครูเป็นผู้นำไปแล้ว พอตอนนี้ก็จะทำตัวเองให้ช้าลงหน่อย อาจต้องมานั่งคิดว่า ถ้าเกิดเราเป็นเขาในวัยเท่านี้ เขาทำได้ดีขนาดไหนแล้ว

อย่างไรก็ดี สิ่งแรกที่ผมคิดว่าครูทุกคนควรต้องมีเลยคือ ‘ความเข้าใจเด็ก’ เพราะว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พอเราเข้าใจกันแล้วนั่นหมายความว่า เด็กจะเริ่มรู้สึกปลอดภัย สบายใจ ไว้ใจที่จะคุยกับเราได้ 

พอมีพื้นที่ปลอดภัยเกิดขึ้น เรากับเด็กจะสนทนากันมากขึ้น พอคุยกันเรื่อยๆ ก็เกิดการแลกเปลี่ยน นั่นคือจุดที่ทำให้เด็กบอกเราได้โดยไม่กลัวความผิดพลาด 

สิ่งที่ทุกคนควรมีต่อมา คือ ‘เด็กอาจจะเข้าใจผิด’ แต่เราต้องรอคอยหรือแนะนำบางอย่าง หรือตั้งคำถามกลับไปว่า ถ้าเป็นแบบนี้ หนูคิดว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งสุดท้ายแล้วเด็กอาจค้นพบว่า สิ่งที่เขาบอกเรามาเมื่อครั้งที่แล้วมันผิด และต้องหาข้อมูลใหม่ ดังนั้นสิ่งที่ต้องบอกคุณครูรวมถึงตัวผมเอง คือ เราอาจจะไม่ใช่แค่รอคอยแต่คำตอบที่ถูกต้อง แต่เราต้องแนะแนวทางว่าแหล่งที่เขาจะไปหาองค์ความรู้ได้คือตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ต่างๆ ที่สามารถโหลดงานวิจัย บทความ หรือว่าแหล่งที่จะสามารถไปหาอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือการใช้เครื่องมือต่างๆ ได้ 

อีกสิ่งสำคัญเลย ผมมองว่าคุณครูที่ปรึกษาเองควรต้องมี ‘เครือข่าย หรือ Connection’ ทั้งระหว่างเพื่อนครูด้วยกัน และกับอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะต้องยอมรับว่า โรงเรียนมีเครื่องมือไม่เพียงพอต่อการทำงาน ดังนั้นครูในฐานะที่ปรึกษาต้องอำนวยความสะดวกในการพาเด็กไปหาอาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเด็กๆ สมัยนี้มีโอกาสและโชคดีมาก เพราะเรามีระบบออนไลน์ ทำให้ติดต่อพูดคุยกับอาจารย์แบบออนไลน์ได้

การทำโครงงานหรือการหาคำตอบให้กับคำถามบางอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย เวลาที่เด็กเหนื่อย ท้อ หรือผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง มีวิธีการเติมกำลังใจให้เด็กๆ อย่างไร 

เด็กส่วนใหญ่ร้อยละ 80-90 เลย ที่อาจจะรู้สึกว่าทำโครงงานแล้วไปต่อไม่ไหว สิ่งหนึ่งที่ชวนทำคือ ‘ให้เขาลองแบ่งเป้าหมายให้เล็กลง’ จากเคยตั้งเป้าไว้ใหญ่ประมาณนี้ ลองแบ่งลงมาครึ่งหนึ่งก่อนไหม แล้วลองทำเป้าหมายทีละครึ่งให้สำเร็จ 

จากนั้นสิ่งที่ต้องชวนมานั่งดูต่อคือ ‘ความผิดพลาดเกิดขึ้นจากอะไร’ เช่น มาจากตัวเราเอง วันนี้ทำงานอาจจะมีสมาธิไม่มากพอ หรือเป็นปัญหาจากวิธีการหรือเครื่องมือที่ไม่เหมาะสม แต่ถ้ายังหาไม่เจอ ก็ใช้กลไกทางวิทยาศาสตร์ คือลองทำซ้ำว่ายังได้ผลเหมือนเดิมหรือเปล่า ซึ่งผลที่ได้อาจจะได้หรือไม่ได้ในแบบที่เราคิด แต่นั่นคือคำตอบ และเราต้องหาเหตุผลมาอธิบายให้ได้ว่าเป็นอย่างนั้นเพราะอะไร นั่นคือการอภิปรายผล แต่ถ้ายังเกิดความสงสัยต่อก็คือโจทย์วิจัยใหม่ในขั้นต่อไป ซึ่งจะทำให้เด็กรู้สึกว่ามันปิดจบได้นะ เพียงแต่เจอคำถามใหม่ที่ไปต่อได้ ก็จะเห็นกระบวนการที่เป็นขั้นตอน

เราพยายามบอกเด็กเสมอว่า การไม่ได้ค้นพบหรือว่าไม่ได้คำตอบตามสมมติฐาน ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือความท้าทายที่จะทำให้เราได้โจทย์คำถามใหม่ นั่นคือสิ่งที่จะเป็นกำลังใจให้กับเขา 

และที่ชอบบอกเด็กคือ สมมติว่าหนูอยากถามเรื่องวิชาเคมี แต่ครูไม่อยู่แล้วหนูจะมีวิธีการอย่างไร เด็กจะบอกว่าก็ไปหาครูเคมีคนอื่น ผมก็บอกว่านั่นแหละเหมือนกันเลย ถ้าเกิดวิธีการนี้ยังไม่ได้ผล อาจจะมีวิธีอื่นที่ทำได้ เพียงแต่เรายังหาไม่เจอ สิ่งที่ต้องทำคือหาวิธีใหม่ที่อาจจะให้คำตอบในสิ่งที่เราต้องการได้มากกว่า 

นอกจากคอยให้คำปรึกษาในเรื่องการทำโครงงานวิทยาศาสตร์แล้ว ครูยังช่วยให้คำแนะนำเด็กๆ ในเรื่องใดอีกบ้าง 

ผมค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องวิธีคิดและการใช้ชีวิต เพราะมองว่าการใช้ชีวิตคือสิ่งสำคัญมากกว่าการที่เขาได้รับรางวัลหรือว่าประสบความสำเร็จบนเวทีอะไรก็ตาม ถ้าเกิดเราสอนวิธีการคิดให้กับเขาได้ ต่อไปถึงไม่มีเรา เขาจะคิดได้ด้วยตัวเขาเอง หลังๆ มาผมพยายามพาเด็กออกไปเจอโลกภายนอกมากยิ่งขึ้น เพราะชีวิตจริงไม่ได้มีแค่ในโรงเรียน ต้องไปดูว่าคนอื่นเขาคิดอะไรกันอยู่ ไปลองลงเวทีแข่งขัน ไปลองเจอสถานการณ์ต่างๆ  และถ้าเขาสามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง เขาจะเกิดความภาคภูมิใจ แล้วก็ยังนำทักษะเหล่านั้นกลับมาต่อยอดการทำโครงงานต่อไปได้อีก  

การต้องเป็นโค้ชให้กับเด็กที่มีความแตกต่างหลากหลาย มีวิธีปรับตัวเข้าหาเด็กๆ อย่างไร 

ผมเรียกสิ่งนี้ว่า ‘พื้นที่ปลอดภัย’ แต่ก็ต้องบอกว่าพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กกลุ่มนี้อาจจะไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยสำหรับเด็กกลุ่มอื่น ผมจะบอกเด็กๆ ว่า หาให้ได้สักหนึ่งคน ครูคนไหนก็ได้ที่เรารู้สึกว่าอยากคุยด้วย คุณอาจจะไม่จำเป็นต้องมาปรึกษาผม แต่คุณหาใครก็ได้ที่คุณรู้สึกว่า ถ้าคุณมีปัญหาแล้วคุณอยากไปคุยกับเขา เราจะได้มุมมองบางอย่างที่ผ่านจากประสบการณ์ของอาจารย์ที่เขามี ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เขาได้เติบโตขึ้นไปอีก 

ในมุมมองผม ผมจะพยายามเป็นทุกอย่างให้กับเขา เขาอยากให้ผมเป็นอะไร ถ้าอยากให้เป็นพ่อ ผมก็จะเป็นพ่อ อยากให้ผมเป็นเพื่อนผมก็จะเป็นเพื่อน แต่ก็จะบอกเขาว่า ถ้าเกิดในวันที่เราทำโครงงาน เราก็จะเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน แต่เพื่อนในกลุ่มนี้จะมีหน้าที่ที่หลากหลาย ดังนั้นคุณทำหน้าที่ในการค้นหาคำตอบ แต่ผมทำหน้าที่ในการสนับสนุนหรืออำนวยความสะดวกให้กับคุณ แค่เรารู้บทบาทของแต่ละคนว่าเป็นยังไง เราก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ 

ดังนั้นถ้าวันนี้คุณไม่ได้คุยโครงงาน แต่คุณมองว่าผมคือพ่อคุณ คุณก็เล่นกับผมแบบพ่อได้ แต่ถ้าเกิดวันนี้คุณมองว่าผมเป็นครูของคุณ คุณก็จะต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ผมคิดหรือสิ่งที่ผมสอน ดังนั้นจะบอกเด็กๆ เสมอว่า ผมเป็นได้ทุกบทบาท ก็เลยทำให้เราอยู่กับเขาได้โดยที่ไม่มีอะไรมาขวางกั้น 

ในมุมมองของครูขุนทอง ทำไมการทำโครงงานวิทยาศาสตร์จึงสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็ก และเด็กได้จะเรียนรู้ทักษะอะไรบ้าง

การทำโครงงานคือการได้องค์ความรู้แบบที่เป็นอิสระด้วยตัวเราเอง เป็นการหาคำตอบในสิ่งที่เราสนใจ สิ่งที่เราต้องทำคือหาสิ่งที่จะมาสนับสนุน เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันในคำตอบนั้นให้ได้  และผมจะบอกเด็กว่า เราไม่อยากลองประเมินตัวเองหรือว่า 10 กว่าปีที่เรียนหนังสือมา เราสามารถสร้างองค์ความรู้อะไรได้บ้าง ผ่านเรื่องราวที่เราสงสัย ซึ่งอาจจะเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือคอมพิวเตอร์ก็ได้ แต่สุดท้าย เราได้เรียนรู้กระบวนการเหล่านี้ไป จะทำให้เรามีทักษะติดตัวไปใช้ต่อได้ในอนาคต 

การทำโครงงาน 1 เรื่อง เด็กจะได้เรียนรู้บูรณาการในแทบทุกวิชา เด็กจะไม่สามารถเขียนงานได้ดี ถ้าไม่มีทักษะในการเขียนเรียงความในภาษาไทย องค์ความรู้ที่ได้มาจากคนอื่น คุณต้องรู้จักวิธีการเขียนอ้างอิง ดังนั้นวิชาห้องสมุดต้องเอามาใช้ การเลือกเครื่องมือต่างๆ ก็ต้องอาศัยวิชางานช่าง หรือแม้การคำนวณตัวเลข วิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ก็จะมาเกี่ยวข้องทันที แม้แต่การทำโปสเตอร์โครงงาน หรือการประชาสัมพันธ์ ก็ต้องอาศัยความรู้ด้านศิลปะ อีกทั้งรูปแบบการนำเสนอต้องออกแบบวางผังเรื่องให้น่าสนใจ รวมถึงดึงข้อมูลในมิติเชิงเศรษฐศาสตร์และสังคมมาใช้ เพื่อให้งานได้รับความสนใจมากที่สุด 

ผมมองว่าถ้าเด็ก ม.ต้น และ ม.ปลาย ได้เรียนรู้การทำโครงงานสักชิ้นหนึ่ง เท่ากับได้เรียนรู้การทำงานทั้งระบบ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้เขาก่อนศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และพอเขาเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เขาก็จะเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนอื่น ที่สำคัญทักษะหลายอย่างทั้งการสังเกต การคิด การแก้ปัญหา หรือการสื่อสาร ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานและการใช้ชีวิต

หลังจากที่เด็กๆ ได้ทำโครงงาน พวกเขามีพัฒนาการหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง 

การเปลี่ยนแปลงสองอย่างแรกที่เห็นชัดเจนเลย คือ ‘การสื่อสารและบุคลิกภาพ’ แรกๆ เด็กหลายคนที่เดินเข้ามามักจะบอกว่า พูดไม่เก่ง หรือสื่อสารไม่ได้เลย แต่เราจะบอกเลยว่า การเป็นนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ที่ดี นอกจากการค้นพบองค์ความรู้แล้ว จำเป็นต้องสื่อสารสิ่งที่เรารู้ให้คนอื่นรู้ด้วย ฉะนั้นทักษะการสื่อสารสำคัญมาก เราจะพยายามฝึกเขาตลอดว่าถ้ามีเวลา 1 นาที หนูจะสื่อสารอะไรกับครู ขณะเดียวกันบุคลิกและท่าทางการนำเสนอ ไม่ว่าจะการมอง การวางมือ ทุกอย่างต้องฝึกฝน ฉะนั้นสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เด็กพูดรู้เรื่องขึ้นมาก 

ถัดมาที่เห็นพัฒนาการเด่นชัดมากๆ คือเด็กจะมี ‘วิธีการตั้งคำถามและตอบคำถาม’ ที่ต่างไปจากเดิม แต่ก่อนจะมีคำถามในลักษณะที่เปิดหนังสือก็รู้แล้ว แต่พอผ่านกระบวนการทำโครงงาน เขาเริ่มมีการตั้งคำถามที่ดูยากขึ้น ดูมีกลไกที่ต้องใช้กระบวนการในการคิดหรือว่าหาคำตอบ แล้วเขาก็จะเริ่มมองหาวิธีการในการหาคำตอบว่ามีได้หลากหลาย อยู่แค่ว่าเราจะเลือกใช้วิธีไหน

เวลาเห็นเด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น หรือโครงงานที่เขาทำประสบความสำเร็จได้รับรางวัล ครูรู้สึกอย่างไรบ้าง 

เวลาเห็นเด็กได้รับรางวัล จะนึกย้อนไปวันแรกที่ได้เจอเขา เช่น น้องโชกุน หรือ นายจิรพนธ์ เส็งหนองเเบน ที่มีโอกาสคว้ารางวัลจากการแข่งขันโครงงานวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์สำหรับเยาวชนระดับโลก หรือ REGENERON ISEF (Regeneron International Science and Engineering Fair) 2 ปีซ้อน หลาย ๆ คนอาจรู้สึกว่าเขาคือเด็กที่ไม่ได้ตั้งใจเรียนมากในห้องเรียน เพราะจริงๆ แล้ว เขาค้นพบว่าเขาถนัดและสนใจบางอย่าง ดังนั้นเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจในวิชาอื่น แต่สิ่งที่เรามองเห็นคือทุกครั้งที่เขามาทำการทดลองอะไรบางอย่าง เขาจะตั้งใจเป็นพิเศษ นั่นคือสิ่งที่เราค้นพบ ก็เลยคิดว่าต้องเติมคุณค่าให้เขาเข้าใจว่า นี่คือความความโดดเด่น นี่คือทักษะที่เขามี แล้วก็พยายามเสริมแรงให้เขาเข้าใจว่านี่คือตัวตนของเขา 

สิ่งต่อมา เราจะพยายามบอกเด็กๆ ว่า คนเราไม่สามารถเก่งได้ทุกอย่าง แต่เราควรต้องรู้ว่าเราเก่งอะไรสักหนึ่งอย่าง จากเด็กที่เขาอาจจะไม่ได้มีเป้าหมายอะไรมาก พอเขาทำไปเรื่อยๆ เขาค่อยๆ ได้คำตอบ แล้วเราก็ชวนเขามาทำในสิ่งที่เขาถนัด เช่น ในการทดลองบางอย่างเขาไม่สามารถหาคำตอบได้ด้วยการไปลงพื้นที่หรืออะไรก็ตาม แต่เขาบอกว่า ถ้าผมใช้เกมมาสร้าง แล้วจำลองให้อาจารย์ดูก่อนแบบนี้ได้ไหม เราก็ให้เขาลองทำในสิ่งที่เขาถนัด พอทำได้จริง เราก็แค่ชื่นชมเขา แล้วก็มองให้เห็นว่า จริงๆ แล้วดีมากเลยนะ การนำสิ่งที่ตัวเองถนัดมาเป็นหนึ่งในการทดลอง พอเราพัฒนาตรงนั้นไปได้ จนเขาไปได้รางวัล จะทำให้เขาเห็นว่า 

จริงๆ แล้วเด็กทุกคนมีคุณค่าในตัวของเขาเอง เพียงแต่ในฐานะครูต้องหาให้ได้ว่าเขาถนัดอะไร แล้วก็ไม่พยายามยัดเยียดในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น แต่ต้องพยายามหาในสิ่งที่เขาอยากเป็น แล้วก็ช่วยให้เขาค้นพบตรงนั้น 

กว่า 16 ปี ในเส้นทางสายอาชีพครู อะไรคือสิ่งที่เป็นความภูมิใจมากที่สุด

โดยส่วนตัวมีความภูมิใจหลายอย่าง ผมเป็นคนชอบตั้งเป้าหมายในชีวิต สิ่งหนึ่งที่รู้สึกว่าภูมิใจคือเราทำในสิ่งที่เราตั้งเป้าไว้ได้สำเร็จในแบบที่เรายังพอทำไหว เรายังอายุไม่มาก ยังคงยิ้มและมีความสุขสนุกไปกับเด็กได้ แต่สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดคือในวันที่เด็กๆ เขาเติบโตไปแล้ว เขายังนึกถึงเราหรือว่าเขายังคงมาหาเราอยู่ แล้วถ้าเรายังเห็นว่าเขาเดินต่อไปในเส้นทางที่เขาสนใจอยู่ ก็คงรู้สึกดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เด็กๆ ได้ค้นพบตัวเอง และดีใจที่ได้เป็นเบื้องหลังเล็กๆ ในการทำให้เขาได้ไปต่อในเส้นทางของเขา ได้ช่วยให้เขารู้ว่าเป้าหมายในชีวิตของเขาคืออะไร 

การที่ต้องรับบทบาทเป็นทั้งครูและโค้ชให้กับเด็กๆ อะไรคือแรงใจที่ทำให้ไม่ย่อท้อและยังคงมุ่งมั่นในเส้นทางนี้  

การทำโครงงานสำหรับผมเองคือความสนุก เป็นการเรียนรู้ที่จะเติบโต เรียนรู้ไปกับสิ่งที่เด็กสงสัย แล้วผมชอบทุกครั้งที่พอเราไปถึงปลายทาง เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของทั้งตัวเด็กและตัวเราด้วย ว่าเราก็เติบโตจากเรื่องที่เขาสนใจ 

หลังๆ มา สิ่งที่เป็นกำลังใจและทำให้เรารู้สึกว่าประสบความสำเร็จคือ หลังจากที่เด็กทำโครงงาน 1 เรื่อง แล้วเขาอยากทำโครงงานต่อ สิ่งนี้คือความสำเร็จที่มากเกินกว่ารางวัลที่ได้รับเสียอีก เพราะว่ากระบวนการในการค้นหาคำตอบ หรือว่าความเป็นคนที่อยากรู้เพื่อแก้ปัญหาอะไรบางอย่างได้เข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณของเขาแล้ว ก็เป็นสิ่งดีๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าการทำโครงงานสนุก และอยากเป็นโค้ชต่อไปเรื่อยๆ อีกทั้งการได้เห็นเด็กๆ เติบโตไปในแต่ละขั้น และสามารถใช้สิ่งเหล่านั้นไปสร้างประโยชน์ให้กับตัวเขาเองทั้งในด้านการเรียนรู้ หรือการใช้ชีวิต ก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของการตัดสินใจมาเป็นครู 

ผมมักจะมองย้อนกลับไปในวันแรกที่ตัดสินใจมาเป็นครูว่าวันนั้นเราต้องการอะไร และวันนี้เราทำได้ขนาดนั้นแล้วหรือยัง ซึ่งการตัดสินใจเป็นครูของผม ผมมีเป้าหมายอยากเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ดังนั้นในทุกๆ เช้าที่ตื่นนอน ผมจะบอกตัวเองว่า ผมอยากสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กสัก 1 คน ผมมีเป้าหมายเล็กๆ แบบนี้ และทุกๆ วัน ผมก็จะตามหาว่าวันนี้ใครได้เรียนรู้หรือเติบโตจากการได้เจอหน้าเราหรือยัง 

ถ้าเด็กมีแรงบันดาลใจที่ดีในการเรียนรู้ และเขาสามารถเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย สำหรับผมเพียงพอแล้ว ความเหนื่อยจะหายไป แต่ก็ยังมีแรงบันดาลใจที่จะค้นพบสิ่งใหม่ๆ พบนักเรียนคนใหม่ พบองค์ความรู้ใหม่กับนักเรียนกลุ่มใหม่ มันก็เลยทำให้เราสนุกและไม่เหนื่อยกับเส้นทางนี้ 

ทุกวันนี้เทคโนโลยีมาเร็วมากและรูปแบบการเรียนการสอนปรับเปลี่ยนไปค่อนข้างไว มีคำแนะนำอะไรให้แก่คุณครูที่อาจจะยังปรับตัวไม่ทันหรือยังไม่พร้อมรับกับเทคโนโลยีใหม่ๆ

ผมว่าอย่างแรกเลยที่คุณครูต้องทำคือ ครูต้องเปิดใจก่อนว่าโลกในอดีตกับโลกปัจจุบันไม่เหมือนกัน เราอาจต้องลองดูในสิ่งที่เราไม่เคยทำก่อน ถ้าเกิดเราไปบอกให้เด็กลองทำสิ่งต่างๆ โดยที่ตัวเองครูเองยังไม่เคยลองทำ ก็อาจจะพูดได้ไม่เต็มปาก ยกตัวอย่างเช่น Chat GPT ครูหลายคนหรือหลายโรงเรียนจะห้ามว่าเด็กไม่ควรใช้ แต่สำหรับผมมองว่าเราไม่ควรห้าม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือ จะสอนเด็กอย่างไรให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างถูกต้องและเข้าใจ 

เคยมีครูจากโรงเรียนอื่นทักมาหาว่าพี่ทำยังไงดี เด็กใช้ Chat GPT ทำงานส่งมา ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ผิดนะ แต่ถ้าเป็นผม ก็จะถามเด็กว่า เขาเขียน Prompt อย่างไรเพื่อให้ได้คำตอบนี้มา คำตอบไม่ใช่สิ่งสำคัญแล้ว กระบวนการก่อนที่จะได้คำตอบสำคัญกว่า คือเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีไปไกล และการเรียนวิทยาศาสตร์ต้องใช้เทคโนโลยี เราจึงต้องอยู่กับมันให้ได้ ดังนั้นเราต้องสอนให้เขาใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่อยู่รอบๆ ตัวให้ได้มากที่สุด โดยที่ไม่ทำร้ายคนอื่นหรือสิ่งแวดล้อมใดๆ และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้เทคโนโลยีได้อย่างดี มันจะทำให้เขาเริ่มนำคนอื่น และสิ่งที่เราต้องสอนต่อไปคือ อย่าลืมกลับมาช่วยเหลือคนอื่นที่ยังใช้ไม่ได้ หรือไม่เข้าใจเทคโนโลยีเหล่านั้น 

ดังนั้นอยากให้คุณครูทุกคนลองกล้าที่จะทำอะไรบางอย่างที่นอกเหนือไปจาก Comfort zone ที่ตัวเองเคยอยู่ แล้วลองไปเรียนรู้สิ่งนั้น ผมมองว่าทุกครั้งที่ครูขยับตัวออกไปจะมีเด็กอีก 40-50 คน หรือ 100 คน ได้ประโยชน์จากการขยับตัวของครู อยากชวนครูมาลองทำดู และเป็นกำลังใจให้ครูทุกคนที่กำลังเผชิญปัญหาหรืออะไรก็ตามที่กำลังเจออยู่ในแบบที่แตกต่างกัน แต่เพียงแค่เรามองมาที่เด็ก แล้วรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของเราบางอย่างจะช่วยให้เด็กๆ เติบโตได้ ผมว่าแค่นั้นจะทำให้คุณครูมีความสุข แล้วก็สามารถขยับไปข้างหน้าได้ 

ผมเชื่อว่าครูไทย 70-80% มีความพยายามและทุ่มเทให้แก่นักเรียนอย่างมาก  แต่หลายคนก็อาจจะมีบทบาทหรือมุมมองวิธีคิดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าเกิดคุณครูทำอย่างเต็มที่ในแบบที่คุณครูทำได้ก็จะเกิดประโยชน์กับเด็กในทุกๆ มิติได้เหมือนกัน

สุดท้ายอยากฝากอะไรไปถึงคุณครู นักเรียน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ของเด็กไทยในปัจจุบัน 

ผมว่าทุกภาคส่วนรู้อยู่ว่าปัญหาของประเทศไทยคืออะไร แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความพยายามมากน้อยแค่ไหนในการแก้ปัญหาเหล่านั้น หากฝากไปถึงครู ในส่วนที่ครูมีบทบาทจะทำได้ นั่นคือ การรับผิดชอบในหน้าที่สอนของเรา รวมถึงรับผิดชอบต่อเด็กที่อยู่รอบตัวเราให้ดีมากที่สุด ผมอยากให้คุณครูทุกคนมีแรงบันดาลใจในการเป็นครูที่สร้างแรงบันดาลใจให้เด็กได้ 

ส่วนสำคัญคือทำอย่างไรให้เขาได้ค้นพบตัวเองและสามารถขับเคลื่อนการเรียนรู้ของเขาได้ เมื่อเด็กรู้ว่าต้องการอะไร เขาจะสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีความหมายและเข้าใจในสิ่งนั้นได้อย่างดีที่สุด

สิ่งที่อยากฝากถึงเด็กๆ คือ อยากให้ลองคิดว่าในการเรียนรู้แต่ละวันช่วยให้เราเติบได้อย่างไรบ้าง และถ้าเกิดเราต้องการสร้างอะไรสักอย่างหนึ่ง องค์ความรู้ที่มีนั้นมากพอแล้วหรือยัง และจะมีวิธีการเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นเพิ่มเติมได้อย่างไร โดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้ครูสอน ลองสนุกไปกับมัน ลองผิดลองถูก ช่วงเวลามัธยมเป็นช่วงเวลาที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้สนุกที่สุดแล้ว ดังนั้นอยากให้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานอื่นๆ หรืออะไรก็ได้ที่สนใจ 

สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเยาวชน อยากจะบอกว่าทุกวันนี้โอกาสจะว่ามีเยอะก็เยอะ แต่ก็อาจจะยังไม่เพียงต่อความต้องการของเด็กจริงๆ  หรือบางครั้งโอกาสในมุมมองของผู้ใหญ่กับเด็กก็ไม่เหมือนกัน การที่เราจะให้โอกาสเด็ก เราอาจต้องพยายามมองก่อนว่า เด็กที่เขากำลังทำสิ่งนี้อยู่ เขาต้องการอะไร และลองเข้าไปเรียนรู้ในความต้องการของเขา แล้วจากนั้นเราค่อยทำหน้าที่เป็นผู้หยิบยื่นโอกาสในบริบทที่เราช่วยเขาได้ 

ทุกวันนี้ผมมองว่าประเทศไทยมีเวทีการแข่งขันหลายเวทีที่ช่วยสนับสนุนให้เด็กได้มีโอกาสแสดงศักยภาพอยู่มาก แต่อาจจะยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเด็กทั้งหมด หรือว่าอาจจะได้เฉพาะแค่เด็กบางกลุ่มเท่านั้น 

Tags:

พื้นที่ปลอดภัยโค้ชโครงงานวิทยาศาสตร์โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัยวิชาวิทยาศาสตร์ครูขุนทอง คล้ายทอง

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    ‘วรรณกรรมเยียวยา’ พื้นที่ปลอดภัยให้เด็กสำรวจโลกของอารมณ์  เรียนรู้และโอบรับความเปราะบางของตนเอง: ธาม เชื้อสถาปนศิริ

    เรื่อง บุญญิสา รัตนมณี ภาพ ปริสุทธิ์

  • Social Issues
    ‘เรียนวิทย์ให้เวิร์ก’ กับโครงงานที่เด็กออกแบบเอง: กะทิ – เจได เจ้าของเหรียญทองแดง GENIUS Olympiad 2025

    เรื่อง The Potential

  • Transformative learning
    ‘ข้อมูลที่ตรงจริง กับคุณครูที่มีหัวใจ’ โรงเรียนเปลี่ยนได้ด้วย Data Driven: ผอ.ปัฐน์ศรัญย์ จิตต์ประยูร

    เรื่อง นิภาพร ทับหุ่น

  • Unique Teacher
    เปลี่ยนโรงเรียนติดลบเป็นโรงเรียนติดดาว เริ่มที่ ‘ตัวฉัน’: ผอ.นันทิยา บัวตรี

    เรื่อง The Potential

  • Relationship
    มองโลกในแง่ดีเกินไป (Toxic Positivity) : ในวันที่เราต่างมีช่วงเวลาแย่ แต่ต้องกดมันไว้ว่า ‘ไม่เป็นไร’

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

‘เด็กบึง’ เหยื่ออคติผู้พลิกชีวิตด้วยความใฝ่รู้: ปมรักในบึงลึก
Book
13 September 2025

‘เด็กบึง’ เหยื่ออคติผู้พลิกชีวิตด้วยความใฝ่รู้: ปมรักในบึงลึก

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Where the crawdads sing เขียนโดย Delia Owens นักเขียนสารคดีธรรมชาติและพฤติกรรมสัตว์ป่า เป็นนิยายที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ขายได้มากกว่า 12 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆ 46 ภาษา รวมถึงภาษาไทยในชื่อ ‘ปมรักในบึงลึก’ รวมทั้งถูกดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์
  • นิยายเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ แคเทอรีน แดเนียลล์ คลาร์ก แต่เจ้าตัวมักเรียกตัวเองว่า ‘คยา’ ขณะที่คนอื่นๆ มักเรียกเธอว่า ‘เด็กบึง’ หรือแย่กว่านั้นว่า ‘สวะริมบึง’ เพราะเธอเติบโตขึ้นมาในกระท่อมหลังเล็กๆ ที่อยู่ริมบึง
  • ความแตกต่างมักทำให้เราไม่เข้าใจกัน และความไม่เข้าใจกัน ก็มักทำให้เราปิดกั้นเพื่อป้องกันตัว จนกลายเป็นอคติที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น การเลือกปฏิบัติ กลับยิ่งตอกย้ำความแตกต่าง และความแตกต่างก็นำไปสู่ความไม่เข้าใจ หมุนวนต่อไปไม่สิ้นสุด

“จงใช้ชีวิตให้เหมือนกับว่า คุณจะตายในวันพรุ่งนี้ และจงเรียนรู้ให้เหมือนกับว่า คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร์” 

นั่นคือคำกล่าวของ ‘มหาตมะ คานธี’ รัฐบุรุษและผู้ก่อตั้งประเทศอินเดียยุคใหม่ ประโยคดังกล่าวมีความหมายถึง การใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง และจงอย่าละเลยการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าคุณจะเรียนมาแล้วมากแค่ไหน หรือจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน หรือมีอายุมากแค่ไหน แต่ก็ยังมีสิ่งมากมายที่คุณยังไม่เคยรู้มาก่อน

เวลาพูดถึงการเรียนรู้ หลายคนอาจนึกถึงการเรียนในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นก็นับเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง แต่การเรียนรู้ไม่ได้จบลงแค่นั้น ต่อให้คุณได้รับปริญญาเอกแล้ว คุณก็ยังสามารถเรียนรู้ต่อไปได้ไม่รู้จบ

สำหรับการเรียนรู้ในระบบการศึกษา (ไม่ว่าจะภาครัฐหรือภาคเอกชน) เราอาจเรียกอีกอย่างว่า การศึกษา (education) ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ (learning) ซึ่งเราสามารถเรียนได้จนชั่วชีวิต

การศึกษาและการเรียนรู้ จึงไม่ใช่สองสิ่งที่แยกจากกัน แต่เป็นสองสิ่งที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน การศึกษาจะช่วยสร้างโอกาสให้ชีวิต ทั้งเรื่องงาน รายได้ และการยกระดับสถานภาพชีวิต ขณะที่การเรียนรู้จะช่วยให้เราปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงค้นพบความหมายของชีวิต

หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า การศึกษา คือการวางรากฐานให้กับชีวิต ขณะที่การเรียนรู้ คือการเติบโตของชีวิต

มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเพิ่งมีโอกาสอ่าน แม้ว่าพล็อตเรื่องจะไม่ได้กล่าวถึงการศึกษาหรือการเรียนรู้โดยตรง แต่ก็มีแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

หนังสือเล่มที่ว่า คือ Where the crawdads sing เขียนโดย Delia Owens นักเขียนสารคดีธรรมชาติและพฤติกรรมสัตว์ป่า ซึ่งหนังสือเล่มนี้คือนิยายเล่มแรกของเธอ และกลายเป็นนิยายที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ขายได้มากกว่า 12 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆ 46 ภาษา รวมถึงภาษาไทยในชื่อ ‘ปมรักในบึงลึก’ รวมทั้งถูกดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว

นิยายเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ แคเทอรีน แดเนียลล์ คลาร์ก แต่เจ้าตัวมักเรียกตัวเองว่า ‘คยา’ ขณะที่คนอื่นๆ มักเรียกเธอว่า ‘เด็กบึง’ หรือแย่กว่านั้นว่า ‘สวะริมบึง’ เพราะเธอเติบโตขึ้นมาในกระท่อมหลังเล็กๆ ที่อยู่ริมบึง

การมีบ้านอยู่ริมบึง ฟังดูก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่สำหรับชาวเมืองบาร์กลีย์โคฟ พื้นที่ริมบึงไม่เพียงเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า แต่ยังมีความหมายเท่ากับ ความป่าเถื่อน ไร้การศึกษา และไร้อารยธรรม

ดังนั้น คนที่เติบโตมาในพื้นที่ดังกล่าว จึงถูกมองว่า เป็นเหมือนคนชายขอบ หรือร้ายกว่านั้น เป็นคนป่าดีๆ นี่เอง โดยเฉพาะชาวบึงที่โตมาโดยลำพังคนเดียวตั้งแต่เด็ก ยิ่งถูกมองว่า แทบจะไม่ต่างจากสัตว์ป่าเลยทีเดียว

ใช่ครับ คยา เติบโตโดยลำพังคนเดียว ตั้งแต่อายุราว 7 ขวบ จริงๆ ก่อนหน้านั้น เธอมีทั้งพ่อ แม่ และพี่ๆ อีกสี่คน อาศัยรวมกันอย่างแออัดในกระท่อมหลังเล็กกลางดงต้นโอ๊ก ไม่ไกลจากบึงใหญ่ที่เชื่อมต่อกับชายฝั่งนอร์ทแคโรไลนา

ทว่า อารมณ์ร้าย ชอบใช้ความรุนแรง และการติดสุราเรื้อรังของพ่อ ทำให้แม่ตัดสินใจทิ้งครอบครัวไปโดยไม่บอกกล่าว คยายังตั้งความหวังลมๆ แล้งๆว่า สักวันหนึ่ง แม่จะเดินกลับมายืนตรงหน้าประตู แต่จนแล้วจนรอด แม่ก็ไม่กลับ ยิ่งไปกว่านั้น พี่ๆ ของเธอ ต่างทยอยหนีออกจากบ้าน เพราะทนความโหดร้ายของพ่อไม่ไหว จนเหลือแค่คยากับพ่อ อยู่ด้วยกันแค่สองคน

แรกเริ่มเดิมที พ่อไม่ได้เป็นคนเลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่หลังจากไปร่วมรบในสงคราม กลับมาพร้อมสภาพพิกลพิการ พ่อกลายเป็นคนติดเหล้า แต่ก็ยังภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ความพิการของตน ทำให้ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากทางการมาตลอด และเบี้ยเลี้ยงอันน้อยนิดนั้น คือแหล่งรายได้เดียวที่พ่อหามาให้ครอบครัว

คยาเรียนรู้ที่จะกินเท่าที่มีให้กิน หลบซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น พยายามอยู่ให้ห่างจากพ่อ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำร้าย ทั้งหมดคือบทเรียนแรกที่เธอเริ่มเรียนรู้ โดยดูจากพฤติกรรมของสัตว์ป่าริมบึง

วันหนึ่ง ตอนที่คยาอายุได้เจ็ดขวบ หญิงสาวแปลกหน้าเข้ามาที่บ้าน พร้อมบอกว่า เธอจะต้องเข้าโรงเรียน คยาไม่อยากไป แต่พอผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ที่นั่นมีอาหารเที่ยงให้กินฟรี เธอจึงตกลงที่จะไป

ที่โรงเรียน ครูพยายามสอนให้คยาเรียนรู้การสะกดคำ แต่คยาสะกดไม่ได้แม้กระทั่งคำง่ายๆ ทำให้เด็กคนอื่นพากันหัวเราะเธอ

วันนั้น คือวันเดียวในชีวิตที่คยาไปโรงเรียน เธอไม่กลับไปที่นั่นอีกเลย เพราะเธอได้เรียนรู้แล้วว่า บางครั้ง เราก็อาจถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ รวมทั้งถูกปฏิบัติด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตร เพียงเพราะคนๆ นั้น แตกต่างจากคนอื่น ไม่ว่าจะโดยรูปลักษณ์ภายนอก หรือทัศนคติภายใน

คยาไม่รู้สึกเสียใจเลย เธออาจไม่ได้เรียนการสะกดคำจากโรงเรียน แต่เธอสามารถเรียนรู้จากธรรมชาติ ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงเรียกนกนางนวล การกลบรอยเท้าตัวเอง เพื่อไม่ให้นักล่าเห็นร่องรอย

ที่สำคัญ คยาเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดโดยลำพังคนเดียว เพราะไม่นานหลังจากเธอได้ไปโรงเรียน พ่อของเธอก็กลายเป็นคนสุดท้ายที่ในครอบครัวที่หายตัวไปจากกระท่อมและไม่กลับมาอีกเลย

คยาเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตโดยมีนกนางนวลเป็นเพื่อน เรียนรู้ที่จะเก็บของป่าเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินและข้าวของสำหรับประทังชีวิต ขณะที่ชาวเมืองส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตัวคนเดียวของคยา แต่เธอก็ได้เรียนรู้อีกว่า ผู้คนไม่ได้ใจร้ายเหมือนกันทุกคน

จั๊มปิ้นและเมเบิ้ล สามีภรรยาผิวสี ผู้เป็นเจ้าของร้านชำเล็กๆ ที่คยาเคยแวะเวียนไปซื้อน้ำมันเติมเรือ คือคนที่รับซื้อหอยแมลงภู่ และปลารมควัน ที่คยานำมาขาย

แม้ว่าจั๊มปิ้นและเมเบิ้ลจะเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า การที่สองสามีภรรยารักและคอยเป็นห่วงเป็นใยเธอ เพราะทั้งคู่เป็นคนผิวสี ที่ถูกปฏิบัติอย่างแตกต่างในยุคนั้น ไม่ต่างไปจากเด็กบึงอย่างคยา

มีแต่คนที่เป็นเหยื่อของอคติเหมือนกัน จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงความรู้สึกของการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเหมือนกัน

นอกจากนี้ คยายังได้เรียนรู้ในเรื่องความรัก

เทต คือ เด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี เขารักธรรมชาติ ชอบใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากธรรมชาติเช่นเดียวกับคยา ทั้งคู่ได้รู้จักกันและกลายเป็นมิตรกัน

เทตสอนให้คยารู้จักสะกดคำ โดยไม่หัวเราะใส่หน้าเวลาเธอสะกดผิด สอนให้เธออ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนบทกวี และสอนให้เธอรู้จักความรัก

แต่เทตอีกเช่นกัน ที่สอนให้คยารู้จักความผิดหวังจากความรัก เมื่อเขาจากไปเรียนมหาวิทยาลัย และไม่ได้กลับมาหาเธอตามคำสัญญา

คยาเรียนรู้ว่า ถึงหัวใจจะแตกสลาย แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป บาดแผลในใจ อาจทำให้เธอเจ็บปวด แต่มันก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

แต่บางครั้งชีวิตก็ดำเนินไปในเส้นทางที่บิดเบี้ยว คยาพบรักครั้งใหม่กับเชส ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ลูกชายผู้ดีของเมือง ขณะที่เทต ซึ่งหวนกลับมาคืนดีกับเธออีกครั้ง พยายามเตือนว่า เชสไม่ใช่คนที่รักและจริงใจกับเธอ แต่คยาไม่เชื่อ

และเป็นอีกครั้งที่คยาได้เรียนรู้ถึงความเลวร้ายของคน คนที่ใช้ความรักเป็นเครื่องมือหลอกลวงคนอื่น เพื่อสนองความต้องการและอัตตาของตัวเอง

หลังพบความจริงว่า เชสกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เขาคบกับเธอแค่เพราะเห็นเธอเป็นของเล่นแปลกใหม่ คยาบอกเลิกกับเชส แต่เชสยังตามรังควานเธอไม่หยุด ไม่ต่างจากสัตว์นักล่าที่สะกดรอยตามเหยื่อ เพื่อเล่นกับเหยื่อ ก่อนจะลงมือฆ่าและกินเป็นอาหาร

สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เชสตกจากหอคอยสูงเสียชีวิต ร่างของเขาถูกพบอยู่ริมบึง ไม่มีร่องรอยบุคคลอื่น ตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นอุบัติเหตุพลัดตกจากหอคอยสูง แต่ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น อัยการตัดสินใจส่งฟ้องคยา ในข้อหาฆาตกรรมเชส แม้ว่าจะไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน นอกเสียจากเสียงซุบซิบนินทา และข่าวลือที่แพร่สะพัดในเมืองว่า หญิงสาวชาวบึง ผู้แปลกแยกและแตกต่างจากคนอื่น คือฆาตกรสังหารเชส เพราะแค้นใจที่เขาทิ้งเธอไปแต่งงานกับคนอื่น

ในการแถลงปิดคดี ทอม  มิลตัน ทนายความของคยา กล่าวไว้ว่า

“เราเรียกเธอว่าเด็กบึง บางคนซุบซิบว่าเธอเป็นครึ่งหมาป่า ทว่าในความเป็นจริง เธอก็เป็นแค่เด็ก พยายามเอาชีวิตรอดอยู่ในบึง หิวโหยและหนาวเหน็บ ยกเว้นจั๊มปิ้น หนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนของเธอแล้ว ไม่มีใครหยิบยื่นอาหารหรือเสื้อผ้าให้เธอ ตรงกันข้ามเรากลับตราหน้าและปฏิเสธเธอเพราะคิดว่าเธอแตกต่าง”

คำแถลงของมิลตัน อาจฟังดูเหมือนโวหารเรียกความสงสาร แต่มันคือความจริง เพราะคดีนี้ไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน มีเพียงทฤษฎีความเป็นไปได้ และข้อสงสัยจากเสียงซุบซิบนินทา ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็มาจากอคติของชาวเมืองที่มีต่อชาวบึง คนที่แตกต่างจากพวกเขาอย่างลิบลับ

เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่ความแตกต่างมักทำให้เราไม่เข้าใจกัน และความไม่เข้าใจกัน ก็มักทำให้เราปิดกั้นเพื่อป้องกันตัว จนกลายเป็นอคติที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น การเลือกปฏิบัติ กลับยิ่งตอกย้ำความแตกต่าง และความแตกต่างก็นำไปสู่ความไม่เข้าใจ หมุนวนต่อไปไม่สิ้นสุด

อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ ท้ายที่สุด คยาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา คยาและเทตร่วมกันใช้ชีวิตในกระท่อมริมบึง เทตทำงานเป็นนักนิเวศวิทยาที่ศูนย์วิจัยใกล้บ้าน ส่วนคยากลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากผลงานการศึกษาธรรมชาติและชีวิตสัตว์ป่า และกลายเป็นคนสำคัญของเมืองบาร์คลีย์โคฟ เมืองซึ่งเธอแทบจะไม่เคยไปเหยียบอีกเลย

เรื่องราวของคยาในหนังสือ Where the crawdads sing (ซึ่งแปลตรงๆ ว่า ที่ที่กุ้งเครย์ฟิชร้องเพลง) อันหมายถึงสถานที่ที่ยังเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ทิ้งประเด็นให้เราได้ขบคิดมากมาย แต่สิ่งที่ผมสนใจและหยิบมาเขียนถึงในบทความชิ้นนี้ ก็คือ การเรียนรู้ ซึ่งไม่มีขีดจำกัดใดๆ ขอแค่มีใจรักที่จะเรียนรู้ก็พอ

คยาไม่ได้เข้าเรียนในระบบการศึกษา โชคดีที่เธอได้เรียนหนังสือจากเทต แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าโชค ก็คือ ‘ความใฝ่รู้ในตัวเอง’ เธอขวนขวายที่จะเรียนรู้จากทุกสิ่ง เธอเรียนรู้การเขียนบทกวีจากเทต เรียนรู้การค้าขายจากจั๊มปิ้น รวมทั้งเรียนรู้เรื่องความโหดร้ายและการอยู่รอดจากธรรมชาติ

อดคิดไม่ได้ว่า หากคยาได้เข้าเรียนในโรงเรียนต่อไป เส้นทางชีวิตของเธอน่าจะแตกต่างไปจากนี้ แน่นอน มันอาจไม่พลิกผันกลายเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอก แต่อย่างน้อย ความแปลกแยกของคยาในสายตาชาวเมืองอาจลดน้อยลงกว่านี้ เพราะอย่างน้อยเธอก็จะมีสถานภาพนักเรียนร่วมโรงเรียนเดียวกับเด็กคนอื่นๆ

ในตอนต้นของบทความ ผมเขียนไว้ว่า การศึกษาช่วยสร้างโอกาส สร้างงานและรายได้ให้แก่คน ซึ่งคยาไม่มีสิ่งเหล่านี้ เพราะเธอไม่ผ่านการศึกษาตามระบบ แต่ด้วยการเรียนรู้ ทำให้เธอสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เธอสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ด้วยตนเอง

และด้วยการเรียนรู้ ทำให้ชีวิตของคยา เติบโตอย่างแข็งแกร่งและงดงาม ท่ามกลางธรรมชาติและผู้คน ซึ่งมีความโหดร้ายไม่แพ้กัน

Tags:

Where the crawdads singหนังสือนิยายความแตกต่าง

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Book
    คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    ความฝันที่ล้มเหลวไม่เจ็บปวดเท่าความฝันที่ไม่ได้ลงมือทำ: คิริโกะกับคาเฟ่เยียวยาใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • Book
    Normal People: จะรวยหรือจน…ทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Book
    The Catcher in the Rye : ไม่ต้องมีใครโอบรับใคร ถ้าไม่มีผู้ใดร่วงหล่นจากท้องทุ่ง

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

  • Book
    ปิราเนซิ: โลกแสนงดงามเมื่อถูกสะกดด้วยตัวพิมพ์ใหญ่

    เรื่อง ฌานันท์ อุรุวาทิน

Sorry, Baby: ขอแค่มีเธอที่เข้าใจ ต่อให้เจอเรื่องร้ายๆ ก็ยังยิ้มได้แม้ในวันที่โลกไม่สวย
Movie
12 September 2025

Sorry, Baby: ขอแค่มีเธอที่เข้าใจ ต่อให้เจอเรื่องร้ายๆ ก็ยังยิ้มได้แม้ในวันที่โลกไม่สวย

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Sorry, Baby (ยิ้มไว้…ในวันที่โลกไม่สวย) เป็นภาพยนตร์อเมริกันดรามาจากค่ายสตูดิโอ A24 ที่กำกับ เขียนบท และแสดงนำโดยนางเอกยิ้มหวาน ‘เอวา วิคเตอร์’
  • ภาพยนตร์ถ่ายทอดช่วงเวลาอันหนักหน่วงในชีวิตของแอกเนสหลังถูกทำร้ายโดยคนที่เคารพและไว้ใจ ผ่านการดำเนินชีวิตทั่วๆ ไป ทว่ากลับทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ
  • แม้จะผูกปมเรื่องไว้ที่ Sexual Harassment แต่ภาพยนตร์ไม่ได้เน้นดรามาหนักหน่วง กลับใช้การเล่าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีมิตรภาพที่หนักแน่นระหว่างแอกเนสและลิดี้คอยประคับประคองให้เธอผ่านพ้นความรู้สึกอันเลวร้ายไปได้

[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์]

“ถ้าวันหนึ่งหนูรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะด้วยดินสอ มีด หรืออะไรก็ตาม หนูบอกน้าได้เลยนะ น้าจะไม่บอกว่าหนูทำให้น้ากลัว น้าจะพูดว่า อืม…น้าเข้าใจ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ บางทีน้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

คำพูดที่แสดงความเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกของคนที่กำลังอยู่ในภาวะจิตตก จากภาพยนตร์อเมริกันดรามาเรื่อง Sorry, Baby (ยิ้มไว้…ในวันที่โลกไม่สวย) ที่กำกับ เขียนบท และแสดงนำโดยนางเอกยิ้มหวาน เอวา วิคเตอร์ ในบท ‘แอกเนส’ สาววัย 29 ปี เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนต้องพบเจอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสูญเสีย ผิดหวัง หรือเรื่องเลวร้ายใดๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ การพยายามหลีกเลี่ยง กลบเกลื่อน และปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง

ภาพยนตร์ถ่ายทอดช่วงเวลาอันหนักหน่วงในชีวิตของแอกเนส หลังถูกอาจารย์ที่ปรึกษาที่เธอเคารพละเมิดความเชื่อใจ และยังขยี้ความเจ็บปวดนั้นด้วยการลาออกในวันรุ่งขึ้น ทิ้งไว้แต่แผลใจขนาดใหญ่ที่ตามหลอกหลอนเธอจนเกิดอาการแพนิค

สิ่งที่ทำให้ Sorry, Baby น่าสนใจ คือการดำเนินเรื่องที่พาผู้ชมเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์แต่ละช่วงชีวิตของตัวละครหลักโดยไม่ชี้นำความคิด ปล่อยให้ผู้ชมค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับตัวละครที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา

ทว่าสิ่งที่กินใจผมคือ การขีดเส้นใต้คำว่า ‘มิตรภาพ’ ด้วยบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยของ ‘ลิดี้’ เพื่อนสาวและรูมเมทที่อยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ ต่างจากพวกผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยที่ปากเอาแต่พูดว่า “ฉันเข้าใจเธอ” หรือ “เรามันหัวอกผู้หญิงเหมือนกัน” แต่กลับปฏิเสธความช่วยเหลืออย่างมักง่าย

ลิดี้ไม่เพียงคอยรับฟังแอกเนสโดยไม่ตัดสิน ปลอบใจด้วยความอ่อนโยน  เธอยังคอยกางปีกปกป้องแอกเนสจากเรื่องละเอียดอ่อนที่ผู้คนอาจมองข้าม เช่น การเตือนให้หมอใช้คำพูดและน้ำเสียงที่ให้เกียรติเพื่อนของเธอระหว่างการตรวจร่างกายหาร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ 

รวมไปถึงฉากที่แอกเนสเตรียมถังน้ำมันพร้อมกับไฟแช็กเพื่อไปเผาสำนักงานของอดีตอาจารย์ที่ปรึกษา ลิดี้ไม่เพียงไม่ห้ามหรือต่อว่าเพื่อน เธอยังอาสาขอเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกอยากกอดลิดี้และมอบรางวัลเพื่อนดีเด่นให้กับเธอ เพราะเธอเข้าใจในความเปราะบางของเพื่อน ว่าในเวลานั้น (ที่กำลังจิตตกและหลงทาง) สิ่งที่เราต้องการที่สุดไม่ใช่เหตุผลหรือความถูกต้อง หากแต่เป็นใครสักคนที่พร้อมแสดงออกอย่างสุดตัวว่าเข้าใจเรา อยู่ทีมเดียวกับเรา และทำให้เรารู้สึกปลอดภัย 

เวลานั้น หากชีวิตแอกเนสถูกโอบล้อมด้วยความมืดมน ความจริงใจของลิดี้ ก็คือแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด

แต่ความอบอุ่นปลอดภัยนั้นก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เมื่อแอกเนสต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวและไม่มั่นคงหลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบ ลิดี้ต้องย้ายไปนิวยอร์ก ส่วนแอกเนสก็ถูกบังคับให้ตื่นจากโลกที่เคยมีลิดี้อยู่ด้วยกัน และเมื่อมูฟออนไม่ได้เธอจึงมีชีวิตเหมือนกับวัยรุ่นตอนปลายที่ก้าวไม่ถึงคำว่าผู้ใหญ่เสียที แม้ว่าความเป็นจริงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นย่อมมีอันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขของเวลา ความห่างไกล ภาระหน้าที่ หรือจะเป็นลำดับความสำคัญในชีวิตที่ค่อยๆ ขยับลดลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อลิดี้พบรักและมีลูกหนึ่งคน

ถึงอย่างนั้น แอกเนสก็พยายามตั้งใจมีชีวิตต่อไปตามที่ให้สัญญาไว้กับลิดี้ แม้หลายครั้งอดีตอันเลวร้ายจะตามกลับมาหลอกหลอน แต่โลกก็ยังส่งผู้คนและสิ่งเล็กๆ เข้ามาช่วยเยียวยา ไม่ว่าจะเป็น ชายแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเธอจากอาการแพนิคด้วยการแนะนำเทคนิคการหายใจเพื่อผ่อนคลายจิตใจ หรือเจ้าแมวน้อยขี้อ้อนข้างถนนที่เข้ามาฮีลใจและเพิ่มชีวิตชีวาให้แก่บ้านอันเปลี่ยวเหงาของเธอ

และแล้วในซีนสุดท้ายที่ลิดี้พาคนรักกับลูกมาเยี่ยมแอกเนส ภาพยนตร์ก็นำผู้ชมมาสู่ยอดพีระมิดของเรื่องผ่านการชี้ให้เห็นว่า ท้ายที่สุด แอกเนสก็เรียนรู้ที่จะรับมือกับความเจ็บปวดและเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง หลังจากที่เธออาสาดูแลทารกน้อยชั่วคราวเพื่อเปิดโอกาสให้ลิดี้กับคนรักได้ออกไปเที่ยว โดยในช่วงที่อยู่กับเด็กน้อยสองต่อสอง แอกเนสได้ให้สัญญาว่าจะมอบความรักความเข้าใจในแบบที่เธอเคยได้จากลิดี้

“เมื่อหนูโตขึ้น หนูสามารถเล่าอะไรให้น้าฟังก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดแบบไหนก็ตาม แม้แต่ความคิดที่หนูคิดว่า ‘อันนี้แย่มากเลย’ เพราะน้าเองก็อาจจะเคยมีความคิดนั้นเหมือนกัน แถมอาจจะแย่กว่านั้นสิบเท่าด้วย เพราะงั้น หนูเล่าได้เลย น้าจะไม่กลัว 

ถ้ามีใครทำไม่ดีกับหนู ถ้ามีใครพูดอะไรที่น่ากลัว หรือถ้าวันหนึ่งหนูรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะด้วยดินสอ มีด หรืออะไรก็ตาม หนูบอกน้าได้เลยนะ น้าจะไม่บอกว่าหนูทำให้น้ากลัว น้าจะพูดว่า อืม…น้าเข้าใจ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ บางทีน้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

น้าเสียใจด้วยนะที่ชีวิตหนูจะต้องเจอเรื่องแย่ๆ หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้น และน้าหยุดมันไม่ได้ อย่างน้อยหนูบอกน้าได้นะ บางทีเรื่องแย่ๆ มันก็เกิดขึ้นเองโดยที่เราหยุดไม่ได้ นั่นแหละที่ทำให้น้ารู้สึกเศร้าแทนหนู เพราะหนูยังเด็ก และยังไม่รู้ว่าชีวิตมันเป็นแบบนั้น แต่ว่า…น้ารับฟังได้นะ แล้วก็จะไม่กลัวเลย นั่นก็น่าจะดีอยู่ หรืออย่างน้อยก็เป็นอะไรบางอย่างแหละ”

ผมเองก็เคยคิดจะพูดประโยคเหล่านี้กับหลาน เพราะตัวผมก็เคยผ่านช่วงเวลาที่รู้สึกแย่ ไม่มีคนเข้าใจ ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการก็แค่ใครสักคนที่รับฟังโดยไม่ตัดสิน และผมอยากเป็นคนๆ นั้นให้กับหลาน …คนที่บอกว่าความเจ็บปวดเป็นเรื่องปกติของชีวิต เราไม่ควรหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธ หากแต่เลือกตอบสนองมันอย่างมีสติ 

ซึ่งการเยียวยาตัวเองไม่ได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คือการค่อยๆ เผชิญหน้ากับความทรงจำที่เจ็บปวด เพื่อยอมรับ เข้าใจ และปล่อยวาง…ให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็น ‘บทเรียน’ ไม่ใช่ ‘คุก’ ที่คุมขังเราให้จมอยู่กับความทุกข์ 

หรือหากความหนักหน่วงนั้นเกินกว่าที่เราจะรับมือไหว การขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่เข้าใจและพร้อมยืนเคียงข้างเราโดยไม่ตัดสินก็ไม่ใช่เรื่องอ่อนแอน่าอาย แถมยังช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์และเปิดทางให้เราก้าวเดินต่อไป เหมือนกับแอกเนสที่เรียนรู้การเผชิญหน้า แบ่งปันและยอมรับความเจ็บปวด จนที่สุดแล้วเธอสามารถพาตัวเองกลับมาเข้มแข็ง และพร้อมส่งต่อความเข้าอกเข้าใจนั้นไปยังผู้คนที่เธอรักต่อไป 

Tags:

ภาพยนตร์Sorry Babyการเยียวยาตนเองการรับมือกับความเจ็บปวด

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Departures: คุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่คำตัดสินของใคร เห็นความหมายในสิ่งที่ทำและยอมรับตัวเองอย่างหมดหัวใจ

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    ชีวิตในมุมอับของคำว่า ‘ครอบครัว’: แฟลตเกิร์ล ชั้นห่างระหว่างเรา

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Instant family: ได้โปรดให้เวลาพวกเราหน่อยนะ 

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Elemental: การแบกความฝันของครอบครัว ภาระอันหนักอึ้งในนามความรักและหวังดี

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Precious: แม้พ่อแม่จะสร้างแผลใจที่ไม่อาจลบเลือน แต่เราเติบโตและงดงามได้ในแบบของตัวเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Posts navigation

Older posts

Recent Posts

  • หินของซิซีฟัส : โลกที่ไร้เหตุผลที่กับความหมายที่ไม่ต้องรอให้ใครกำหนด
  • ‘ภูมิ – ธนโชติ ตาลี้’ ก้าวข้ามความยากจน สู่อนาคตจิตแพทย์ ด้วยโอกาสทางการศึกษา
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม
  • ห้องเรียน AI EP2: เตรียมเด็กให้เท่าทัน AI ปรับใช้เป็นติวเตอร์ส่วนตัว ฝึกฝนทักษะการคิดและพัฒนาตนเอง
  • หยุดบูลลี่! ที่การไม่เพิกเฉย เติม Empathy ในหัวใจและในระบบดูแลเด็ก: หมอจอย-ลลิต ลีลาทิพย์กุล

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • October 2025
  • September 2025
  • August 2025
  • July 2025
  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel