- มาทิลด้า เวิร์มวู้ด คือตัวละครหลักวัย 5 ขวบ จากภาพยนตร์แนวแฟนตาซี Matilda The Musical ที่มีเค้าโครงจากวรรณกรรมสุดคลาสสิกเรื่อง Matilda ของโรอัลด์ ดาห์ล ยอดนักเขียนชาวเวลส์ผู้ล่วงลับ
- มาทิลด้า คือตัวแทนของเด็กหลายคนที่เติบโตมากับครอบครัวและโรงเรียนที่มีแนวคิดอำนาจนิยม ทว่าเธอกลับไม่ยอมจำนนและลุกขึ้นต่อต้าน เพื่อยืนหยัดในสิทธิเสรีภาพของเด็ก
- ขณะที่โลกดูเหมือนจะไม่เข้าข้างมาทิลด้า เธอก็ได้พบกับครูฮันนี่ที่เข้าอกเข้าใจและสนับสนุนให้เธอได้เติบโตในแบบของตัวเอง
[*บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์]
“แค่ได้เจอว่าโลกไม่เข้าข้างเรา ไม่ใช่ว่าเราจำเป็นต้องทนและยิ้มหวานเข้าใส่”
นี่คือประโยคที่ติดหูระหว่างชมภาพยนตร์เรื่อง Matilda The Musical เพราะสำหรับผม ทุกครั้งที่รู้สึกว่าโลกไม่เข้าข้าง มันไม่ง่ายเลยที่จะพูดหรือสร้าง Mindset ให้ตัวเองแบบนี้
ผมแปลกใจมากว่าทำไมภาพยนตร์ถึงกำหนดให้คำพูดดังกล่าวออกมาจากปากของเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบอย่าง ‘มาทิลด้า เวิร์มวู้ด’ แทนที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มากประสบการณ์ชีวิต ดังนั้นผมจึงอยากรู้ว่าอะไรทำให้เด็กคนหนึ่งมีความคิดเช่นนี้ และเธอจะเลือกดำเนินชีวิตต่อไปยังไงในโลกที่ไม่เข้าข้างและไม่ง่ายเลยที่จะลุกขึ้นสู้ ซึ่งแน่นอนว่าโลกที่มาทิลด้าเอ่ยถึง ย่อมหนีไม่พ้น ‘ครอบครัว’ และ ‘โรงเรียน’ ที่ล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้แนวคิดแบบอำนาจนิยม
เด็กน้อยในห้องใต้หลังคา
มาทิลด้า เกิดในครอบครัวที่พ่อแม่ไม่รัก โดยพ่อกับแม่มักโอดครวญว่าตนทำเวรกรรมชั่วร้ายอันใดถึงถูกโชคชะตาลงโทษด้วยการส่งเด็กหน้าขนแสนทุเรศลงมาเกิดเป็นลูกในไส้
เช่นนี้ มาทิลด้าจึงถูกเลี้ยงดูแบบขอไปที ไล่ตั้งแต่บ้านที่แม้จะหลังใหญ่โต แต่พ่อแม่กลับให้มาทิลด้าอยู่ในห้องใต้หลังคาแคบๆ โทรมๆ ส่วนเรื่องการศึกษาแทนที่จะส่งเธอไปโรงเรียน พวกเขากลับปล่อยปะละเลย โดยอ้างว่าไม่มีเวลาบ้าง ลืมอายุของมาทิลด้าบ้าง ทำให้เธอต้องออกไปขวนขวายหาความรู้ที่ห้องสมุดด้วยตัวเอง ซึ่งหนังสือที่มาทิลด้าอ่านค่อนข้างหลากหลาย ทั้งตำราเรียนของผู้ใหญ่และวรรณกรรมชื่อดังมากมาย ทำให้เธอมีความคิดอ่านที่ลึกซึ้งจนบรรณารักษ์ห้องสมุดถึงกับทึ่งในความฉลาดเกินอายุ
สิ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือ ต่อให้มาทิลด้าจะดูฉลาดหรือพูดจามีเหตุผลแค่ไหน แต่พออยู่ในครอบครัวที่พ่อแม่มีสถานะเป็น ‘ผู้กุมความถูกต้อง’ พรสวรรค์ของมาทิลด้ากลับทำให้เธอเป็นได้เพียง ‘เด็กอวดดี’ คนหนึ่ง
อย่างฉากที่พ่อบอกคนในบ้านว่าวันนี้มีลูกค้าหลงกลซื้อรถมือสองที่พ่อเอารถพังๆ สองคันมาประกอบกันเป็นคันใหม่ มาทิลด้าเตือนพ่อว่าสิ่งที่ทำมันผิดกฎหมาย ทว่าพ่อกลับต่อว่ามาทิลด้าอย่างรุนแรง พร้อมนำหนังสือที่มาทิลด้ายืมจากห้องสมุดมาฉีกทิ้งด้วยความโมโห เพราะพ่อกับแม่ของเธอเชื่อว่าหนังสือเป็นตัวการที่ทำให้ลูกหัวแข็ง
“แค่ได้เจอว่าโลกไม่เข้าข้างเรา ไม่ใช่ว่าเราจำเป็นต้องทนและยิ้มหวานเข้าใส่ ถ้าเราได้แต่กลัวและก้มหัวยอมเขาไป ก็คงเหมือนเราพูดว่าทำแบบนี้ก็ได้ แต่มันไม่ใช่ไง ถ้าดูแล้วไม่ใช่ต้องทำให้รู้เสียบ้าง แต่เราจะรอใครให้มาแก้ไขก็คงไม่มี มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่แก้เรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดี ถึงคราวเป็นตัวแสบบ้างแล้ว”
หลังจากถูกฉีกหนังสืออย่างไม่ยุติธรรม มาทิลด้าไม่เพียงไม่กลัว เธอกลับยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง และดำเนินการตอบโต้ด้วยการแอบทากาวไว้ที่หมวกใบเก่งของพ่อ ทำให้เขาไม่สามารถถอดหมวกออกจากศีรษะ ซึ่งหากตัดประเด็นเรื่องบาปบุญคุณโทษ ในความเป็นภาพยนตร์แนวแฟนตาซีผมมองว่าการกระทำของมาทิลด้า คือกลวิธีปกป้องตัวเองอย่างหนึ่งที่ช่วยปลดล็อกความรู้สึกจากการตกเป็น ‘เหยื่อ’ ของเผด็จการในครอบครัว
ครูใหญ่ผู้ลุ่มหลงในอำนาจ
ไม่เพียงต้องทนกับ Toxic Parents ชะตากรรมของมาทิลด้ายังไม่ต่างจากเด็กๆ หลายคนที่ต้องมาเจอกับอำนาจนิยมในโรงเรียน
วันหนึ่ง มีผู้ตรวจการโรงเรียนแวะมาที่บ้านของมาทิลด้าเพื่อสอบถามพ่อแม่เธอถึงสาเหตุที่ไม่ส่งลูกไปโรงเรียนตามที่กฎหมาย และขู่ว่าจะปรับเงินพ่อแม่ของมาทิลด้าอย่างหนัก ทำให้พ่อของมาทิลด้าโมโหและเลือกส่งลูกสาวไปเรียนที่ ‘ครันเชมฮอลล์’ ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองอันกดขี่และโหดร้ายของครูทรันช์บลู
“อกาธา ทรันช์บูล ครูใหญ่ของครันเชมฮอลล์ เธอตัวใหญ่ แข็งแรง น่ากลัว เคยแข่งขว้างค้อนโอลิมปิก และรู้ไหมว่าฉันเพิ่งทำอะไร ฉันโทรหาเธอและบอกเธอว่า แกน่ะเป็นนังเด็กผีตัวแสบที่ชอบก่อเรื่อง แล้วเธอก็รอเจอแกสุดๆ”
ผมรู้สึกสงสารมาทิลด้าที่ ‘หนีเสือปะจระเข้’ เพราะไหนจะทนกับพ่อแม่ที่ไม่ได้เรื่อง ยังต้องมาเจอกับครูใหญ่จอมเผด็จการ ทั้งยังชอบขู่และทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนที่ไม่เชื่อฟังด้วยสารพัดวิธีการสุดเหี้ยมโหด อาทิ การเด็กจับทุ่มออกนอกรั้วโรงเรียน การดึงหูเด็กจนหูใหญ่ยานกว่าใบหน้า และการจับเด็กเข้าไปขังในตู้แขวนคอที่เต็มไปด้วยของมีคม ฯลฯ
“เด็กๆ ทั้งหลาย ครูจะเป็นครูใหญ่ของพวกเธอได้ยังไง ถ้าทำให้พวกเธอกลัวเข้ากระดูกไม่ได้ เมื่อฉันเข้ามาในห้อง ถ้าเด็กชั้นเล็กสุดฉี่ไม่เล็ดสักนิด งั้นฉันก็สอบตกในการเป็นนักการศึกษา”ครูทรันช์บูลกล่าว
จากประโยคนี้จะเห็นว่าครูทรันช์บูลมองว่าเด็กคือคนที่ต้องจัดการให้อยู่ในกรอบ “…จะสอนเด็กได้ ขั้นแรกต้องทำให้เด็กเชื่อง” เธอจึงนิยมใช้ความรุนแรงและคำพูดข่มขู่มาเป็นเครื่องมือที่ทำให้เด็กๆ กลัว โดยลืมนึกไปว่ายิ่งบังคับมากเท่าไหร่ เด็กก็จะยิ่งโหยหาอิสรภาพมากขึ้นเท่านั้น
มาทิลด้าจึงเป็นเหมือนตัวแทนของเด็กขบถที่พร้อมปลดแอกตัวเองจากระบบอำนาจนิยมที่สืบทอดกันมาอย่างไร้เหตุผลของพวกผู้ใหญ่ ดังนั้นเมื่อเห็นเพื่อนๆ ถูกครูทรันช์บูลหาเรื่องลงโทษนักเรียนแบบไม่มีเหตุผล มาทิลด้าจะเป็นคนที่ลุกขึ้นตั้งคำถามและต่อต้านการกระทำอันป่าเถื่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งผมมองว่าการไม่ยอมจำนนของมาทิลด้าได้ค่อยๆ ทำลายบรรยากาศของความกลัว ทั้งยังจุดประกายให้เพื่อนๆ หันมาร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านครูใหญ่จอมเผด็จการ
ฉากที่ชัดเจนที่สุดคือฉากที่ครูทรันช์บูลนำนักเรียนทั้งหมดมาสอบสะกดคำที่โรงอาหาร ซึ่งหากใครตอบผิดจะต้องถูกขังในตู้แขวนคออันโหดร้าย ทำให้ตอนที่นักเรียนคนหนึ่งตอบผิดและถูกครูทรันช์บูลเดินมาลากตัว เพื่อนๆ ที่เหลือจึงลุกขึ้นยืนบนโต๊ะพร้อมสะกดคำศัพท์แบบผิดๆ ราวกับท้าทายอำนาจ ทำให้ครูทรันช์บูลตกตะลึงและตระหนักว่าระเบิดเวลาของเด็กๆ ได้นับถอยหลังแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตจริงยังมีตัวละครอย่างครูทรันช์บูลอีกมากที่ดูงี่เง่า บ้าอำนาจ และชอบระบายอารมณ์กับเด็กอย่างไร้เหตุผล เพียงแต่หลายคนอาจไม่ได้เล่นใหญ่และแฝงตัวอย่างแนบเนียนในคราบของครูที่ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าคงจะดีไม่น้อยถ้ามีกลไกการตรวจสอบสุขภาพจิตของครู เพราะนับวันเราจะเห็นตัวอย่างของครูผู้บิดเบี้ยวมากขึ้นตามข่าวโทรทัศน์และโซเชียลมีเดีย
ครูฮันนี่ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา
นอกจากภาพของครูทรันช์บูลที่ภาพยนตร์กำหนดให้เป็นดั่งตัวแทนของเผด็จการบ้าอำนาจ พวกเขาก็ไม่ลืมที่จะใส่บทของตัวละครที่ผมชอบที่สุดอย่าง ‘ครูฮันนี่’ ผู้เป็นตัวแทนของความเมตตาและเข้าอกเข้าใจนักเรียน
ตอนมาทิลด้ามาโรงเรียนครั้งแรก ครูฮันนี่ได้ต้อนรับเธออย่างอบอุ่น ก่อนขอแรงมาทิลด้าช่วยจัดการกระดานดำที่เต็มไปด้วยโจทย์คณิตศาสตร์ของพวกผู้ใหญ่ที่มาขอใช้ห้อง ซึ่งคำว่าจัดการของครูฮันนี่หมายถึงลบกระดานให้สะอาด ทว่าด้วยความใสซื่อมาทิลด้าจึงจัดการแก้โจทย์เหล่านั้นอย่างง่ายดายทำเอาครูฮันนี่อ้าปากค้าง
หลังจากทึ่งในความอัจฉริยะของมาทิลด้า ครูฮันนี่ก็ทราบว่ามาทิลด้าเป็นหนอนหนังสือที่เสพวรรณกรรมระดับโลกไม่น้อยกว่าเจ็ดเล่มต่อสัปดาห์ เธอจึงพยายามไปขอร้องครูทรันช์บูลให้ช่วยผลักดันมาทิลด้าให้เขยิบขึ้นไปเรียนกับเด็กสิบเอ็ดขวบ ทว่ากลับถูกครูใหญ่ปฏิเสธและต่อว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ครูฮันนี่ถอดใจ ทั้งยังแอบวางแผนเพื่อสนับสนุนความสามารถของมาทิลด้าด้วยตัวเอง
“ครูเชื่อว่าสมองของหนูล้ำเป็นพิเศษ ครูจึงดำเนินการบางอย่างเอง ตั้งแต่พรุ่งนี้ ครูจะคัดสรรหนังสือฉลาดๆ มาให้ หนูสามารถนั่งอ่านขณะที่ครูสอนเพื่อนๆ ได้เลย และถ้าหนูมีคำถามอะไร ครูจะพยายามตอบให้ดีที่สุด หนูว่าดีไหมจ๊ะ”
ผมรู้สึกว่าตลอดทั้งเรื่อง คำพูดนี้ของครูฮันนี่คือประโยคที่กินใจที่สุด เพราะตลอดชีวิตห้าปีของมาทิลด้า ไม่เคยมีสักครั้งที่พ่อแม่จะสนใจว่าเธอชอบหรือปรารถนาสิ่งไหน ต่างกับครูฮันนี่ที่รู้จักกันไม่กี่วันแต่กลับเอาใจใส่ดูแล และมอบความรักแบบไม่มีเงื่อนไขให้แก่มาทิลด้าจนหนูน้อยถึงกับโผกอดครูสาวด้วยความขอบคุณ
ขณะที่เรื่องราวในโรงเรียนดำเนินไปเรื่อยๆ ผมสังเกตว่าภาพยนตร์ค่อยๆ ให้เผยเรื่องราวชีวิตวัยเด็กของครูฮันนี่ ทำให้ผมรู้สึกว่าบางครั้งครูฮันนี่อาจมองว่ามาทิลด้าคล้ายเป็นตัวแทนของเธอในวัยเด็ก เพราะเธอเองสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เธอจึงจำใจต้องอยู่กับป้าใจร้ายอย่างครูทรันช์บูลที่เลี้ยงดูเธออย่างโขกสับมาตลอดชีวิต หนำซ้ำยังถือวิสาสะยึดบ้านและสมบัติของพ่อแม่ผู้ล่วงลับไปทั้งหมด
“ป้าใจร้ายใจดำกว่าที่เธอจะนึกออก…ครูรู้แต่ว่าการถูกผู้หญิงคนนั้นข่มเหงเป็นปีๆ ทำให้ครูน่าสมเพช”
ผมมองว่าความสัมพันธ์อันงดงามระหว่างครูฮันนี่กับมาทิลด้า คล้ายกับการพบกันของคนอ้างว้างที่มีบาดแผลจากผู้ใหญ่ใจร้าย ทำให้ทั้งคู่มีความเข้าอกเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย ทั้งยังช่วยกันเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของกันและกัน
ดังนั้น หลังจากที่มาทิลด้าบังเอิญพบว่าตัวเองมีพลังจิตที่สามารถเห็นภาพในอดีตของพ่อแม่ครูฮันนี่ รวมถึงพลังในการบังคับสิ่งของให้ขยับตามใจชอบ มาทิลด้าจึงอาศัยช่วงเวลาเพื่อนๆ ประท้วงครูทรันช์บูลเรื่องการสอบสะกดคำ ใช้พลังจิตบังคับชอล์กให้เขียนข้อความบนกระดานดำโดยมีใจความสำคัญให้ครูทรันช์บูลคืนบ้านและสมบัติทั้งหมดให้กับครูฮันนี่และรีบไสหัวไปให้ไกลที่สุด ไม่เช่นนั้นครูทรันช์บูลจะต้องถูกจัดการเหมือนกับที่เธอเคยจัดการพ่อของครูฮันนี่
พอความลับอันดำมืดและผิดกฎหมายของครูทรันช์บูลถูกแฉ ทำให้ครูทรันช์บูลยอมแพ้และหนีไปแต่โดยดี ส่วนครูฮันนี่ก็สามารถก้าวข้ามอดีตอันแสนเจ็บปวดของเธอ ก่อนก้าวขึ้นมารับหน้าที่ครูใหญ่ ก่อนเปลี่ยนชื่อโรงเรียนครันเชมฮอลล์ที่ปกครองด้วยความกลัวให้กลายเป็นโรงเรียนเดอะบิ๊กเฟรนด์ลี่ที่เปี่ยมด้วยความรักความเข้าใจ
Matilda The Musical เป็นภาพยนตร์แนวมิวสิคัลและแฟนตาซีที่ดัดแปลงจากละครเพลงดีกรีรางวัลโทนีและ Oliver Award โดยผู้กำกับ แมทธิว วอร์ชัส อย่างไรก็ตามต้นฉบับจริงๆ ของหนูน้อยมาทิลด้านั้นมาจากวรรณกรรมสุดคลาสสิกเรื่อง Matilda ของโรอัลด์ ดาห์ล ยอดนักเขียนชาวเวลส์ผู้ล่วงลับ |