- รูปแบบการเรียนรู้ระดับประถมศึกษา ต้องไม่ลืมธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กๆ ครูต้องคิดถึงชีวิตตอนเด็กอยู่ที่บ้านว่าอะไรเหมาะกับเด็ก หรือจะช่วยให้เด็กและผู้ปกครองจัดการเวลาได้อย่างไร
- ครูเต้ย – โกเมน อ้อชัยภูมิ ครูใหญ่โรงเรียนประถมรุ่งอรุณ เล่าแนวทางการจัดการเรียนรู้ระดับประถมศึกษา ที่ผสมผสานระหว่างการเรียนออนไลน์และการเรียนรู้ที่บ้านด้วยตัวเอง ในงานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์’ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 2
- โจทย์ที่ให้เด็กเป็นเจ้าของทั้งหมด โจทย์นั้นจึงเป็นพลังสำคัญของการเรียนรู้ที่บ้านได้ แต่ครูต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าเป็นความรู้ ทักษะ และทัศนคติหรือคุณค่าอะไรที่ควรจะออกแบบให้เด็กเกิดผลจริงๆ
ช่วงวัยของเด็กที่มีความเป็นนักสำรวจมากที่สุด คือ วัยประถม ทั้งสำรวจและเรียนรู้โลก แต่ข้อจำกัดจากสถานการณ์โควิด – 19 ทำให้เด็กๆ ยุคนี้แทบจะหมดโอกาสในการออกไปสัมผัสประสบการณ์ตรงจากโลกภายนอก
การเรียนออนไลน์ผ่านหน้าจอแทนการไปโรงเรียนอาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่การปิดโรงสอนที่ดีจำเป็นต้องเปิดการเรียนรู้ให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย ได้ใช้ความเป็นนักสำรวจอย่างเต็มที่จากการลงมือทำสำหรับเด็กประถมต้น และสำรวจโลกนี้อย่างซับซ้อนมากขึ้นในกรณีของเด็กประถมปลาย
แต่จะทำอย่างไรภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ ในสถานการณ์นี้ ครูเต้ย – โกเมน อ้อชัยภูมิ ครูใหญ่โรงเรียนประถมรุ่งอรุณ เล่าแนวทางการจัดการเรียนรู้ระดับประถมศึกษา ที่ผสมผสานระหว่างการเรียนออนไลน์และการเรียนรู้ที่บ้านด้วยตัวเอง ในงานเสวนาออนไลน์ ‘ล็อกดาวน์’ ไม่ล็อกการเรียนรู้ ครั้งที่ 2 : สร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สร้างทุกคนให้เป็นครู กล้าเรียนรู้ด้วยตัวเอง- Inclusive Education บทเรียนจากโรงเรียนรุ่งอรุณ และโรงเรียนเครือข่ายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาจังหวัดระยอง
แบ่งกลุ่มย่อยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ครูโค้ชนักเรียนอย่างใกล้ชิด
เมื่อโรงเรียนปิดแล้วเด็กต้อง ‘เรียนออนไลน์’ การเรียนรู้อยู่บ้านจำเป็นต้องได้รับการจัดสรรเวลาที่ดี ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของเด็ก ผู้ปกครอง และครู ครูเต้ยกล่าวถึงรูปแบบการเรียนรู้ระดับประถมศึกษาว่า ต้องไม่ลืมธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กๆ ครูต้องคิดถึงชีวิตตอนเด็กอยู่ที่บ้านว่าอะไรเหมาะกับเด็ก หรือจะช่วยให้เด็กและผู้ปกครองจัดการเวลาได้อย่างไร โรงเรียนประถมรุ่งอรุณใช้วิธีแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มย่อยเพื่อให้ครูมีโอกาสเจอนักเรียนอย่างใกล้ชิด ครั้งละ 5 – 8 คนตามพื้นฐานของนักเรียน
“แต่หลักสำคัญคือหน้าจอ เราพิสูจน์แล้วว่าหน้าจอที่เด็กๆ เห็นครู หรือว่าครูเห็นเด็ก ถ้าเยอะเกินไปจะไม่สามารถดูแลเด็กๆ ได้ทั้งหมดเลย ก็เท่ากับว่าทิ้งเด็กอีกหลายคนไปอยู่ข้างหลัง เราจึงออกแบบเป็นกลุ่มย่อย ถ้ากลุ่มย่อยมี 5 คน เรียน 30 นาที หารเฉลี่ยเขาจะได้คนละ 6 นาที ถ้าเทียบกับห้องเรียนจริงๆ 50 นาที นักเรียน 25 คน ได้คนละ 2 นาทีเองครับ ถ้ามองให้คุ้มค่าจริงๆ เราต้องมองโอกาสสร้างคุณค่าใน 30 นาทีนี้ได้ เด็กจะได้การเรียนรู้มากเช่นกัน การเรียนออนไลน์เปิดโอกาสให้เรา กลุ่มย่อย กลุ่มน้อย คุณครูจะเข้าถึงเด็กมากกว่า”
นอกจากแบ่งกลุ่มให้ครูดูแลเด็กอย่างทั่วถึง บทบาทต่อมาของครู คือ เตรียมชุดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียน เช่น หนังสือหลักและหนังสืออ่านเสริม ใบงาน แผ่นบอร์ดเกมเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน และอุปกรณ์สำหรับการทดลองวิทยาศาสตร์และงานศิลปะ เป็นต้น เพื่อให้นักเรียนสร้างประสบการณ์ตรงจากการทำงานจริง ครูเต้ยบอกว่า ครูเปรียบเสมือน ‘โค้ช’ เพื่อให้การเรียนรู้ที่บ้านมีประสิทธิภาพ
“สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราต้องคุยกันผ่าน PLC ให้สอดรับกับแผนการสอนรายสัปดาห์ สองสัปดาห์ หรือสามสัปดาห์ได้อย่างไร เรื่องนี้ครูต้องมองภาพรวมใหญ่ๆ ให้ออกก่อนว่าแต่ละวิชาเราเตรียมกระบวนการอะไรให้เราเกิดการเรียนรู้ที่บ้านได้ เพราะว่าเรามีเวลาจำกัด
สิ่งที่จะทำได้ คือ โจทย์ต้องโดน, สื่อต้องโดน และกิจกรรมต้องโดน ไม่อย่างนั้นเราจะเสียโอกาสไปเลยในสองสัปดาห์นั้น”
โจทย์ที่ท้าทาย พลังสำคัญของการเรียนรู้ที่บ้าน
ครูเต้ยยกตัวอย่างผลสัมฤทธิ์ด้วยผลงาน ‘ละครหุ่นเงา เรื่องสุดสาคร’ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยอธิบายว่าละครหุ่นเงาเรื่องนี้เกิดจากการให้โจทย์ไปกับเด็กชั้นป.3 ที่กำลังเรียนเรื่องสุดสาคร ให้นำเสนอความสนุกและข้อคิดของสุดสาครผ่านระบบออนไลน์ ด้วยการทำงานเป็นทีม ซึ่งถือเป็นโจทย์ใหญ่มาก ไม่เพียงแค่กับเด็ก แต่กับครูผู้สอนก็ต้องวางแผนขนานใหญ่
“ครูปรับจากการเล่าเรื่องสุดสาคร หรือสอนสุดสาครทั้งหมด ให้เด็กได้เป็นเจ้าของเรื่องสุดสาครด้วยตัวเขาเอง เราได้เห็นว่าเขาใช้หลากหลายความสามารถมาก ทั้งการแสดง การตั้งหน้าจอให้เชิดหุ่นแล้วตรงกับหน้าจอ พอดีกับที่คนมองให้ชัด เขาต้องทดลองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนได้ความสัมพันธ์ของแสงของเงา เขาทดลองทำแล้วมา Reflection (สะท้อนคิด) กับครูอยู่เป็นประจำ เพราะโจทย์นี้เขาเป็นเจ้าของทั้งหมด โจทย์จึงเป็นพลังสำคัญของการเรียนรู้ที่บ้านได้”
กว่าจะมาเป็นละครหุ่นเงา เด็กๆ ได้รู้และเข้าใจอะไรมากมาย อาทิ ทักษะด้านวิทยาศาสตร์ ในการวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบของการเกิดเงา ได้แก่ แหล่งกำเนิดแสง (ธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น), วัตถุ (หุ่นเงา) และฉากรับ (โรงละครหุ่นเงา)
ในเรื่องการออกแบบ พวกเขาได้กำหนดระยะของแหล่งกำเนิดแสง เพื่อให้กระทบหุ่นและปรากฏเป็นหุ่นเงาบนฉากรับที่ชัดเจน โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ของระยะ ทิศทาง ตำแหน่ง
หรือทักษะด้านภาษาไทย เด็กๆ ได้วิเคราะห์ ตีความ เข้าใจและเข้าถึงความรู้สึกตัวละคร และความหมายของบทละคร แล้วสื่อสารโดยการพากย์เสียงตามบทบาท และเข้าถึงความรู้สึกของตัวละคร โจทย์จึงเป็นพลังสำคัญให้เกิดการเรียนรู้ที่บ้านได้
“ผู้ปกครองเล่าให้ครูฟังว่า ลูกๆ ไม่ให้พวกเขายุ่งกับการสร้างสรรค์ละครเรื่องนี้เลย ลูกบอกว่าจัดการเองได้ พ่อแม่ไปรอดูได้เลย เพราะมีบางกลุ่มที่เขาต้องฉายสด ต้องไปรอดูอยู่ตรงหน้าจอตอนที่แสดงสดกับเพื่อนเขาทั้งหมด ตัวพ่อแม่เองสะท้อนว่าเด็กๆ ได้เรียนรู้รอบด้าน จัดการประสบการณ์ได้ดี เคารพซึ่งกันและกัน ทำงานกลุ่มได้อย่างมีความสุข มีความเห็นใจช่วยเหลือกัน ถือว่าประสบความสำเร็จในการศึกษาทุกมิติ รู้รอบ รู้ลึก รู้รักษ์ ริเริ่มสร้างสรรค์
“นี่จึงเป็นการสะท้อนสมรรถนะจากสายตาผู้ปกครองว่าการให้โจทย์ที่ดี การปิดโรงสอนแล้วโยนโจทย์ให้เด็กเรียนรู้เอง มีอิมแพคสูงมาก”
โขนออนไลน์ ตัวอย่างเชิงประจักษ์การ Reskill-Upskill
การออกแบบการเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นเจ้าของภายใต้สถานการณ์โควิด – 19 เกิดเป็นทั้งการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) และทำให้ดีขึ้น (Upskill) ซึ่งการนำสมรรถนะมาเป็นเป้าหมายการออกแบบการเรียนรู้และการประเมินผลในการออกแบบการเรียนรู้เชิงสมรรถนะ ครูของโรงเรียนประถมรุ่งอรุณใช้วงประชุม PLC เป็นการทำงานเพื่อการเรียนรู้ของครู เพื่อทำความเข้าใจการออกแบบการเรียนรู้ร่วมกัน
ในทุกช่วงชั้น รวมถึงระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลายได้ข้อสรุปเป็นการออกแบบการเรียนรู้ฐานสมรรถนะในช่วงที่นักเรียนอยู่ที่บ้าน ซึ่งนักเรียนต้องพึ่งพาตัวเองมากที่สุด ครูจึงออกแบบว่าต้องเอานักเรียนเป็นตัวตั้ง แล้วดูว่าถ้าเราให้โจทย์นี้ ทำกิจกรรมแบบนี้ นักเรียนจะเข้าใจอย่างไร
โจทย์ หรืองานที่ครูมอบหมายให้เด็กจะต้องมีจุดประสงค์ชัดเจนว่าเราจะเรียนรู้เป็นความรู้อะไร ทักษะอะไร ทัศนคติหรือคุณค่าอะไรที่ควรจะออกแบบให้เด็กเกิดผลจริงๆ
สำหรับในช่วงชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โขนออนไลน์ เป็นตัวอย่างสำคัญของการคิดโจทย์การเรียนรู้ในขณะที่เด็กๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน ซึ่งเป็นสื่อการเรียนรู้ที่ได้เรียนจริง ฝึกจริง และแสดงจริง
โขนออนไลน์ของโรงเรียนประถมรุ่งอรุณเป็นเครื่องมือการสอนวิชาภาษาไทย เรื่องรามเกียรติ์ นอกเหนือจากเด็กได้อ่านวรรณคดีแล้วยังจัดการเรียนโขนมาเพื่อให้เด็กๆ เข้าถึงตัวละครผ่านการสวมบทบาท เพื่อเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกควบคู่ไปกับการเรียนวรรณคดี
ในช่วงสถานการณ์โควิด – 19 แบบนี้จากการเรียนโขนปกติที่โรงเรียนจึงกลายเป็น ‘โขนออนไลน์’ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์และวิทยาลัยนาฏศิลป์ ถ่ายทอดการสอนทั้งตัวพระ ตัวนาง ยักษ์ และลิง ให้เด็กได้เรียนแบบออนไลน์ในระยะเวลาเรียนเพียงสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และผู้สอนไม่มีโอกาสเจอหน้าผู้เรียน ทว่าผลลัพธ์คือเด็กใส่ใจ ตั้งใจเรียนมาก
เสียงสะท้อนจากนักเรียนจำนวนหนึ่งบอกว่าทีแรกคิดว่าไม่น่าสนุก แต่เมื่อเรียนจริงกลับไม่เป็นอย่างคาด ถึงจะยากแต่ครูทุกคนที่สอนก็ช่วยเหลือให้เข้าใจและปฏิบัติตามได้
“ตอนแรกที่ยังไม่เคยเรียนโขนก็คิดว่าจะไม่สนุก แต่พอได้มาเรียนก็รู้สึกสนุกมากและรู้สึกดีใจที่ได้เรียน”
“ประทับใจที่ครูไม่กดดันเรา แล้วก็ใจดีด้วย ครูสอนสนุก เวลามีคำถามแล้วเราถามคุณครูก็จะช่วยทำซ้ำให้ดูอีกครั้งหนึ่งจนเริ่มทำเป็น”
“ขอบคุณครูทุกท่านที่มาช่วยสอนศิลปะประจำชาติของไทยให้พวกเรา เพราะโขนคงไม่ได้หาเรียนง่ายๆ ก็ดีใจที่ได้มาเรียน แล้วครูก็สอนสนุกมากครับ”
ครูเต้ยเล่าว่า หลังจากเด็กๆ ได้เรียนโขนออนไลน์ นอกจากความรู้เรื่องวรรณคดีกับทักษะต่างๆ ที่มีการ Reskill Upskill เขายังได้ประหลาดใจกับทัศนคติของเด็กประถมที่มีต่อคุณครูของพวกเขา ที่กลับกลายเป็นโจทย์สำคัญของครูยุคนี้เลยทีเดียว
“มีเด็กคนหนึ่งบอกว่าผมเข้าใจคุณครูนะครับว่าคุณครูก็ต้องปรับตัว ผมจะอธิบายตรงนี้ว่าเด็กๆ เองเขาให้โอกาสเรานะครับ เขาให้โอกาสครู และเขาก็ให้โอกาสครูอย่างนอบน้อมด้วย ถ้าเราไม่ปรับตัวอาจไม่ทันเขา ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ โจทย์สำคัญคือครูต้องปรับตัวให้ทันเด็ก”