Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: March 2020

The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”
Learning Theory
4 March 2020

The 5th space: พื้นที่ที่ 5 ที่คนรุ่นใหม่สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้รู้ว่า “ฉันเป็นใคร มีศักยภาพอะไร”

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • ครอบครัว เพื่อน การศึกษา/อาชีพ และไลฟ์สไตล์หรือวิถีการใช้ชีวิต เป็นสี่พื้นที่ที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชน แต่ยังมีตัวช่วยเสริมพลังอีกหนึ่งอย่าง เรียกว่า พื้นที่ที่ 5 (the 5th Space) ซึ่งเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนจากภายในสู่ภายนอก (Inside-out)
  • พื้นที่ที่ 5 (the 5th Space) คือพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่สามารถสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยเชื่อว่าการได้รับโอกาสอย่างเต็มที่ในการเป็นผู้นำ ทดลอง เรียนรู้ ล้มเหลว หรือแม้แต่ทำผิดพลาด เป็นประสบการณ์สำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจตนเองจากภายใน ก่อนออกไปสร้างความสัมพันธ์กับภายนอก (self to society)
  • ลักษณะของพื้นที่ที่ 5 คือ 1) เป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่เชื่อใจและได้รับความไว้วางใจ (to trust and be trusted) 2) เป็นพื้นที่ชีวิต ปลอดภัยที่เด็กและเยาวชนสามารถเป็นตัวของตัวเองที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดได้ 3) เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ได้รู้จักกับความหลากหลาย และสร้างความสัมพันธ์กับภายนอก 4) เป็นพื้นที่ที่มีความสนุกสนานและรื่นรมย์

การสร้างการเติบโตและการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ การบริการจัดการองค์กรทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ หรือแม้แต่การดูแลสมาชิกในครอบครัว คงไม่สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หากสมาชิกโดยเฉพาะผู้นำครอบครัวหรือองค์กร ไม่มีความเข้าใจธรรมชาติที่แตกต่างกันของคนแต่ละช่วงวัยที่อาศัยอยู่ร่วมกัน

จากตัวเลขสถิติประชากรไทยในปี 2561 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ประเทศไทยมีประชากรในวัยเด็ก (0-14 ปี) คิดเป็นร้อยละ 16.79 วัยแรงงาน (15-59 ปี) คิดเป็นร้อยละ 64.74 และวัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) คิดเป็นร้อยละ 16.06 ของประชากรทั้งหมด

ตัวเลขนี้กำลังบอกอะไรกับเรา?

สัดส่วนร้อยละ 64.74 ของวัยแรงงานในปัจจุบัน เป็นส่วนผสมของสามเจเนอเรชั่น ได้แก่ Gen X คนที่เกิดระหว่างปี 2508-2522, Gen Y หรือมิลเลนเนียลส์ (Millennial) คนที่เกิดระหว่างปี 2523-2540 และ Gen Z ที่เกิดหลังปี 2540 ทั้งหมดต้องสื่อสาร โต้ตอบ ทำงานและใช้ชีวิตร่วมกัน บนความเชื่อ ความคิด การให้คุณค่า ทัศนคติและมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ในสังคมแตกต่างกัน

ยุคนี้จึงเป็นยุคที่เราได้เห็นความเข้าใจไม่ตรงกันหรือความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารระหว่างผู้คนอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่ว่ายุคสมัยของโลกจะเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วขนาดไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่ยังเป็นกำลังสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามและมองข้ามไม่ได้ เพราะพวกเขาคือผู้ที่จะมารับไม้ต่อในการสร้างการมีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคม

หนังสือ ‘The Ocean in a Drop – Inside-out Youth Leadership’ โดย องค์กรปราวาห์ (Pravah) ที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนในประเทศอินเดีย ร่วมกับ คอมมูนิตี้ เดอะ ยูธ คอลเลคทีฟ (Community The Youth Collective: CYC) และ องค์กรการกุศล ออกซ์แฟม อินเดีย (Oxfam India) นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาเด็กและเยาวชนจากภายในสู่ภายนอก (Inside-out) ในรูปแบบการพัฒนาแบบเสริมพลัง (empower) ไว้อย่างน่าสนใจว่า

คนรุ่นใหม่/เด็กและเยาวชน เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมในทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่และแทบไม่เปลี่ยนแปลงในทุกยุคสมัยเช่นกัน คือ ศักยภาพของเด็กและเยาวชนถูกครอบงำและจำกัดโดยผู้ใหญ่ หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดและให้แนวทางที่ผู้ใหญ่จะช่วยกระตุ้นและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนดึงศักยภาพในตัวเองออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่อีกครั้งในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

The Ocean in a Drop บอกว่า ครอบครัว เพื่อน การศึกษา/อาชีพ และไลฟ์สไตล์หรือวิถีการใช้ชีวิต เป็นสี่พื้นที่ที่มีอิทธิพลต่อเด็กและเยาวชน แต่ยังมีตัวช่วยเสริมพลังอีกหนึ่งอย่าง เรียกว่า พื้นที่ที่ 5 (the 5th Space)

พื้นที่ที่ 5 (the 5th Space) คือพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่สามารถสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยเชื่อว่าการได้รับโอกาสอย่างเต็มที่ในการเป็นผู้นำ ทดลอง เรียนรู้ ล้มเหลว หรือแม้แต่ทำผิดพลาด เป็นประสบการณ์สำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจตนเองจากภายใน ก่อนออกไปสร้างความสัมพันธ์กับภายนอก (self to society)

กระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ทำให้เด็กและเยาวชนได้เห็นผลลัพธ์หรือบทเรียนจากการลงมือทำ เห็นภาพเชื่อมโยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมากับสังคม แล้วไตร่ตรองการกระทำของตนเองด้วยตัวเอง

ช่วงขณะนี้ หากผู้ใหญ่ทำให้พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่เด็กและเยาวชนรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจ คอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ และอ้าแขนให้ความช่วยเหลือเมื่อพวกเขาต้องการ ผู้ใหญ่จะได้ใจพวกเขาไปเต็มๆ ไม่ใช่แค่เชื่อฟัง แต่เขาจะให้ความเคารพอย่างเต็มใจ

หน้าตาของพื้นที่ที่ 5 ควรเป็นแบบไหน?

หนึ่ง เป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่เชื่อใจและได้รับความไว้วางใจ (to trust and be trusted)

ยิ่งห้าม…ยิ่งปิดบัง ยิ่งกีดกัน…ยิ่งแอบทำลับๆ!!

พฤติกรรมต่อต้านสุดขั้วที่มักเกิดขึ้นเมื่อผู้ใหญ่ตั้งแง่กับการกระทำบางอย่างของพวกเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าควรปล่อยให้คนรุ่นใหม่ทำอะไรตามอำเภอใจ เพราะอย่างที่บอกไปแล้ว องค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ แรงสนับสนุน การยอมรับ และการเคารพการตัดสินใจที่ผู้ใหญ่สะท้อนกลับไป แทนการก่นด่า บ่นว่า เสียดสีและตัดสิน เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลต่อพฤติกรรมและความคิดของพวกเขา

การเปิดใจ สนับสนุนและให้โอกาสเด็กและเยาวชนได้ทดลองเรียนรู้ชีวิต เป็นที่พึ่งยามมีปัญหา และเป็นผู้รับฟังโดยไม่ประกาศความคิดของตัวเองออกไปก่อน เช่น คำพูดเปรียบเทียบทำนองว่า “ตอนฉันอายุเท่าเธอ ฉันทำแบบนี้……….” จะสร้างความเชื่อใจและทำให้พวกเขาเคารพ เพราะเด็กและเยาวชนเองก็ต้องการบอกเล่าและแบ่งปันความคิดหรือความรู้สึกของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน

สอง เป็นพื้นที่ชีวิต พื้นที่ปลอดภัยที่เด็กและเยาวชนสามารถเป็นตัวของตัวเองที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดได้ โดยปราศจากความกลัว ไม่ว่าจะเป็นการกลัวโดนตำหนิ หรือ กลัวโดนปฏิเสธ ด้วยเหตุผลว่า เด็กและเยาวชนไม่น่าเชื่อถือ อ่อนประสบการณ์ บ้าบอ แปลกประหลาดเกินไป หรือดูแล้วไม่น่าเป็นไปได้ (ทั้งที่ยังไม่ได้ทำ)

พื้นที่ที่ 5 เป็นพื้นที่ที่แม้มีความเห็นต่าง แต่ควรมีทางเลือก สร้างให้เกิดการมีส่วนร่วมคิด ค้นหาแล้วลองทำก่อน

สาม เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ได้รู้จักกับความหลากหลาย และสร้างความสัมพันธ์กับภายนอก ยกตัวอย่างเช่น ความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อ เป็นต้น

และสี่ เป็นพื้นที่ที่มีความสนุกสนานและรื่นรมย์

การสร้างสรรค์พื้นที่ที่ 5 แบบที่ว่ามานี้จะทำให้เด็กและเยาวชนให้คำตอบกับตัวเองได้ว่า “ฉันเป็นใคร?”  – มีศักยภาพและความรับผิดชอบอะไรบ้างที่สามารถเชื่อมโยงไปสู่การสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้

เห็นได้ว่าพื้นที่ที่ 5 ให้ความสำคัญกับปัจจัย 3 ส่วน คือ หนึ่ง ความเข้าใจตนเอง (Understanding the Self) สอง การสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย (Building meaningful relationships) และ สาม การสร้างแรงกระเพื่อมต่อสังคม (Impacting Society) ซึ่งงานอาสาสมัคร (Volunteerism) และการเป็นพลเมืองที่ใส่ใจสังคม (Active Citizenship) เป็นส่วนประกอบหนึ่งของพื้นที่ที่ 5 นี้เช่นกัน

ความเป็นจริงที่ย้อนแย้ง

ในทางปฏิบัติไม่เฉพาะแค่ในสังคมไทย พื้นที่ที่ 5 มักถูกจำกัดจากกรอบและข้อกำหนดของผู้ใหญ่ ทั้งพ่อแม่ โรงเรียนและสังคม เราจึงมักเห็นคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องอิสรภาพ และแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ในเชิงลบหรือก้าวร้าวจนน่าตกใจ

แต่โลกออนไลน์ไม่สามารถเป็นพื้นที่ที่ 5 ที่สมบูรณ์แบบได้ หากไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนบนพื้นฐานของความเข้าใจอย่างแท้จริง

ความอัดอั้นที่ระเบิดออกมานี้มีที่มาจากการไม่ได้รับความไว้วางใจ สิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่ได้นึกถึงและมองข้ามไป คือ เด็กและเยาวชนมักถูกผลักออกจากการมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม จนทำให้พวกเขาไม่เข้าใจปัญหา กระทั่งนำมาสู่การเพิกเฉยและไม่สนใจ จุดเปราะบางนี้ทำให้เมื่อมีสถานการณ์มากระตุ้นให้เกิดความสนใจ สิ่งเร้านั้นสามารถสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนที่ทำให้คนแต่ละเจเนอเรชันจูนกันไม่ติด

สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า หนุ่มสาวฮ่องกงเริ่มตระหนักและตื่นตัวเรื่องการเมืองเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา โดยอัตราการลงทะเบียนเลือกตั้งของคนอายุ 18-35 ปี เพิ่มขึ้นจาก 58% ในปี 2000 มาอยู่ที่ 70% ในปี 2016

สถานการณ์ความรุนแรงบนเกาะฮ่องกงช่วงปีที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมชุมชน ถูกจับกว่า 4,000 คน ในจำนวนนี้กว่า 80% เป็นนักเรียนมัธยม อาชีวะ และประถมศึกษา

อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ความรุนแรงบานปลายและยืดเยื้อ ผู้ชุมชนได้ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ และมีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น แต่ แคร์รี่ ลัม ผู้บริหารสูงสุด​ฮ่องกง ได้กล่าวปาฐกถา ในการประชุม ​”เขตอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า: ขอบเขตใหม่แห่งการปฏิรูปและเปิดกว้างของจีน แนวปฏิบัติใหม่ของหลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’ และเวทีใหม่ของความร่วมมือที่ทุกฝ่ายล้วนได้ประโยชน์” หรือเขต GBA เมื่อ​วันที่ 24 ตุลาคม 2019 ว่า

“เยาวชนคืออนาคตของพวกเรา (Young People are Our Future) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเยาวชน​ โดยเฉพาะการยกระดับความสามารถและการเข้าถึงโอกาสและเงินทุน”

สำหรับประเทศอินเดีย ประเทศที่มีประชากรมากเป็นลำดับสองของโลกรองจากจีน ทุกวันนี้มีประชากรกว่าร้อยละ 50 ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี และกว่าร้อยละ 65 เป็นประชากรที่อายุต่ำกว่า 35 ปี จากการสำรวจในปี ค.ศ. 2016 พบว่า คนรุ่นใหม่ของประเทศตกอยู่ในภาวะที่มีความวิตกกังวลสูง โดยร้อยละ 78 ของเด็กและเยาวชน วัย 18-25 ปี มีความกังวลเรื่องอาชีพ และร้อยละ 83 ในวัย 15-17 ปี มีความกังวลด้านการศึกษาตามระบบ ซึ่งความกังวลนี้มีที่มาจากค่านิยมด้านการศึกษาและการประกอบอาชีพตามแบบแผนที่ปฏิบัติกันอยู่ในสังคม

งานวิจัยพบว่าพื้นที่ที่ 5 ช่วยคลายความกังวลในเรื่องเหล่านี้ได้ เพราะพื้นที่ที่ 5 เป็นเหมือนการสร้างการเรียนรู้นอกห้องเรียน นอกกรอบแบบแผนและค่านิยมเดิม ทำให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้ศักยภาพอย่างสร้างสรรค์ตามวัย ทั้งการเป็นนักคิด นักลงมือทำ และนักประดิษฐ์ ทำให้พวกเขารู้สึกสนุกสนานขณะเรียนรู้ มีอิสระที่จะเลือกและสร้างสรรค์เส้นทางการเรียนรู้ของตัวเอง บนฐานความคิดที่ว่า การพัฒนาตนเองเป็นก้าวแรกของการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

การสร้างความรู้และประสบการณ์ด้วยวิธีนี้จะช่วยพัฒนา ภาวะความเป็นผู้นำ ให้กับผู้ปฏิบัติ สร้างเสริมทักษะที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ ทักษะการแก้ปัญหา การทำงานเป็นทีม การตัดสินใจ และการรับมือกับความขัดแย้งในเชิงบวก เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย เราเห็นพื้นที่ที่ 5 นี้เกิดขึ้นแล้วกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีมติเห็นชอบเปิดตัวหลักสูตร “Thammasat Frontier School” หลักสูตรปริญญาตรีแบบใหม่ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาเลือกเรียนและออกแบบหลักสูตรปริญญาตรีได้ตามเป้าหมายของตัวเอง ไม่สังกัดคณะและไม่ติดกรอบหลักสูตรใดเป็นการเฉพาะในภาคเรียนที่ 1-3 เพื่อค้นหาความชอบและความถนัดเฉพาะตัวบุคคล ถัดจากนั้นในภาคเรียนที่ 4 จะเปิดให้นักศึกษาเลือกคณะที่ชอบและหลักสูตรที่สนใจเพิ่มเติม โดยจะเปิดรับสมัครนักศึกษารุ่นแรกในปี 2563

สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับพื้นที่ที่ 5 เพิ่มเติมได้ที่นี้:

ต่อบล็อกไม้ ปั้นขนมไข่เต่า เดินสวนสมุนไพร เพื่อรู้จักชุมชน ที่ตำบลทุ่งควายกิน จังหวัดระยอง

เปิดห้อง MAKERSPACE โรงเรียนบ้านปลาดาว: แค่นั่งมองต้นไม้เฉยๆ ก็รู้ว่าเรียนรู้จากมันได้

ที่มา
หนังสือ ‘The Ocean in a Drop – Inside-out Youth Leadership’ โดย องค์กรปราวาห์ (Pravah) ที่ทำงานด้านเด็กและเยาวชนในประเทศอินเดีย ร่วมกับ คอมมูนิตี้ เดอะ ยูธ คอลเลคทีฟ (Community The Youth Collective: CYC) และ องค์กรการกุศล ออกซ์แฟม อินเดีย (Oxfam India)
องค์กรปราวาห์ (Pravah) อินเดีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1993 ทำงานกับเด็กและเยาวชนเพื่อปลูกฝังภาวะความเป็นผู้นำที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงสังคม ผ่านการทำงานกับองค์กรภาคประชาสังคมเด็กและเยาวชนกลุ่มต่างๆ ในประเทศอินเดีย
คอมมูนิตี้ เดอะ ยูธ คอลเลคทีฟ (Community The Youth Collective: CYC) เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของบุคคลและภาคเอกชนที่สนับสนุนการพัฒนาเด็กและเยาวชนในประเทศอินเดีย ผ่านเครือข่าย สื่อและการทำงานวิจัย

Tags:

วัยรุ่นพลเมืองThe 5th spaceประชาธิปไตย

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

มานิตา บุญยงค์

กราฟิกดีไซน์เนอร์ที่รักการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ ฝากติดตามผลงานที่ IG : mntttk ด้วยนะคะ

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Learning Theory
    พื้นที่ที่ 5 (THE 5TH SPACE) สำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อค้นพบศักยภาพและเปลี่ยนแปลงสังคม

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ มานิตา บุญยงค์

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

‘7 วัน 7 กิจกรรม’ เปลี่ยนช่วงเวลาแห่งความทุกข์จากโรคระบาด เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ครอบครัวได้ใช้ร่วมกัน
Creative learningSocial Issues
3 March 2020

‘7 วัน 7 กิจกรรม’ เปลี่ยนช่วงเวลาแห่งความทุกข์จากโรคระบาด เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ครอบครัวได้ใช้ร่วมกัน

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษากิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • ช่วงนี้สถานการณ์รอบตัวพวกเรากำลังร้อนระอุ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ หรือโรคระบาด ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กต่างหยุดอยู่บ้านเพื่อลดการแพร่เชื้อ การหากิจกรรมทำในช่วงที่ต้องหยุดอยู่บ้านดูเหมือนจะเป็นทางออกที่ดี ช่วยพักความเครียดความกังวลไปก่อน แล้วหันกลับมาใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว
  • The Potential ขอนำเสนอกิจกรรมที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน จากวัสดุเหลือใช้รอบตัว และคนในครอบครัวสามารถทำร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นปลูกต้นกระบองเพชร ทำนิทาน 4 มิติ หรือทำเกมจากกล่องกระดาษลังเหลือใช้
  • นอกจากความสนุกที่ได้จากการทำกิจกรรม การได้เล่นด้วยกันถือเป็นเวลาทองที่ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวกระชับขึ้น เราได้รู้จักลูกมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการฝึกทักษะและบ่มเพาะนิสัยให้กับเด็กๆ อีกด้วย เช่น ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ การทำสิ่งประดิษฐ์ บ่มเพาะนิสัยความรับผิดชอบ ความมุมานะ วางแผน และลงมือทำงานจนเสร็จ  เป็นต้น
ภาพ : ปชาฤทธิ์ จอมเงิน

เนื่องจากช่วงนี้ไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ทำให้บ้านเมืองเราเดินหน้าสู่บรรยากาศแห่งการ ‘work from home’ รวมถึงโรงเรียนที่ทยอยปิดเพื่อป้องกันการแพร่ของไวรัส แต่ในคำว่า ‘อยู่บ้าน’ นั้นมีความหนักใจและกังวลใจซ่อนอยู่ อย่างไรก็ดี The Potential (หนึ่งในผู้ประสบภัย) เราจับความกังวลใจของผู้ปกครองบางท่านในแง่ ‘อยู่บ้านแล้วจะทำอะไรดี’ จึงหันไปปรึกษาเพื่อนพ้องน้องพี่นักออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อช่วยกันคิดกิจกรรมซึ่งมีโจทย์คือ ครอบครัวต้องทำเองได้ง่ายๆที่บ้าน จากวัสดุเหลือใช้ที่บ้าน ราคาไม่แพง และหาซื้ออุปกรณ์ได้ง่ายในสถานการณ์เช่นนี้

ไม่มากก็น้อย… เราหวังว่ากิจกรรมเหล่านี้จะช่วยคนในครอบครัวพักความเครียดความกังวล ถือโอกาสใช้วันเวลาแบบนี้กระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว และทำกันยาวไปแบบ ‘นันสต็อป’ 7 วัน 7 กิจกรรมกันไปเลย

แจ๋-สิริกาญจน์ บรรจงทัด นักการละครหุ่น เจ้าของกลุ่ม puppet by Jae และขวัญ-ขวัญหทัย สมแก้ว วิทยากรอิสระ นักออกแบบและจัดกระบวนการเรียนรู้ เป็น 2 วิทยากรที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมที่ว่านี้

  • ขวัญ-ขวัญหทัย สมแก้ว
  • แจ๋-สิริกาญจน์ บรรจงทัด

และเพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมเหล่านี้เวิร์คกับเด็กจริงๆ เราได้ครอบครัวอาสามาลองทำกิจกรรมกับเราในวันนี้ คือธีตา นิเวศชนะจิต หรือแม่ยุ้ย และพ่อก็อต ปชาฤทธิ์ จอมเงิน สองสามีภรรยาเจ้าของ Little Splash Kid & café จ.นครปฐม พาน้องมอนิ่ง ชาริตา จอมเงิน ลูกสาววัย 5 ขวบของพวกเขามาทำกิจกรรมกับเราด้วย

ก่อนจะเริ่มทำกิจกรรมที่แจ๋และขวัญเตรียมมา แม่ยุ้ยก็ขอชิงแนะนำกิจกรรมที่เธอทำอยู่กับน้องมอนิ่ง นั่นคือการปลูกต้นกระบองเพชร

กิจกรรมที่ 1 หาบ้านให้กระบองเพชร

กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรม Outdoor ที่เด็กจะได้รู้จักวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการปลูกต้นไม้ ได้รู้จักชีววิทยาของพืชอวบน้ำ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกได้รู้จักกับสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ เพื่อให้เขาให้คุณค่ากับการเล่นที่ใส่ใจกับสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะพืช ว่าพืชเป็นสิ่งมีชีวิต เรากำลังเพาะพันธุ์พืชที่เราต้องใส่ใจเขาในฐานะที่เขาเป็นสิ่งมีชีวิตหนึ่ง อาหารของพืชที่ต้องได้จากดิน ปุ๋ย น้ำ แสงแดด การสอนลูกให้ใส่ใจกับสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ ทำให้คาแรกเตอร์ของการใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ติดตัวลูกไป ขณะทำกิจกรรมลูกจะเห็นว่า ดิน หิน ทุกเม็ดมีคุณค่าต่อการก่อกำเนิดพืชมาได้ ซึ่งเวลาการเติบโตของไม้อวบน้ำก็เป็นเหมือนช่วงเวลาการเติบโตของลูกเช่นเดียวกัน

จุดเด่นของการทำกิจกรรมลักษณะนี้คือการวางแผน เตรียมอุปกรณ์ และลงมือทำทีละขั้นตอน ซึ่งจะได้ฝึกทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ การใส่ใจจดจ่อ การกำกับตัวเองให้อยู่นิ่งกับการทำงานทีละขั้นตอนจนกว่างานจะบรรลุเป้าหมาย ซึ่งแต่ละขั้นนั้นไม่ง่าย ทำอย่างไรที่จะทำให้ลูกใส่ใจจดจ่อ และรับผลความสำเร็จร่วมกันทั้งครอบครัว รวมถึงเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย เป็นการสร้างลักษณะนิสัยของการรับผิดชอบได้

กิจกรรมนี้มี 2 ขั้นตอนสำคัญคือขั้นของการทำกระถาง เป็นงาน DIY และขั้นของการปลูก

ทำกระถาง

แม่ยุ้ยบอกว่า การปลูกต้นไม้เป็นกิจกรรมสุดโปรดของเธอ จึงไม่น่าแปลกใจที่ร้านของเธอล้อมรอบไปด้วยสวนสีเขียว และมักชวนน้องมอนิ่งมาทำกิจกรรมนี้ด้วยกัน ระหว่างที่เตรียมอุปกรณ์ น้องมอนิ่งก็เดินไปดูต้นกระบองเพชรที่เตรียมไว้ เมื่อมีคนถามว่ามีสายพันธุ์อะไรบ้าง น้องมอนิ่งก็สามารถตอบได้หมด แม่ยุ้ยอธิบายว่า การเปิดโอกาสให้ลูกลองทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เพื่อให้ลูกเจอสิ่งที่พวกเขาชอบ อย่างน้องมอนิ่งได้ลองปลูกต้นกระบองเพชรก็ชอบมาก ถึงขั้นสามารถดูและบอกได้ว่าต้นนี้สายพันธุ์อะไรในวัย 5 ขวบ

ก่อนจะเริ่มปลูกต้นกระบองเพชร คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกทำกระถาง DIY ก่อนได้ซึ่งใช้เวลาไม่นาน

วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ ได้แก่ ปูนปลาสเตอร์ น้ำ พิมพ์ซิลิโคน หลอดชานมไข่มุก สีอะคริลิค และน้ำยาเคลือบสีอะคริลิค

แม่ยุ้ยอธิบายว่า ถ้าอยากให้กระถางแข็งแรงคงทนควรใช้ยาแนว หรือปูนซีเมนต์ แต่ที่แม่ยุ้ยเลือกใช้ปูนปลาสเตอร์เพราะแห้งเร็วทันใจเด็กๆ ที่ช่วงความสนใจจะสั้นกว่าผู้ใหญ่ ประกอบกับตัวต้นกระบองเพชรต้องคอยเปลี่ยนกระถางทุก 2 เดือน การใช้ปูนปลาสเตอร์จึงตอบโจทย์

ขั้นตอนการทำกระถาง

  1. ผสมปูนปลาสเตอร์กับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1:1 แม่ยุ้ยอธิบายว่า ไม่มีปริมาณตายตัวว่าต้องผสมอัตราเท่าไร แล้วแต่ความพึงพอใจของคนทำว่าอยากได้เยอะแค่ไหน แค่ให้อัตราส่วนของน้ำและปูนปลาสเตอร์เท่ากัน เช่น น้ำหนึ่งแก้ว ปูนปลาสเตอร์หนึ่งแก้วเท่ากัน และขณะที่ผสมก็ค่อยๆ คนอย่างเบามือเพื่อไม่ให้เกิดฟองอากาศ ให้น้ำและปูนปลาสเตอร์เป็นเนื้อเดียวกัน
  2. ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนการตกแต่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับความชอบของคนทำว่าอยากได้กระถางสีอะไรก็ผสมสีลงไปได้ โดยใช้สีอะคริลิค หากทำกับลูกก็ให้เขาเลือกสีที่ชอบได้เพื่อทำให้เขาสนุกมากขึ้น แม่ยุ้ยแนะนำว่า ถ้าอยากให้กระถางเป็นลายหินอ่อน เวลาผสมสีลงไปไม่ต้องคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  3. เทส่วนผสมลงพิมพ์ซิลิโคนที่เตรียมไว้ เวลาเทให้วางหลอดชานมไข่มุกไว้ตรงกลาง เพื่อสร้างเป็นรูที่ก้นกระถาง จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีให้แห้ง
  4. นำออกมาจากพิมพ์ ทาน้ำยาเคลือบสีอะคลิลิคเพื่อให้คงทนมากยิ่งขึ้น เป็นอันเสร็จ

ปลูกต้นกระบองเพชร

วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ ได้แก่ ต้นกระบองเพชร หินภูเขาไฟขนาดเล็กและขนาดใหญ่ ดินทราย ปุ๋ย หินสำหรับตกแต่ง กระถาง และน้ำ

ขั้นตอนการปลูก

  1. เริ่มจากผสมดินทรายกับน้ำ ใส่น้ำเพียงเล็กน้อยให้ดินทรายพอร่วนๆ ไม่เป็นก้อน
  2. นำกระถางที่เตรียมไว้สำหรับปลูกมา ใส่หินภูเขาไฟขนาดใหญ่ 1 ก้อนไว้ชั้นล่างสุดตรงก้นกระถาง ตามด้วยดินทรายที่ผสมไว้เล็กน้อย แล้วนำต้นกระบองเพชรมาใส่ จากนั้นเทดินทรายจนเกือบเต็มเหลือที่ประมาณ 1 นิ้วจากขอบกระถาง แล้วโรยปุ๋ยเล็กน้อย ตามด้วยหินตกแต่ง ซึ่งเหตุผลที่ต้องใส่หินตกแต่งแม่ยุ้ยอธิบายว่า ดินทรายนั้นเบา โดนลมเพียงเล็กน้อยหรือขยับกระถางก็ปลิวหมด การโรยหินก็เพื่อป้องกันไม่ให้ดินทรายปลิวและเพื่อความสวยงามด้วย ปิดท้ายด้วยการโรยหินภูเขาไฟขนาดเล็กไว้ชั้นบนสุดเพื่อความสวยงาม เป็นอันเสร็จ
  3. รดน้ำต้นกระบองเพชรให้ชุ่ม ขณะที่รดน้ำสีของหินที่อยู่ชั้นบนสุดก็เปลี่ยนไป แม่ยุ้ยอธิบายว่า เป็นคุณสมบัติของหินภูเขาไฟที่พอโดนน้ำแล้วจะเปลี่ยนสี ทำให้เวลารดน้ำรู้ว่าเรารดทั่วหรือยัง จึงเหมาะกับใช้ปลูกต้นกระบองเพชร แล้วเวลารดน้ำรดให้ชุ่มๆ ให้น้ำไหลหยดมาตามรูของก้นกระถาง แล้วค่อยกลับมารดใหม่อาทิตย์หน้า

รดน้ำอาทิตย์ละครั้ง!! น้องมอนิ่งบอกกับเราอย่างเชี่ยวชาญ

กิจกรรมที่ 2 นิทรรศการครอบครัว

แดดในสวนเริ่มแรงขึ้น แม่ยุ้ยเลยชวนทุกคนให้เข้ามาหลบแดดภายในร้าน แจ๋และขวัญก็ไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า พวกเธอชวนทำกิจกรรมต่อไป กิจกรรมที่ว่าคือ สร้างนิทรรศการในบ้านด้วยรูปถ่ายครอบครัว

ขวัญเล่าถึงที่มาของกิจกรรมว่า กิจกรรมนี้เป็นการสร้างช่วงเวลาที่สมาชิกครอบครัวจะได้นั่งและทบทวนความทรงจำที่มีร่วมกันผ่านการดูภาพถ่าย พร้อมสื่อสารความในใจที่ไม่กล้าพูดผ่านการเขียนการ์ด ฝึกความกล้าแสดงออกที่จะพูดความรู้สึกข้างในของเด็ก

แนวคิดของกิจกรรมนี้คือ การดึงความทรงจำ ความรู้สึกในช่วงเวลาดีๆ ที่ครอบครัวมีร่วมกันขึ้นมาใช้ พ่อกับแม่ควรให้เวลาคุยกับลูกอย่างใจเย็นมากกว่ามุ่งทำผลงานให้สำเร็จ

รูปแบบของกิจกรรม คือการใช้ภาพถ่ายความทรงจำที่ลูกจะต้องเป็นผู้เลือกเอง สิ่งสำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรใช้คำถามถามลูกว่า ภาพนี้เราไปที่ไหน มีใครอยู่ในภาพบ้าง เรากำลังทำกิจกรรมอะไร สิ่งที่ลูกประทับใจมากที่สุดคืออะไร หากเขาประทับใจแบบนี้ เขาอยากจัดวางภาพนี้ลงตรงส่วนไหนของกรอบรูปนี้

การตั้งคำถามจะช่วยให้เด็กนำตนเอง (Self directed) มีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์จัดวางเอง เลือกสีเลือกภาพตามความต้องการของเขาเอง เป้าหมายคือให้ชิ้นงานออกมาได้ ซึ่งระหว่างผลิตชิ้นงานลูกจะได้พัฒนาทักษะทางศิลปะโดยไม่ต้องคาดหวังถึงความสมบูรณ์และสวยงามของชิ้นงาน สิ่งสำคัญคือการพูดคุยกับพ่อแม่ และให้อิสระลูกในการเลือกภาพถ่าย เลือกสี และเขียนข้อความที่เขาอยากบอกพ่อกับแม่

หลังทำชิ้นงานเสร็จ สิ่งสำคัญคือการรับผิดชอบในการเก็บอุปกรณ์ และอย่าลืมชวนลูกมาชื่นชมภาพนี้ได้ทุกวัน หรือสามารถตั้งประเด็นที่จะเปลี่ยนภาพในแต่ละวัน หรือแต่ละสัปดาห์ก็ได้ เช่น สัปดาห์แห่งความอบอุ่น สัปดาห์แห่งอาหารการกิน สัปดาห์แห่งความชอบ เป็นต้น

วัสดุ อุปกรณ์ ได้แก่ กรอบรูป (ขนาดเท่าไรก็ได้ ในที่นี้ใช้ขนาด 16 x 21 นิ้ว) ตะขอ เชือก สว่าน ตัวหนีบไม้ กระดาษ ดินสอ สีโปสเตอร์ สีไม้ และภาพถ่ายของครอบครัว

ขั้นตอนการทำ

  1. นำกรอบรูปมาเจาะรูด้านซ้ายและขวาด้านละกี่รูก็ได้ตามความต้องการ ขึ้นอยู่กับขนาดภาพ หากภาพขนาดเล็กจำนวนรู้ก็อาจมากหน่อย หรือตามแต่การสร้างสรรค์ได้เลย เพียงแต่จำนวนและระยะห่างของแต่ละรูของกรอบรูปฝั่งซ้ายและขวาต้องเท่ากัน ซึ่งของแม่ยุ้ยเลือกเจาะด้านละ 4 รู
  2. นำตะขอมาใส่แต่ละรูที่เจาะไว้ แล้วนำเชือกมาผูกกับตะขอทั้งสองฝั่งให้ได้เชือก 2 เส้นเพื่อให้แข็งแรง สำหรับเป็นราวไว้แขวนภาพถ่าย
  3. เป็นขั้นตอนการตกแต่ง ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคนว่าอยากตกแต่งอย่างไร ใครใคร่ระบายสีตัวหนีบก็ระบาย หรือใครใคร่ระบายสีกรอบรูปก็ทำได้เลย หรือใครชอบสีเดิมอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องทำก็ได้
  4. ระหว่างรอให้สีแห้ง คุณพ่อคุณแม่และลูกคัดเลือกภาพถ่ายที่เป็นความทรงจำของครอบครัว ที่เคยท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งควรให้เวลาคุยกับลูกอย่างใจเย็นในขั้นตอนนี้ ใช้คำถามถามลูกว่า ภาพนี้เราไปที่ไหน มีใครอยู่ในภาพบ้าง เรากำลังทำกิจกรรมอะไร สิ่งที่ลูกประทับใจมากที่สุดคืออะไร หากเขาประทับใจแบบนี้ เขาอยากจัดวางภาพนี้ลงตรงส่วนไหนของกรอบรูปนี้
  5. นำภาพมาแขวนที่ราวเชือกโดยใช้ตัวหนีบยึดไว้
  6. ทำการ์ดสื่อสารความในใจ  จากที่เคยมีความทรงจำร่วมกัน ลูกมีอะไรที่อยากบอกกับพ่อหรือแม่ และคุณพ่อคุณแม่มีอะไรที่อยากบอกลูก ก็เขียน หรือวาดภาพสำหรับน้องที่ยังเขียนไม่ได้ เพื่อส่งสารนั้นถึงกันและกัน อย่างวันนี้ ขณะทำกิจกรรมนี้ น้องมอนิ่งถามคุณแม่ว่า “หนูรักแม่” เขียนยังไงคะ ก็ถือว่าเป็นการบอกรักคุณแม่แล้วนะคะ เสร็จแล้วนำการ์ดหนีบไว้ที่กรอบรูปเป็นอันเสร็จกิจกรรม
  7. นำกรอบรูปตกแต่งไว้ในบ้าน และสามารถเปลี่ยนธีมไปได้เรื่อยๆ ทุกวันหรือสัปดาห์ เช่น สัปดาห์แห่งความอบอุ่น สัปดาห์แห่งอาหารการกิน สัปดาห์แห่งความชอบ เป็นต้น

กิจกรรมที่ 3 ลังกระดาษแปลงกาย: เกมฟุตบอล

กิจกรรมต่อไปเป็นการทำของเล่นจากวัสดุเหลือใช้ที่น่าจะมีทุกบ้าน นั่นคือ ‘กล่องลังกระดาษ’ โดยแจ๋และขวัญนำมาสาธิต 2 เกม คือ เกมฟุตบอล และ เกมเขาวงกต พวกเธอบอกว่าแรงบันดาลใจมาจากเกมกด เกมตู้ ที่เล่นครั้งยังเป็นเด็ก นำมาให้เด็กๆ ลองทำตั้งแต่กระบวนการผลิตตัวเกมไปจนถึงการเล่น เป็นข้อดีของการทำเกมเอง ที่เด็กๆ สามารถคิดเนื้อเรื่อง กฎกติกาได้เอง เป็นการฝึกทักษะทั้งภายนอก คือ ฝึกการใช้มือหยิบจับ ตัด ระบายสี และทักษะภายใน เช่น การจินตนาการ การคิดวิเคราะห์ การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น เป็นต้น

แนวคิดของกิจกรรมนี้คือ การทำสิ่งประดิษฐ์ที่ซับซ้อนขึ้น ต้องใส่ใจจดจ่อ (Attention) มากขึ้น เกมนี้มีการทำชิ้นงานที่ซับซ้อน ต้องวางแผนงานมากกว่ากิจกรรมที่ผ่านมา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกให้เข้าใจเรื่องการทำงานให้สำเร็จไปทีละขั้นกว่าจะสำเร็จเป็นงานชิ้นใหญ่ได้ เช่น การทำกล่อง ทำประตูฟุตบอล ทำสนาม ทำไม้หมุน ทำหุ่น ให้แข็งแรง เราอาจจะวางแผนในการทำกล่องชิ้นนี้ให้สำเร็จใน 3-5 วัน แต่ละวันให้เห็นความสำเร็จไปทีละขั้น กิจกรรมนี้ช่วงเวลาของการค่อยๆ ประดิษฐ์ จึงมีความสำคัญพอๆ กับการได้เล่นสนุกร่วมกัน

ความสนุกของเกมนี้คือช่วงเวลาของการเล่น ซึ่งการที่ลูกใจจดใจจ่อที่จะเล่นเกมนี้ เมื่อได้เล่นสนุกแล้ว พ่อแม่สามารถชวนคุยได้ว่า เห็นไหมว่ากว่าที่เราจะทำเกมเสร็จต้องอดทนและกำกับตนเอง (Self-directed) อย่างไร เพื่อให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจถึงชิ้นงานชิ้นโบว์แดงที่เขาทำ

ขวัญขยายเพิ่มเติมว่า แม้เกมที่จะทำนี้มีขายสำเร็จรูปหรือหาเล่นแบบออนไลน์ได้ง่ายๆ  แต่การให้เด็กเริ่มต้นจากไม่มีอะไรเลย เด็กต้องเป็นคนคิดออกแบบ สร้างมันขึ้นมา เขาจะได้ฝึกทักษะหลายๆ อย่าง เช่น การใช้มือ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสร้างความเชื่อมั่นว่า ‘ต่อให้ไม่มีอะไรตรงหน้า เขาก็สามารถสร้างมันขึ้นมาได้’ เด็กจะเกิดความรู้สึกที่ว่ามันไม่มีอะไรยากแล้วในความคิดของเขา ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ เขาสามารถสร้างของเล่นเองได้ ความกล้าที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นในตอนนี้

“การที่เด็กได้เล่นอะไรร่วมกันมันเป็นการจำลองการใช้ชีวิตในสังคม พี่น้องเล่นด้วยกันก็มีวิธีจัดการอารมณ์ตัวเองมาเกี่ยวข้อง การแพ้ชนะ ความรู้สึกตอนที่โกรธ วิธีจัดการกับมัน” แจ๋กล่าว

วัสดุ อุปกรณ์ ได้แก่ กล่องรองเท้า คัตเตอร์ กรรไกร ดินสอ สีโปสเตอร์ สีไม้ กระดาษแข็ง กระดาษวาดรูป กาว ตัวหนีบไม้ ก้านไม้ เทปกาว และลูกแก้วหรือลูกบอลจิ๋ว

ขั้นตอนการทำ

  1. นำฝากล่องรองเท้าออก แล้วเจาะรูเป็นวงกลมขนาดเล็กตรงฝั่งด้านยาวของกล่องทั้งสองข้าง โดยจะเจาะกี่รูก็ได้ แต่ให้ระยะและจำนวนเท่ากันทั้งสองฝั่ง
  2. ตัดกล่องด้านหัวและท้ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อทำเป็นประตูฟุตบอล จากนั้นนำกระดาษแข็งมาตัดทำเป็นประตูฟุตบอล แล้วนำมาติดตรงกรอบสี่เหลี่ยมที่ตัดไว้ด้วยกาว
  3. ตัดกระดาษแข็งให้มีขนาดเท่ากับก้นกล่อง ตกแต่งให้เป็นเหมือนสนามฟุตบอล
  4. ขั้นตอนนี้เป็นการทำนักฟุตบอลในทีม ขวัญบอกว่า นักฟุตบอลจะเป็นใครก็ได้เป็นผู้หญิง ผู้ชาย หรือแม้แต่เจ้าหญิงก็ได้ แล้วแต่จินตนาการของเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ถามเด็กๆ ได้เลยว่าอยากได้นักฟุตบอลเป็นอย่างไร แล้ววาดลงกระดาษแข็ง ตัวละครหนึ่งวาด 2 แผ่น ด้านหน้าและด้านหลัง (เหมือนคนหันหน้าและหันหลัง) ระบายสี ตัดและนำมาติดที่ตัวหนีบ ส่วนจำนวนก็แล้วแต่ความพึงพอใจของแต่ละคน ด้วยขนาดกล่องที่นำมาทำครั้งนี้มีขนาดเล็ก ใช้ผู้เล่นทีมละ 3 คน แต่ถ้าใครใช้กล่องขนาดใหญ่อาจจะมีผู้เล่นมากกว่านี้ก็ได้
  5. เตรียมไม้สำหรับสอดในรูที่เจาะไว้ ไม้ที่ใช้จะเป็นไม้อะไรก็ได้ เช่น กิ่งไม้ ไม้เสียบบาบีคิว ฯลฯ นำมาพันกับเทปสีเพื่อป้องกันเสี้ยนไม้ตำมือผู้เล่น
  6. เมื่อเตรียมอุปกรณ์ครบทุกอย่างก็ถึงขั้นตอนประกอบให้สมบูรณ์ เริ่มจากวางแผ่นสนามที่วาดไว้ในกล่องรองเท้า ตามด้วยสอดไม้เข้าไปในรู เสร็จแล้วก็นำนักฟุตบอลมาหนีบที่ไม้ โดยจะวางแต่ละทีมสลับแถวกัน เช่น ทีม A ไม้ที่หนึ่ง ทีม B ไม้ที่สอง ทีม A ไม้ที่สาม เป็นต้น

วิธีเล่น เหมือนกับการเล่นฟุตบอลแบบปกติ แค่เปลี่ยนจากใช้เท้าเตะ เป็นการใช้มือแทน โดยจะเตะฟุตบอลเข้าประตูของฝั่งตรงข้ามการขยับไม้

กิจกรรมที่ 4 ลังกระดาษแปลงกาย: เกมเขาวงกต

แนวคิดของเกมนี้คือ การนำวัสดุเหลือใช้ที่มีในบ้านมาทำเป็นของเล่น คุณพ่อคุณแม่ต้องชวนลูกสังเกตว่าที่บ้านเรามีของเหลือใช้อะไรบ้าง เช่น กล่องกระดาษ แก้วน้ำพลาสติก กระดาษสี เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ว่าวัสดุเหลือใช้สามารถนำกลับมาใช้ได้

เช่นเดียวกับเกมฟุตบอล เกมนี้ต้องอาศัยการวางแผนและการสร้างสรรค์ คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนคิดชวนคุยให้ลูกเป็นเจ้าของไอเดีย สร้างสรรค์ชิ้นงานร่วมกัน และช่วยทำให้งานสำเร็จ

การเล่นเกมนี้เด็กต้องใช้เซนส์เรื่องความสมดุล (Sense of balance) เพื่อเลี้ยงลูกบอลให้ไปถึงเส้นชัยให้ได้ ต้องกำกับอารมณ์ของตนเอง ไม่หงุดหงิด หากหงุดหงิด คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนคิดให้เขากำกับอารมณ์ตนเองได้แม้ว่าจะแพ้ และเป็นการฝึกให้เด็กใช้ร่างกายในการทรงตัวทั้งแขน ขา ทำให้เด็กได้ใช้ร่างกายมากกว่ากิจกรรมอื่นๆ

ขวัญบอกว่า กิมมิคของเกมนี้ไม่ใช่แค่การประดิษฐ์ แต่เด็กๆ จะเป็นคนคิดด่านอุปสรรคและกติกาเอง

“การที่ให้เด็กสามารถออกแบบกติกาเองได้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่อย่างเดียว เป็นการฝึกความมั่นใจให้กับเขา กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องใจกว้างพอ เปิดโอกาสให้ลูกมีสิทธิที่จะพูด เขียน ฟังสิ่งที่ลูกจะพูด รอคอย เริ่มต้นการสนทนาที่ดี

“เด็กบางคนแพ้ไม่เป็น ยืนยันว่าไม่ได้ เราต้องสอนให้เขาเคารพกติกาที่สร้างร่วมกัน แพ้ชนะเป็นเรื่องปกติ บอกเขาว่า ‘ตานี้หนูแพ้ตาหน้าอาจจะชนะ’ พ่อแม่ต้องคุยกันสอนลูกไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ใช่คนหนึ่งตามกฎ แต่อีกคนตามใจลูก เพราะถ้าพ่อแม่ยอมตามใจลูกในครั้งที่หนึ่ง การสอนในครั้งที่สองครั้งที่สามนี่จะยากละ แต่ถ้าร่วมมือกันบอกว่า ‘ไม่เป็นไรนะลูก แพ้ก็ได้ ครั้งหน้าหนูอาจจะชนะก็ได้นะ’ สร้างความภูมิใจให้กับเขา ชีวิตจริงมันต้องเจออยู่แล้วมีแพ้ชนะเสมอ ถ้าอยู่ในบ้านแล้วแพ้ไม่เป็น การไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นนอกบ้านก็จะเป็นเรื่องยาก” ขวัญกล่าว

วัสดุอุปกรณ์ ได้แก่ กล่องกระดาษลัง คัตเตอร์ ดินสอ สีอะคิลิค ลูกแก้ว กาว และกระดาษสี หรือวัสดุเหลือใช้อื่นๆ สำหรับนำมาทำอุปสรรคแล้วแต่การสร้างสรรค์ของแต่ละครอบครัว

ขั้นตอนการทำ

  1. คุณพ่อคุณแม่ชวนลูกสังเกตว่าที่บ้านเรามีของเหลือใช้อะไรบ้าง เช่น กล่องกระดาษ แก้วน้ำพลาสติก กระดาษสี เพื่อนำมาเป็นอุปกรณ์
  2. ตัดกล่องลังให้มีก้นและด้านสี่ด้าน ความสูงประมาณ 20 เซนติเมตร หรือแล้วแต่ความต้องการ ให้มีลักษณะคล้ายกระบะ
  3. นำแผ่นกระดาษลังที่ตัดออกมาเจาะรูเป็นวงกลม ขนาดและจำนวนตามที่ต้องการเพื่อเป็นอุปสรรคในเกม จากนั้นแปะทับด้วยกระดาษสีที่ตัดเป็นวงกลมลักษณะเดียวกับแผ่นกระดาษลัง
  4. นำเศษกระดาษลังที่เหลือจากการตัดมาทำเป็นด่านอุปสรรค ขั้นตอนนี้เด็กๆ จะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ออกไอเดียว่าอยากได้ด่านแบบไหนบ้าง แม่ยุ้ยก็ปล่อยให้มอนิ่งเป็นคนจัดการกับขั้นตอนนี้เอง เมื่อคิดได้แล้วว่าอยากได้ด่านแบบไหนบ้างก็ลงมือตัดเศษกระดาษลัง พร้อมทั้งตกแต่งระบายสีตามใจชอบ หรือผู้ปกครองที่นำไปทำสามารถใช้วัสดุอื่นเป็นอุปสรรคก็ได้เช่นกัน และนอกจากด่านที่เป็นอุปสรรคแล้ว ต้องมีโกล หรือเส้นชัย ในตัวอย่างนี้คือกระดาษลังที่ทำเป็นรูปบ้าน
  5. เตรียมอุปกรณ์เสร็จทั้งหมด ก็เข้าสู่ช่วงการประกอบเข้าด้วยกัน เริ่มจากวางแผ่นกระดาษลังที่เจาะเป็นวงกลมวางลงตรงก้นกล่อง ตามด้วยการนำด่านอุปสรรคที่เตรียมไว้มาติดกับแผ่นลังด้วยกาว เป็นอันเสร็จสมบูรณ์

วิธีเล่น นำลูกแก้วมาใส่ในกล่องเขาวงกต ให้ผู้เล่นขยับกล่องพาลูกแก้วกลิ้งจากฝั่งหนึ่งที่เป็นจุดเริ่มต้น ผ่านด่านต่างๆ ให้ไปถึงเส้นชัย

พอทำมาจุดนี้ทำให้สงสัยว่า ถ้าเด็กเกิดอาการเบื่อกลางคันขณะทำกิจกรรม ไม่ยอมทำต่อ พ่อแม่มีวิธีจัดการยังไง ขวัญตอบว่า ถ้าเด็กเบื่อก็ต้องพักต้องเบรก สมาธิของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการตั้งเป้าหมายร่วมกันตั้งแต่แรกว่าวันนี้จะทำอะไร เช่น วันนี้เราจะสร้างเกมนี้ให้เสร็จ หรือวันนี้เราจะเตรียมอุปกรณ์ให้ครบ แล้วค่อยทำพรุ่งนี้ เป็นต้น เป็นการฝึกความรับผิดชอบทั้งของพ่อแม่และตัวเด็กเองให้ทำตามเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้

“เบื่อก็ไปเบรกได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราเบื่อแล้วไม่กลับมาทำอีก บอกลูกว่า ‘ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเหนื่อยคนเดียวพ่อแม่จะเหนื่อยไปด้วยกัน’ อันนี้มันเป็นการเรียนรู้ร่วมกันของพ่อแม่ลูก” ขวัญกล่าว

กิจกรรมที่ 5 หุ่นเงาโรงเล็ก

แนวคิดหรือเสน่ห์ของกิจกรรมนี้คือ การนำเรื่องเล่า นิทาน มาทำให้เป็นภาพ เมื่อใช้แสงไฟส่องไปที่เงาจะเกิดความมหัศจรรย์ เห็นความสร้างสรรค์ การทำกิจกรรมนี้สิ่งที่น่าใส่ใจคือ การให้เวลากับนิทาน ให้ลูกเข้าใจเรื่องราวของนิทาน เข้าใจตัวละคร เข้าใจแก่นเนื้อหาการเรียนรู้ของนิทานเรื่องนี้เป็นลำดับแรก

จากนั้น ขั้นตอนของการผลิตโรงละครและหุ่น พ่อแม่ก็ควรให้ความสำคัญในการสร้างสรรค์และผลิตตัวละครตามจินตนาการของลูก วางแผนการทำอย่างเป็นระบบ ฝึกการวางแผน จินตนาการ กำกับตัวเอง จัดการอารมณ์ อดทนทำให้เสร็จเพราะใช้เวลาในการทำ พ่อแม่ให้เวลาในการทำได้มากกว่า 1 วัน

ในการทำหุ่นเงาพ่อแม่อาจชวนลูกให้เป็นคนเลือกใช้สี ใช้กรรไกร ทากาว นำมาฉายกับแสง หากไม่พอใจสามารถทำใหม่จนเป็นที่พอใจ ลูกจะได้เรียนรู้ถึงสุนทรียะของแสง สี รูปทรง โดยไม่ต้องคำนึงถึงความสมจริงและความสวยงาม แต่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้จินตนาการได้อย่างเต็มที่

เมื่อทำเสร็จแล้วจะวางแผนการเชิด ให้ลูกได้เป็นคนเล่าเอง เล่นเอง โดยพ่อแม่ไม่ปิดกั้นจินตนาการ พ่อแม่อาจจะเป็นเพียงผู้เล่าโครงเรื่อง แต่การพากย์ และบทสนทนาของตัวละครควรเปิดพื้นที่ให้ลูกเป็นคนเล่นเองเพื่อส่งเสริมจินตนาการ และเข้าใจในนิทานนั้นอย่างถ่องแท้มากขึ้น เด็กส่วนใหญ่จะจดจำเรื่องราวได้ และเล่นซ้ำ พ่อแม่ควรให้เวลาลูกได้เล่นซ้ำ เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาที่กำลังหล่อหลอมให้เขาเข้าใจเรื่องราว พฤติกรรม เหตุและผลของตัวละครได้มากกว่าการฟังนิทานอย่างเดียว

นอกจากความสนุก ได้ใช้จินตนาการ เด็กๆ ยังได้เรียนรู้เรื่องแสง เช่น วัตถุตกกระทบแสงสะท้อนเป็นเงา หรือวัตถุถ้าอยู่ใกล้แสงเงาจะใหญ่ ถ้าอยู่ไกลเงาจะเล็ก เป็นต้น แล้วก็มีเรื่องของคณิตศาสตร์ เช่น การคำนวณระยะทาง

หากลูกๆ มีวินัย และชอบหุ่นเงาที่เล่นให้จบทั้งเรื่องได้ พ่อแม่สามารถส่งเสริมให้เขาจัดแสดงให้ญาติๆ ได้ชม สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ควรให้เวลาในการฝึกซ้อม ให้ลูกเห็นว่าการจัดแสดงนั้นต้องมีการฝึกซ้อม ให้ลูกมีความพร้อมก่อนการจัดแสดงต่อหน้าผู้ชม

ดังนั้น สิ่งที่หุ่นเงาให้นอกจากวินัยและการทำหุ่นแล้ว ยังส่งเสริมเรื่องจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และการเป็นนักประดิษฐ์ที่มีระเบียบขั้นตอนให้ลูกด้วย ซึ่งสามารถนำทักษะเหล่านี้ไปใช้ได้ในทุกเรื่อง

“กิจกรรมหุ่นเงาเป็นกิจกรรมที่มีความมหัศจรรย์เพราะมันทำมาจากกระดาษแผ่นเล็กๆ แบนๆ เวลาที่เอามารวมกับแสงทำให้เกิดเป็นเงา เวลาเด็กเห็นเขาจะรู้สึกตื่นเต้น ไม่ว่ากระดาษจะเล็กแค่ไหนมาเจอกับแสงก็ใหญ่เต็มบ้านได้ อุปกรณ์การทำก็เรียบง่ายแต่สามารถทำให้สนุกได้ เหมือนเป็นความสนุกราคาถูกแต่ได้คุณค่าเยอะมาก” แจ๋ ในฐานะของคนทำละครหุ่นอธิบาย

“การสื่อสารด้วยละครเด็กจะจำภาพได้ดี ที่ต่างประเทศเลยสนับสนุนให้เด็กๆ ในทุกพื้นที่ได้ดูละครดีๆ ที่มีคุณภาพ เขามีงานวิจัยที่บอกว่าเด็กจะจำภาพละครได้ดีเป็นจิตใต้สำนึกได้มากกว่าสื่ออื่นๆ” แจ๋อธิบายเพิ่มเติม

วัสดุอุปกรณ์ ได้แก่ กล่องกระดาษลัง คัตเตอร์ กระดาษสีขาวสำหรับเป็นจอฉาย (เป็นกระดาษชนิดใดก็ได้ที่แสงผ่านได้) กระดาษแข็ง กระดาษแก้ว ดินสอ สี กาว ไม้ และไฟฉาย

ขั้นตอนการทำ

  1. ร่วมกันเลือกนิทาน หรือเรื่องเล่าที่จะนำมาทำละครหุ่นเงา อาจเป็นนิทานที่เคยอ่านมาแล้ว หรือเป็นเรื่องใหม่ก็ได้ หากเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยเล่าหรืออ่านมาก่อน ให้คุณพ่อคุณแม่ให้เวลากับนิทาน เล่า เพื่อให้ลูกเข้าใจเรื่องราวของนิทาน เข้าใจตัวละคร เข้าใจแก่นเนื้อหาการเรียนรู้ของนิทาน
  2. ขั้นตอนการทำโรงละคร เริ่มจากตัดก้นกล่องลังให้เป็นกรอบสี่เหลี่ยม คล้ายเป็นทีวี ส่วนด้านฝากล่องให้เปิดออกให้หมด
  3. จากนั้นตัดกระดาษสีขาวที่เตรียมไว้ให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยม ขนาดขึ้นอยู่กับกรอบตรงกระดาษลังที่ตัดไว้ พอตัดเสร็จก็นำมาติดกาวแปะเข้ากับกรอบลัง กลายเป็นจอของโรงละครหุ่นเงา
  4. พอเตรียมโรงละครเสร็จ ต่อไปก็เป็นการเตรียมตัวละครหุ่นเงา ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจถามลูกว่าจากนิทานเรื่องที่เลือกนั้น อยากให้มีตัวละครอะไรบ้าง แล้วจึงวาดใส่กระดาษแข็ง เมื่อวาดเสร็จก็ตัดออกมาแล้วฉลุให้เกิดเป็นรูปร่าง เช่น เจาะตา ปาก เพื่อที่เวลาฉายไฟฉายจะเกิดเงาที่มองออกว่าเป็นตัวอะไร จากนั้นนำกระดาษแก้วมาปิดทับทากาว แล้วนำตัวละครไปติดกับก้านไม้สำหรับจับเชิดหุ่นในขณะเล่าเรื่อง

วิธีเล่น รวมตัวคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครอง กับเด็กๆ ที่หลังฉาก ให้เด็กๆ เป็นคนเล่านิทาน เชิดหุ่นเล่นเอง พากย์ และพูดบทสนทนาของตัวละครเอง โดยคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้เล่าโครงเรื่อง และช่วยฉายไฟ  ขณะเชิดตัวละครให้ฉายไฟฉายไปที่ตัวละคร เด็กๆ สามารถเชิดหุ่นให้แสดงอาการ บทสนทนา และท่าทางได้ตามลักษณะของตัวละคร ช่วงนี้จะเห็นสีของกระดาษแก้วทำงานกับแสงได้เป็นเงาสีต่างๆ ขนาดใหญ่เล็กที่มหัศจรรย์ จึงมีคำเตือนคือ เด็กๆ อาจออกมาจากหลังฉากในฐานะผู้เล่ามาเป็นผู้ชม เพื่อชมความมหัศจรรย์ของเงา ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อาจต้องแสตนบายเป็นผู้เล่าด้วยนะคะ

กิจกรรมที่ 6 นิทานสี่มิติ

แรงบันดาลใจกิจกรรมนี้ ขวัญเล่าว่า มาจากการเล่านิทานของพ่อแม่ให้เด็กฟัง นำนิทานพวกนั่นที่มีแค่ตัวอักษรมาทำให้กลายเป็นจริง ซึ่งกิจกรรมนี้จะใช้ศิลปะหลายแบบ เช่น การพับ วาดรูป ส่วนเนื้อเรื่องแล้วแต่ความชอบของเด็กๆ เลยว่าอยากนำเอานิทานเรื่องโปรดมาทำ หรือแต่งใหม่ให้เป็นนิทานของตัวเองก็ได้

แนวคิดของกิจกรรมนี้คือ การเล่านิทานเป็นช่วงเวลาของการส่งเสริมความเข้าใจในชีวิต เช่น คุณธรรม จริยธรรม และพฤติกรรมของตัวละครผ่านนิทาน พ่อแม่ควรคัดสรรนิทานเข้าบ้านที่จะส่งเสริมให้ลูกได้เข้าใจเรื่องราว บริบท พัฒนาการของตัวละคร เช่น บางเรื่องสอนเรื่องความรับผิดชอบ ความกตัญญู การเคารพต่อสิ่งแวดล้อม หรือพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การรักษาความสะอาด เป็นต้น คุณพ่อคุณแม่ควรคัดสรรเรื่องที่มีคุณค่าในการเรียนรู้ให้ลูก

ในการเล่านิทาน การเล่าที่ดีคือเล่าจากความเข้าใจของพ่อแม่ ไม่เร่งรีบ ช้าๆ ใช้ห้วงเวลานี้อยู่กับลูกให้เต็มที่ อาจเป็นช่วงเวลาเช้าหรือก่อนนอน กำหนดให้เป็นจังหวะเวลา (Rhythm) ที่สม่ำเสมอ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูกคือลูกจะมีจินตนาการมาก การเล่าเรื่องของเราจะไปปรากฎในจินตนาการของลูก ทุกคำที่เราคัดสรรจะไปสร้างภาพจินตนาการในหัวของลูก พ่อแม่ควรสังเกตว่าลูกชื่นชอบเรื่องไหน ให้เขาเลือกเรื่องที่อยากทำเป็นนิทาน 4 มิติ เพื่อให้ลูกทำซ้ำ

กระบวนการทำซ้ำผ่านกระบวนการทางศิลปะเป็นเหมือนการบันทึกประสบการณ์ผ่านจินตนาการให้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของลูกอีกครั้ง จึงให้ความสำคัญกับเรื่องที่เขาอยากนำมาทำซ้ำ พ่อแม่อาจใช้เวลาในการถามว่าฉากสำคัญของนิทานนี้มีอะไรบ้าง หากลูกเลือก 4 ฉากสำคัญลูกจะเลือกฉากไหนบ้าง เช่น ตัวละครมาพบปะกัน เจอสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน การแก้ปัญหาของตัวละคร และฉากจบ เป็นต้น

ลูกจะเริ่มต้นที่ทำตัวละคร แยกแยะตัวละครในแต่ละฉาก ให้ลูกวางแผนในการทำนิทาน และรับผิดชอบทำให้ทั้ง 4 ฉากสำคัญปรากฏขึ้นมาจากมือของลูก เหมือนว่าเขาทำให้หนังสือนิทานมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งได้จากการทำนิทาน 4 มิตินี้

พ่อแม่ไม่ควรปิดกั้นจินตนาการในการใช้สี หรือความสมจริง เราอยากให้ลูกเป็นเจ้าของชิ้นงาน เมื่อทำนิทานสี่มิติเสร็จ เราจะให้ลูกร่วมเป็นคนเล่าผ่านฉากที่เขาเป็นคนเลือกเองและจดจำได้ จากปกติที่พ่อแม่เป็นคนเล่า

นอกจากการเลือกนิทานมาทำนิทาน 4 มิติ จะเป็นนิทานที่เขาชอบและประทับใจ ลูกยังสามารถแต่งนิทานขึ้นมาใหม่ได้ โดยให้เขาสร้างสรรค์ตัวละครขึ้นมา สร้างเรื่องราวให้ตัวละครเดินทางผ่านฉากและสถานการณ์ต่างๆ ผ่านปัญหา การแก้ปัญหา ทำให้ตัวละครเรียนรู้ได้ นิทานในลักษณะนี้เป็นมากกว่านิทานที่พ่อแม่ถ่ายทอดให้ลูกอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างลักษณะนิสัยในการสร้างชิ้นงาน กำกับตนเอง อดทน และสร้างทักษะการคิด จินตนาการให้กับลูก ทั้งหมดนี้จะเป็นทักษะที่หาได้ยากจากการอยู่กับโทรศัพท์มือถือ เพราะการทำกิจกรรมลักษณะนี้เป็นการฝึกเป็นนักสร้างสรรค์ เรียนรู้ความดีความงามผ่านนิทาน ซึ่งต้องแลกมากับการใช้เวลาและความสัมพันธ์ที่มีร่วมกันของครอบครัว

“ถ้าแต่งนิทานเอง เริ่มจากทำบัตรคำ โดยบัตรคำประเภทแรกจะเป็นตัวละครของนิทานเรื่องนี้ว่าจะมีใครบ้าง บัตรคำประเภทที่สองคือสถานที่ในนิทาน มีที่ไหนบ้าง เช่น สวนสนุก ป่า ทะเล เป็นต้น บัตรคำประเภทที่สามเป็นเรื่องของเสียง ตัวละครแต่ละตัวจะมีเสียงไม่เหมือนกัน เช่น เสียงร้องของแมว ก็ต้องมานั่งคิดว่าเวลาเล่าแต่ละตัวละครต้องใช้เสียงแบบไหน  และบัตรคำประเภทที่สี่คือการกระทำของตัวละคร เช่น กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ หรือตัวละครนี้สามารถหายตัวได้ พอเขียนบัตรคำเสร็จก็มาเรียงกันช่วยกันแต่งเรื่อง

“ตัวละครเป็นบทบาทสมมติทำอะไรก็ได้ที่คนจริงๆ ทำไม่ได้ เหาะเหินเดินบนอากาศ ปล่อยพลัง ตัวยืดยาว เสริมจินตนาการ ช่วงที่เด็กเขาเล็กๆ การได้คิดนอกกรอบมันจะดี โตขึ้นไปเขาจะไม่ยืดถือ เขาจะรู้ว่ามันมีซ้ายมีขวา สามารถยืดหยุ่นได้

“บางคนกลัวว่าทำออกมาแล้วมันจะไม่สวย ไม่เพอร์เฟค เด็กๆ เขาไม่ได้มีความคิดพวกนี้ แต่เป็นพ่อแม่ที่กำลังใส่ความคิดพวกนี้ไปให้ลูก ขณะทำสามารถสอนความกล้า ให้ลูกกล้าจับ กล้าตัด กล้าเลอะ ชื่นชมซึ่งกันและกันตรงนี้ที่สำคัญ” ขวัญอธิบายเพิ่มเติม

วัสดุอุปกรณ์ กระดาษวาดภาพหรือกระดาษร้อยปอนด์ คัตเตอร์ ดินสอ สีชนิดใดก็ได้ และกาว

ขั้นตอนการทำ

  1. กรณีทำนิทานสี่มิติจากนิทานที่ลูกเคยอ่านแล้ว ให้ลูกเลือกเรื่องที่อยากทำเป็นนิทาน 4 มิติ
  2. คุณพ่อคุณแม่ตั้งคำถามว่าฉากสำคัญของนิทานนี้มีอะไรบ้าง ให้ลูกเลือก 4 ฉากสำคัญในเรื่อง เช่น ตัวละครมาพบปะกัน เจอสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน การแก้ปัญหาของตัวละคร และฉากจบ เป็นต้น
  3. ทำฉาก โดยตัดกระดาษเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส พับกระดาษให้ตั้งฉาก ซึ่งจะพับกระดาษกี่ชิ้นก็ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่องว่ามีกี่ฉาก ซึ่งในครั้งนี้ทำ 4 ฉาก เป็นนิทาน 4 มิติ พอได้กระดาษครบตามที่ต้องการก็นำมาติดกันเป็นวงกลม จากนั้นก็ตกแต่งฉากตามเนื้อเรื่องที่วางไว้
  4. แยกแยะตัวละครในแต่ละฉาก และทำตัวละครของแต่ละฉากโดยวาดตัวละครลงในกระดาษวาดภาพหรือกระดาษร้อยปอนด์ ระบายสีด้วยสีอะไรก็ได้ ในครั้งนี้เราใช้สีไม้ ตัดออกมาแล้วนำไปติดไว้ที่แต่ละฉากในลักษณะป๊อบอัปดังภาพประกอบ เป็นอันเสร็จ
  5. หากแต่งนิทานเอง ให้เริ่มจากทำบัตรคำ โดยบัตรคำประเภทแรกจะเป็นตัวละครของนิทาน ให้ถามลูกว่าตัวละครเรื่องนี้อยากให้มีใครบ้าง บัตรคำประเภทที่สองคือสถานที่ อาจถามว่าสถานที่ในนิทาน อยากให้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหนบ้าง เช่น สวนสนุก ป่า ทะเล เป็นต้น บัตรคำประเภทที่สามเป็นเรื่องของเสียง ตัวละครแต่ละตัวจะมีเสียงไม่เหมือนกัน เช่น เสียงร้องของแมว ต้องคิดว่าเวลาเล่าแต่ละตัวละครต้องใช้เสียงแบบไหน  และบัตรคำประเภทที่สี่คือการกระทำของตัวละครทำอะไรบ้าง เช่น กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่ หรือตัวละครนี้สามารถหายตัวได้ พอเขียนบัตรคำเสร็จก็นำมาเรียงกันช่วยกันแต่งเรื่อง และทำขั้นตอนของการทำฉากและสร้างตัวละครดังขั้นตอนที่ 3-4 ได้เลย

วิธีเล่น คุณพ่อคุณแม่เล่านิทานโดยหมุนและเล่าไปทีละฉากจนจบเรื่อง เด็กๆ จะได้เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวอักษรแบนๆ แต่มีตัวละครจริงๆ ให้เด็กเห็นได้ ซึ่งสามารถเล่าซ้ำได้หลายครั้งตามต้องการ

กิจกรรมที่ 7 ร้องเพลง

หลังทำกิจกรรมมาตั้งแต่เช้า แม่ยุ้ยและมอนิ่งเริ่มหมดแรง แจ๋และขวัญเป็นผู้ชวนทำกิจกรรมสุดท้าย เป็นกิจกรรมง่ายๆ ไม่ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรมาก คือ การร้องเพลง พวกเธอให้พ่อก็อตหยิบกีตาร์แล้วมานั่งตั้งวงร้องเพลงด้วยกัน โดยมีแม่ยุ้ยและมอนิ่งเป็นนักร้อง ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้องร้องเพลงเพราะหรือต้องเล่นดนตรีเป็น แค่มานั่งใช้เวลาร่วมกันก็เพียงพอแล้ว เป็นการจบวันที่สวยงาม

แนวคิดของกิจกรรมนี้ คือ นอกจากการสร้างสรรค์กิจกรรมขึ้นมาใหม่แล้ว คุณพ่อคุณแม่ที่เล่นดนตรีเป็นอาจนำเครื่องดนตรีมาเล่น ร้องเพลง เพื่อให้เกิดความบันเทิง อาจจะร้องให้ลูกฟังก่อน เหมือนการเล่านิทานที่พ่อแม่ร้องให้ลูกฟังก่อน ทั้งนี้การใช้คำ การเรียบเรียงภาษา อาจเลือกเพลงที่ไม่ยากเกินไป และความหมายของภาษา เข้ากับช่วงวัยของลูก

คำแนะนำสำหรับการทำกิจกรรมทุกกิจกรรม คือ ให้ลูกเล่นของเล่นที่ทำขึ้นแบบรักษาของ ทะนุถนอม ไม่ทำให้ของพังง่าย และแบ่งเวลาเล่น รวมถึงเล่นแล้วหาที่เก็บให้เรียบร้อย

เมื่ออ่านถึงตรงนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่คงรู้สึกว่าทำไมกิจกรรมมันเยอะจัง? ฉันต้องทำทั้งหมดนี้เลยเหรอ? แค่อยู่กับลูกก็พอได้ไหม? ข้อเสนอจากเรา (จากการที่ได้สังเกตน้องมอนิ่ง ได้พูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ และวิทยากรทั้งสองคนแล้ว ได้คำตอบว่าพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องทำทุกกิจกรรม สามารถเลือกเฉพาะกิจกรรมที่ลูกสนใจ หรือจะไม่ทำกิจกรรมข้างบนที่ว่ามาเลยก็ได้ ไปทำอย่างอื่นแทนก็ได้ โดยการสังเกตว่าลูกชอบทำอะไรแล้วนำมาสร้างสรรค์เป็นกิจกรรมได้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริง คือ การที่ครอบครัวได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ที่ผ่านมาพวกเราต่างต้องใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ มีเรื่องให้กังวลเรื่องปากท้อง ตอนนี้เป็นโอกาสที่ได้พักอยู่บ้าน แม้จะเพราะสถานการณ์โรคระบาด หากมองในด้านดี มันคือช่วงเวลาที่ครอบครัวจะได้ใช้อยู่ด้วยกัน ทำความรู้จัก กระชับความสัมพันธ์ พร้อมฟันฝ่าอุปสรรคที่มีไปด้วยกัน ถือเป็นการกลับมาชาร์จแบตชีวิต แล้วค่อยกลับไปสู้ต่อ

ขอขอบคุณ แม่ยุ้ย พ่อก็อต และน้องมอนิ่ง ที่อาสามาทำกิจกรรมกับเรา และเอื้อเฟื้อสถานที่ที่ Little Splash Kid & café จ.นครปฐม ด้วยนะคะ

Tags:

school closureไวรัสโคโรนา(โควิด-19)

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Social Issues
    เลื่อนเปิดเทอม: โจทย์ วิธีรับมือ ของ 4 ครูไทยในพื้นที่และบริบทที่แตกต่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ นัฐพล ไก่แก้ว

  • Social IssuesLearning Theory
    โอกาสใน COVID-19: เปลี่ยนจากเรียนแบบเหมาโหล สู่บทเรียนส่วนตัวแบบเลือกได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social Issues
    โรงเรียนอาจไม่เหมือนเดิม: 3 ประเด็นที่ต้องตาม โคโรน่าไวรัสทำให้การศึกษาเปลี่ยนไปอย่างไร

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
    ปิดโรงเรียนแล้วอย่างไรต่อ? มาตรการรับมือ ‘หลัง’ ปิดโรงเรียน จากรัฐบาลทั่วโลก

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Social IssuesLearning Theory
    STUDY FROM HOME รวมคอร์สเรียนออนไลน์ในและต่างประเทศ และแพลตฟอร์มสร้างห้องเรียนสำหรับครู

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์ ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

รายรับน้อยลง ต้องประหยัดมากขึ้น: คุยกับลูกเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว เรื่องของผู้ใหญ่ควรให้เด็กเกี่ยว เขาจะเติบโตขึ้น
Social IssuesFamily Psychology
3 March 2020

รายรับน้อยลง ต้องประหยัดมากขึ้น: คุยกับลูกเรื่องการเปลี่ยนแปลงในครอบครัว เรื่องของผู้ใหญ่ควรให้เด็กเกี่ยว เขาจะเติบโตขึ้น

เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษาณิชากร ศรีเพชรดี

  • สถานการณ์โควิด-19 ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพแต่หลายบ้านได้รับผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ การต้องปรับตัวทางอาชีพ และอื่นๆ ที่เป็นความเครียดสะสมในครอบครัว แต่หลายบ้านพ่อแม่อยากปกป้องลูก และเชื่อว่า ‘เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่เกี่ยว ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีก็พอ’ แต่หลายครั้งลูกรับรู้ความเครียดของพ่อแม่แต่ไม่รู้จะแก้ยังไง นำมาสู่ความรู้สึกผิดและโทษตัวเอง
  • พูดความจริง-ไม่ตีความหรือตีตรา-เสนอทางออก และ บอกความต้องการว่าอยากให้ลูกช่วยเหลืออะไร คือคำแนะนำของ หมอโอ๋ – พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ในการ ‘บอกความจริง’ กับลูก ไปพร้อมๆ กับสร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยให้กับพวกเขา
  • “ความสับสนหลายครั้งคือความทุกข์ การได้รับข้อมูลที่ตรงไปตรงมาจะทำให้เด็กเห็นบทบาทตัวเองในฐานะคนที่ช่วยเหลือครอบครัวได้ ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้ ทำให้ตัวเขารู้สึกมีบทบาทกับคนในครอบครัว เขาจะได้เผชิญกับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่น (empathy) เข้าใจความทุกข์คนอื่น ได้เห็นว่าตัวเองก็เป็นคนที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนอื่นได้”

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่หลายบ้านได้รับผลกระทบทั้งเศรษฐกิจ การต้องปรับตัวทางอาชีพ ความเครียดและความกังวลสะสมที่มาจากความไม่มั่นคงปลอดภัยในชีวิต กลายเป็นคลื่นความเครียดสะสมในครอบครัว

‘การปรับตัว’ คือสิ่งที่ต้องจัดการ แต่จะจัดการได้ต้องมีการสื่อสารถึงกันและกัน สื่อสารกับผู้ใหญ่ด้วยกันไม่น่ากังวลมาก แต่… จะสื่อสารกับลูกยังไงไม่ให้ลูกเป็นกังวลตามไปด้วย ขณะเดียวกัน พ่อแม่ก็ต้องการความร่วมมือจากลูกในหลายอย่างเพื่อร่วมฝ่าวิกฤตไปด้วยกัน เช่น ต้องช่วยกันประหยัด ต้องปรับวิถีชีวิตบางอย่างเพื่อก้าวต่อไปให้ได้

ขณะเดียวกัน หลายคนเชื่อว่า (หรือถูกสอนให้เชื่อว่า) ความเครียดต่างๆ เป็น ‘เรื่องของผู้ใหญ่’ เด็กมีหน้าที่เรียนหนังสือและทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดไป แต่มันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่า เราต่างเคยเป็นเด็กและรู้ว่าความเครียดจากพ่อแม่เรื่องสถานการณ์ในครอบครัวไม่เคยเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่มันกระทบเราใหญ่หลวงแน่นอน

คำถามคือ พ่อแม่ควรสื่อสารกับลูกไหม อย่างไร เท่าไหนดี และ เด็กๆ เองจะได้เรียนรู้และเติบโตจากเรื่องนี้อย่างไรบ้าง The Potential ต่อสายถึงหมอโอ๋ – พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และเจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน ขอความรู้และขอให้คุณหมอช่วยไขข้อกังวลใจให้กับพ่อแม่

คำตอบของคุณหมอเบื้องต้นคือ ‘บอกความจริง’ กับลูก ไปพร้อมๆ กับสื่อสารอย่างสร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยให้กับพวกเขาไปพร้อมๆ กัน ทั้งหมดนี้ แม้จะมีปัญหารออยู่มากมาย แต่พวกเราจะสามารถผ่านมันไปได้

เพราะครอบครัวไม่ใช่แค่แชร์ความสุข แต่ความทุกข์ก็ร่วมแชร์ด้วย และ เด็กๆ เองจะเติบโตและเรียนรู้วิธีรับมือแก้ปัญหาของผู้นำครอบครัว อย่าง… พ่อแม่

พูดความจริงต่อกัน เพราะ “ครอบครัวไม่ได้แปลว่าความสุขอย่างเดียว แต่คือการแชร์ความทุกข์ความสุขร่วมกันด้วย”

คุณหมอเริ่มที่การตั้งหลักว่า เราต้องลบความเชื่อเก่าๆ ที่ว่า ‘เด็กเป็นแค่เด็ก ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก’ ออกไปก่อน หมอโอ๋อธิบายว่า อย่าคิดว่าเด็กไม่รับรู้อะไรเพราะเขามีความสามารถในการรับรู้เรื่องเครียดๆ เหล่านี้ได้ดี เขารับรู้ได้เร็วมากด้วยว่าพ่อแม่กำลังมีปัญหาอะไร

แต่หากครอบครัวมีปัญหาแล้วไม่อธิบายให้ลูกฟัง เรื่องจะกลายเป็นว่า… เด็กจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาจะเกิดคำถามกับตัวเองแทนว่า ‘ทำไมพ่อแม่ต้องหงุดหงิด’ ‘ทำไมต้องโมโห’ สุดท้ายแล้วเด็กอาจกลับไปโทษตัวเอง ‘เพราะเราเป็นเด็กไม่น่ารักใช่มั้ย เป็นลูกที่ไม่ดีใช่มั้ยทำให้พ่อแม่ต้องหงุดหงิด’ แต่หากพ่อแม่อธิบายไปตรงๆ ว่ากำลังเผชิญปัญหาอะไรอยู่ นอกจากจะทำให้เขาเข้าใจปัญหาแล้ว ยังทำให้พวกเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว รู้ว่าจะช่วยเหลือครอบครัวอย่างไรได้

“เพราะครอบครัวไม่ได้แปลว่าความสุขอย่างเดียว แต่คือการแชร์ความทุกข์ความสุขร่วมกันด้วย” หมอโอ๋กล่าว

พูดความจริง ไม่ตีความหรือตีตรา เสนอทางออก และบอกความต้องการว่าอยากให้ลูกช่วยเหลืออะไร

หมอโอ๋แนะนำว่า พ่อแม่เปิดอกคุยกับลูกได้เลยว่า ตอนนี้บ้านเรากำลังเผชิญกับปัญหาอะไรอยู่ เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปคืออะไรได้บ้าง แต่ทั้งหมดนี้ให้เป็นแค่การบอก ‘ข้อเท็จจริง’ หรือ ‘ข้อมูล’ ที่เกิดขึ้น พ่อแม่บอกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ แต่หลีกเลี่ยงการใช้อารมณ์ในการสื่อสาร หลีกเลี่ยงการหาคนผิด ตีตรา ถ้าต้องการสื่อสารกับลูกเพื่อขอความร่วมมือก็ให้ทำได้เพราะเด็กจะได้รู้ด้วยว่าเขาควรทำอะไร ควรมีบทบาทอะไรในสถานการณ์แบบนี้ จะช่วยเหลือครอบครัวในเรื่องอะไรได้บ้าง

เช่น “จากสถานการณ์แบบนี้ พ่อแม่อาจจะต้องตกงานหรืออาจจะถูกลดเงินเดือนชั่วคราวนะ (บอกสถานการณ์)  แต่ไม่เป็นอะไรนะ ช่วงนี้เราอาจต้องประหยัดขึ้น (บอกความต้องการที่อยากให้เด็กทำ / บทบาทหน้าที่ที่อยากให้เด็กช่วย)”

ไม่ควรใช้ประโยคตีความและเต็มไปด้วยอารมณ์ เช่น “ทำไมกินอะไรฟุ่มเฟือยแบบนี้ รู้มั้ยว่าเราต้องประหยัดกันแล้วนะ” ส่วนเหตุผลว่าทำไมจึงไม่ควรใส่การตีความ จะขอพูดยาวๆ ในหัวข้อต่อไป (หัวข้อ ไม่ได้รู้สึกแย่เพราะ ‘ข้อเท็จจริง’ แต่แย่เพราะ ‘อารมณ์’ ของพ่อแม่)

หมอโอ๋บอกว่า “ความสับสนหลายครั้งคือความทุกข์ การได้รับข้อมูลที่ตรงไปตรงมาจะทำให้เด็กเห็นบทบาทตัวเองในฐานะคนที่ช่วยเหลือครอบครัวได้  ช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้ ซึ่งถือเป็นผลดีกับตัวเด็ก ทำให้ตัวเขารู้สึกมีบทบาทกับคนในครอบครัว นอกจากนี้เขาจะได้เผชิญกับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่น (empathy) เข้าใจความทุกข์คนอื่น ได้เห็นว่าตัวเองก็เป็นคนที่มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนอื่นได้”

ข้อเท็จจริงที่ต้องตามมาด้วยความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย

แต่หมอโอ๋ย้ำว่า ต้องไม่ใช่แค่ใส่ ‘ข้อเท็จจริง’ แต่ต้องมาพร้อม ‘ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย’ ด้วย ซึ่งความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยมีความหมายต่อการเติบโตทางใจของเด็กๆ ความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นได้ก็มาจากการรู้ว่าจะรับมืออย่างไร มีแผนการอะไรที่ครอบครัวได้วางเอาไว้ ถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นมีทางออกแบบนี้แบบนั้นนะ ซึ่งก่อนจะสื่อสารกับลูก พ่อแม่อาจต้องกลับมาทำงานกับตัวเองก่อนว่าจะจัดการกับปัญหานั้นอย่างไร

เช่น ‘มันอาจจะยากลำบากซักหน่อยนะลูก ช่วงนี้เราอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในครอบครัว แต่เราทุกคนกำลังช่วยกันแก้ปัญหานะ แผนของเราก็คือ เราอาจต้องประหยัดขึ้นนะ เราจะลดค่าใช้จ่ายส่วนนั้นส่วนนี้ หรือ เราอาจจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากคนนี้นะ ถ้าถึงเวลาจำเป็น’

“วิธีคิดของพ่อแม่กับปัญหาที่เกิดขึ้นสอนลูกได้เยอะมากว่า ช่วงเวลาที่ลูกเจอกับปัญหาเขาจะ reaction กับมันยังไง เช่น เขาจะตีโพยตีพาย ร้องห่มร้องไห้ รู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ หรือว่าเขาจะระบายความรู้สึกออกบ้าง แล้วตั้งสติแก้ไขปัญหา นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องการรับมือเพื่อแก้ปัญหาจากผู้ใหญ่”

หมอโอ๋ย้ำว่า ให้บอกสิ่งที่เป็นความจริง อย่าบอกว่า ‘ไม่มีอะไรหรอกลูก’ เพราะจะทำให้เด็กเกิดความสับสนว่าสรุปแล้ว ‘มีอะไร’ หรือ ‘ไม่มีอะไร’ กันแน่

ไม่ได้รู้สึกแย่เพราะ ‘ข้อเท็จจริง’ แต่แย่เพราะ ‘อารมณ์’ ของพ่อแม่

แม้สิ่งที่บอกลูกจะเป็นความจริง แต่ถ้าบอกผ่านการใช้อารมณ์ก็อาจกลายเป็นการทำร้ายความรู้สึกลูก ทำให้ลูกเกิดความกังวล หมอโอ๋แนะนำว่า ‘สติ’ คือสิ่งที่สำคัญที่สุด พ่อแม่ไม่ควรส่งสารด้วยอารมณ์ให้เด็กตีความเป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้น แม้บางครั้งสารที่ส่งไปให้ลูกเป็นความจริง แต่ถ้ามันเป็นอารมณ์หรือความทุกข์ของพ่อแม่ (โดยที่เขาไม่รู้จะแก้ปัญหาหรือช่วยยังไง) จะทำให้ลูกรู้สึกผิด กังวล จนเกิดเป็นความรู้สึกโทษตัวเองขึ้นมา

“พ่อแม่สามารถบอกส่วนที่เราคาดหวัง ส่วนที่เราอยากให้ลูกมีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องใช้อารมณ์กัน ความกังวลไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ แต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ เช่น พ่อแม่บอกว่า ‘ช่วยกันประหยัดนะลูก’ อาจไม่ได้สร้างความรู้สึกแย่เท่ากับคำพูดที่ใช้อารมณ์ ‘ทำไมไม่ช่วยกันประหยัดเลย!’ ‘ทำไมฟุ่มเฟือยอย่างนี้’ ซึ่งนี่เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันนะ” หมอโอ๋กล่าว

หมอโอ๋อธิบายเพิ่มว่า นอกจากเรื่องอารมณ์ ข้อควรระวังอีกอย่าง คือ การตีความของพ่อแม่ เช่น ‘ทำไมเป็นคนฟุ่มเฟือยแบบนี้’ ‘ลูกไม่คิดถึงใจคนอื่นเลยหรือไง’ ‘ทำไมเป็นคนเห็นแก่ตัว’ เป็นต้น คำพูดเหล่านี้เป็นการตีตราหรือตีความจากสิ่งที่พ่อแม่เห็น เป็นสิ่งที่ทำร้ายลูกมากกว่าเจตนาที่พ่อแม่อยากบอก เช่น เจตนาพ่อแม่อาจจะแค่อยากให้ลูกประหยัดขึ้น แต่พอพ่อแม่ไปตีความจากสิ่งที่ลูกทำ มันทำให้ลูกเจ็บ ฉะนั้น ควรระวังการทำร้ายกันด้วยการใช้อารมณ์เชิงลบส่งถึงกัน

อย่าคาดหวังว่าเราต้องเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ ให้อภัยในความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง

พออ่านมาถึงตรงนี้ พ่อแม่หลายๆ คนคงจะเกิดความเครียดและรู้สึกผิดว่า ‘ฉันเคยใช้อารมณ์กับลูก’ ‘ฉันเคยพูดจาทำร้ายลูก’ แต่หมอโอ๋อยากให้กำลังใจว่า ต้องไม่ลืมว่าพ่อแม่เองก็เป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่งที่ต่างมีอารมณ์ มีความเครียดที่บางครั้งก็จัดการกับมันไม่ได้ อาจเผลอใช้อารมณ์กับลูกหรือแสดงความเครียดออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ สิ่งสำคัญคือให้กลับมาเข้าใจตัวเองก่อนว่า ‘เราต่างก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง’ ที่เมื่อเจอภาวะปัญหาก็มีโอกาสตอบสนองด้วยความรู้สึกและอารมณ์ด้านลบ (ที่ไม่ได้อยากแสดงออกเช่นนั้น)

“ให้อภัยความเป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบของตัวเอง อย่าคาดหวังว่าตัวเองต้องเป็นพ่อแม่ที่ถูกต้องตลอดเวลา ขอโทษลูกได้ แค่เราเรียนรู้และพัฒนาตัวเอง เราก็เป็นพ่อแม่ที่เติบโตขึ้นแล้ว

“มันเป็นสถานการณ์หนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนมุมมองเรา ทำให้เราเห็นชัดมากว่าอะไรสำคัญกับชีวิตของเรา อะไรคือความต้องการที่แท้ของมนุษย์ มันตอบได้ชัดมากว่า จริงๆ เราแค่ต้องการความปลอดภัย เราต้องการความสัมพันธ์ ความรัก ความมั่นคง ความสงบ มันแค่นี้เองที่มนุษย์ต้องการ ที่เหลือเราไปปรุงแต่งมันอย่างมากมาย

“แต่ละคนเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน พอเรากลับมามองในวันที่เราต้องเอาตัวรอด มันจะเหลือสิ่งสำคัญสำหรับเราไม่กี่อย่าง ซึ่งก็คือเรื่องความปลอดภัย สุขภาพแข็งแรง ครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดี การมีเงินพอที่จะซื้ออาหาร ถ้าเรายังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ก็ให้บอกตัวเองว่า มันพอที่ทำให้เราลุกขึ้นไปสู้กับอะไรข้างหน้า

“เขาบอกว่าอะไรที่ไม่ทำให้เราตายมันจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นเสมอ” หมอโอ๋กล่าวทิ้งท้าย

Tags:

จิตวิทยาschool closureพญ.จิราภรณ์ อรุณากูร

Author:

illustrator

เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

เพิ่งพ้นรั้วมหาวิทยาลัยจากคณะแห่งการเขียนและสื่อมวลชน แม้ทำงานแรกในฐานะกองบรรณาธิการ The Potential หากขอบเขตความสนใจขยายไปเรื่องเพศ สิ่งแวดล้อม และผู้ลี้ภัย แต่ที่เป็นแหล่งความรู้วัยเด็กจริงๆ คือซีรีส์แวมไพร์, ฟิฟตี้เชดส์ ออฟ จุดจุดจุด และ ยังมุฟอรจาก Queer as folk ไม่ได้

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Family Psychology
    ค้นพบตัวตนของลูกผ่านการปั้นดิน: ไม่คาดหวัง เปิดตา เปิดใจ ยอมรับให้ดินได้ขึ้นรูปทรงด้วยตัวเอง

    เรื่องและภาพ เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Early childhood
    ทำไมเลี้ยงเด็กสักคนมันยากเหลือเกิน: ตอบให้หายสงสัยและเข้าใจในวง ‘เปิดโลกจิตวิทยาเด็ก’

    เรื่อง

  • Early childhood
    หมอโอ๋: พ่อแม่ที่ไม่สร้างบาดแผลให้ลูก คือพ่อแม่ที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Family Psychology
    “ไม่ต้องมีพ่อแม่ที่ดี มีแค่พ่อแม่ที่ธรรมดา” หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • How to get along with teenager
    UNIQUE IS BETTER THAN PERFECT : เป็นตัวเองดีที่สุด

    เรื่อง The Potential ภาพ SHHHH

SELF-TALK ในห้องเรียน GROWTH MINDSET: สอนเด็กฟังเสียงหัวใจ ฝึกแยกความคิดลบกับบวก
Growth & Fixed Mindset
2 March 2020

SELF-TALK ในห้องเรียน GROWTH MINDSET: สอนเด็กฟังเสียงหัวใจ ฝึกแยกความคิดลบกับบวก

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • ภายในจิตใจของเราทุกคนเป็นการต่อสู้กันระหว่าง Fixed Mindset (ส่งเสียงบั่นทอน) และ Growth Mindset (ยินดีกับความสำเร็จ)
  • ครูมีบทบาทช่วยสร้าง Growth Mindset ด้วยการฝึกให้นักเรียนรู้จักเสียงภายในใจตัวเอง และแยกแยะให้ออกระหว่างเสียงที่บอกให้เขาพยายาม กล้าลองเพื่อเรียนรู้ สัมผัสกับเรื่องท้าทาย ออกจากเสียงที่คอยบั่นทอนกำลังใจและขัดขวางไม่ให้เขาก้าวต่อ

ในตำนานของชาวอินเดียนแดงเผ่าเชโรกีที่เลื่องลือมาช้านาน มีเรื่องหนึ่งเล่าถึงคุณปู่ชราผู้สอนหลานชายถึงการใช้ชีวิตเอาไว้ว่า ในตัวเราทุกคนมีหมาป่าอยู่ด้วยกันสองตัวซึ่งต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันและกันอยู่ตลอดเวลา ตัวหนึ่งเป็นหมาป่าตัวร้าย ขี้ขลาด ทะนงตัว อวดดี และเพ้อเจ้อ กับอีกตัวหนึ่งเป็นหมาป่าที่กล้าหาญ มุมานะ พยายาม และเข้มแข็ง เด็กชายจึงเอ่ยถามปู่ด้วยความอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วตัวไหนเป็นฝ่ายชนะ

ปู่ยิ้มแล้วตอบเขาว่า ‘แล้วหมาป่าตัวไหนที่หลานอยากเลี้ยงเอาไว้ล่ะ’

หมาป่าสองตัวนี้เปรียบได้กับ Fixed Mindset และ Growth Mindset ที่อยู่ภายในใจทุกคนนั่นเอง ต่างขั้วต่างตอบโต้กันตลอดเวลา Growth Mindset มักยินดีกับตัวเองเมื่อทำงานยากลำบากลุล่วง อาจเป็นเสียงว่า ‘ในที่สุดฉันก็ทำมันสำเร็จจนได้!’ ส่วน Fixed Mindset จะส่งเสียงบั่นทอนกลับมาทันทีว่า ‘นี่คิดว่าดีพอแล้วเหรอ?’ เสียงสองขั้ว หนึ่งนางฟ้ากับหนึ่งซาตาน ส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจให้เราพยายามต่อหรือล้มเลิกบางอย่างอยู่ตลอดเวลา

ในชั้นเรียน ครูจึงมีบทบาทสำคัญในการแนะนำให้นักเรียนรู้จักกับหมาป่าทั้งสองตัวในใจตัวเองเสียก่อน และรู้จักแยกแยะให้ออกระหว่างเสียงที่บอกให้เขาพยายาม กล้าลองเพื่อเรียนรู้ สัมผัสกับเรื่องท้าทาย ออกจากเสียงที่คอยบั่นทอนกำลังใจและขัดขวางไม่ให้เขาก้าวต่อ โดยวางจุดประสงค์ของการสอนสร้าง Growth Mindset ที่การฝึกให้เขาฟังเสียงในใจตนเองที่อยากฮึดสู้ พยายามดูสักตั้ง

บทความนี้ไม่เพียงมีไอเดียวิธีต่างๆ ให้นักเรียนฝึกแยกแยะเสียงขั้วบวกขั้วลบและหัดเพิ่มพลังเสียงด้านบวกในใจตนเอง ยังมีไกด์ไลน์แผนการสอน Growth Mindset ที่สรุปง่ายๆ เป็นขั้นเป็นตอนให้ครูนำไปปรับใช้ได้ทันทีอีกด้วย

ฝึกคุยกับตัวเองและเลือกที่จะฟังเสียงที่ส่งพลังใจ

นักจิตวิทยาพบว่าเสียงที่มาจากใจของแต่ละคนมีอิทธิพลต่อความความสำเร็จหรือล้มเหลว เลฟ ไวกอตสกี (Lev Vygotsky) นักจิตวิทยาชาวรัสเซียที่สร้างชื่อช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบจากทฤษฎีว่าด้วยอิทธิพลทางจิตวิทยาต่อวัฒนธรรมและสังคม ได้พูดถึง ‘Self Talk’ ของเด็กวัยเตาะแตะ หรือการที่พวกเขาสนทนากับตัวเองว่าเป็น ‘การเล่าความคิดในหัว’

ถ้าลองสังเกตเด็กวัยกำลังซนเล่นอยู่คนเดียวเราจะได้ยินเขาเล่าเรื่องสนุกรอบตัวกับตัวเอง ไวกอตสกีมองว่าการพูดกับตัวเอง คือ วิธีที่เด็กทำความเข้าใจกับโลกรอบตัว ต่อมาคำพูดที่พึมพำกับตัวเองเหล่านั้นก็จะกลายเป็นห้วงความคิดความอ่าน ช่วยเรียบเรียงกระแสความคิด ยับยั้งการกระทำ และพัฒนาเป็นสติรับรู้เข้าใจตัวเอง (Self-Awareness) ในระหว่างห้วงเวลาเปลี่ยนผ่าน

ผู้ใหญ่จึงควรชี้ให้เขารับรู้ถึงการมีอยู่และฟังเสียงในใจตัวเองให้เป็น บอกเขาว่าทุกคนต่างมีเสียงความคิดภายในใจที่คอยบอกให้เราตัดสินใจทำสิ่งนั้นสิ่งนี้หรือเลิกทำบางอย่างนั้นเป็นเรื่องปกติ เวลาหนูน้อยมาสารภาพว่าแอบกินขนมในตู้เย็นโดยไม่ขออนุญาต เผลอตีเพื่อนที่มาแย่งของเล่น ลองตอบเขาด้วยการอธิบายถึงเสียงภายในดู เช่น ‘ที่หนูมาสารภาพ เพราะเสียงในใจของหนูบอกว่าหนูกำลังทำผิดและอยากขอโทษใช่มั้ยจ๊ะ’

ที่เราพูดถึง Self Talk กัน เพราะสำหรับครูนั้นการที่เด็กได้ยินเสียงจากความคิดตัวเองเกี่ยวพันเป็นอย่างมากกับการวางแผนจัดระเบียบ Growth Mindset ให้เขา ครูต้องช่วยให้เขาแยกแยะระหว่างเสียงที่เป็นตัวบั่นทอนกับเสียงที่ชูกำลังใจให้ออกก่อน พอเขาเข้าใจแล้วว่าเสียงที่ได้ยินมาจากฝั่งไหน ค่อยอธิบายอีกทีว่าเสียงจากความคิดที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและยืดหยุ่นกับปัญหา (Growth Mindset) จะพาเขาไปที่ไหนและความคิดติดลบที่ฉุดรั้งความกล้า กล่าวโทษตัวเองโดยไม่พยายาม (Fixed Mindset) จะลงเอยอย่างไร

วิธีช่วยให้เขาแยกแยะว่าเสียงในหัวมาจากฝั่งไหนคือลองถามเด็กๆ ว่า เวลาพวกเขาเครียดวิตกกังวลหรือท้อถอยกับบางอย่างเขา ‘ได้ยิน’ เสียงในใจตัวเองพูดว่าอะไร ง่ายๆ เลยคือลองยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงของตัวเองให้เขาฟัง

เช่น ตอนครูอยู่ชั้นมัธยมมีแข่งเทนนิสแมตซ์ชิงชนะเลิศ คู่แข่งคนนั้นเป็นมือวางอันดับหนึ่งของรัฐ ตัวก็ใหญ่กว่า สถิติก็ดีกว่า ครูได้ยินเสียงจาก Fixed Mindset บอกว่า

“จะไหวเหรอ ฝ่ายนั้นเขาตัวใหญ่กว่าแล้วก็ตีแรงกว่าเธออีกนะ”

“อย่าหวังว่าจะชนะเขาได้เลย”

“ยอมแพ้ก่อนจะอับอายดีกว่า”

“ถ้าแพ้ละก็ร้องไห้ยับเยินแน่เลย”

ให้นักเรียนช่วยกันคิดว่าพวกเขาจะตอบเสียงความคิดลบจาก Fixed Mindset ด้วยเสียงที่เป็น Growth Mindset อย่างไรดี เขียน T-Chart ขึ้นกระดานให้ฝั่งซ้ายเป็นเสียงจาก Fixed Mindset แล้วให้เด็กๆ ช่วยกันตอบ

เมื่อนักเรียนแยกแยะและเข้าใจความคิดสองขั้วนี้ดีแล้ว ให้เขาจับกลุ่มทำ T-Chart ว่าในช่วงปิดเทอมหรือวันหยุดนี้ มีเสียงจาก Fixed Mindset ที่คอยขัดขวางไม่ให้เขาทำอะไรที่ตั้งใจไว้บ้าง พวกเขาจะใช้ Growth Mindset ตอบโต้เสียงนั้นว่าอย่างไร

ตั้งชื่อให้ความคิดฝั่งผู้ร้าย

บียอนเซ่เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า เธอเอาชนะตัวตนที่เป็นคนขี้อายแล้วสร้างบุคลิกมั่นใจ กล้าแสดงออกทุกครั้งเมื่อต้องออกไปแสดงบนเวที โดยตั้งชื่อบุคลิกร้อนแรงมั่นใจของตัวเองนี้ว่าซาช่า เฟียส (Sasha Fierce)

การตั้งชื่อเป็นเคล็ดลับหนึ่งสำหรับคนที่สลัดความคิดฝั่ง Fixed Mindset ไม่หลุด ลองตั้งชื่อเจ้าตัวความคิดหรือบุคลิกแบบที่บียอนเซ่ทำเพื่อจัดการตนเองคือวิธีที่ควบคุมตัวเองที่ดี ให้เด็กๆ ตั้งชื่อความคิดหรือบุคลิกที่ขัดขวางความสำเร็จของตัวเขาเอง โดยช่วยกันออกไอเดียชื่อตลกๆ ยิ่งทำให้ชั้นเรียน Growth Mindset ของเราสนุกสนานยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น

ศิริพรฝ่ายตัวร้าย

เจ้าความคิดขัดลาภ 

เจ้าตัวขี้เกียจ

เมื่อเลือกชื่อตลกๆ ให้ Fixed Mindset ตัวเองได้แล้ว ต่อไปนี้ให้เขาเรียกความคิดฝั่งลบนั่นทุกครั้งด้วยชื่อที่เขาตั้ง สนับสนุนให้เขากล้าพูดกับตัวเองทุกเมื่อที่ความคิดฝั่งลบผุดขึ้นมาบั่นทอนกำลังใจ “เจ้าความคิดขัดลาภชอบบอกให้หนูล้มเลิกอยู่เรื่อยเลย” หรือ “หยุดเลยนะ ศิริพรฝ่ายตัวร้าย ฉันไม่ฟังเสียงเธอหรอก”

อย่าคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกขบขัน เพราะขนาดแครอล ดเวค (Carol Dweck) อาจารย์ด้านจิตวิทยา มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำการศึกษาเรื่องอิทธิพลของ Growth Mindset ที่มีผลต่อความสำเร็จในบุคคลยังเห็นพ้องว่าการตั้งชื่อความคิดด้านลบในหัวเรานี้เป็นการสื่อสารกับตัวเองที่ได้ผลทางหนึ่ง คล้ายกับการที่เราสอนเด็กๆ ให้กล้าเอ่ยปากปฏิเสธเพื่อนที่เล่นแรงๆ หรือพูดร้ายๆ กับเราให้เขาหยุด ต่างตรงที่คราวนี้เพื่อนที่บอกให้หยุดคือเสียงด้านลบที่ดังมาจากใจของเขาเอง

ในช่วงแรกนักเรียนอาจรู้สึกตลกหรือหวั่นใจที่จะตอบโต้เสียงในใจที่บอกว่าเขาไม่เก่งพอหรือทำไม่ได้หรอก ดเวคแนะนำว่า จะให้ดีควรฝึกให้เด็กๆ ยึดคำปลุกใจเป็นสโลแกนประจำตัวไว้คนละอย่างสองอย่าง เช่น ‘หนูทำได้!’ หรือ ‘ยิ่งยาก ฉันยิ่งพัฒนา’ เพราะเขาจะหยิบมันขึ้นมาใช้ในยามที่ต้องการได้ทุกเมื่อ

นอกจากการตั้งชื่อเจ้าความคิดลบหรือ Fixed Mindset ยังมีอีกหลากหลายวิธีที่ครูสามารถนำไปกระตุ้นให้เด็กๆขุนความคิดฝั่ง Growth Mindset ให้แข็งแรงดังนี้

วิธีสร้าง Growth Mindset ในชั้นเรียน ขั้นตอน
ตั้งชื่อให้ Fixed Mindset ให้เด็กๆ ตั้งชื่อให้ Fixed Mindset เมื่อเสียงจในหัวฉุดรั้งให้เขาท้อแท้หรือกล่าวโทษตัวเอง “เลิกซะเถอะ พยายามไปก็เท่านั้น” ให้เด็กๆ พูดกับเจ้าความคิดนั้นว่า “อย่ามาขวางฉันซะให้ยาก ฉันทำได้” กลับไป
เล่นติ๊ต่างเป็น Mindset สองขั้วให้เด็กๆ แบ่งฝ่ายเป็นฝั่ง Fixed Mindset และ Growth Mindset ฝั่งแรกพูดด้วยประโยคลบเช่น “ที่เธอทำไม่ได้เพราะเธอไม่มีหัวทางเลข” อีกฝั่งต้องแก้ให้เป็นความคิดบวกคือ “ฉันยังไม่เก่งน่ะใช่ แต่ถ้าฝึกทำบ่อยๆ ฉันเก่งขึ้นแน่” แล้วสลับฝั่งกัน
เพื่อนช่วยเพื่อนให้นักเรียนในชั้นร่วมกันกล่าวปฏิญาณตนว่าจะให้ช่วยกันต่อสู้ Fixed Mindset ที่เข้ามาในหัว เวลาเพื่อนคนใดท้อแท้หรือคิดลบกับตัวเอง ทุกคนจะพูดให้กำลังใจกันและกันเสมอ
วาดรูปหน้าตาเจ้า Fixed Mindsetให้เด็กๆ ช่วยกันนิยาม Fixed Mindset ด้วยคำศัพท์หรือวาดหน้าตา Fixed Mindset ตามจินตนาการว่าเป็นอย่างไร นี่จะช่วยฝึกให้เด็กๆสามารถแยกแยะความคิดในใจและควบคุมตนเองได้
คิดคติพจน์ประจำใจมีงานวิจัยชี้ว่านักกีฬาที่มีคติประจำใจมักสามารถพลิกสถานการณ์แข่งขันเมื่อเพลี่ยงพล้ำให้กลับมาเอาชนะได้ เช่นเดียวกัน หากนักเรียนเกิดท้อถอยในการเรียน คติประจำใจที่เขาชอบสามารถช่วยให้เขากลับมาฮึดสู้ได้อีกครั้ง เช่น “Just Do It!”
เขียนจดหมายถึงเจ้าความคิดฝั่ง Fixed Mindsetสมมติให้นักเรียนเป็นตัวความคิดฝั่ง Growth Mindset และเขียนจดหมายถึงเจ้าความคิดฝั่ง Fixed Mindset ของตัวเองว่าจะลงมือเปลี่ยนแปลงตัวเองตรงไหน และพยายามอย่างไร

วางแผนการสอน Growth Mindset แบบจับต้องได้

ในบทสุดท้ายของหนังสือ Mindset ที่ดเวคเป็นผู้เขียนได้แนะนำครูผู้สอนว่า ควรวางแผนการเรียนการสอนที่กระตุ้น Growth Mindset ให้เป็นรูปธรรมมากที่สุดก่อนลงมือสอนจริง เพราะในชั้นเรียนอาจมีสถานการณ์คาดไม่ถึง เช่น นักเรียนไม่ให้ความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจ หรือเกิดการเข้าใจผิดในเนื้อหาที่สอนขึ้นได้เสมอ

วิธีหนึ่งที่เราอยากชี้ชวนให้คุณครูลองดู คือ การฝึกให้เขาริเริ่มที่จะวางแผนในการทำกิจกรรมหรือบางสิ่งบางอย่างที่สนใจ เป็นการบ้านช่วงวันหยุดหรือการบ้านประจำสัปดาห์ก็ได้ เช่น ไปเรียนว่ายน้ำ ฝึกทำกับข้าว เล่นหมากรุก เป็นต้น โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เขาคิดวางแผนรับมือกับปัญหาที่อาจพบระหว่างทางด้วยการใช้ Growth Mindset ให้มากที่สุด

ทั้งนี้ เพื่อให้เด็กๆ วางแผนและจัดระเบียบความคิดฝั่ง Growth Mindset เห็นภาพชัดเจน คุณครูควรมีแผ่นไกด์ไลน์ดังตัวอย่างด้านล่างนี้ให้พวกเขาเติมแผนการที่ตั้งใจว่าจะเรียนรู้และต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคอย่างไรล่วงหน้า


ตั้งเป้าเรียนรู้
ฉันอยาก เป่าขลุ่ย ให้ได้ภายใน ปิดเทอมนี้

ฉันสามารถค้นคว้าข้อมูลเรื่องนี้ได้จาก อาจารย์ดำเนินที่สอนดนตรีไทย และยูทูป

วิธีการที่ฉันจะลงมือเพื่อทำให้สำเร็จคือ ซ้อมเป่าขลุ่ยทุกวัน วันละหนึ่งชั่วโมง สมัครเข้าชมรมดนตรีไทย และเล่นกับวงโรงเรียน

อุปสรรคที่ขัดขวางฉันคือ เวลาน้อย ช่วงปิดเทอมต้องช่วยที่บ้านขายของและเลี้ยงน้อง เสียงขลุ่ยอาจรบกวนครอบครัวและเพื่อนบ้าน

ฉันจะขจัดอุปสรรคออกไปโดย จัดตารางเวลา ฝึกช่วง 9.00-10.00 เวลาเพื่อนบ้านไปทำงานแล้ว  ลูกค้าน้อย

ถ้าไม่เป็นไปตามคาดหรือผิดพลาด ฉันจะ ขอเวลาพ่อฝึกเป็นกิจจะลักษณะ และฝึกตามตารางเคร่งครัด

เจ้าความคิดฝ่ายอธรรมในใจฉันอาจพูดว่า ถ้ามันยากนัก ก็เลิกเป่าขลุ่ยเถอะ

ความคิดฝ่ายธรรมะในใจฉันจะตอบกลับไปว่า อุปสรรคแค่นี้จิ๊บจ๊อย แค่ฝึกบ่อยๆ เดี๋ยวเธอจะเก่งขึ้นเอง

ผลลัพธ์รูปธรรมที่แสดงว่าฉันเติบโตและเรียนรู้จากประสบการณ์นี้คือ
1.โน้ตพื้นฐาน  2. เล่นเพลงจบสองเพลง  3. ปล่อยคลิปตัวเองเป่าขลุ่ยลงยูทูป


วางแผนรับมือปัญหา

ปัญหาที่เจอระหว่างการฝึกคือ ฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่แข็งเพราะเรียนช้ากว่าเพื่อน
ปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขภายใน ปีการศึกษาหน้า

ฉันจะหาข้อมูลเพื่อแก้ปัญหาได้จาก ให้ครูช่วยหาบทความที่เหมาะกับระดับความเข้าใจของฉัน ให้ครู เพื่อน และที่บ้านช่วยติว และอ่านบทความในอินเตอร์เนทเยอะๆ

ฉันจะแก้ปัญหาโดย ให้ครูช่วยวัดประเมินการอ่านว่าภายในหนึ่งเทอม ฉันพัฒนาขึ้นมากน้อยแค่ไหน และฉันจะฝึกอ่านทุกวัน

อุปสรรคคือ ฉันอาจขี้เกียจเป็นบางวัน หรืออ่านบางคำไม่ได้

ฉันจะขจัดอุปสรรคโดย ให้กำลังใจตัวเองบ่อยๆ หาบทความหรือหนังสือภาษาอังกฤษในเรื่องที่สนใจมาอ่านจะได้ไม่เบื่อ เช่น  แฮรี่พอตเตอร์

ถ้าแผนที่วางไม่สำเร็จ ฉันจะ ให้ครูช่วยหาวิธีอื่น

Fixed Mindset อาจพูดว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย มีคนที่โง่กว่าเราในห้องอีก


Growth Mindset จะตอบว่า ฉันอยากอ่านให้เก่งเพื่ออ่านหนังสือหลากหลาย และยิ่งอ่านเยอะๆ บ่อยๆ ฉันก็จะอ่านได้คล่องเอง

ผลลัพธ์ที่แสดงว่าฉันพัฒนามากขึ้นคือ
ฉันอ่านภาษาอังกฤษและเข้าใจ 2.ฉันอ่านบทความหรือหนังสือได้โดยไม่ต้องเปิดดิคทุกคำ  3. คะแนนการอ่านเพิ่มขึ้นในเทอมหน้า 

อะไรเป็นชนวนที่จุดให้ Fixed Mindset ปะทุขึ้น

เมื่อแผนการสอนตั้งเป้าหลักไปที่การส่งเสริมให้นักเรียนใช้ความคิดฝั่ง Growth Mindset เป็นนิสัย ครูเองก็ต้องชี้ให้ผู้เรียนเห็นด้วยว่าพฤติกรรมแบบไหนหรือสถานการณ์แบบใดที่เป็นชนวนให้ Fixed Mindset ในหัวของพวกเขาทำงาน

ตัวอย่างสถานการณ์ที่จะทำให้ Fixed Mindset ระเบิดอานุภาพทำลายล้างความมุ่งมั่นตั้งใจให้กลายเป็นฝุ่นผง เช่น เวลาเด็กๆ กำลังอารมณ์ไม่ดีหรือโมโหกับบางเรื่องอยู่จนพาลหมดกะจิตกะใจ หรือเมื่อกดดันตัวเองมากไปจนอ่อนล้า หรือเมื่อไม่อยากไปเรียนเพราะทะเลาะกับเพื่อน เป็นต้น เมื่อยกตัวอย่างชนวนที่ทำให้เกิดความรู้สึกลบและท้อแท้เหล่านี้ให้พวกเขารู้แต่เนิ่นๆ เวลาเกิดขึ้นจริงพวกเขาจะเข้าใจและจัดการมันได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

ยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆ ในชั้นเรียน Growth Mindset ที่สำคัญด้วย เช่น บรรยากาศการเรียนการสอนที่ครูต้องสนับสนุนให้กล้าคิดกล้าผิด กับเสริมแบบฝึกหัดและโจทย์ปัญหาที่ยาก ท้าทายความสามารถนักเรียนให้มากพอ นอกจากนี้ ครูต้องลดคุณค่าความสำคัญของวัฒนธรรมการเอ่ยชมตัวบุคคล (ประเภท ‘ฉลาดจังเลย’ ‘เก่งมาก’ ‘หัวดีนี่นา’) และการวัดผลสำเร็จด้วยคะแนนเพียงอย่างเดียว

อีกทั้งต้องเข้าใจด้วยว่าตามธรรมชาติของจิตใจ ไม่มีใครหยุดความคิดด้านลบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้น Fixed Mindset จึงไม่ใช่สิ่งต้องห้ามในห้องเรียน ทำการตกลงกันว่าถ้าเด็กๆ หรือแม้แต่ครูเองเผลอพูดตามเสียงจากฝั่งลบนี้ เราจะพยายามช่วยกันและกันควบคุมมันให้ได้มากที่สุด

ทั้งหมดนี้ ปลายทางความสำเร็จอาจไม่สำคัญเท่ากับความทุ่มเทพยายามที่มีแผนรองรับอย่างรอบคอบในการรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นระหว่างทางเพื่อสร้างนิสัยให้ตัวเองไม่ล้มเลิกกับสิ่งใดง่ายๆ ขอยกคำกล่าวของดเวคที่ฝากถึงคุณครูผู้มีภารกิจติดตั้งอาวุธชุดนี้ให้กับสมองเด็กๆอยู่ในมือว่า “การจะสอนให้เด็กมี Growth Mindset นั้นไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยการพูดให้ฟัง แต่ต้องให้เขาลงมือปฏิบัติจนเข้าใจและพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่อย่างต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด”

อ้างอิง:
Hundley, A. B. (2016). I Got This! In The Growth Mindset Coach (pp. 175-187). CA: Ulyssess Press.

Tags:

เทคนิคการสอนGrowth mindset

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

เพชรลัดดา แก้วจีน

นักวาดภาพประกอบอิสระ มีความสนใจปรากฏการณ์ต่างๆในสังคม ชอบสังเกตผู้คน เขียนบันทึก และอ่านหนังสือ ยามว่างมักใช้เวลาไปกับการดริปกาแฟและเล่นกับแมว

Related Posts

  • Learning Theory
    เรียนรู้ตามอัธยาศัย “เรียนในเรื่องที่อยาก ถึงยากก็อยากลอง”

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed Mindset
    ง่ายเกินไปก็ไม่เรียนรู้ ‘ความยากลำบาก’ จึงเป็นหนึ่งในวิชาที่เราต้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)
    EF-GRIT-GROWTH MINDSET 3 บทความ ชวนพรินท์ให้ลูกและศิษย์อ่าน

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    VOCABY เกมฝึกและจำคำศัพท์ จากเด็กๆ ที่เกลียดภาษาอังกฤษเข้าไส้

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Growth & Fixed Mindset
    ครูกับครู ครูกับพ่อแม่ ครูกับนักเรียน: สามพลังสร้าง GROWTH MINDSET

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel