Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: November 2024

Digital Emotional Intelligence: เมื่อ ‘ความฉลาดทางอารมณ์‘ (EQ) อย่างเดียวอาจไม่พอในโลกดิจิทัล
21st Century skills
4 November 2024

Digital Emotional Intelligence: เมื่อ ‘ความฉลาดทางอารมณ์‘ (EQ) อย่างเดียวอาจไม่พอในโลกดิจิทัล

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • การรับรู้และเข้าใจอารมณ์ที่ใช้โลกจริงบางอย่างอาจไม่สามารถนำมาใช้บนโลกออนไลน์ได้ เราจึงต้องเรียนรู้ทักษะนี้เพิ่มเติมสำหรับโลกออนไลน์ที่เรียกว่า ‘ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกดิจิทัล’ (Digital Emotional Intelligence) หรือ DEQ
  • DEQ ที่ดีต้องประกอบไปด้วย 5 สมรรถนะ ได้แก่ 1) การตระหนักรู้ในตนเอง, 2) การควบคุมตนเอง, 3) แรงจูงใจในตนเอง, 4) ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ 5) ความเห็นอกเห็นใจ
  • การที่เราตระหนักรู้อารมณ์ของตัวเองในขั้นแรกจะนำมาสู่การควบคุมตัวเองได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเรามีสติรู้ตัวว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร เราจะคิดไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมามากขึ้น ทำให้เราเลือกที่จะไม่แสดงพฤติกรรมแย่ๆ ออกมา

หลายคนคงทราบกันว่า ‘ความฉลาดทางอารมณ์’ (Emotional Intelligence) หรือ ‘EQ’ เป็นทักษะที่ทุกคนต่างก็ต้องการ เพราะจะทำให้เราเข้าใจและควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน แต่ความฉลาดทางอารมณ์เพียงอย่างเดียวจะเพียงพอสำหรับโลกในปัจจุบันจริงหรือ?

ทุกวันนี้โลกของเรากำลังมุ่งเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว หนึ่งในเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทุกคนใช้กันอย่างแพร่หลายคือ ‘อินเทอร์เน็ต’ โดยรายงานการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคจาก We Are Social ร่วมกับ Meltwater ในเดือนมกราคม 2567 เผยว่า ในหนึ่งวันคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยเกือบ 8 ชั่วโมง สรุปว่าคนไทยในปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่บนพรมแดนใหม่อย่าง ‘โลกดิจิทัล’ หรือ ‘โลกออนไลน์’ เกือบ 1 ใน 3 ของวัน 

นอกจากนี้ การสื่อสารบนโลกออนไลน์ก็ไม่เหมือนกับโลกจริง การพูดคุยในโลกจริงทำให้เราสามารถเห็นอวัจนภาษาของคู่สนทนาได้ เช่น น้ำเสียง ท่าทาง สีหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนตัวช่วยที่ทำให้เราเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดและรู้สึกอย่างไร แต่บนโลกออนไลน์ที่ใช้การพิมพ์เป็นหลัก เราไม่สามารถได้ยินเสียงและท่าทางของคู่สนทนา ทำให้การตีความอารมณ์ของอีกฝ่ายทำได้ยากขึ้น และอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ดังนั้นการรับรู้และเข้าใจอารมณ์ที่ใช้โลกจริงบางอย่างอาจไม่สามารถนำมาใช้บนโลกออนไลน์ได้ จึงเป็นเหตุที่ทำให้เราต้องเรียนรู้ทักษะนี้เพิ่มเติมสำหรับโลกออนไลน์ที่เรียกว่า ‘ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกดิจิทัล’ (Digital Emotional Intelligence) หรือ DEQ

ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกดิจิทัล หรือ DEQ คืออะไร?

เรามาทำความเข้าใจก่อนว่า ‘ความฉลาดทางอารมณ์’ หรือที่เรียกกันว่า ‘EQ’ คือ ความสามารถในการรับรู้ เข้าใจ และจัดการอารมณ์ของตัวเอง พร้อมทั้งรับรู้และเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่น ซึ่งความสามารถเหล่านี้จะทำให้เราปรับตัวหรือควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การตัดสินใจที่ดีได้

ดังนั้นเมื่อเติม ‘D’ หรือ ‘ดิจิทัล’ เข้าไปใน EQ ก็คือการนำทักษะนี้ไปประยุกต์ใช้ในบริบทของโลกดิจิทัลหรือโลกออนไลน์

‘ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกดิจิทัล’ (Digital Emotional Intelligence) หรือ ‘DEQ’ คือ ความสามารถในการรับรู้อารมณ์ทั้งของตัวเองและผู้อื่นผ่านโลกดิจิทัล และนำการรับรู้เหล่านั้นมาเป็นแนวทางในการกำหนดพฤติกรรม ความคิด และการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีทางดิจิทัล

กล่าวง่ายๆ ก็คือ เราสามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้มากน้อยแค่ไหนเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นในโลกดิจิทัล

DEQ ที่ดีต้องมี 5 สมรรถนะ

จากการศึกษาของยูเนสโกร่วมกับองค์ต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกพบว่า ทักษะ DEQ เป็นหนึ่งในขอบเขตที่สำคัญสำหรับการเป็นพลเมืองดิจิทัล (Digital Citizenship) โดยยูเนสโกได้เสนอว่า DEQ ที่ดีต้องประกอบไปด้วย 5 สมรรถนะ ได้แก่ 1) การตระหนักรู้ในตนเอง, 2) การควบคุมตนเอง, 3) แรงจูงใจในตนเอง, 4) ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และ 5) ความเห็นอกเห็นใจ

  1. การตระหนักรู้ในตนเอง (Self-Awareness)

ความสามารถในการใช้ ‘การพินิจภายใน’ (introspection) เพื่ออธิบายอารมณ์ของตัวเองและผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองและคนอื่นเมื่อมีอารมณ์นั้นเกิดขึ้นในโลกดิจิทัล โดยการพินิจภายใน คือ การให้บุคคลตรวจสอบภายในจิตใจของตัวเองว่ากำลังคิดและรู้สึกอะไรอยู่ ง่ายๆ ก็คือ การคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเอง

เทคนิคที่ใช้ในการทบทวนความรู้สึกของตัวเองคือ ‘I-statement’ หรือ ‘I-message’ ซึ่งเป็นการโฟกัสว่าตอนนี้ “ฉัน (I) กำลังรู้สึกอย่างไร” เพราะบ่อยครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นเรามักแต่สนใจว่าคนอื่นทำอะไร มัวแต่ตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำแบบโน้นแบบนี้ ทำให้เราลืมกลับมามองตัวเองว่าตอนนี้เรากำลังรู้สึกอย่างไร โดย I-message จะมีรูปแบบตามนี้

  1. คุณรู้สึกอย่างไร – “ฉันรู้สึกโกรธ…”
  2. อะไรที่ทำให้คุณรู้สึกแบบนั้น – “วิธีที่เขาพูดกับฉัน…”
  3. ทำไมคุณถึงรู้สึกแบบนั้น – “เพราะว่ามันทำให้ฉันอับอายต่อหน้าเพื่อน”
  4. คุณต้องการเห็นสิ่งใดแทน – “ฉันอยากให้เขามาคุยกับฉันในที่ส่วนตัว”
  1. การควบคุมตนเอง (Self-Regulation)

ความสามารถในการจัดการอารมณ์และความรู้สึกในระหว่างการมีปฏิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ บ่อยครั้งเรามักพบคนบนโลกออนไลน์ขาดความยับยั้งชั่งใจ ทำอะไรไม่คิดไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมา การขาดความยับยั้งชั่งใจบนโลกออนไลน์อาจพบได้บ่อยกว่าในโลกจริงเสียอีก

อ.จรุงกุล บูรพวงศ์ อดีตอาจารย์คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เหตุที่ทำให้คนขาดความยับยั้งชั่งใจบนโลกออนไลน์คือ ‘สภาวะนิรนาม’ (anonymity) ซึ่งเป็นสภาวะที่คนอื่นไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ทำให้เรารู้สึกมีอิสระ หลุดพ้นออกจากกฎเกณฑ์ของสังคม หลงคิดไปเองว่าสามารถทำอะไรก็ได้โดยไม่มีใครจับได้

การที่เราตระหนักรู้อารมณ์ของตัวเองในขั้นแรกจะนำมาสู่การควบคุมตัวเองได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเรามีสติรู้ตัวว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร เราจะคิดไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมามากขึ้น ทำให้เราเลือกที่จะไม่แสดงพฤติกรรมแย่ๆ ออกมา

  1. แรงจูงใจในตนเอง (Self-Motivation)

ความสามารถในการแสดงความคิดริเริ่ม และมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายแม้จะประสบปัญหา โดยความคิดริเริ่ม (Initiative) คือ ความสามารถในการแก้ไขปัญหา ตัดสินใจ และทำงานได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีใครสั่ง

บางคนอาจขาดความคิดริเริ่มเพราะไม่รู้ว่าจะต้องลงมือทำอะไรถึงจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ เทคนิคง่ายๆ ที่ใช้ในการลงมือทำและตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพคือ ‘WDEP’

  • W: Want – ระบุความต้องการ/เป้าหมายของเราให้ชัดเจน
  • D: Doing – ตอนนี้เรากำลังทำอะไรเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น
  • E: Evaluation – ประเมินว่าวิธีที่เรากำลังทำอยู่ใช้ได้ผลหรือไม่
  • P: Planning – หากไม่ได้ผล วางแผนที่จะเปลี่ยนไปทำพฤติกรรมอื่นที่ได้ผล
  1. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal Skills)

ความสามารถในการพัฒนาความสัมพันธ์เชิงบวกในโลกออนไลน์ โดยการพัฒนาความสัมพันธ์นี้ต้องอาศัยการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ สร้างสายสัมพันธ์และความเชื่อใจ โอบกอดความหลากหลาย จัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ และตัดสินใจอย่างรอบคอบ

วิธีหนึ่งในการสายสัมพันธ์ที่ดีคือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เมื่อเราคุยกันรู้เรื่องก็จะเกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความไว้เนื้อเชื่อใจกันได้ แต่ปัญหาหนึ่งของการสื่อสารคือ ผู้พูดอยากที่จะพูดอย่างเดียวโดยไม่ได้สนใจว่าผู้ฟังจะเข้าใจหรือไม่

จากทฤษฎีความสัมพันธ์ (Relevance Theory) ของ Sperber และ Wilson (1995) กล่าวว่า การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ผู้พูดต้องพูดให้สัมพันธ์หรือสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมด้านการรับรู้ (Cognitive Environment) ของผู้ฟัง โดยสภาพแวดล้อมด้านการรับรู้ในที่นี้ คือ ความรู้ ความเชื่อ ประสบการณ์ และความคิดของคนนั้น

สรุปง่ายๆ คือ ก่อนเราจะสื่อสารอะไรออกไป ให้เราพิจารณาเสียก่อนว่าผู้ฟังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เราจะพูดอย่างไร เมื่อพิจารณาแล้ว เราจะได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสื่อสารให้เหมาะสมกับความรู้ของผู้ฟัง ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจเราได้ไม่ยาก

  1. ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)

ความสามารถในการรับรู้เข้าใจอารมณ์และความต้องการของผู้อื่นในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์ในโลกออนไลน์ โดยก่อนอื่นเราควรแยกให้ออกเสียก่อนว่า ‘ความสงสาร’ (Sympathy) กับ ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ (Empathy) ต่างกันอย่างไร

‘ความสงสาร’ (Sympathy) คือ เรารับรู้ว่าคนอื่นกำลังเป็นทุกข์ โดยการเข้าไปรับรู้นั้นทำให้เรารู้สึกเป็นห่วงเป็นใยหรือเห็นใจในความเดือดร้อนของเขา ส่วน ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ (Empathy) คือ เราเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไรในสถานการณ์นี้จากมุมมองของเจ้าตัว

โดยสรุป ‘ความสงสาร’ คือการที่เราเห็นว่าเขากำลังทุกข์ จึงทำให้เรารู้สึกเศร้าไปด้วย ส่วน ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ คือเราเข้าไปมองจากมุมของเขา และทำความเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไรในสถานการณ์นั้น

ความสงสารไม่ใช่สิ่งไม่ดี หลายครั้งความสงสารก็นำไปสู่พฤติกรรมเอื้อสังคม (Prosocial Behavior) เช่น การช่วยเหลือผู้อื่น การบริจาค การให้กำลังใจ ฯลฯ แต่เราต้องไม่ลืมว่าความสงสารเป็นการเข้าใจผู้อื่นในระดับผิวเผิน ทำให้บางครั้งเราอาจเผลอไปตัดสินหรือคิดแทนเขา พยายามหาวิธีแก้ปัญหาให้โดยลืมทำความเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไร 

ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจมีความสำคัญในการสร้างสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เพราะจะทำให้เราเข้าใจถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย พูดคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ และนำไปสู่ความไว้ใจและเชื่อใจได้ในที่สุด

อ้างอิง

จรุงกุล บูรพวงศ์. (2560). ความฉลาดทางอารมณ์ในโลกออนไลน์.

ชัชวดี ศรลัมพ์. (2544). การใช้ภาษาใน “ห้องสนทนา”. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 1(1), 77-92.

ทรงธรรม อินทจักร. (2550). แนวคิดพื้นฐานด้านวัจนปฏิบัติศาสตร์. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

วรุณรัตน์ คัทมาตย์. (2567). ผู้นำต้องมี EQ เมื่อ ‘ความฉลาดทางอารมณ์’ เป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ.

เอลวิน ธารไพศาลสมุทร, สกล วรเจริญศรี และพัชราภรณ์ ศรีสวัสดิ์. (2566). การเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ในโลกดิจิทัลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยการจัดการเรียนรู้กิจกรรมแนะแนวแบบผสมผสาน. วารสารสังคมศาสตร์และวัฒนธรรม, 7(11), 263-272.

Boston University. (2011). “I” Messages or “I” Statements.

Christian Conte. (2021). Use WDEP to get anything you want!

Katharine Chan. (2023). Sympathy vs. Empathy: What’s the Difference?

Kendra Cherry. (2023). Introspection and How It Is Used In Psychology Research.

Laura-Jane Rawlings. (2022). What is Initiative and Why is It Important?

Linda Miller. (2021). What is digital emotional intelligence?

Simon Kemp. (2024). Digital 2024: Thailand.

UNESCO. (2019). Digital Kids Asia-Pacific: Insights into Children’s Digital Citizenship.

Tags:

ความเข้าอกเข้าใจ(empathy)แรงจูงใจในตัวเอง(Self motivation)ความฉลาดทางอารมณ์การควบคุมตัวเอง (Self-control)การตระหนักรู้Digital Emotional IntelligenceInterpersonal Skills

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Unique Teacher
    ให้เด็กลอง ‘สวมรองเท้าของคนอื่น’ วิธีเติมเต็ม Empathy ในห้องเรียนของครูนักปรัชญา: ครูเปี๊ยก – วิสิทธิ์ ตออำนวย

    เรื่อง กนกพิชญ์ อุ่นคง ภาพ ปริสุทธิ์

  • Adolescent Brain
    6 คุณลักษณะที่บอกว่าเด็กคนนี้ฉายแววอัจฉริยะ

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Grit
    5 ขั้นตอนตั้งเป้าหมายไม่ให้พลาด: เริ่มจากเขียนลงกระดาษและค่อยๆ ทำให้เป็นจริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ antizeptic

  • Life classroom
    PERFECTIONISM อย่าหวดวัยรุ่นด้วยความสมบูรณ์แบบอีกเลย

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • EF (executive function)
    เราแค่ ‘รู้’ แต่เราไม่ ‘รู้สึก’ การศึกษาไทยจึงถูกทิ้งไว้กลางทาง : เดชรัต สุขกำเนิด

    เรื่อง

Freedom Writers: ครูผู้ชวนเด็กๆ ขีดเขียนชีวิตในแบบของตัวเอง ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิมีชีวิตที่ดี
Movie
1 November 2024

Freedom Writers: ครูผู้ชวนเด็กๆ ขีดเขียนชีวิตในแบบของตัวเอง ด้วยความเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิมีชีวิตที่ดี

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Freedom Writers บอกเล่าเรื่องราวของ อีริน กรูเวล ครูใหม่ไฟแรงที่ต้องมาเป็นครูประจำชั้นให้กับเหล่านักเรียนชายขอบที่ครูในโรงเรียนต่างเอือมระอา
  • สิ่งสำคัญที่ทำให้ครูอีรินเอาชนะใจนักเรียนได้คือการไม่ตัดสินว่าเด็กๆ ของเธอเป็นพวกเหลือขอ และจัดการเรียนการสอนโดยเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ค้นพบศักยภาพที่ซ่อนเร้น ผ่านเครื่องมือสำคัญนั่นคือ การเขียนบันทึก
  • ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากหนังสือเรื่อง The Freedom Writers Diary กำกับโดย ริชาร์ด ลาเกรเวเนเซ และได้ ฮิลารี สแวงค์ นักแสดงอเมริกันเจ้าของสองรางวัลออสการ์มารับบทครูอีริน

“อย่าท้อนะ ใช้เวลานิดหน่อยเดี๋ยวก็ดีเอง สอนไปเพลินๆ ก็พอ…สุดท้ายพวกนี้ก็เลิกเรียนไปเอง” 

“ก่อนพวกนี้เข้ามา ที่นี่เคยเป็นโรงเรียนดีเด่น แต่ดูตอนนี้สิ มันยุติธรรมไหมที่ให้เด็กดีได้รับกรรม เพราะที่นี่ต้องกลายเป็นโรงเรียนดัดสันดาน เพราะเราถูกบังคับให้รับเด็กพวกนี้มาไว้ที่นี่”

“เธอทำให้เด็กๆ ใฝ่เรียนไม่ได้หรอก เต็มที่ก็คงแค่ทำให้มีวินัยกว่าเดิม แค่นั้นก็ยกนิ้วให้แล้ว”

คำพูดต่างๆ ของครูในโรงเรียนมัธยมวิลสันที่บอกกับ ‘ครูอีริน’ ตัวละครหลักจาก Freedom Writers ภาพยนตร์อเมริกันที่สร้างจากเรื่องจริงในยุค 90 ทำให้ผมถอนหายใจ เพราะมันสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบการศึกษาที่ครูหลงใหลได้ปลื้มไปกับชื่อเสียงของโรงเรียนจนขาดความเมตตา เข้าอกเข้าใจ และกลายเป็นผู้ทำลายคุณค่าในตัวเด็กที่ผิดไปจากความคาดหวังของตัวเอง

เรื่องราวของครูอีริน เริ่มต้นด้วยการเป็นครูประจำชั้นห้อง 203 ห้องที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวม ‘เด็กเหลือขอ’ ที่เต็มไปด้วยความก้าวร้าวรุนแรงและการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ (ผิวขาว เอเชีย แอฟริกัน และละติน) แต่ด้วยความเชื่อมั่นว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพที่ต่างกัน เพียงแต่ขาดกระบวนการบางอย่างที่จะกระตุ้นศักยภาพภายในของเขาให้เบ่งบานออกมา ครูอีรินจึงเลือกทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับคำแนะนำของครูคนอื่นๆ ที่บอกให้ทิ้งเด็กเหล่านี้ไว้ข้างหลัง โดยความมุ่งมั่นนี้แสดงออกอย่างชัดเจนผ่านคำพูดตั้งแต่วันที่เธอมาสอบสัมภาษณ์ 

“อันที่จริง ฉันเลือกสอนที่นี่ก็เพราะเด็กพวกนี้ล่ะค่ะ ฉันว่ามันน่าสนุกออก ว่ามั้ยคะ…มาช่วยเด็กๆ ให้มีสิทธิมีชีวิตดีๆ บ้าง…ฉันรู้ว่าต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ฉันก็เรียนรู้เร็ว และอยากสอนที่นี่จริงๆ” 

ด้วยความที่นักเรียนหลายคนมักขัดจังหวะการสอนด้วยการทะเลาะกันเป็นประจำ โดยมีสาเหตุจากการบูลลี่ด้วยอคติทางชาติพันธุ์ แทนที่ครูอีรินจะเลือกด่าทอหรือใช้กำลังกำราบ เธอกลับหาวิธีปรับทัศนคติและพฤติกรรมของพวกเขาด้วยการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว รวมถึงออกเงินพานักเรียนไปพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงเรื่องราวความโหดร้ายของนาซี ทำให้เด็กๆ เข้าใจว่าแม้จะมีเชื้อชาติหรือสีผิวที่ต่างกัน แต่ทุกคนต่างก็เป็นเพียงมนุษย์ที่รักตัวเองและพวกพ้องเหมือนกัน     

ยิ่งกว่านั้น ครูอีรินยังเชิญเหยื่อที่รอดจากเหตุการณ์นั้นมาดินเนอร์ร่วมกับนักเรียน เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ความโหดร้ายและผลกระทบของสงคราม ทำให้เด็กๆ ได้เปิดใจและซาบซึ้งกับสิ่งที่ครูทำให้พวกเขา 

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญคือ การที่ครูอีรินไม่เชื่อว่านักเรียนของเธอเป็นพวกเหลือขอที่พัฒนาไม่ได้ เมื่อเธอตระหนักว่าเด็กๆ มีปัญหาเรื่องทักษะการอ่านเขียน ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกของการเรียนรู้ เธอจึงพยายามขอร้องครูใหญ่ให้จัดหาวรรณกรรมดีๆ มาไว้ในห้องสมุด แต่ก็ถูกปฏิเสธ เธอจึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลเรื่องการศึกษาในท้องถิ่น

“ฉันแค่พยายามจะทำงานของฉัน โครงการโรงเรียนแลกเปลี่ยนจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเด็กโตยังอ่านหนังสือของเด็กเล็กไม่แตก…โครงการนี้ทำให้เด็กขาดแรงจูงใจที่จะเรียน แล้วเด็กๆ จะมาเสียเวลาเรียนทำไม ถ้ารู้ว่าครูไม่อยากเสียเวลามาสอนพวกเขา 

เราบอกเด็กๆ ว่า “ไปโรงเรียนนะ ตั้งใจเรียนนะ” แต่กลับบอกกันเองว่า “พวกนี้เรียนไม่ได้หรอก เปลืองงบเปล่าๆ””

แม้จะไม่ได้รับการช่วยเหลือเรื่องงบประมาณ แต่อย่างน้อยครูอีรินก็ได้รับการอนุมัติให้จัดการเรียนการสอนในแบบที่เธอต้องการ เธอจึงเริ่มซื้อหนังสือดีๆ รวมถึง ‘สมุดบันทึก’ มาแจกให้กับนักเรียนทุกคน เพราะเธอเชื่อว่าการเขียนบันทึกทุกวันจะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านออกเขียนได้ ทั้งยังช่วยให้เด็กๆ ได้มีพื้นที่ในการระบายความรู้สึกและนำเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาสะท้อนคิดอย่างมีสติ รวมถึงตัวเธอเองก็จะได้ทำความรู้จักนักเรียนมากขึ้นเช่นกัน

“สิ่งที่เราจะทำคือเขียนบันทึกอะไรก็ได้ที่อยากเขียนทุกวัน อดีต ปัจจุบัน อนาคต จะทำเหมือนไดอารี่ก็ได้ หรือเธออาจเขียนเพลง กลอน เรื่องดี เรื่องร้าย อะไรก็ได้ แต่ต้องเขียนทุกวัน หนีบปากกาไว้ใกล้ๆ ไว้ใช้เขียนตอนอยาก…ครูจะไม่เปิดอ่านถ้าเธอไม่อนุญาต ครูอยากเห็นพวกเธอเข้ามา แล้วครูจะคอยโฉบไปดูเธอเขียน แล้วถ้าอยากให้ครูอ่าน ครูมีตู้อยู่ตรงนี้”

แน่นอนว่าการที่ครูอีรินทุ่มเทเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ทำให้นักเรียนเปิดใจ พวกเขาตั้งใจเขียนเรื่องที่ตัวเองอยากเล่าลงในสมุดบันทึกและส่งเข้าตู้ให้ครูอีรินอ่านทุกวัน ราวกับว่าข้อความทุกบรรทัดคือสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อมั่นว่าครูคนนี้เข้าใจและรับฟังเขาจริงๆ 

ด้านครูอีรินเองก็พบว่าเบื้องหลังของนักเรียนแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยบาดแผลและความเจ็บปวดจากสารพัด ไม่ว่าจะมาจากปัญหาครอบครัวแตกสลาย ความรุนแรงในชุมชน ความยากจน การสูญเสีย ยาเสพติด ความกลัว ความเครียด การถูกสังคมทอดทิ้ง และแม้หลายคนจะสารภาพว่ารู้สึกผิดที่ใช้ความรุนแรงและรู้ตัวว่าใช้ชีวิตเหลวแหลก แต่พวกเขากลับเลิกทำไม่ได้เพราะไม่รู้ว่ามีวิธีหรือทางออกไหนที่ดีกว่านี้ 

ไม่เพียงเท่านั้น ครูอีรินยังซื้อวรรณกรรมเยาวชนที่น่าสนใจมาให้เด็กๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ‘บันทึกของแอนน์ แฟรงค์’ ที่มีอายุเท่ากับนักเรียนของเธอ เพราะเธอเชื่อว่าการอ่านหนังสือดีๆ จะช่วยจุดประกายความคิด จนเกิดเป็นแรงปรารถนาภายในที่จะผลักดันและพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคต

“จากนี้ไป ทุกเสียงที่บอกว่า “เธอทำไม่ได้” เธอจะไม่ได้ยิน ทุกเหตุผลที่บอกว่าเธอเปลี่ยนไม่ได้จะหายไป และคนที่เธอเคยเป็นก่อนหน้านี้ หมดเวลาของเขาแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาของเธอ”

หลังฟังประโยคนี้ ผมรู้สึกซาบซึ้งที่เรื่องของครูอีรินเป็นเรื่องจริง ขอบคุณที่ครูอีรินเป็นตัวอย่างของครูที่เป็น ‘ผู้ให้โอกาส’ ท่ามกลางครูจำนวนมากที่ ‘ตัดตอนความฝันของเด็กๆ’ เพราะถูกครอบงำด้วยมายาคติทางการศึกษา ใช้บุคลิกภายนอกและการสอบหรือ ‘เกรด’ เป็นตัวตัดสินคุณค่าของเด็ก โดยลืมไปว่าหน้าที่ของครูคือคนที่ควรดึงมือเขาขึ้นมาจากความดำมืด ไม่ใช่ผลักไสเขาออกไปเพื่อให้ชีวิตของตนเองง่ายขึ้น

ยิ่งกว่านั้น ผมอดคิดไม่ได้ว่าครูอีรินมีสิ่งที่ครูหลายคนไม่มี นั่นคือ จิตวิญญาณความเป็นครู เพราะตลอดทั้งเรื่องเธอแสดงให้เห็นถึงความเมตตา อดทนอดกลั้น และเอาใจใส่นักเรียนโดยไม่เลือกว่าเขาเป็นเด็กดี เด็กเก่ง เด็กรวย สีผิวอะไร หรือมาจากครอบครัวแบบไหน เพราะสุดท้ายแล้วมากกว่าความรู้ในห้องเรียน สิ่งที่เด็กๆ ต้องการคือใครสักคนที่รับฟังและเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างจริงใจ ซึ่งแม้การทุ่มเทเช่นนี้จะเป็นภาระที่หนักหน่วง แต่ภารกิจสูงสุดของครูก็คือการพาลูกศิษย์ไปสู่ประตูแห่งโอกาสและเป็นแรงผลักดันให้เขาก้าวไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิม (มิใช่หรือ) 

ในบทสรุปของเรื่อง ภาพยนตร์แสดงให้เห็นพัฒนาการของนักเรียนห้อง 203 ที่ได้คะแนนการอ่านเขียนดีขึ้นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันบรรยากาศการเรียนการสอนที่เคยติดขัดในช่วงต้นเรื่องก็กลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่นั่นไม่เท่ากับการที่พวกเขาค้นพบคุณค่าในตัวเองและมั่นใจว่าจะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ 

ซึ่งในท้ายที่สุดครูอีรินได้ชวนลูกศิษย์ห้อง 203 มาเขียนหนังสือร่วมกันโดยนำบันทึกของทุกคนมาตีพิมพ์โดยใช้ชื่อว่า The Freedom Writers Diary (1999) ก่อนที่หนังสือจะขายดีจนติดชาร์จอันดับ 1 ของ New York Times Best Seller และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักการศึกษาในหลายๆ ประเทศ       

“ผมเคยกลัวการเข้าเรียนและอายที่ต้องเป็นเด็กโง่ในโรงเรียน แต่ไม่อีกแล้ว ผมกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่ผมจะเลือกหนีไปไหนก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะอยู่ตรงนี้” นักเรียนคนหนึ่งของห้อง 203 กล่าว

Tags:

บันทึกครูภาพยนตร์การเขียนนักเรียนความแตกต่างหนังFreedom Writersเชื้อชาติ

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

Related Posts

  • Book
    โสกราตีสสลับขั้ว: มีเพียงการตระหนักว่าตัวเองไม่รู้อะไรเลยเท่านั้นที่จะลดการตัดสินผู้อื่นลงได้

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Education trend
    ความผิดพลาดของการสอนวิทยาศาสตร์ที่อาจพาประเทศชาติหลงทาง

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์

  • Education trend
    AI กับอนาคตการศึกษา: ตัวช่วยที่ทำให้เด็กเก่งขึ้น หรือตัวการขัดขวางการเรียนรู้ ทำลายอาชีพครู

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Social Issues
    วิทย์นอกเวลา การเรียนรู้ที่เด็กออกแบบเอง จากกรุงเทพคริสเตียนสู่เวทีโลก: ครูชนันท์ เกียรติสิริสาสน์

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

  • หน้าตาของความกลัวในรั้วโรงเรียน

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel