Skip to content
พัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถาม
  • Creative Learning
    Unique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an Educator
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
พัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถาม

Month: February 2021

Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?
Myth/Life/Crisis
3 February 2021

Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • แม้แต่อัศวินนักรบที่เก่งกาจที่สุดก็ยังต้องมีวันพัก แต่เราต้องพักแค่ไหนและจะทำงานต่อโดยสร้างวิถีใหม่หรือไม่ และอย่างไร? ชวนทบทวนตัวเองผ่าน 4 ข้อเสนอและคำถามด้านล่าง
  • คุณอยู่ในเหตุการณทำนองนี้อยู่หรือเปล่า? คุณมีงานล้นมือแล้ว แต่ก็ไม่กล้าต่อรองเรื่องงานที่ถูกยัดมาเพิ่มเรื่อยๆ แบบที่ทุกอย่างต้องเร่งส่งทั้งหมด คุณพยายามทำตามความคาดหวังของคนอื่นโดยการเอาเวลานอนและเวลาวันหยุดของคุณเข้าไปแลกแต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี แถมคุณไม่ได้โอทีอีกต่างหาก ลองใคร่ครวญดูว่าที่ยอมทำทุกอย่างตามที่คนอื่นต้องการ (ถ้าไม่นับความกลัวเรื่องเศรษฐกิจ) มันเป็นเพราะอะไร?
  • บางคนไปเจอว่าตอนเด็กเขาถูกทำให้เชื่อว่าความต้องการของฉันไม่สำคัญเท่าของคนอื่น บ้างก็มีเสียงวิจารณ์ภายในว่าถ้าให้น้ำหนักกับความต้องการของร่างกายตัวเองบ้างจะกลายเป็น ‘เห็นแก่ตัว’ แต่ถ้าคุณทำให้ตัวเองล้มหมอนนอนเสื่อ คุณจะช่วยอะไรคนอื่นได้? 

บทที่แล้ว เราได้รับรู้เรื่องราวของอัศวินที่ทำภารกิจมากมายจนเหนื่อยล้าแต่เมื่อถึงเวลาพัก อัศวินก็ไม่อาจพักได้เพราะโดนเหล่ามังกรตามรบกวน ประสบการณ์ของอัศวินคล้ายคลึงกับอาการบางส่วนของคนที่มีภาวะหมดไฟ พวกเขาเหนื่อยล้ามาก แต่บรรดามังกร (เช่น ความเครียดสะสมหรือการถูกบ่มเพาะมาให้เก็บกดความต้องการของตัวเอง เป็นต้น) ทำให้พวกเขาพักไม่ได้ พวกเขามีอาการเจ็บป่วยต่างๆ นอนก็ไม่ค่อยหลับ สุขภาพร่างกายย่ำแย่ ประสิทธิภาพการทำงานก็ลดลงและบ้างก็รู้สึกไม่ดีกับที่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ตัดขาดทางใจกับงานกันไปเลย และบ้างก็ถึงกับต้องลาออกจากงานเพียงเพื่อจะพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายบางอย่าง!  

แม้ว่าจะยังมีผู้บริหารที่เชื่อว่า คนหมดไฟ คือ พวกไร้ประสิทธิภาพ ‘ลาออกไปก็ดีแล้ว อั๊วจะได้ไม่ต้องไล่ออกเอง!’ แต่จริงๆ แล้วคนที่หมดไฟอาจเป็นคนบ้างานและพวกที่ยินดีแบกรับไว้มากเกินไปด้วยซ้ำ นอกจากนี้ ความคาดหวังขององค์กรก็อาจเป็นส่วนสำคัญที่บีบให้เราต้องโหมงานอยู่ตลอดเวลา และหากไม่พูดถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจและความกลัวที่ทำให้เราต้องสยบยอมต่อระบบ มันก็ยังมีแนวโน้มตามธรรมชาติอื่นๆ ในการจัดสิ่งต่างๆ ให้สัมพันธ์ซึ่งกันและกันไปตามแบบแผนบางอย่าง และทำให้สิ่งมีชิวิตดูเรียงรายเข้าจังหวะและดูเป็นหมู่เป็นพวก พูดง่ายๆ ก็คือ มีกลไกบางอย่างที่ทำให้เราเกาะกลุ่มและทำอะไรให้สอดคล้องกันไป (ดู Steven Strogatz: How things in nature tend to sync up โดยเฉพาะท่อนที่ Steven Strogatz นักคณิตศาสตร์ พูดถึงโมเดลของอาจารย์ Iain Couzin นักวิจัยมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด)

ซึ่งหากในโลกยุคใหม่ มีความเชื่อว่าการทำงานหนักเกินไปกระทั่งหมดไฟ หรือป่วย หรือแม้แต่ตาย เป็นเรื่องปรกติในสังคมกลุ่มหนึ่ง ก็ไม่ยากที่มันจะถูกเชื่อไปตามๆ กันและกลายเป็นเรื่องที่ถูกยอมรับว่าเป็น ‘ปรกติ’ ในที่อื่นๆ ด้วย น่าเศร้าเหลือเกินที่ในหลายองค์กร ความ ‘ปรกติ’ ดังกล่าวมีอิทธิพลมากกว่ากฎหมายแรงงานของถิ่นนั้นๆ  

ล่าสุดมีข่าวพนักงานในบริษัทจีนแห่งหนึ่งทำงานจนตาย แม้จะเป็นข่าวใหญ่โตที่ทำให้คนถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน แต่วัฒนธรรมการทำงานที่สูบพลังชีวิตพนักงานจนล้มหายตายจากไปก็เป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้วและยังคงดำเนินต่อไป แม้แต่ในประเทศไทยเองวัฒนธรรมการทำงานแบบนี้ก็เป็นเรื่องใกล้ตัว

ถ้าคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องทำงานหนักเกินไปจนกลายเป็นคนป่วยง่ายหรือป่วยเรื้อรัง และรู้สึกใกล้หมดไฟเต็มที คุณอาจตำหนิตัวเองว่าทำงานได้ไม่สมบุกสมบันเท่าคนอื่น คุณอาจตั้งคำถามว่า ตัวเองมีอะไรผิดปรกติหรือเปล่า? ในขณะที่เมื่อมองไปรอบตัว การมีอากาศบริสุทธิ์หายใจ การมีเวลาพักผ่อนให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย การได้มีพื้นที่สีเขียว ฯลฯ ที่ทุกคนควรเข้าถึงได้กลับกลายเป็น ‘อภิสิทธิ์’ – สิ่งที่จะถามก็คือ ตกลงอะไรกันแน่ที่ผิดปรกติ?

แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ในบทแรก คนที่มีภาวะหมดไฟหรือเสี่ยงต่อการหมดไฟ มักมีบุคลิกลักษณะบางอย่าง เช่น เป็นคนจริงจังมากและอาจเข้าขั้นบ้างาน หรือบ้างก็เป็นคนลักษณะที่ไม่ค่อยกล้าปฏิเสธคนอื่น กลัวความขัดแย้ง และลงเอยด้วยการรับงานมหาศาลมาทำตามที่คนอื่นคาดหวังทั้งหมด 

นอกจากนี้ เมื่อศึกษาโลกภายในของคนที่หมกมุ่นกับงานอย่างไร้สุขภาวะ ก็พบคนที่ใช้งานหนีแผลใจ หรือคนที่พุ่งทะยานหาความสำเร็จแทบจะตลอดเวลา เพราะเชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่ควรค่าแก่การชื่นชมและเป็นที่รัก

ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะมีสิ่งรบกวนใจหรือไม่มีก็ตาม หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำงานหนักมากเกินไปจนรู้สึกว่าใกล้พังเต็มที อาจนำข้อเสนอ 4 ข้อด้านล่างพร้อมคำถามสำหรับทบทวนตัวเอง นี้ไปปรับใช้ได้นะ

1. การพักผ่อน “เป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ” ถ้าคุณพบว่าตัวเองเป็นพวกบ้าความ “สำเร็จตามเป้า” ก็ลองทำให้การ “พักผ่อน” เป็น “เป้าหมาย” สำคัญดูบ้าง โดยสามารถเขียน “เป้าหมาย” ดังกล่าวลงในปฏิทิน และเมื่อเราสามารถพักผ่อนได้ตามเป้าหมาย มันก็อาจสนองความรู้สึก “สำเร็จตามเป้า” อย่างที่เราไม่ได้คาดมาก่อน นอกจากนี้ ถ้าคุณบ้าความสำเร็จที่วัดจากเรื่องงาน หากมีเวลานั่งนิ่งๆ ลองถามตัวเองไหมว่า มันเป็นเพราะรู้สึกว่าลึกๆ ตัวตนที่แท้จริงของเรา ‘ไร้ค่า’ เกินไปที่จะได้รับความชื่นชมหรือเปล่า? ถ้าใช่ อยากให้ลองนึกถึงเด็กทารกตัวน้อยดู เจ้าตัวน้อยเหล่านั้นต้องพอกตัวเองด้วยความสำเร็จเรื่องงานก่อนไหม คนถึงมารุมรักและเอ็นดู?

2. ต่อรองบ้าง! รักตัวเองหน่อย! คุณอยู่ในเหตุการณทำนองนี้อยู่หรือเปล่า? เช่น ทำงานเกินเวลาติดๆ กันหลายอาทิตย์ พอเคลียร์งานเสร็จหมดแล้ว คุณรู้สึกล้าเต็มทนแต่ก็ไม่กล้าใช้สิทธิลางาน หรือทุกๆ วัน คุณมีงานในมือเยอะมากแล้ว แต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธหรือต่อรองเรื่องงานที่ถูกยัดมาเพิ่มเรื่อยๆ แบบที่ทุกอย่างต้องเร่งส่งทั้งหมด คุณพยายามทำตามความคาดหวังของคนอื่นโดยการเอาเวลานอนและเวลาวันหยุดของคุณเข้าไปแลกแต่มันก็ยังไม่พออยู่ดี แถมคุณไม่ได้โอทีอีกต่างหาก 

ต่อรองบ้าง! รักตัวเองหน่อย!

หัดปฏิเสธบ้าง ก่อนที่ร่างกายจะปฏิเสธแทนคุณในรูปแบบของอาการป่วย (ดูวีดีโอ When the Body Says No — Caring for ourselves while caring for others. Dr. Gabor Maté)

ลองใคร่ครวญดูว่าที่ยอมทำทุกอย่างตามที่คนอื่นต้องการเพราะคุณเชื่อว่าตัวเองต่อรองไม่ได้หรือเปล่า? ถ้าใช่ มันเป็นเพราะอะไร? บางคนไปเจอว่าตอนเด็กเขาถูกทำให้เชื่อว่าความต้องการของฉันไม่สำคัญเท่าของคนอื่น ถ้าเป็นอย่างนั้น ลองหัดให้ความสำคัญกับความต้องการของตัวเองบ้าง ซึ่งคุณอาจได้ยินเสียงวิจารณ์ภายในว่า ‘เห็นแก่ตัว’ อะไรอย่างนี้! ถ้ามีคำนี้ขึ้นมาลองตั้งคำถามกับมันดูไหม? รักตัวเองอย่างสมเหตุสมผลไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ถ้าคุณทำให้ตัวเองล้มหมอนนอนเสื่อ คุณจะยังช่วยอะไรคนอื่นได้อีก? รักตัวเองมากกว่าคนอื่นสักครั้งเถอะ แล้วครั้งต่อๆ ไปมันจะง่ายขึ้น 

และถ้ามีเวลาก็อยากให้ลองทบทวนว่าตอนเด็กเราเติบโตมาอย่างไรหรือมีความเชื่ออะไรที่คอยขับเคลื่อนคุณอยู่โดยที่คุณไม่ค่อยรู้ตัวบ้าง (บางทีก็ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน) คุณอาจจะเจอขุมทรัพย์ภายในบางอย่างที่มีค่ากับชีวิตมากก็ได้นะ (หากสนใจ สามารถอ่านบทความเหล่านี้ประกอบ Perfume น้ำหอมมนุษย์: ความสัมพันธ์กับตัวเองและผู้อื่น ที่เรียนรู้มาจากผู้เลี้ยงดู และ Swan Lake 1: เงามืดในตัวเองที่เราไม่ยอมรับรู้ ซึ่งไปปรากฏในความสัมพันธ์)

หากคุณยอมคนอื่นมาตลอด การที่คุณอนุญาตให้ตัวเองพักในเวลาที่จำเป็นต้องพัก ไม่เพียงเป็นการใจดีกับตัวเอง แต่เป็นการใจดีกับคนอื่นด้วย เพราะมันลดโอกาสที่จะทำให้คุณเกิดความคิดว่าคนอื่นเบียดเบียนหรือเอารัดเอาเปรียบคุณ เมื่อคุณไม่ทำตัวเป็นเหยื่อ คุณก็ไม่ทำให้คนอื่นกลายเป็นวายร้ายไปด้วย 

ยังมีกรณีอื่นๆ หากเจ้านายคุณไม่ได้บอกว่างานที่ให้มาต้องเสร็จภายในคืนนี้ เดี๋ยวนี้ แต่คุณเองต่างหากที่รู้สึกว่ายังพักไม่ได้จนกว่างานจะเสร็จ หาทางผ่อนคลายด้วยวิธีคิดบางอย่างได้ไหม? เช่น ลองบอกตัวเองว่า “วันนี้ทำได้เท่านี้ พักก่อน” หรือ “ต่อให้เราตายไปวันนี้ พรุ่งนี้เขาก็หาคนมาแทนเราได้” หรือถ้ายังเครียดมาก อาจลองผสมน้ำกับสีน้ำเงิน สีเขียว หรือสีอะไรตามที่รู้สึกอยากสัมผัสในตอนนั้นมาแปะเล่นบนกระดาษดู อาจจะช่วยละลายความกดดันตัวเองออกไปกับสีได้นะ 

และเหมือนที่กล่าวไปแล้ว ถ้ามีเวลาอยากให้ลองทบทวนชีวิตนับแต่อดีตของตัวเองดู เผื่อจะเจออัญมณีภายในที่ช่วยปลดล็อคคุณได้ยาวกว่าแค่ใช้สีระบายความเครียด

3. ลองขอเปลี่ยนตำแหน่งงาน หรือหาทางต่อรองกับเจ้านาย เพื่อปรับรูปแบบการทำงานเพื่อลดความเหนื่อยล้าและได้เนื้องานเยอะกว่า หรือขอทำงานแบบไม่เน้นเข้าออฟฟิศ ถ้าไม่ค่อยเข้ากับ 2 ข้อแรก แต่บริบทมันบังคับให้ต้องโหมงานจริงๆ และ/หรือมีเงื่อนบีบให้คุณต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เข้ากับตัวเองมากๆ และคุณรู้ตัวว่าเริ่มไม่ไหวแล้ว ก็อาจลองขอเปลี่ยนตำแหน่งงาน หรือหากอยู่ในฐานะที่ทำได้ อาจลองนำเสนอรูปแบบการทำงานต่างๆ ที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าที่ไม่จำเป็น หนำซ้ำยังมีแนวโน้มทำให้ได้เนื้องานมากขึ้นด้วย พูดให้คนที่มีอำนาจตัดสินใจฟังดู เขาอาจชอบความสร้างสรรค์ของเราก็ได้ 

ลองฟังวีดีโอหรืออ่านประเด็นเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่เน้นการเข้าออฟฟิศเหล่านี้สิ เผื่อจะปิ๊งอะไรใหม่ๆ (สำหรับเนื้อหางานและสำหรับพนักงานที่มีคุณสมบัติทำแบบนั้นได้ เพราะแน่นอนว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกงานหรือทุกคน และยังมีปัญหาหลายอย่างจากรูปแบบนี้ที่ไม่ได้พูดถึง อีกทั้งมีรูปแบบการทำงานอีกหลายอย่างที่ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาในที่นี้) 

  • Virtual Culture: The Way We Work Doesn’t Work Anymore, a Manifesto เกี่ยวกับลักษณะธุรกิจที่มีการเชื่อมโยงกันโดยอาศัยเทคโนโลยี การทำงานโดยพนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเข้าออฟฟิศช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัทอย่างมหาศาล ผลิตภาพไม่ได้มาจากการตอกบัตรเข้าคอกทำงานทุกวัน แต่มาจากการทำงานแบบมืออาชีพ เป็นผู้ใหญ่และเสร็จในเวลาที่เหมาะสม การเคารพเวลาของพนักงานทั้งในและนอกเวลาทำงานและให้อิสระในการทำงานจากที่ไหนก็ได้ ทำให้บริษัทรักษาคนมีพรสวรรค์ไว้ได้ด้วย ฯลฯ
  • Why Work Does not Happen at Work: Jason Fried at TEDxMidwest จากประเด็นคำถามว่าถ้าต้องทำงานให้เสร็จ คนจะตอบว่าจำเป็นต้องไปที่ไหน? แทบไม่มีใครตอบว่าที่ทำงาน มีคำตอบซึ่งเป็นสถานที่พิเศษหรือพื้นที่เคลื่อนไหว และที่ไหนก็ได้ที่เช้ามากๆ ดึกมากๆ หรือเสาร์อาทิตย์ วิเคราะห์โดยรวมก็คือ คนทำงานได้ดีเมื่อ ได้เวลาทำงานจริงๆ อย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกรบกวน (แต่ที่ออฟฟิศมักจะมีอะไรมารบกวนไง)
  • Remote: Office Not Required หนังสื่อเกี่ยวกับประเด็นการทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ คือเคลื่อนงานเข้าไปหาคนทำงาน แทนที่จะให้คนทำงานเคลื่อนย้ายไปหาที่ทำงาน ประโยชน์ของวิถีแบบนี้ เช่น ลดอัตราการลาออก สามารถดำเนินธุรกิจข้ามหลายๆ เขตเวลาได้ดีขึ้น และเพิ่มความเป็นศูนย์รวมคนเก่ง โดยรวมคือ การทำงานจากที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องเข้าออฟฟิศ (remote work) ทำให้เราสามารถมีสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตโดยที่มีผลิตภาพของงานเพิ่มขึ้นได้ด้วย 

ยังมีสื่อที่มีเนื้อหาทำนองนี้อีกมาก ซึ่งสอดคล้องกับประสบการณ์เชิงบวกของผู้เขียนที่เคยทำงานให้องค์กรต่างประเทศจำนวนหนึ่ง โดยมีเพื่อนร่วมงานซึ่งทำงานร่วมกันจากหลากหลายเขตเวลา ทำงานตอนไหนที่ไหนก็ได้ แค่นัดเวลาคุยงานกันผ่านโปรแกรมสื่อสารต่างๆ เป็นระยะและทำงานให้เสร็จก่อน deadline อย่างมีคุณภาพก็พอ โดยหาทางรับเงินจากช่องทางที่หลากหลาย เช่น Paypal (รับเงินไว แต่ยังต้องทำใจกับค่าธรรมเนียมที่สูงและเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างๆ แต่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องบล็อคเชนเท่าไหร่นัก)

รู้จักคนไทยท่านหนึ่งที่ทำงานประจำจากบ้านให้บริษัทต่างชาติมาหลายปีและมีผลงานเป็นที่น่าพอใจ ต่อมาเมื่อเจ้านายเธอบอกว่าให้เข้าออฟฟิศ เธอยืนยันจะลาออก เจ้านายเธอจึงอนุญาตให้เธอทำงานที่บ้านต่อ แสดงว่าทั้งสองฝ่ายย่อมเห็นข้อดีของการทำงานลักษณะดังกล่าว

นอกจากนี้ช่วงโรค covid-19 ระบาดที่ผ่านมา มีคนส่วนหนึ่งที่เมื่อได้ทำงานจากที่บ้านก็เหนื่อยน้อยลง เมื่อไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันทำงาน เราสามารถลดความเครียดจากการเดินทางฝ่ารถติดไปกลับบ้านและที่ทำงานอย่างน้อยสามชั่วโมง หรือเบียดแย่งรถไฟฟ้า หรือบางทีก็ลดภาระจากการต้องย้ายไปเช่าห้องเล็กๆ เสียงดังๆ กลางเมืองอยู่ คนทำงานส่วนหนึ่งสามารถทำงานจากบ้าน และเมื่อไม่ต้องเหนื่อยล้าและเสียเวลากับการเดินทางก็มักสามารถสร้างเนื้องานให้บริษัทได้มากกว่าเดิม 

ในกรณีผสมผสาน เคยสัมผัสกับที่ทำงานแห่งหนึ่งในประเทศไทยที่ทำงานมูลค่ามหาศาลแบบเน้นเป็นโปรเจกต์ๆ โดยจะมีทีมงานมันสมองส่วนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องเข้างานประจำแบบตอกบัตร และในส่วนที่ต้องเข้ามาประจำ ทางบริษัทก็เตรียมห้องเงียบๆ และพื้นที่เขียวๆ ไว้ให้มนุษย์ใช้สมองหนักเหล่านี้สามารถปลีกวิเวกไปทำงานกับข้อมูลซับซ้อนแบบที่เข้ากับความอินโทรเวิร์ทหรือเซ็นซิทีฟตามลักษณะของแต่ละคนได้เต็มที่ จากผลลัพธ์การดำเนินงานทั้งชีวิตของเจ้าของบริษัท ท่านไม่ได้สำเร็จแค่ด้านการเงิน แต่น่านับถืออย่างยิ่งในการหล่อเลี้ยงความเป็นมนุษย์ของทีมงาน 

ความสร้างสรรค์ทำนองนี้ (หรือจะปรับให้ต่างจากนี้ตามประเด็นของกลุ่มทำงานนั้นๆ) อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟของคนทำงาน และก็อาจเป็นได้ในที่ทำงานของคุณในอนาคตเหมือนกัน

4. สร้างงานแบบใหม่ที่เหมาะกับตัวเองไปเลย อย่างไรก็ดี ถ้าคุณรู้สึกว่าวิถีการทำงานกระแสหลักไม่ยั่งยืนและอาจสืบทอดปัญหาเชิงโครงสร้างบางอย่าง หากคุณรู้สึกว่าถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการหาเลี้ยงชีพโดยสิ้นเชิงแต่ยังไม่มีทางเลือก นอกเหนือจากลิงก์แนวคิดต่างๆ ที่ให้ไว้ด้านบน ในประเทศไทยก็ยังมีแหล่งแนวคิดและวิถีชีวิตทางเลือกที่สามารถนำมาปรับให้เกิดเป็นวิถีการงานและวิถีชีวิตของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นวิถีจากชุมชนพรรณพันของพี่โจนจันได หรือลองศึกษากระบวนทัศน์ใหม่ที่เผยแผ่โดยองค์กรต่างๆ ภายใต้ร่มเงามูลนิธิเสฐียรโกเศศ–นาคะประทีป ซึ่งริเริ่มโดยอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ฯลฯ ซึ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธการทำงานหาเงิน เพียงแต่ยังเน้นการพัฒนามนุษย์ในมิติอื่นๆ และวิถีชีวิตที่ให้ค่าความยั่งยืน การศึกษาโลกภายในและอยู่กับธรรมชาติด้วย ซึ่งเมื่อศึกษาแนวคิดต่างๆ ไปสักพักก็จะเอื้อให้เกิดการสร้างสรรค์ทางเลือกที่ทำให้ไม่ต้องสยบยอมมากเกินไปกับวิถีการทำงานที่ต้องทำร้ายตัวเองจนหมดไฟหรือล้มป่วย ซึ่งถ้าปรับได้ก็น่าจะส่งผลดีกับคนใกล้ชิดและชุมชนด้วย 

ในขณะที่คุณกำลังพิจารณาข้อ 4 นี้ เทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนและแม้แต่ล้มและทดแทนธุรกิจต่างๆ อีกทั้งโรคระบาดก็อาจเป็นปัจจัยที่กำลังกระตุ้นให้คุณวิวัฒนาการเร็วกว่าเดิมก็ได้ เหมือนเพื่อนๆ รอบตัวคุณที่อาจโดนสถานการณ์บีบให้ปรับวิถีการงานหรือแม้แต่ต้องออกจากงานประจำมาสร้างธุรกิจของตัวเองล่วงหน้าคุณกันไปแล้ว

มีคนเคยบอกว่าการหมดไฟเกิดขึ้นเพราะคุณหลีกเลี่ยงการเป็นมนุษย์มานานเกินไป ข้าพเจ้าหยิบไพ่ทาโร่ 4 ดาบขึ้นมา บนหน้าไพ่มีรูปอัศวินนอนราบอยู่บนโลงศพ พลันนึกขึ้นได้ว่าแม้แต่อัศวินนักรบที่เก่งกาจที่สุดก็ยังต้องมีวันพัก แต่เราต้องพักแค่ไหนและจะทำงานต่อโดยสร้างวิถีใหม่หรือไม่ และอย่างไร? แต่ละคนต้องหาและออกแบบเองต่อจากนั้น เราไม่จำเป็นต้องรับเอาวิถีของคนอื่นมาทั้งหมดอย่างสุดโต่ง 

และการมีกัลยาณมิตรที่เห็นพ้องในวิถีทางเลือกหรือวิถีผสมผสานคล้ายๆ กัน จะช่วยผนึกกำลังและประคองวิถีเช่นนั้นให้อยู่ในชีวิตเราได้มากขึ้น 

อ้างอิง
สารคดี Take Your Pills
A Good Knight’s Rest
As new wave of COVID-19 cases hits, remote work becomes the norm
Burn-out an “occupational phenomenon”: International Classification of Diseases
Burnout and post-traumatic stress disorder (PTST)
Making the Switch from Time-Oriented to Task-Oriented Productivity
Steven Strogatz: How things in nature tend to sync up
Understanding Job Burnout
Where Do You Fall on the Burnout Continuum? Recognize the danger signs of burnout. When the Body Says No — Caring for ourselves while caring for others. โดย Dr. Gabor Maté

Tags:

burn outMyth Life Crisisทบทวนตัวเองการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)ชีวิตการทำงาน

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    ความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out(1) ชวนดูโลกภายในคนที่ทำงานจนหมดไฟ/เสี่ยงหมดไฟ ลึกลงไปมีอะไรซ่อนอยู่?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    คางุยะ เจ้าหญิงแห่งดวงจันทร์: ที่ทางของฉันบนโลกใบนี้

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Relationship
    ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทำไมกลับเหงาได้ขนาดนี้?

    เรื่อง ธนัชพร ภูติยานันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • RelationshipBook
    I HATE MY JOB: เราไม่ได้ถูกสร้างให้กระจอก เราถูกสร้างเพื่อให้ผ่านปัญหาไปได้

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ ภาพ รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

Hybrid Learning : เทรนด์การเรียนรู้แบบผสมผสานตอบโจทย์สถานการณ์โควิด-19
Education trend
3 February 2021

Hybrid Learning : เทรนด์การเรียนรู้แบบผสมผสานตอบโจทย์สถานการณ์โควิด-19

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Hybrid learning หรือ การเรียนรู้แบบผสมผสาน หนึ่งในแนวทางการจัดการเรียนรู้ที่น่าสนใจ เพื่อรับมือกับวิกฤตโควิด-19 และเห-ตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดครั้งใหม่ หรือภัยพิบัติและภัยคุกคามต่างๆ
  • เป็นการผสมผสานการเรียนรู้ในห้องเรียน (แบบรักษาระยะห่าง) ควบคู่ไปกับการเรียนออนไลน์
  • หัวใจสำคัญของการจัดห้องเรียนแบบ Hybrid learning คือ การพิจารณาความต้องการและสภาพแวดล้อมของทั้งนักเรียนและครู เพื่อให้ได้แนวทางที่ทั้งสองฝ่ายสามารถทำร่วมกันได้

ระหว่างที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่าเรียนออนไลน์ต่อไปหรือกลับเข้าห้องเรียนดีกว่ากัน เด็กๆ ทั้งนักเรียนนักศึกษาคือคนที่ต้องแบกรับความกดดันรอบด้าน ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การสอบ สุขภาพ หรือความเครียดในครอบครัว 

การศึกษาชิ้นหนึ่งจากประเทศจีนที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร JAMA Pediatrics ของสหรัฐอเมริกา นำเสนอผลงานวิจัยโดยนักวิจัยในมณฑลหูเป่ยพื้นที่ต้นกำเนิดของการระบาดในจีน ระบุว่า จากการทดสอบกลุ่มตัวอย่างนักเรียน 2,330 คน เพื่อหาสัญญาณภาวะความตึงเครียดทางอารมณ์จากการกักตัว ร้อยละ 22.6 พบอาการของโรคซึมเศร้า และร้อยละ 18.9 มีภาวะวิตกกังวล

ขณะที่อีกซีกโลก ข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) เน้นย้ำผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการเฝ้าติดตามสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อโรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอน

เพราะนอกจากความกังวลและความเครียดว่าจะติดโควิด-19 แล้ว การระบาดยังส่งผลกระทบทั้งในระดับครอบครัว เศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพจิตของผู้คน แม้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อการติดโรคมากกว่าเด็ก แต่สิ่งที่น่าตกใจ คือ เด็กและเยาวชนมีความเสี่ยงได้รับผลกระทบทางสุขภาพจิตได้มากกว่าผู้ใหญ่ จากรายงานโดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา ช่วงเดือนมีนาคมถึงตุลาคมที่ผ่านมา ห้องฉุกเฉินตามโรงพยาบาลต่างๆ พบเคสผู้ป่วยวัยเด็กที่กำลังประสบปัญหาสุขภาพจิตเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก คิดเป็นร้อยละ 24 สำหรับเด็กในช่วงวัย 5 – 11 ปี และร้อยละ 31 ในเด็กที่มีอายุระหว่าง 12 – 17 ปี 

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกาได้นำเสนอแนวทางสำหรับโรงเรียน จากการวิเคราะห์ความเสี่ยงในการติดเชื้อไว้สามรูปแบบ ได้แก่ หนึ่ง – การเรียนรู้ทางไกลอย่างต่อเนื่องซึ่งมีความเสี่ยงติดโรคต่ำที่สุด สอง – การผสมผสานการเรียนรู้ทางไกลกับการเรียนในชั้นเรียนโดยรักษาระยะห่างทางสังคม ซึ่งมีความเสี่ยงมากขึ้น และ สาม – การเปิดเรียนในชั้นเรียนเต็มเวลา ซึ่งมีความเสี่ยงสูงสุด อย่างไรก็ดีนอกจากความเสี่ยงเรื่องการติดโรคแล้ว ยังต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสุขภาพจิตอีกด้วย

Hybrid learning กุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง

ช่วงแรกในฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม – พฤษภาคม) ปี 2020 หลังโควิด-19 เริ่มระบาดกระจายวงกว้าง สถานศึกษาในสหรัฐอเมริกากว่า 1,300 แห่ง ใน 50 รัฐ ยกเลิกการเรียนการสอนในชั้นเรียน แล้วเปลี่ยนรูปแบบเป็นการเรียนแบบออนไลน์เท่านั้น แต่หลังจากนั้นในฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน – พฤศจิกายน) ปี 2020 สถานศึกษาหลายแห่งได้พัฒนารูปแบบการเรียน ผสมผสานการเรียนรู้ในห้องเรียน (แบบรักษาระยะห่าง) ควบคู่ไปกับการเรียนออนไลน์ แต่ละแห่งได้รับความสำเร็จในระดับที่แตกต่างกันไป 

จากการสำรวจ พบว่า ร้อยละ 44 ยึดรูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ร้อยละ 21 ใช้รูปแบบผสมผสาน และร้อยละ 27 เปิดการเรียนการสอนในชั้นเรียนตามปกติ อย่างไรก็ตาม ในปี 2021 สถานศึกษาหลายแห่งวางแผนขยายการเรียนการสอนในห้องเรียนให้กลับมาเต็มรูปแบบมากขึ้นเช่นเดียวกับในประเทศไทย

และอีกประเด็นที่ไม่ต่างกันคือ ในสหรัฐฯ พบว่า นักเรียนถึงร้อยละ 20 ติดปัญหาเรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นแล็ปท็อปที่ใช้งานได้ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่ทำให้การเรียนออนไลน์คล่องตัว นอกจากนี้ยังพบนักเรียนบางส่วนที่ประสบปัญหาเมื่อต้องเรียนออนไลน์ โดยเฉพาะนักเรียนที่มีปัญหาด้านวิชาการอยู่แล้วเป็นทุนเดิม รวมถึงการขาดวินัยในการจัดสรรเวลาเรียน

วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยบางแห่งประกาศแผนช่วยเหลือนักเรียนที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี ด้วยการเปิดห้องสมุดแบบจำกัดเวลา แจกจ่ายฮ็อตสป็อต (hotspot) มือถือให้กับนักเรียน โรงเรียนหลายแห่งเปลี่ยนไปใช้ระบบการให้คะแนนแบบ ‘ผ่าน’ กับ ‘ไม่ผ่าน’ แทนการให้เกรด เพื่อช่วยนักเรียนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังต้องหาทางออกเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อเนื่องเกี่ยวกับการโอนหน่วยกิจของนักเรียนในระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ Hybrid Learning จึงถูกมองว่าเป็นแนวทางที่น่าสนใจในการรับมือกับวิกฤตในขณะนี้และที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดครั้งใหม่ หรือภัยพิบัติและภัยคุกคามต่างๆ 

รายงานจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก้ (UNESCO) ล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เรื่อง ‘COVID-19 response –hybrid learning’ หรือ การตอบสนองต่อโควิด-19 – การเรียนรู้แบบไฮบริด กล่าวว่า “การเรียนรู้แบบผสมผสานเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยสร้างการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง” โดยให้ข้อแนะนำว่า 

การจัดการเรียนรู้แบบไฮบริดให้มีประสิทธิภาพต้องสัมพันธ์กับการเรียนรู้ซ้ำๆ  4 ขั้นตอน ได้แก่

1. การสร้างความเข้าใจและจินตนาการ (understand and envision) องค์ประกอบที่ต้องคำนึงถึงในส่วนนี้ คือ การประเมินสถานะปัจจุบันของระบบ โดยไม่ทิ้งความต้องการของนักเรียนและผู้ปกครอง, ประสิทธิภาพของการเรียนรู้ผ่านทางไกล และความสามารถของครูในการจัดการเรียนการสอน เช่น พื้นที่หรือสถานที่จัดการสอน การเดินทาง และงบประมาณ

2. การตัดสินใจและการออกแบบ (decide and design) ส่วนนี้เป็นส่วนของการประเมินผลการเรียน ที่ครูและนักเรียนร่วมกันออกแบบได้ เช่น การวัดผลจากการเรียนในห้องเรียนควรคิดเป็นสัดส่วนเท่าไร และจากวัดผลจากการเรียนทางไกลควรทำอย่างไร แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมในแต่ละระดับชั้น

3. การเปิดใช้งานและการดำเนินการ (enable and execute) การพิจารณาว่าวิชาใดควรเรียนในห้องเรียน วิชาใดสามารถเรียนแบบทางไกลผ่านหน้าจอออนไลน์ได้ รวมถึงการออกแบบกิจกรรมให้ได้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตัวเองจากการลงมือทำที่บ้าน  

4. การตรวจสอบและปรับปรุง (monitor and adjust) การเรียนการสอนต้องประเมินและปรับเปลี่ยนแนวทางตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เทียบเคียงจากการมีส่วนร่วมของนักเรียน ผลการเรียนรู้ รวมถึงข้อเสนอแนะจากเด็กและผู้ปกครองเอง

Hybrid Learning เลือกแบบไหนที่ใช่และเหมาะสมที่สุด

ตัวอย่างการจัดการเรียนแบบผสมผสาน เช่น

  • นักเรียนเรียนร่วมกันผ่านห้องเรียนออนไลน์ พร้อมแบบทดสอบและงานที่ได้รับมอบหมายจากครู แล้วกลับมาทบทวนกับครูอีกครั้งแบบตัวต่อตัวในห้องเรียน
  • สลับให้มีนักเรียนหนึ่งกลุ่มเรียนในชั้นเรียนตามปกติแบบรักษาระยะห่าง ส่วนกลุ่มอื่นๆ เรียนสดร่วมกันผ่านห้องเรียนออนไลน์ในช่วงเวลาเดียวกัน
  • ผสมผสานกิจกรรมการเรียนรู้ที่โรงเรียนและที่บ้าน ครูให้คำแนะนำและข้อเสนอแนะต่างๆ ในห้องเรียน หลังจากนั้นให้นักเรียนกลับไปทดลองทำที่บ้าน แล้วกลับมาทบทวนอีกครั้งในห้องเรียน

เราคงไม่สามารถให้คำตอบได้ว่าการเรียนรู้แบบไหนดีที่สุดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 เพราะคำตอบที่ใช่สำหรับการศึกษาและการเรียนรู้ไม่ว่าช่วงใดก็ตามไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียว เพราะการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพและทรงพลังต้องเกิดขึ้นจากคิดร่วมกันระหว่างผู้เรียนและผู้สอน และไม่ผลักดันให้ภาระทางการเรียนเป็นของนักเรียนแต่เพียงผู้เดียว โดยเฉพาะในภาวะที่โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเด็กวัยเรียน, ผู้ปกครอง ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนต้องช่วยกันโอบอุ้ม และวางแนวทางจัดกระบวนการเรียนรู้โดยไม่ให้ซ้ำเติมเพิ่มความทุกข์ให้กับพวกเขามากขึ้นไปอีก 

ทั้งนี้ กองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ (UNICEF) ได้พูดคุยกับนักจิตวิทยาวัยรุ่น ดอกเตอร์ลิซ่า ดามัวร์ (Dr.Lisa Damour) คุณแม่ลูกสอง นักเขียนและคอลัมนิสต์นิตยสารนิวยอร์กไทม์ และหนังสือขายดีหลายเล่มเกี่ยวกับวัยรุ่น 

“หนึ่งปีในชีวิตของวัยรุ่นเหมือนเจ็ดปีในชีวิตของผู้ใหญ่ ดังนั้นเราต้องเห็นอกเห็นใจพวกเด็กๆ อย่างมากกับเวลาและโอกาสบางอย่างที่พวกเขาสูญเสียไป เช่น งานฉลองจบการศึกษาระดับมัธยมปลายที่มีแค่ครั้งเดียวในชีวิต มันไม่ใช่หายนะ แต่เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาเสียใจและเสียความรู้สึก” ดามัวร์ กล่าว

ดามัวร์ ย้ำว่า ความรู้สึกเจ็บปวดหรือเสียใจเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับเด็ก ทางออกมีทางเดียวเท่านั้น คือ การอนุญาตให้พวกเขารู้สึกเสียใจ เพราะนั่นทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้เร็วกว่าการเก็บความรู้สึกเอาไว้ ที่สำคัญเด็กและเยาวชนยังต้องการความเห็นอกเห็นใจและการสนับสนุนจากผู้ใหญ่

ที่ผ่านมา สถานศึกษาแต่ละประเทศประกาศเปิดและปิดการเรียนการสอนต่างกันตามวิกฤตในแต่ละพื้นที่ แม้แต่ประเทศไทยสถานศึกษาแต่ละจังหวัดถูกกำหนดให้เปิดและปิดจากการประเมินสถานการณ์เช่นกัน บางพื้นที่เมื่อพบผู้ติดเชื้อ ทางจังหวัดประกาศให้ปิดโรงเรียน 1 – 2 อาทิตย์แล้วกลับมาเปิดใหม่ มหาวิทยาลัยบางแห่งประกาศระงับการสอนแบบออนไลน์ แล้วเปลี่ยนให้กลับมาเรียนตามปกติ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วิกฤตกลายเป็นวิกฤตซ้ำซ้อนและสร้างความสับสน เพราะขาดนโยบายที่ชัดเจน 

การพยายามค้นหาทางเลือกใหม่ๆ หรือแนวทางที่ยืดหยุ่นสอดคล้องตามสถานการณ์ จะช่วยให้การเรียนรู้ไม่หยุดชะงัก หรืออย่างน้อยก็ไม่เป็นภาระที่ซ้ำเติมผู้เรียนยิ่งขึ้นไปอีก

อ้างอิง
The Coronavirus Seems to Spare Most Kids From Illness, but Its Effect on Their Mental Health Is Deepening
Covid stress taking a toll on children’s mental health, CDC finds
How to protect your family’s mental health in the face of COVID-19
Virtual Classroom
Higher Education Responses To Coronavirus (COVID – 19)
COVID – 19 response – hybrid learning

Tags:

เทคนิคการสอนความเข้าอกเข้าใจ(empathy)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)Hybrid Learning

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Social Issues
    หากโควิดบังคับให้ครูเปลี่ยน จะสอนออนไลน์ยังไงให้ป็อปและยังมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์อยู่?

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Education trend
    เครื่องมือช่วยเด็กคุยกับตัวเอง คลี่คลายความเครียด โดยนักจิตวิทยาโรงเรียน

    เรื่อง The Potential ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    เปิดเทอมใหม่ อย่าเพิ่งสอนวิชาการ เยียวยาเด็กและเพื่อนครูด้วยกันก่อน

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Transformative learning
    TEACHING EMPATHY: สอนเด็กให้ ‘เข้าอกเข้าใจ’ ลงมือทำ แบ่งปัน มองปัญหาผู้อื่นให้ทะลุปรุโปร่ง

    เรื่อง ลีน่าร์ กาซอ

  • Transformative learning
    วิชาฝึกฟัง: อยากให้เด็ก ‘คิด’ เป็น แต่ไม่เคยสอนให้ ‘ฟัง’ เป็น

    เรื่อง The Potential

จิตวิทยาวัยรุ่น: ความสัมพันธ์(ความสับสนยุ่งเหยิง)วัยรุ่น กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน
How to get along with teenager
3 February 2021

จิตวิทยาวัยรุ่น: ความสัมพันธ์(ความสับสนยุ่งเหยิง)วัยรุ่น กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • เปิดคลินิกวัยรุ่นกับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน คุยต่อเรื่องจิตวิทยาวัยรุ่น การรับมือกับความสับสนวุ่นวายในความรู้สึกต่างๆ ที่วัยรุ่นต้องเจอ อันเป็นเหตุจากความสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น ทะเลาะกับพ่อแม่เอย การทะเลาะกับเพื่อน เพื่อนไม่ยอมรับฉัน ทะเลาะกับเพื่อนแล้วร้องไห้โฮ รวมถึงการทะเลาะกับตัวเองด้วย เป็นบันไดขั้นหนึ่งในการเติบโตของเขา
  • เพราะร่างกาย สมอง และจิตใจมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดความสับสน ยุ่งเหยิง ใจหนึ่งก็ต้องการเป็นอิสระ เพราะรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว ไม่อยากถูกควบคุม แต่ก็ยังต้องการให้พ่อแม่ช่วยกันประคองฉันหน่อย บางทีพ่อแม่ก็เข้าหาไม่ถูก เข้าหาเยอะไปก็หงุดหงิด เข้าหาน้อยไปก็รู้สึกโกรธ ไม่ใส่ใจ
  • พ่อแม่จะต้องตั้ง Mindset ตัวเองก่อนเลยว่าจะไม่เข้าไปเป็นคนที่จะแก้ไขอะไรในชีวิตลูก แต่จะฟังเพื่อกอดเขาแล้วบอกว่าแม่เข้าใจ ไม่ฟังแบบตัดสินและลงเอยด้วยการสั่งสอนเขา

วัยรุ่นกับความสัมพันธ์เป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะความรักฉันเพื่อน คนรัก และสำคัญที่สุด กับครอบครัว ที่ในความหมายนี้ไม่ได้มีแค่รักอบอุ่น แต่รวมถึง ความไม่ชอบพ่อแม่ การทะเลาะเบาะแว้ง ตั้งแง่ต่อกัน ขณะเดียวกันก็อยากได้รับการยอมรับที่เราเป็นเราจริงๆ 

“หมอบอกกับพ่อแม่เสมอว่า ‘ไม่มีทางที่เราจะสั่งสอนอะไรเขาได้เลยถ้าเราคือคนที่เขาไม่รัก’ นี่คือคีย์เวิร์ด แล้วหลายครั้ง ไม่ใช่แค่ไม่รักนะ ถ้าเราเป็นคนที่เขาไม่ชอบเนี่ย เขาจะไม่ใช่แค่ไม่ฟัง แต่เขาจะเอาคืน การเอาคืนของเขา เขาก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจนะ แต่เขาจะเอาคืน” 

“จริงๆ เรามีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตตัวเรา แล้วเราก็เลือกไม่ได้ที่จะอยู่กับพ่อแม่ที่ปล่อยวางเราแค่ไหน แต่สิ่งที่เราควรทำเสมอคือการพูดความต้องการออกมา (Speak out) เราควรจะเอ่ยออกไปว่าเราต้องการอะไร คือเด็กหลายคนก็จะทน ถูกกดทับด้วยคำว่า ‘ความรักและหวังดี’ (…) เพียงแต่ว่าโดยส่วนตัวหมอก็อยากสนับสนุนให้วัยรุ่นสามารถที่จะพูดความต้องการของตัวเองออกมา เพราะว่าอันนั้นมันเป็นพื้นฐานของการที่เราจะเคารพตัวเราเอง ของการที่เราจะจัดการชีวิตตัวเองได้” 

นี่คือน้ำจิ้มในอีพีนี้ ที่ถอดความจากพอดแคสต์รายการ ‘ในโลกวัยรุ่น’ กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential และผู้ดำเนินรายการ ตอนนี้คุยกับ แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน 

ตอนนี้ผู้อ่านจะได้คลี่คลายว่า วัยรุ่นควรจะเป็นวัยที่สับสนยุ่งเหยิงในความสัมพันธ์ทุกมิติอยู่แล้ว แต่จะคลี่คลายมันอย่างไร คิดกับตัวเองอย่างไร พ่อแม่จะลดการปะทะหรือไม่สร้างความยุ่งเหยิงให้กับวัยรุ่นได้ยังไงบ้าง ชวนอ่านชวนฟังกันครับ

ในโลกวัยรุ่น ตอน จิตวิทยาวัยรุ่น อีพีอื่นๆ คลิก

เราตั้งคอนเซปต์ของ EP นี้ไว้ว่าอยากคุยเรื่องความวุ่นวายในความรู้สึกต่างๆ นานา ที่วัยรุ่นต้องเจอ เช่น ความสับสน ความวุ่นวายใจอันเป็นเหตุจากความสัมพันธ์กับคนอื่น เช่น ทะเลาะกับพ่อแม่เอย การทะเลาะกับเพื่อน เพื่อนไม่ยอมรับฉัน ทะเลาะกับเพื่อนแล้วร้องไห้โฮ อะไรแบบนี้

ทะเลาะกับตัวเองด้วยนะ

ใช่ และทะเลาะกับตัวเอง แบบนี้ที่เข้ามาในคลินิกเพื่อปรึกษากับคุณหมอโอ๋

มีเยอะและเรื่อยๆ เลยค่ะ เรียกว่าความสับสนยุ่งเหยิงเป็นภาวะเป็นปกติเลยละกันที่เราต้องเจอในวัยรุ่น และจริงๆ แล้ววัยรุ่นก็เป็นวัยแห่งการสับสนจริงๆ นะ ร่างกายก็เปลี่ยนแปลงมหาศาล ทั้งพัฒนาทางเพศ มีหน้าอก การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย สมองก็พัฒนาเยอะ สมองส่วนอารมณ์ก็ทำงานเยอะมาก สมองส่วนหน้าที่ทำงานเรื่องเหตุ เรื่องผล เรื่องตรรกะก็พัฒนาไม่ทัน เพราะฉะนั้น วัยรุ่นจะเป็นวัยที่อารมณ์นำมาก่อน ความรู้สึกเลยเป็นเรื่องใหญ่ 

เพราะสมองทำงานแบบนั้น มันก็ทำงานให้เกิดความสับสน ยุ่งเหยิง ร่างกายก็มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ขณะเดียวกัน จิตวิทยาในการพัฒนาของวัยรุ่นก็ทำให้เกิดความสับสน ใจหนึ่งก็อยากเป็นอิสระ เพราะรู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว ไม่อยากถูกควบคุม แต่ก็ไม่ได้อยากที่จะโบยบินออกไปเลยนะ เพราะว่าฉันก็ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ขนาดนั้น ฉันยังโตไม่พอ อยากได้ความสัมพันธ์ที่แบบไม่ต้องการการโอบรัดเยอะ แต่ก็อยากให้ช่วยกันประคองฉันหน่อย บางทีพ่อแม่ก็เข้าหาไม่ถูก เข้าหาเยอะไปก็หงุดหงิด เข้าหาน้อยไปก็รู้สึกโกรธ ไม่ใส่ใจ 

เพราะฉะนั้น ความต้องการของวัยรุ่นเองส่วนหนึ่งมันก็ทำให้เกิดความสับสนยุ่งเหยิง ส่วนหนึ่งต้องการความเป็นอิสระ ส่วนหนึ่งต้องการการยอมรับจากเพื่อน ต้องการที่จะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ต้องการที่จะเหมือนคนอื่น ต้องการอยู่ในกลุ่มแล้วถูกยอมรับ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาอัตลักษณ์ของตัวเอง คือฉันก็ต้องแตกต่าง ฉันก็ต้องมีความเป็นตัวเอง ฉันก็ต้องเจอว่าฉันชอบอะไร ฉันเชื่อเรื่องไหน ฉันถนัดอะไร เพราะฉะนั้นมันก็สับสนยุ่งเหยิงถูกไหม ตัวเองก็ต้องพัฒนาให้แตกต่าง มีตัวตน ขณะเดียวกันเพื่อนก็ต้องเหมือนเพื่อจะได้ถูกยอมรับ 

เหมือนเป็นช่วงวัยที่ทุกอย่างถาโถมจริงๆ เลย

แล้วด้วยกรอบการศึกษาก็เป็นวัยที่ต้องเลือกต้องตัดสินใจ เช่น จะเรียนต่อสายอาชีพ สายสามัญ จะเรียนแผนกไหน อะไรแบบนี้ มันก็มีความต้องคิด ต้องถูกตีกรอบให้เลือกด้วยครรลองของการศึกษาต่างๆ ที่สำคัญก็ความสัมพันธ์ทางด้านเพศก็ต้องสนใจ 

เริ่มมีความรักแล้ว

สมองเอย ฮอร์โมนทางเพศเอย มีแรงขับตามธรรมชาติให้สนใจด้านเพศ เพศตรงข้าม เพศเดียวกัน ขณะเดียวกันก็ถูกบอกว่าไม่เหมาะสม ไม่ควรคิด เป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องแก่แดด ยังไม่เหมาะ มันก็คงจะสับสน มันก็คงจะยุ่งเหยิงว่าสิ่งที่วัยรุ่นควรพัฒนาตามวัยหลายครั้งมันก็ถูกตีกรอบ ด้วยความคิดความเชื่อรูปแบบหนึ่ง

ทีนี้เรามาค่อยๆ แก้ปมความยุ่งเหยิงกัน เอาความสัมพันธ์แรกก่อน คือ ‘ครอบครัว’ อันนี้เป็นปัญหาที่เราเจอแน่ๆ ได้ยินเสียงคุณพ่อคุณแม่บ่นมากเลยว่าพอลูกเข้าวัยรุ่นแล้ว การขอร้องให้ทำอะไรแบบเดิมก็ไม่ทำแล้ว กลับเข้ามาบ้านปุ๊บก็ขึ้นห้องปิดประดูปึ้ง ไม่พูดไม่จากันซักคำ อันนี้คืออาการเขาอยู่ในช่วงปัญหาแบบไหนหรอครับ

จริงๆ วัยรุ่นทุกคนต้องการ ‘อิสระ’ ถ้าให้เรามองดีๆ วัยรุ่นคือรอยต่อของเด็กกับผู้ใหญ่ เราก็ไม่ได้ต้องการผู้ใหญ่ที่อะไรๆ ก็…แม่ จัดการหน่อย แม่ทำหน่อย หนูจะออกนอกบ้าน แม่ไปเป็นเพื่อนหนูหน่อย เราไม่ได้อยากได้ผู้ใหญ่แบบนั้น เราอยากได้ผู้ใหญ่ที่จัดการชีวิตตัวเองได้ เป็นอิสระในการตัดสินใจ ทำอะไรด้วยตัวเอง เพราะนั่นคือผู้ใหญ่ที่พัฒนาแล้ว

วัยรุ่นเลยเป็นวัยเปลี่ยนผ่านที่ต้องมีภาพของเด็กคนหนึ่งที่เคยวิ่งกอดขาแม่เมื่อตอนที่จะออกจากบ้าน กลายเป็นเด็กที่ขี้เกียจไป แล้วก็แยกไปในห้องตัวเอง ประเด็นคือพ่อแม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ไหม หรือทำให้มันเกิดขึ้นด้วยความเข้าใจว่านี่คือธรรมชาติได้หรือเปล่า เพราะว่าพ่อแม่หลายคนก็ทำใจไม่ได้ที่ลูกเคยตัวติดกับฉันตลอดเวลาแล้ววันหนึ่งเริ่มอยากไปมีชีวิตเป็นของตัวเอง พอพ่อแม่ไม่ให้พื้นที่ตรงนี้ วัยรุ่นหลายคนก็เลยแบบมีปัญหาความสัมพันธ์กับพ่อแม่ พอมีปัญหาความสัมพันธ์ทีนี้ก็อยากที่จะแยกจากพ่อแม่ไปใหญ่ ยิ่งแบบเจอหน้าพ่อแม่ก็อยากเลี้ยวเข้าห้อง เพราะขี้เกียจฟังเสียงบ่น เสียงทักถาม เสียงตำหนิ 

เพราะฉะนั้นพ่อแม่ก็เลยมีหน้าที่ที่ต้องหาจุดสมดุลว่าต้องทำยังไงที่เราเองก็ให้อิสระเขาในการคิด ตัดสินใจ บ่นให้น้อย หมอชอบพูดว่า ‘มันหมดวัยของการสอนแล้ว’ เพราะเขาจะเริ่มฟังเราน้อยลงแล้ว เขาจะรู้สึกอยากคิดเอง จัดการเองได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรฝึกคือ แทนที่เราจะบ่น สอน พูดทั้งวัน เราอาจจะชวนเขาตั้งคำถาม ชวนเขาออกกติกา ตั้งกฎเกณฑ์ แล้วเราช่วยกันสร้างข้อตกลงร่วมกัน โดยการรับฟังความคิดเห็นของเขา รับฟังวิธีการของเขาว่าทำยังไงมันถึงจะทำให้บ้านเราอยู่กันได้แบบโอเค ไม่มีปัญหา หมอคิดว่าตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ทำให้เขาได้โต เขาได้มีสิทธิ มีเสียง ในขณะเดียวกันพ่อแม่ก็เคารพความต้องการของเขา แทนที่เราจะเลี้ยงเขาเหมือนเด็กๆ ที่เราบอกให้ทำนั่น บอกให้ทำนี่ สั่งให้ทำนู่น หรือบ่นว่าไม่ทำอะไร เขาก็จะไม่เหมือนเด็กอีกต่อไป

คือขั้นแรก คล้ายกับเปลี่ยนความคิดความเชื่อของเราก่อน ว่าลูกไม่ได้เป็นเด็กเล็กเหมือนเดิมแล้ว เขาพัฒนาตัวตนโตขึ้นมาแล้ว เราต้องเปลี่ยนมุมมองเรียบร้อยแล้ว มาเป็นฟังเขา

ใช่ จากผู้ที่คอยสั่งก็ต้องเป็นคนที่คอยโค้ชเขาเฉยๆ ว่าเขาจะเอายังไงดี ตั้งคำถามกับเขา ว่าจะจัดการปัญหานี้ยังไง เขาต้องการอะไร เขาอยากให้สิ่งนี้มันเกิดขึ้นโดยการต้องความช่วยเหลืออะไร แทนที่จะไปคอยจัดการทุกอย่างให้ 

แล้วถ้าเกิดความสัมพันธ์มันเคลื่อนมาถึงจุดที่ว่า เกิดการทะเลาะกัน โต้เถียงทางความคิด รวมถึงการที่แม่โมโหมากๆ ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วลูกไปคนละทาง มีเคสแบบนี้บ้างไหมครับ แล้วจะทำยังไงดี

เยอะเลย เพราะส่วนใหญ่เคสที่มาก็เพราะจัดการไม่ได้ 

หมอบอกกับพ่อแม่เสมอว่า ‘ไม่มีทางที่เราจะสั่งสอนอะไรเขาได้เลยถ้าเราคือคนที่เขาไม่รัก’ นี่คือคีย์เวิร์ด แล้วหลายครั้ง ไม่ใช่แค่ไม่รักนะ ถ้าเราเป็นคนที่เขาไม่ชอบเนี่ย เขาจะไม่ใช่แค่ไม่ฟัง แต่เขาจะเอาคืน การเอาคืนของเขา เขาก็อาจจะไม่ได้ตั้งใจนะ แต่เขาจะเอาคืน 

เพราะลึกๆ เขาจะรู้สึกว่าเขาโกรธ เขาจะไม่ชอบเรา เด็กเล็กคงเกลียดพ่อแม่ และสิ่งที่เขาจะทำคือ เขาจะทำให้เราทุกข์ใจ นั่นคือการเอาคืนรูปแบบหนึ่ง อะไรล่ะที่จะเป็นความทุกข์ใจของพ่อแม่ ก็คือความแย่ของตัวเขานั่นแหละ การที่เขาไม่ฟัง การที่เขาไม่ทำในสิ่งที่ควรจะทำ การที่เขาไม่ทำในสิ่งที่เขาควรจะต้องทำ มันก็คือการได้เอาคืนพ่อแม่ เพราะฉะนั้น เด็กหลายคนก็เลยดื้อ ต่อต้าน อยากให้รีบกลับไม่กลับ อยากให้เรียนหนังสือไม่เรียนมีอะไรรึเปล่า? เพราะมันได้เอาคืนกัน ซึ่งรูปแบบแบบนี้ เราก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่บอกคือการเลิกสู้กับลูก 

คีย์เวิร์ดคือเลิกสู้กับลูก

เลิกสู้กับลูก เพราะถ้าสู้กัน คนแพ้ก็คือเรา เพราะเอาจริงๆ นะ ความรักที่เรามีกับเขามันเยอะ มันมากกว่าที่เขามีกับเรา โดยเฉพาะกับการที่มีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์กับเรามาแบบไม่ดี ฉะนั้นสู้ไปก็แพ้ เพราะฉะนั้นอย่าสู้กัน สิ่งสำคัญก็คือกลับมาเป็นมิตรต่อกัน ความเป็นมิตรต่อกันก็คือ ไม่ใช่ว่าเขาจะทำอะไรก็ได้ แต่ความเป็นมิตรต่อกันคือการรับฟังกัน รับฟังความรู้สึกและความต้องการของกันและกัน พี่คิดว่าอันนี้เป็น คีย์เวิร์ดที่สำคัญ 

มีวิธีการยังไงดีครับ ที่จะรับฟังความรู้สึก ความต้องการต่อกัน

พ่อแม่…เอาเท่าที่หมอทำงานด้วยนะ มักจะฟังไม่ค่อยเป็น เรามักจะฟัง แล้วเราก็บอกว่าเราฟังลูก แต่เราฟังเพื่อที่จะสั่งสอน ฟังเพื่อจะแนะนำ ฟังเพื่อที่เราจะได้ช่วยเขาแก้ปัญหา แต่จริงๆ เด็กต้องการใครซักคนที่ฟังเขาจริงๆ ฟังเขาจริงๆ คือการฟังเพื่อจะเข้าใจว่าเขากำลังรู้สึกอะไร ฟังเพื่อจะเข้าใจว่าจริงๆ แล้วเขามีความต้องการที่จะทำอะไร ไม่ฟังเพื่อที่จะแก้ปัญหาให้เขา สั่งสอนเขา บอกเขาว่าเขาไม่ดีเลย เขาไม่ถูกเลย ทำไมถึงทำแบบนั้น แต่ฟังเพื่อจะกอดเขาแล้วบอกว่าแม่เข้าใจ แม่อยู่กับหนูตรงนี้ หนูจะเอายังไงดี ช่วยเขาคิดโดยการตั้งคำถามกับเขา คอยปล่อยให้เขาลองผิดลองถูก พี่รู้สึกว่านี่คือการอยู่กับเขา

แปลว่าวัยรุ่นเองเขาก็จะมีวิธีการแก้ปัญหาของเขาเองอยู่แล้ว

ซึ่งบางครั้งก็ไม่ถูกหรอกด้วยความประสบการณ์แค่นี้ แล้วหลายอย่างความคิดก็เป็นอุดมคติ (Idealistic)  มันก็เป็นแบบเป็นภาพที่ต้องอย่างนี้อย่างนั้น แต่สิ่งที่ลูกเรียนรู้จริงๆ ไม่ได้มาจากคำสอนของพ่อแม่ ลูกเรียนรู้จริงๆ จากการได้ลองผิดลองถูก ฉะนั้นหมอคิดว่าการสร้างพื้นที่ที่ให้เขาได้ลองที่เขาจะผิด ลองที่เขาจะพลาด พี่ว่าอันนั้นคือหน้าที่ของพ่อแม่ด้วยนะ

แปลว่าการเปลี่ยนความขัดแย้งที่เรามีต่อลูก เปลี่ยนจากการต่อสู้กับลูก มาเป็นการรับฟังความรู้สึกและความต้องการของเขาจริงๆ ซึ่งอาจจะเจอทางออกแล้วพ่อแม่ต้องถอยออกมาเป็นคนคอยไกด์ คอยให้เขาได้ลองผิดลองถูก

ใช่ พี่ว่ากลับมามีความสัมพันธ์ที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดีก็คือการทำให้เขารู้ว่าเขาเป็นที่รัก การทำให้รู้ว่าเขามีความหมาย การทำให้เขารู้สึกว่าเป็นคนที่ใช้ได้ พี่ว่าอันนี้เป็นพื้นที่ที่มันจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดี การสร้างพื้นที่ปลอดภัย

มองมุมกลับ ถ้าเราเป็นวัยรุ่น แล้วอยู่ท่ามกลางคุณพ่อคุณแม่ที่ควบคุมเราเหลือเกิน สู้กันตลอดเวลา ควรจะจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับพ่อแม่ยังไงครับ 

หมอคิดว่าจริงๆ เรามีหน้าที่รับผิดชอบชีวิตตัวเรา แล้วเราก็เลือกไม่ได้ที่จะอยู่กับพ่อแม่ที่ปล่อยวางเราแค่ไหน แต่ยังไงก็ตามสิ่งที่ควรทำเสมอคือ เราควรจะพูดความต้องการออกมา (Speak out) เราควรจะเอ่ยออกไปว่าเราต้องการอะไร คือเด็กหลายคนก็จะทน ถูกกดทับด้วยคำว่า ‘ความรักและหวังดี’ หลายคนก็ยอมจำนน หลายคนยอมเลือกทางเดินชีวิตที่ตัวเองไม่ได้อยากเลือก เพียงเพราะรู้สึกว่าเขารักและหวังดีกับเรา หมอคิดว่าสุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเรา สุดท้ายมันไม่ได้เป็นผลดีกับพ่อแม่เราเลย  ตราบใดที่เขามีลูกที่ไม่มีความสุข ไม่มีวันที่เขาจะเป็นพ่อแม่ที่มีความสุขหรอก 

หมอว่ากลับมาที่ เรามีหน้าที่รับผิดชอบกับตัวเรา อะไรที่เราคิดว่ามันไม่ได้ เราก็ต้องยืนยันความเป็นตัวเรา ใช้เหตุใช้ผลคุยกัน แล้วก็ต้องบอกว่าเราเองรับฟังพ่อแม่ได้นะ เพราะหลายครั้งเราก็ยังไม่มีประสบการณ์ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นการแลกเปลี่ยนกัน 

เพียงแต่ว่าโดยส่วนตัวหมอก็อยากสนับสนุนให้วัยรุ่นสามารถที่จะพูดความต้องการของตัวเองออกมา เพราะว่าอันนั้นมันเป็นพื้นฐานของการที่เราจะเคารพตัวเราเอง ของการที่เราจะจัดการชีวิตตัวเองได้ ฉะนั้นก็อยากให้เราพูดความต้องการของตัวเองออกมาได้ ขณะเดียวกัน เราก็รับฟังความรู้สึกและความต้องการของคนอื่นได้นะ เพียงแต่เราไม่ต้องไปแบกมันไว้ให้มันเป็นสิ่งที่กดทับตัวเราว่าเราต้องทำมัน ต้องแบกรับมัน

พี่คิดว่าเรามีหน้าที่เลือกได้ว่าเราจะแบกอะไร หรือเราจะวางอะไร เพราะว่าความคาดหวังของใครก็เป็นความรับผิดชอบของคนคนนั้น เราไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบความคาดหวังของใครไปทั้งหมด 

ทีนี้ต่อกันกับ ‘เพื่อน’ ละครับ ตอนนี้สถานการณ์ถึงช่วงวัยที่ยุ่งเหยิงและทะเลาะกับเพื่อนจังเลย มันเป็นเพราะอะไรครับ

เพราะมันเป็นพื้นที่ที่เรียนรู้ และหมอคิดว่าการทะเลาะกันเป็นประสบการณ์ที่เด็กควรจะเจอด้วยนะ เพราะเวลาทะเลาะกันเราได้ทำความรู้จักตัวเราเอง เรารู้แล้วว่าอะไรที่เราไม่ชอบ อะไรที่ไม่ใช่ อะไรที่เราได้ Speak out ออกไป มันถึงได้ทะเลาะกัน เพราะฉะนั้นการทะเลาะกันมันเลยเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ธรรมดามากเลย แค่ระมัดระวังไม่ให้มันมีผลกระทบแบบทะเลาะกันจนแบบชีวิตเราแย่ เครียด หรือถูกบูลลี่อะไรก็ตาม แต่เราจะทำยังไงที่เราจะเรียนรู้ว่า การทะเลาะกันมันก็เป็นธรรมดา มันเป็นพื้นที่ของการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ทำยังไงที่เราจะก้าวข้าม ว่าทะเลาะกันแล้วเราจะเลือกบางจุดเอาไว้ เราปล่อยวางบางจุดทิ้งไป เพื่อที่จะพัฒนาตัวเราขึ้นมา 

การทะเลาะกันหรือการมีปัญหาความสัมพันธ์ จริงๆ ก็เป็นเรื่องดี เพราะว่า พี่มองว่าเป็นพื้นที่ขัดเกลาตัวตน เราจะเป็นใคร/ไม่เป็นใคร มันขัดเกลาผ่านความสัมพันธ์ ถ้าเราชอบความสัมพันธ์แบบนี้ แปลว่าตัวตนเป็นเรา เราชอบตัวเรา ความสัมพันธ์แบบนี้เราไม่ชอบเลย ทำให้เห็นว่าตัวตนแบบนี้เราไม่ชอบเลย เราอยู่กับคนนี้แล้วเราไม่โอเคเลย มันเจอตัวตน หรือเจอว่าอาจมีบางจุดที่เราอยู่กับคนนี้แล้วเราถูกรังเกียจมากเลย มันจะเจอจุดที่เราต้องพัฒนา ไม่ชอบเลยที่เราพูดจาไม่ดี เป็นการเจอจุดที่พัฒนาเอง เพราะฉะนั้น การทะเลาะกันจริงๆ ก็เป็นพื้นที่ที่ทำให้เราเกิดการเติบโตและเรียนรู้

ความขัดแย้งมันคือพื้นที่เรียนรู้ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่กำลังจะจัด ปรับ หาตัวตนของตัวเอง บางทีการทะเลาะกันมันขัดเกลาตัวเราเองด้วย แต่สังคมไทยไม่ชอบการทะเลาะกัน แต่ชอบเก็บ แล้วก็ประนีประนอม (Compromise) มันจะนำไปสู่การเก็บกดไหมครับ

เราทะเลาะกันแบบเราไม่ต้องเกลียดกันได้ การทะเลาะกันก็คือการที่เราเห็นไม่ตรงกัน เราพูดสิ่งที่เราคิดออกมาว่าเราไม่เห็นด้วย แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเกลียดกัน คือตราบใดที่เรามองออกว่าการทะเลาะกันทำให้เราเข้าใจกันว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร อีกฝ่ายรู้สึกยังไง อีกฝ่ายไม่โอเคกับอะไร หรือเราไม่โอเคกับอะไร หมอคิดว่า จริงๆ มันเป็นพื้นที่ที่ทำให้เด็กสามารถที่จะเรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรียนรู้ความชอบและไม่ชอบของตัวเองนะ เรียนรู้ไปถึงวิธีการสื่อสารได้ด้วยว่า ต่อไปต้องสื่อสารยังไง เขาถึงจะเข้าใจเราโดยไม่ทะเลาะกัน เพราะหลายครั้งมันไม่ใช่แค่เรื่องของความต้องการที่ไม่ตรงกัน แต่มันเป็นวิธีการสื่อสาร ที่ทำไมพูดความต้องการของตัวเองมาแบบนี้ หรือทำไมสื่อสารออกมาทำให้คนอื่นรู้สึกแย่แบบนี้ พี่คิดว่ามันก็เป็นพื้นที่ที่เขาจะได้พัฒนารูปแบบการสื่อสารของตัวเอง พอสื่อสารไปแบบนี้ได้รับการปฎิเสธ มันก็เกิดการเรียนรู้ เกิดการปรับตัว เกิดการพัฒนาตัวเอง สื่อสารไปแบบนี้ ได้รับการยอมรับ ใช้ได้ เพื่อนเข้าใจเราโดยที่ไม่โกรธกัน มันก็พัฒนาวิธีการสื่อสารดีๆ ของตัวเองไป 

กลับไปที่เคสคลินิก ปกติวัยรุ่นมีปัญหาความสัมพันธ์แบบไหนเหรอครับ 

โดยส่วนใหญ่ก็เป็นความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ต้องบอกแบบนี้ว่าความสัมพันธ์ของพ่อแม่ที่อาจจะถูกเลี้ยงดูมาด้วยความรุนแรง ถูกเลี้ยงดูมาแบบละทิ้ง เพิกเฉย ไม่ได้ให้ความรัก ซึ่งมันเยอะมากเลยนะ คือเราอยู่ในสังคมที่สร้างภาพมายาคติว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูก แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ พ่อแม่หลายคนไม่ได้รักลูก พ่อแม่หลายคนมีลูกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ พ่อแม่หลายคนไม่ได้อยากเลี้ยง พ่อแม่หลายคนรู้สึกว่าเลี้ยงลูกยากจนเป็นภาระ ไม่มีความสุขในการเลี้ยงลูก เพราะฉะนั้น มันก็จะมีพ่อแม่จำนวนหนึ่งเหมือนกันที่อยู่กับความเป็นจริงในชีวิตคือไม่ได้มีเวลาเลี้ยงลูก ไม่ได้รู้สึกอินกับการเลี้ยงลูก ไม่ได้ให้ความรักกับลูกได้เต็มที่ 

ฉะนั้นก็มีเด็กจำนวนหนึ่งเหมือนกันที่เติบโตมาแบบขาดความรัก ไม่มีตัวตน หลายครั้งก็กลับไปรู้สึกโกรธพ่อแม่ รู้สึกเกลียดพ่อแม่ ทำให้เกิดเวลาที่เราเติบโตมาไม่มีคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่เป็นที่รัก หลายครั้งก็พัฒนาสู่โรคซึมเศร้ามันก็จะมาด้วยความรู้สึกว่าฉันไม่ดีพอ ฉันสู้เขาไม่ได้ ฉันไม่เป็นที่รัก ฉัน…จุดจุดจุด อะไรแบบนี้ มันก็พัฒนาเรื่องของโรคซึมเศร้า ซึ่งมันอาจจะมีความรุนแรงถึงขั้นไม่อยากอยู่ก็มี 

ถ้าวัยรุ่นฟังอยู่ แล้วกำลังเจอปัญหาความสัมพันธ์ของเรากับพ่อแม่ที่เพิกเฉย ที่ไม่ได้ให้ความรักแบบเต็มที่ ควรจัดการตัวเองอย่างไรครับ

เอาจริงๆ เราก็เลือกไม่ได้ หลายอย่างพ่อแม่เองก็เลือกไม่ได้เหมือนกัน พ่อแม่หลายคนอยากมีเวลาดูแลลูก แต่เขาก็เลือกได้แค่นี้ พ่อแม่หลายคนเขาก็ไม่ได้อยากมีตั้งแต่แรก ก็ต้องยอมรับว่านี่คือมนุษย์ ที่มันก็มีความต้องการ มีข้อผิดพลาด พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ หมอคิดว่าที่สำคัญเลยก็คือกลับมาทำความเข้าใจพ่อแม่และยอมรับในความเป็นมนุษย์ของพ่อแม่ว่าเขาทำได้ดีที่สุดแค่นั้น เขาก็พยายามแล้วแต่ได้แค่นี้จริงๆ หรือเขาก็อาจจะเป็นมนุษย์คนหนึ่งแหละที่มีความไม่ดี พี่ว่าการยอมรับความเป็นมนุษย์ของแม่เป็นเรื่องสำคัญ มันทำให้เราสามารถที่จะปลดปล่อยความโกรธ ความแค้น ความอะไรของตัวเราได้ จริงๆ มันก็คือการเยียวยาตัวเราเอง ที่เราจะไม่ต้องผูกความรู้สึกสุขทุกข์ไว้กับคนอื่น ขณะเดียวกันก็ยอมรับความเป็นมนุษย์ของตัวเอง ไม่แปลกเลยที่เราจะโกรธ ไม่แปลกเลยที่เราจะเสียใจ  ไม่แปลกเลยที่เราจะเติบโตมาแบบรู้สึกไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง การยอมรับสิ่งนี้ พี่คิดว่ามันก็เป็นรากฐานที่สำคัญ สุดท้ายเราก็จะยอมรับตัวเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งได้ 

ขณะเดียวกันเราก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะกลับมาเป็นคนที่รักตัวเอง เราอาจจะมีวัยเด็กที่เด็กน้อยคนนั้นก็ต้องการการโอบกอดของใครซักคนหนึ่ง แต่มันไม่ได้รับ วันนี้เราโตพอที่จะโอบกอดเด็กน้อยคนนั้นในตัวเราได้ ด้วยตัวของเราเอง เราเห็นไหมว่า ตัวเราก็มีอะไรดีหลายอย่างเลยนะ เราก็โตมาแบบคิดดูสิขนาดกะพร่องกะแพร่งแบบนี้ ไม่ได้รับความรัก เราก็ยังมีชีวิตที่ไม่ได้แย่เกินไป วันนี้เราก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะฆ่าตัวตาย เราก็ยังประคองชีวิตของเรา ให้ยังมีชีวิตอยู่ มันก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นชมมาก ก็ชื่นชมเด็กน้อยคนนั้น โอบกอดเด็กน้อยคนนั้น บอกกับเขาว่า มันไม่เป็นไรหรอกที่เราอาจจะไม่ได้มีความสมบูรณ์แบบในหลายๆ อย่าง แต่ว่าเราก็เก่งพอ เราก็ดีพอ นี่เป็นความกล้าหาญอย่างมากเลยนะที่เติบโตมาแบบนี้แล้วยังมีชีวิตอยู่ ก็กลับมาชื่นชมเด็กน้อยคนนั้นในตัวเรา 

ฟังแล้วอุ่นใจฮะที่รู้ว่ามันมีโอกาสที่จะโอบกอดดูแลตัวเองได้เสมอ ประเด็นสุดท้ายที่อยากจะถาม คือถ้าในกรณีที่พ่อแม่ต้องเป็นตัวกลางในการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างลูกของเรากับเพื่อนของเขา ควรจะทำยังไงดีครับ 

ตั้ง Mindset ตัวเองก่อนเลยว่าเราจะไม่เข้าไปเป็นคนที่จะแก้ไขอะไรในชีวิตลูก เราจะเป็นคนที่เข้าไปรับฟังเขา ให้เขาเกิดทางออกในการแก้ไขปัญหาชีวิตของตัวเอง เพราะหมอคิดว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในมุมไหน เราไม่ใช่ลูก บางครั้งคำแนะนำของเราที่บอกว่าเราจะช่วยเขา แนะนำเขา ทำให้เขาเกิดการแก้ไข หลายครั้งมันไม่ใช่เขา 

ฉะนั้นแค่เข้าไปรับฟังเขา แค่เด็กคนหนึ่งสามารถพูดสิ่งที่ตัวเองรู้สึก พูดสิ่งที่ตัวเองได้รับออกมามากมาย บางทีเขาจะเจอทางของตัวเอง บางทีเขาก็จะเจอทางแค่ว่า แค่ได้บ่นออกมาจบแล้ว หายโกรธแล้ว ช่างมันเถอะ หรืออาจจะเจอว่าแบบอันนี้เขายอมไม่ได้ เขาต้องกลับไปคุยกับเพื่อน จากการแค่มีใครสักคนที่รับฟังเขาจริงๆ คีย์เวิร์ดจริงๆ คือการรับฟังเขาแบบไม่ตัดสินเขา 

ไม่พยายามไปสั่งสอนเขา ไม่พยายามไปแนะนำอะไรเขา แต่ฟังเพื่อจะเข้าใจความรู้สึกเขา ฟังเพื่อให้เขารู้ว่าจริงๆ เขาต้องการอะไร เขามีความต้องการตรงนี้อยู่เนาะ เขาจะทำยังไงดีที่จะทำให้เขาได้มาซึ่งสิ่งที่เขาต้องการตรงนี้ เขาลองคิดวิธีสิ และลองปล่อยให้เขามีพื้นที่ เขาจะได้ลอง ลองแปลว่า เราอาจจะไม่เห็นด้วยก็ได้นะกับสิ่งที่เขาอยากทำ แต่ว่าให้เขาได้ลอง ลองแล้วใช่ มันก็อาจจะดี ลองแล้วไม่ใช่ก็ดี เขาจะได้รู้ว่าอะไรมันโอเค ไม่โอเคกับตัวเขา พี่คิดว่าอันนี้น่าจะเป็นหน้าที่พ่อแม่ ที่จะช่วยลูกวัยรุ่นได้ 

สุดท้ายอยากให้พี่หมอโอ๋ช่วยขมวดว่าอยากจะแนะนำพ่อแม่ หรืออยากจะแนะนำอะไรกับวัยรุ่นที่เขาอยู่ในช่วงภาวะสับสนและยุ่งเหยิง 

อยากจะแนะนำให้ทำความเข้าใจว่ามันคือความธรรมดา หลายครั้งที่เราไม่ได้ทุกข์จากความสับสนที่เราเจอ เราทุกข์จากไม่อยากสับสน ไม่อยากยุ่งเหยิง ไอ้ความรู้สึกที่มีต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี่แหละ บางทีมันเป็นความทุกข์ที่ถูกทับถมขึ้นไป เพราะฉะนั้นถ้าเรายอมรับว่ามันเป็นความธรรมดามากเลยที่มันจะรู้สึกสับสน ยุ่งเหยิง มันจะเป็นความสัมพันธ์ที่แบบเข้าๆ ออกๆ ยอมรับความเป็นธรรมดาของมัน พี่คิดว่ามันทำให้เราสงบขึ้น ขณะเดียวกันให้มองความสับสนยุ่งเหยิงเป็นพื้นที่การเรียนรู้ เราเรียนรู้อะไรจากมัน เราเจอตัวเราในรูปแบบไหน เราปรับตัวเราเองกับความสัมพันธ์กับคนอื่นยังไง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ พี่คิดว่ามันคือศิลปะ มันคือความสวยงามของชีวิต ของการเติบโต เพราะว่าสิ่งที่เราใช้กับคนนี้ กับความสัมพันธ์กับอีกคนมันก็อาจจะใช้ไม่ได้ 

เพราะฉะนั้นการที่เราสามารถจะเรียนรู้กับความสัมพันธ์ในหลายๆ รูปแบบ มีสับสนบ้าง ยุ่งเหยิงบ้าง ทะเลาะกันบ้าง หมอคิดว่ามันเป็นรากฐานที่สำคัญของการที่สุดท้ายมันจะมาอยู่กับความสมดุลของชีวิตตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วมนุษย์เราจะอยู่กับความสงบของตัวเองได้คือ มันต้องเกิดความมั่นคงภายใน ความมั่นคงภายในจริงๆ มันมาจากการที่เราได้รู้จักตัวเอง เห็น Self ของตัวเอง มันมีพลังชีวิตของตัวเอง มันคือการได้เจอว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรที่เป็นความสุขของเรา อะไรที่เป็นสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราถนัด อะไรที่มันเติมเต็ม Self ของเรา ความสุขในรูปแบบไหนนะที่มันจะเพิ่มพลังงานชีวิตของเรา 

สิ่งเหล่านี้มันคือการสั่งสมประสบการณ์ที่ทำให้เราได้รู้จักตัวเอง ได้เพิ่มพูน Self ของตัวเอง แล้ววันหนึ่งเราก็จะมีความมั่นคงภายในของเรา แล้ววันที่เรามีความมั่นคงภายในซึ่งมันอาจจะเกิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ เราจะมีความสัมพันธ์ที่มั่นคงในชีวิตของเราเอง

Tags:

จิตวิทยาวัยรุ่นพญ.จิราภรณ์ อรุณากูรความสัมพันธ์ในโลกวัยรุ่น

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Photographer:

illustrator

จิตติมา หลักบุญ

ช่างภาพที่ชอบถ่ายภาพทุก category ชอบทำกับข้าวและรักปลาร้าเป็นชีวิตจิตใจ

Related Posts

  • Foely Friend-nologo
    Relationship
    เมื่อ ‘เพื่อนรัก’ กลายเป็น ‘เพื่อนร้าย’ แล้วเราจะก้าวผ่านความเจ็บปวดได้อย่างไร

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Relationship
    ทำความเข้าใจความรักกับการเมืองด้วย Balance theory

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Book
    แผลลึกหัวใจสลาย : ชีวิตสั้น..แต่ขอให้รักนั้นยืนยาว

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to get along with teenager
    จิตวิทยาวัยรุ่นเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Relationship
    ทะเลาะอย่างไรให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกว่าเดิม

    เรื่อง ชัค ชัชพงศ์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

Board Game โลกการเรียนรู้ของเกมกระดาน พื้นที่สันทนาการที่เปลี่ยนการเล่นให้เป็นทักษะ
2 February 2021

Board Game โลกการเรียนรู้ของเกมกระดาน พื้นที่สันทนาการที่เปลี่ยนการเล่นให้เป็นทักษะ

เรื่อง ปริสุทธิ์

  • แก่นของ Board Game คือ การแปลงกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นเกม (Gamification) เป็นการมองกลับข้างว่าบอร์ดเกมหรือพฤติกรรมของผู้เล่นกำลังบอกอะไรได้บ้าง นำไปสู่ข้อค้นพบอะไรได้หรือไม่ 
  • ในวงการแพทย์ มีการศึกษาโรคซึมเศร้าและออทิสติกโดยใช้บอร์ดเกม คือ เมื่อคนเหล่านี้เจอเกมจะมีปฏิสัมพันธ์กับเกมอย่างไรบ้าง เกี่ยวพันกับประเภทของเกมหรือไม่ มีเกมใดที่ทำให้อาการหรือการปรับตัวได้ดีขึ้น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้กำลังเพิ่มมากขึ้นในโลกที่เกมกำลังอยู่ใกล้ตัวแทบทุกคน
  • คุยกับ สฤณี อาชวานันทกุล เจ้าของผลงานหนังสือ BOARD / GAME / UNIVERSE จักรวาลกระดานเดียว ถึงการเรียนรู้ในจักรวาลบอร์ดเกม และพื้นที่สันทนาการที่จะเปลี่ยนการเล่นให้เป็นทักษะอย่างไร

บนผืนกระดาน ตัวหมาก และกติกา ไม่ได้สร้างแค่ความบันเทิง แต่ Board Game เป็นสังเวียนแห่ง ‘การเรียนรู้’ สำหรับทุกคน

ตั้งแต่ Board Game ระดับพื้นฐานอย่างบันไดงู หรือเกมเศรษฐี ไปจนถึงบอร์ดเกมที่ล้ำกว่าทั้งการออกแบบสวยสะดุดตาและกติกาสุดซับซ้อน ล้วนถูกสร้างมาเพื่อความบันเทิงเป็นเหตุผลแรกทั้งสิ้น

ทว่าลึกซึ้งกว่าการได้สันทนาการบนเกมกระดาน ตลอดระยะเวลาไม่น้อยกว่าครึ่งทศวรรษที่ Board Game ได้รับความนิยมในประเทศไทย มี Board Gamer มากมายได้พัฒนาทักษะต่างๆ โดยไม่รู้ตัวไปพร้อมกับรอยยิ้ม

Welcome on Board…Game

สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนและนักวิชาการ เจ้าของผลงานหนังสือ BOARD / GAME / UNIVERSE จักรวาลกระดานเดียว อธิบายถึงการได้ทำความรู้จักบอร์ดเกมตั้งแต่เมื่อประมาณ 10 ปีก่อนซึ่งนับเป็นยุคเริ่มต้นที่คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักนัก ด้วยความบังเอิญไปร้านบอร์ดเกมร้านหนึ่งพร้อมกับเพื่อนที่ไม่ชอบเกมมาก่อน หลังจากได้ลองเล่นเธอถามเพื่อนว่าถ้าให้เล่นอีกจะเล่นไหม คำตอบที่ได้คือ “เล่น”

“มันน่าคิดว่ามีเกมที่ดึงดูดเพื่อนเราที่เป็นคนไม่ชอบเล่นเกมได้ และเป็นเกมที่ไม่ต้องใช้อะไร หลังจากนั้นก็ได้ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับบอร์ดเกมสมัยใหม่ เลยรู้ว่ามีเยอะมาก ไม่ใช่แค่เกมเศรษฐีหรือบันไดงูแล้ว บอร์ดเกมในความคิดของเราสมัยก่อนจะเน้นเรื่องโชค แต่ว่าบอร์ดเกมสมัยใหม่บางเกมไม่เกี่ยวกับโชคเลยด้วยซ้ำ มันเป็นโลกที่มีเสน่ห์มากนะ”

ความนิยมบอร์ดเกมในไทยเริ่มราวๆ 6 – 7 ปีก่อน หรือประมาณปี พ.ศ. 2557 – 2558 สฤณีบอกว่าในแต่ละปีวงการบอร์ดเกมมีพัฒนาการเยอะมาก เนื่องจากตลาดโตขึ้น ทั้งผู้ผลิตและนักพัฒนาเกมก็ต้องยกระดับตัวเองมากขึ้นเพื่อคิดลูกเล่นใหม่ๆ เพื่อดึงดูดให้คนเล่น บนรูปแบบพื้นฐานของบอร์ดเกมที่บางเกมใช้ไพ่, ทอยลูกเต๋า, เดินหมาก จุดต่างจึงอยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์

“ส่วนตัวชอบบอร์ดเกมที่มีความหลากหลายของกลยุทธ์ที่เราใช้ได้ หรือความสนุกที่คาดเดาไม่ได้เมื่อเทียบกับเวลาที่ลงไปในการอ่านกฎ หมายความว่ากฎอาจซับซ้อนก็ได้ แต่หลายเกมไม่ได้ซับซ้อน อธิบายจริงๆ แค่ 15 นาทีก็รู้เรื่องแล้ว แต่พอเล่นจริง มันมีเสน่ห์ มีความหลากหลาย คาดเดาไม่ได้ เล่นใหม่ก็ไม่เบื่อ คิดว่านี่คือพัฒนาการอย่างหนึ่งของวงการบอร์ดเกม

เสน่ห์อีกอย่างคือรูปลักษณ์หน้าตา เมื่อก่อนอาจไม่ดึงดูด แต่เดี๋ยวนี้กราฟิกกลายเป็นวงการที่แข่งกันเยอะมาก ถ้าจะทำบอร์ดเกมเดี๋ยวนี้ไม่ได้ดูแค่กติกาว่าสนุกไหม แต่ดูเรื่องตัวเล่น เรื่องกราฟิก เรื่องอุปกรณ์ มีนักวาดหลายคนสร้างชื่อจากการออกแบบบอร์ดเกมเลย คล้ายเป็นศิลปะแขนงหนึ่งเลย ไม่ใช่แค่สวย แต่ต้องสื่อสารได้”

ในระดับสากล วงการบอร์ดเกมกำลังเติบโตต่อเนื่อง หนึ่งในเหตุผลหลักที่หลายคนหลงรักบอร์ดเกมคือความแตกต่างจากเกมคอมพิวเตอร์หรือเกมคอนโซลอื่นๆ ตรงที่กฎกติกาของบอร์ดเกมโปร่งใส เมื่อเปิดกล่อง โลกของเกมกระดานเกมนั้นมีกติกาเดียวกัน ไม่หมกเม็ด ในขณะที่เกมคอมพิวเตอร์หรือเกมคอนโซล คอมพิวเตอร์อาจโกงเราอยู่ก็ได้เพียงแต่เราไม่รู้

สำหรับเมืองไทย มีสิ่งที่น่าสนใจคือ Board Game Eco System หรือว่า “ระบบนิเวศของบอร์ดเกม” จาก 10 ปีก่อนที่มีบอร์ดเกมในไทย แต่จำนวนไม่มากและเป็นเพียงกลุ่มผู้เล่น มาถึงวันนี้มีถึงขนาด “คาเฟ่บอร์ดเกม” มีร้านมากมาย มีร้านออนไลน์ มีผู้ผลิต มีนักออกแบบชื่อดัง

ความสนุกทุกการเรียนรู้

“Board Game” ก็คล้ายเกมชนิดอื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อความบันเทิง แต่อรรถประโยชน์ของบอร์ดเกมมีมากกว่านั้น แต่ถึงอย่างไร ผู้ที่คร่ำหวอดในวงการเกมและบอร์ดเกมอย่างสฤณีก็มองว่าสาระในความบันเทิงของบอร์ดเกมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจากความพยายามยัดเยียดให้เป็น แม้ว่าจะมีบางเกมที่เน้นสร้างเพื่อเป็นสื่อการสอนด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่า ทุกเกมมีประโยชน์แม้จะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจให้เป็นเกมที่มีประโยชน์

ประโยชน์ของเกมแยกย่อยได้เป็นหลายอย่าง อาทิ ภาษา, การวางแผน, การตัดสินใจ, เศรษฐศาสตร์ และอีกมากมาย

“ยกตัวอย่างบอร์ดเกมที่ต้องจัดการทรัพยากร เริ่มเกมเราจะมีทรัพยากรน้อยมากหรือไม่มีเลย แล้วเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน ระหว่างทางเราต้องเอาจุดตั้งต้นที่มีของน้อยมาก ทำอย่างไรให้มีทรัพยากรเยอะขึ้น และระหว่างทางมีการแลกได้แลกเสียเหมือนกัน บางอย่างทำอย่างนี้แล้วได้ทรัพยากรเยอะ แต่เสี่ยงสูง ถ้าพลาดเราอาจเสียไปหมด 

เกมก็สอนเรื่องการวางแผน การรับมือกับความไม่แน่นอน สอนเรื่องการจัดการความเสี่ยง สอนเรื่องการมองให้เห็นทางเลือกต่างๆ เรื่องเหล่านี้มันสอนด้วยตัวมันเอง โดยที่คนออกแบบไม่ได้ตั้งเป้าแบบนี้ด้วยซ้ำ การดึงทักษะพวกนี้ออกมา เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความสนุก 

ถ้าจะพูดรวมๆ ความสนุกของเกมมันจะสนุกได้อย่างไร ส่วนตัวคือ เกมจะสนุกได้ต้องไม่จำเจ สมมติถ้าคุณเริ่มเล่นเกมอะไรสักอย่างแล้วมองเห็นล่วงหน้าว่าทำแบบนี้แล้วชนะแน่ มันไม่สนุก มันไม่ใช่เกม เพราะฉะนั้นความสนุกจึงอยู่ที่ความไม่แน่นอน เราทำอย่างนี้ดูแล้วอาจเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่ต้องรับมือ ทักษะที่ใช้รับมือกับความไม่แน่นอน เป็นทักษะที่สำคัญอยู่แล้ว เพราะชีวิตคนไม่แน่นอน”

บนกระดานมักจะมีความสนุกสนานเป็นตัวตั้ง โดยที่คนไม่รู้ตัวว่าเรียนรู้อะไรอยู่ แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ในชีวิตจริง การรับมือกับความไม่แน่นอนอาจย้อนกลับไปมองได้ว่าเป็นผลผลิตมาจากบอร์ดเกมก็ได้

ด้วยความที่บอร์ดเกมมีหลากหลายประเภท ประโยชน์จึงมีสารพัดด้าน อีกตัวอย่างคือบอร์ดเกมแนว Co-Op (เกมที่ต้องช่วยกันเล่น) เมื่อกางกระดานจะมีเป้าหมายให้ช่วยกันฟันฝ่า เสน่ห์ของเกมแนวนี้คือได้ร่วมมือกันไปให้เป้าหมาย และในบางเกมยังซับซ้อนอีกชั้นด้วยการเป็นเกมที่ต่างคนต่างเล่น แต่มีบางอย่างต้องร่วมมือกัน อาทิ เกมตกปลาที่ถ้ามือใครยาวสาวได้สาวเอาสุดท้ายปลาก็จะหมดทะเล รอบต่อไปก็จะไม่มีปลาให้ตก เป็นต้น

บอร์ดเกม 3 สไตล์ 3 กลุ่มเป้าหมาย

ในจักรวาลของบอร์ดเกมแบ่งได้มากมายหลายประเภท ขึ้นอยู่กับจะใช้เกณฑ์อะไรเพื่อแบ่ง แต่สำหรับสฤณีแบ่งบอร์ดเกมออกเป็น 3 ประเภทกว้างๆ ดังนี้

1. เกมครอบครัว (Family Game)

เป็นเกมที่มีกฎกติกาไม่ซับซ้อน อธิบายให้คนที่ไม่เคยเล่นเข้าใจได้ภายใน 5-10 นาที แต่ก็ไม่ง่ายจนพ่อแม่รู้สึกว่าไม่ท้าทาย ในเมื่อถูกออกแบบมาให้เด็กเล่นได้ผู้ใหญ่เล่นดี บอร์ดเกมแนวครอบครัวจึงมักจะมีสีสันสวยงาม เน้นให้ผู้เล่นต้องพูดคุย ถกเถียง หรือหาโอกาสแกล้งกันค่อนข้างมากระหว่างเล่นเนื้อเรื่อง ไม่เกี่ยวกับความรุนแรงหรือประเด็นหนักๆ เล่นจบได้ภายใน 15-60 นาที

เกมประเภทนี้จึงมีตลาดกว้างที่สุด ชวนให้เพื่อนๆ ที่ไม่เคยเล่นบอร์ดเกมมาลองเล่นได้ง่ายที่สุด เกมครอบครัวจึงเป็นเหมือนพระเอกที่ทำให้บอร์ดเกมสมัยใหม่เป็นที่นิยมในวงกว้างมากขึ้นทั่วโลก

2. เกมวางแผน (Strategy Game)

เป็นเกมที่ต้องใช้ทักษะการวางแผนมากกว่าเกมครอบครัว เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเล่นเกมที่ท้าทายขึ้น โดยเฉพาะแนววางแผน, แนวจัดทัพโจมตี หรือเกมกระดานคลาสสิกอย่างหมากรุกเป็นทุนเดิม

เกมวางแผนอาจมีดวงเป็นส่วนประกอบบ้าง ใช้เวลาเล่น 60-120 นาที แต่บางเกมอาจยาวถึง 180 นาที หรือเป็นมหากาพย์ 5-6 ชั่วโมงได้เลย

เกมวางแผนนับได้ว่าเป็นบอร์ดเกมที่เก่าแก่ที่สุด แรกเริ่มถูกใช้เพื่อจำลองสถานการณ์สงครามก่อนรบจริงสำหรับเหล่านายทหาร รายละเอียดบนกระดานจึงต้องสมจริงที่สุด ครอบคลุมการตัดสินใจต่างๆ ที่เป็นไปได้ของฝ่ายศัตรู หลังจากนั้นเกมวางแผนก็แพร่หลายไปในกลุ่มคนชอบเกมสงคราม ราวทศวรรษ 1980 ในยุคนั้นเกมวางแผนที่เล่นกันนอกฐานทัพจะใช้กระดานขนาดใหญ่จำลองสมรภูมิรบ มีตัวเล่นหรือ Counter ทำจากกระดาษ แทนหน่วยทหาร เครื่องบินรบ อาวุธยุทโธปกรณ์

ช่วงยุคบุกเบิกนักเล่นเกมแนวนี้จะไม่เรียกมันว่าบอร์ดเกม แต่จะเรียกว่า “เกมซิมูเลชัน” (Simulation) หรือ “เกมจำลองสงคราม” เพื่อให้แตกต่างจากเกมแนวครอบครัวสมัยนั้น

ใครที่อยากเล่นเกมวางแผนต้องใช้เวลากับความอุตสาหะอย่างมาก เพราะมีตัวเล่นเยอะ กฎกติกามากมาย ระหว่างเล่นต้องคอยคิดคำนวณตัวแปรต่างๆ ตลอดเวลา เพื่อประเมินว่ามีใครเข้าเงื่อนไขชนะหรือยัง

ต่อมาเมื่อบอร์ดเกมสมัยใหม่เริ่มได้รับความนิยม ประกอบกับมีผู้เล่นหลายคนที่อยากลองเล่นเกมที่ท้าทายขึ้น นักออกแบบบอร์ดเกมจึงตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มนี้ด้วยการยกระดับเกมวางแผนให้มีตัวเล่นและบอร์ดที่สวยงามไม่แพ้เกมครอบครัว มีเรื่องราวที่ไม่เน้นความรุนแรง เช่น แข่งขยายเครือข่ายทางรถไฟ และ ย่อยกฎกติกาที่จุกจิกและเข้าใจยากให้ง่ายขึ้น

3. ปาร์ตี้เกม (Party Game)

ถูกออกแบบมาสำหรับเล่นเป็นหมู่คณะ ปกติหมายถึง 8-20 คนหรือมากกว่า ปาร์ตี้เกมที่สนุกคือเกมที่อธิบายให้ทุกคนเข้าใจได้ภายใน 5-10 นาที และมีอุปกรณ์ไม่มาก

เกมประเภทนี้อาจมีดวงเกี่ยวข้องด้วยเล็กน้อย แต่ส่วนมากต้องใช้มนุษยสัมพันธ์และปฏิภาณไหวพริบ เช่น หากเป็นเกมที่ต้องจับตัวสายลับที่แฝงตัวมา ก็ต้องคอยสังเกต น้ำเสียง สีหน้า แววตาท่าทางของเพื่อนว่าส่อพิรุธหรือไม่ น่าจะเป็นสายลับที่แฝงตัวมาตามเนื้อเรื่องของเกมหรือเปล่า

ความสนุกของปาร์ตี้เกมจึงละม้ายคล้ายกับความสนุกของงานปาร์ตี้ คือได้สังสรรค์กับคนอื่นอีกหลายคน

รวมทุกศาสตร์บนกระดานเกม

หากนำองค์ความรู้ต่างๆ เข้ามากะเทาะแก่นของ Board Game สฤณีบอกว่ามองได้สองด้าน คือ ในมุมผู้ผลิต ผู้ออกแบบ ว่าจะสอดแทรกข้อค้นพบลงไปในเกมอย่างไรได้บ้าง ทว่าอีกด้านคือการแปลงกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นเกม (Gamification) เป็นการมองกลับข้างว่าบอร์ดเกมหรือพฤติกรรมของผู้เล่นกำลังบอกอะไรได้บ้าง นำไปสู่ข้อค้นพบอะไรได้หรือไม่ เช่น ปัจจุบันมีหลายคนศึกษาเศรษฐศาสตร์ในโลกของบอร์ดเกม เนื่องจากมีหลายเกมมีระบบเศรษฐกิจอยู่ในเกม เพราะต่อให้เป็นระบบเศรษฐกิจในเกม แต่มีแรงจูงใจในการแลกเปลี่ยนจริงๆ

“บางเกมเป็นพื้นที่วิจัยของนักมานุษยวิทยาหรือนักสังคมศาสตร์สายอื่น เพื่อที่จะศึกษาพฤติกรรมของคน เพราะเมื่อเป็นโลกของเกม จึงสร้างสถานการณ์จำลองบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นไม่ง่ายบนโลกความจริง เช่น สถานการณ์ความขัดแย้ง, การหักหลัง ซึ่งในโลกจริงอาจเป็นความบังเอิญ หรือนักวิจัยอยากศึกษาคนในยุคสงคราม มันยากมาก แต่ในสถานการณ์จำลองในเกม นำมาศึกษาประเด็นพวกนี้ได้ค่อนข้างดี เพราะมีงานวิจัยชี้ว่าต่อให้เป็นสถานการณ์จำลอง เราก็ไม่ได้ชิลๆ หรือไม่เดือดร้อน เราต่างมีแรงจูงใจเสมือนหนึ่งตกอยู่ในสถานการณ์นั้นจริงๆ”

แม้ในวงการแพทย์ มีการศึกษาโรคซึมเศร้าและออทิสติกโดยใช้บอร์ดเกม คือ เมื่อคนเหล่านี้เจอเกมจะมีปฏิสัมพันธ์กับเกมอย่างไรบ้าง เกี่ยวพันกับประเภทของเกมหรือไม่ มีเกมใดที่ทำให้อาการหรือการปรับตัวได้ดีขึ้น เป็นต้น สิ่งเหล่านี้กำลังเพิ่มมากขึ้นในโลกที่เกมกำลังอยู่ใกล้ตัวแทบทุกคน

“ถ้าพูดถึงในระดับโรงเรียน มีโรงเรียนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่ได้มองว่า ตอนเรียนไม่ให้เล่น เขามองอีกมุมหนึ่งว่าจะให้เกมมาเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนอย่างไร ก็อาจจะไม่ได้ต่างกับความคิดที่เรารู้สึกว่าโรงเรียนก็ไม่ควรจะเรียนอย่างเดียว เพราะหลายครั้งเด็กได้ความรู้จากการเล่น 

พอโรงเรียนมีทัศนคติอย่างนี้ว่าการเล่นเป็นเรื่องสำคัญ ก็ไม่ได้ยากที่เอาเกมไปใส่ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ถ้าพูดถึงพัฒนาการโดยตรง เช่น ซึมเศร้า, ออทิสติก ก็มีแพทย์ที่ทำ ตรงนี้อาจจะมองในมุมการบำบัด (Therapy) ก็ได้ ว่าในยุคหนึ่งเรามองเรื่องศิลปะบำบัด แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เกมอะไรก็ได้”

ด้วยความที่บอร์ดเกมต้องมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้เล่น แน่นอนว่าหลายคนจะได้ทักษะสังคมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม รวมถึงสถานการณ์ในเกมก็อาจทำให้ผู้เล่นได้รู้จักตัวเองในมุมที่ไม่เคยรู้มาก่อน สฤณียกตัวอย่างเพื่อนของเธอที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นคนกลัวความเสี่ยงมาก พอเล่นบอร์ดเกมแล้วตัวตนจะออกมาชัดเจนมาก ในขณะที่อีกคนกล้าได้กล้าเสีย ทั้งที่ไม่รู้ตัวมาก่อนอีกเช่นกัน บอร์ดเกมจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งที่คนไทยชอบเล่นโดยเฉพาะแนว Party Game เพราะด้วยลักษณะนิสัยเฮฮารักความบันเทิง

“มีคนหนึ่งที่รู้จักผ่านบอร์ดเกม เขารู้สึกว่าบอร์ดเกมเป็นช่องทางหนึ่งในการเข้าสังคม ปกติเขาเป็น Introvert เข้าสังคมไม่เก่ง ถ้าไม่ใช่สถานการณ์ในเกม เจอใครเขาก็จะไม่พูด แต่พอเป็นบอร์ดเกม สถานการณ์จำลองทำให้เขากล้าแสดงออกมากขึ้น ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจดี”

นอกจากจะทำหน้าที่สร้างความบันเทิงได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว บอร์ดเกมยังสร้างทักษะชีวิตที่ไปใช้ได้จริง เป็นเกมที่มากกว่าเกม

อ้างอิง
ออกแบบบอร์ดเกมเพื่อการเรียนรู้ เริ่มอย่างไรดี
Learning Playing เมื่อ Board Games ให้มากกว่าแค่ความสนุก

Tags:

บอร์ดเกมCreative Learningการเรียนรู้สฤณี อาชวานันทกุล

Author:

illustrator

ปริสุทธิ์

Related Posts

  • Book
    หากวันใดคุณหลงทาง จงฟังเสียงที่อยู่ในหัวใจ

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Learning Theory
    เรียนรู้ผ่านเรื่องเล่า: เทคนิคการเล่าเรื่องที่ช่วยให้ผู้เรียนจดจำได้ดีขึ้น

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Learning Theory
    สังเกต เลียนแบบ เปรียบเทียบ และการกำกับตนเอง : มองการเรียนรู้ผ่าน social cognitive theory

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Learning Theory
    สร้างแรงจูงใจทางบวก กระตุ้นศักยภาพการเรียนรู้ให้เด็กเอาตัวรอดได้ในสิ่งแวดล้อมที่ยากจะคาดเดา

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Everyone can be an Educator
    วิธีสมุดบันทึก: การเรียนรู้บนสมุดไร้เส้น ชวนเด็กคิด อ่าน เขียนอย่างอิสระกับครูใหญ่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ ‘มกุฏ อรฤดี’

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3 ‘คุณค่าของความไม่สบายใจ’
  • ‘ครูอ้อย-สุธิวา บุญวัง’ ครูที่ไม่มีห้องเรียน แต่มี ‘ห้องสมุด’ ไว้ให้เด็กเปิดใจเลือกเส้นทางเดินใหม่โดยไม่ถูกตัดสิน
  • วางความคาดหวังของคนอื่นลง แล้วกลับมาฟังเสียงหัวใจตัวเอง: เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.7 ‘การสื่อสารที่ส่งไปถึงใจลูก’
  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel