Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Life Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique TeacherCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย

Year: 2019

อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่
EF (executive function)
12 March 2019

อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

ข้อเขียนต่อไปนี้ แปล เก็บความ ตัดทอน ตีความ และเขียนเพิ่มเติมจากบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ในวารสารกุมารแพทย์ที่มีชื่อเสียง คือ

Yogman M, Garner A, Hutchinson J, et al; AAP COMMITTEE ON PSYCHOSOCIAL ASPECTS OF CHILD AND FAMILY HEALTH, AAP COUNCIL ON COMMUNICATIONS AND MEDIA. The Power of Play: A Pediatric Role in Enhancing Development in Young Children. Pediatrics. 2018;142(3):e20182058

ตอนนี้เป็นตอนจบ

ในตอนท้ายของบทความชิ้นนี้บอกว่าทั่วโลกกำลังประสบชะตาเดียวกัน มิจำเพาะบ้านเรา

ครอบครัวทุกวันนี้เผชิญความกดดันจากเรื่อง ‘ความสำเร็จ’ และเชื่อว่าความสำเร็จของชีวิตเกิดจากการรีบเข้าโรงเรียนดีๆ มีการบ้านมากๆ อ่านออกเขียนได้คิดเลขได้เร็วๆ มีการสอบมากๆ คะแนนสอบดีๆ เข้าสู่โรงเรียนมัธยมที่ดีกว่า ตามด้วยมหาวิทยาลัยที่ดีกว่า นำไปสู่การงานที่มั่นคงกว่า ร่ำรวยกว่าและเครือข่ายทางสังคมที่สูงกว่า

ความคาดหวังเหล่านี้นำมาซึ่งความเครียด เป็นความเครียดที่เสาะหามาเองเพื่อกดดันตนเอง ความต้องการเหล่านี้นำมาซึ่งเวลาที่เด็กได้เล่นโดยอิสระลดลง เวลากินข้าวร่วมกับครอบครัวลดลง และการอ่านนิทานก่อนนอนลดลง

อาจจะมีพ่อแม่ที่ไม่อยากจะทำกับลูกแบบนี้ แต่เมื่อเห็นเพื่อนบ้านส่งลูกไปเรียน เพื่อนที่ทำงานส่งลูกไปติว ญาติผู้ใหญ่พร่ำเตือนว่าลูกจะไม่ทันคนอื่น ความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นเอาชนะความไม่มั่นคงที่มีอยู่ก่อนแล้ว สุดท้ายทุกๆ คนก็ส่งลูกไปเรียนตั้งแต่เล็กๆ แล้วบ้านก็เต็มไปด้วยการบ้านในที่สุด

ไม่ได้เล่น ไม่ได้กินข้าวกับพ่อแม่ และไม่มีนิทานก่อนนอน

โทรทัศน์ เกม สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต เพิ่มปริมาณเวลาที่เด็กอยู่กับตัวเองมากขึ้น เรียกว่า passive play แย่งเวลาที่เด็กได้เล่นในสนามหรือเล่นกับพ่อแม่มากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า active free play การเรียนรู้ที่แท้เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับมนุษย์มากกว่าเด็กกับเครื่องจักร แต่แล้วพ่อแม่ที่ไม่มั่นคงก็จะเริ่มหวั่นใจว่าลูกของตนขาดโอกาสอะไรไปหรือไม่ ดูลูกเพื่อนบ้านหรือลูกของเพื่อนที่ทำงานเขาใช้เครื่องมือไอทีคล่องแคล่ว พูดภาษาอิเล็กทรอนิกส์ และมีของเล่นเกี่ยวกับเกมมากมายในขณะที่ลูกของเราเอาแต่ปีนป่ายต้นไม้ ความรู้สึกผิดนี้ทำให้พ่อแม่ที่ไม่มั่นคงอยู่ก่อนแล้วอดซื้อเครื่องเล่นอิเล็คทรอนิกส์หรือเกมคอมพิวเตอร์เข้าบ้านไม่ได้

และหลงเชื่อว่าคลิปดีๆ มีประโยชน์มากกว่าสนามดีๆ

มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าเด็กที่เล่นบล็อคไม้มีพัฒนาการด้านภาษาและทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่าเด็กที่ดูเทปเบบี้ไอนสไตน์

ปัญหาเรื่องการเล่นในสนามโดยอิสระนี้เป็นประเด็นความเหลื่อมล้ำด้วยดังที่ทราบกัน ครอบครัวที่ยากจนกว่าอาศัยอยู่ในย่านที่เป็นอันตรายมากกว่ากลับจะยอมลงทุนซื้อเกมคอมพิวเตอร์ให้ลูกเล่นมากกว่าที่จะปล่อยเด็กๆ ออกไปในสนาม นั่นยิ่งเท่ากับทำให้ความฉลาดรอบด้านของเด็กๆ ลดลงไปอีกส่งผลต่ออนาคตที่ยากจนหนักขึ้นอีก นอกเหนือจากที่เด็กเล่นเกมมักนำไปสู่โรคอ้วนมากกว่าเด็กเล่นในสนามอีกด้วย

ครอบครัวจำนวนมากไม่รู้จริงๆ ว่าของเล่นที่สำคัญและมีคุณค่าสูงสำหรับพัฒนาการด้านการคิดของเด็กคือบล็อคไม้ ดินน้ำมัน ชุดวาดเขียน วัสดุเหลือใช้ที่นำมาเล่นบทบาทสมมติ หรือลูกบอลสักลูกหนึ่ง มิใช่ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์หรือเกม

นอกจากนี้การเล่นกับพ่อแม่บนพื้นดินหรือในสนามมีประโยชน์มากกว่าการเล่นเกมด้วยกันโดยหันหน้าไปทางจอเดียวกัน แม้ทั้งสองอย่างจะอ้างว่าเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ก็ตาม

พ่อแม่ทำงานมากขึ้น พื้นที่เล่นที่ปลอดภัยลดลง ของเล่นอิเล็กทรอนิกส์และเกมคอมพิวเตอร์ที่มากขึ้น คลิปเสริมสร้างพัฒนาการที่วางขายมากขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กๆ มีโอกาสเล่นจริงๆ น้อยลงอย่างมากในหลายสิบปีที่ผ่านมา ทำให้เด็กไม่พร้อมเข้าสู่สังคมอย่างแท้จริง มีโรคทางกายแทรกซ้อนนานาประการ และเสียหายต่อ executive function (EF)

มีคำพูดให้ได้ยินเสมอว่ารีบไปโรงเรียนเพื่อไปเข้าสังคม แต่สังคมที่ว่านั้นมีนิยามแคบๆ เพียงว่าให้อยู่ในกรอบของระเบียบโรงเรียนหรือระเบียบสังคมที่กำหนด แต่ไม่มี ความยืดหยุ่น (resiliency) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากกว่าของการเข้าสังคม

มากกว่านี้คือไม่มีใครเชื่อว่าการเล่นช่วยเพิ่ม executive function (EF) พัฒนาการด้านภาษา และความสามารถทางคณิตศาสตร์สูงกว่า

ดีที่สุดคือการเล่นเป็นการเปิดวาล์วนิรภัย ระบายความกดดันออกไปจากใจเด็ก ระบายพลังที่ล้นเกิน เป็นท่อระบายของเสียที่เด็กได้รับมาในแต่ละวัน

เวลาพบปัญหาพฤติกรรมเด็ก อย่างไม่รู้อะไรเลย คือพาเด็กออกไปเล่น อะไรๆ จะดีเอง

Tags:

การเล่นประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงานEFและการศึกษา

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เล่นปาของดีอย่างไร? ดีตรงปาของเสียในใจออกไปให้ไกลที่สุด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน – ประโยชน์ 9 ข้อและ ‘พ่อมีอยู่จริง’ ของการเล่นบทบาทสมมุติ

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ด้วยการเล่นดีอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: เรียนรู้ที่จะหยุดเล่นแล้วไปทำงาน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เล่นแล้วได้อะไร ไม่เล่นแล้วเด็กจะเป็นอย่างไร

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์
Education trend
8 March 2019

เอาชนะหุ่นยนต์ได้ด้วยการ ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ และความฉลาดทางอารมณ์

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • คุณสมบัติหนึ่งที่นายจ้างมองหาคือ Empathy หรือความเข้าใจผู้อื่น
  • นอกจากความฉลาดทางปัญญาแล้ว ณ ปัจจุบันและอนาคต คุณสมบัติที่สำคัญกว่าคือ ความฉลาดทางอารมณ์
  • เพราะความฉลาดอย่างแรก หุ่นยนต์วิ่งไล่เรามาติดๆ บางอย่างก็วิ่งแซงด้วยซ้ำ แต่ความฉลาดอย่างหลัง ซับซ้อนเกินกว่าเครื่องจักรกลใดๆ จะเลียนแบบได้

ทำไมความฉลาดทางอารมณ์จึงเป็นคุณสมบัติจำเป็นที่ต้องมีในศตวรรษที่ 21?

เราคงได้ยิน ได้อ่าน ได้รับรู้มาระดับหนึ่งแล้วว่า ‘ฉลาดความรู้’ อย่างเดียว ก็อาจเอาตัวไม่รอดในยุคดิจิทัล ยุคเทคโนโลยีอัตโนมัติ หรือยุคหุ่นยนต์สมัยใหม่นี้

จอช คอบ์บ (Josh Cobb) ครูใหญ่กราแลนด์คันทรีเดย์สคูล (Graland Country Day School) เล่าในบทความ ‘Beyond Emoticons’ ของเขาว่า ครั้งหนึ่ง อลัน โนแวมเบอร์ (Alan November) ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีและการศึกษา เอ่ยถาม ซีอีโอของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งว่า

อะไรเป็นคุณลักษณะสำคัญที่คุณจะมองหาในตัวลูกจ้าง?

ซีอีโอ ท่านนั้นตอบเพียงสั้น  ๆ คำเดียวว่า Empathy

Empathy หรือ ทักษะการเข้าใจผู้อื่น ในทางปฏิบัติคือ ‘การเอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เป็นความสามารถของแต่ละคนในการรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้งและเข้าใจแบบหยั่งถึง จากมุมมองที่เขาใช้มองสิ่งต่างๆ หรืออาจจะบอกว่าเป็นคนที่อ่านความรู้สึกของคนอื่นออก (emotionally reading) และสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดีในแต่ละสถานการณ์ (tuning in)

ไม่ใช่แค่ซีอีโอท่านนั้น ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไหวพริบ (resourcefulness) การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (problem solving ) และ การวิเคราะห์ข้อมูล (information analysis) เป็นคุณลักษณะที่จำเป็นมากในโลกยุคใหม่ รวมทั้ง ทักษะการสื่อสาร (communication) การทำงานร่วมกัน (collaboration) การคิดวิเคราะห์ (critical thinking) และความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความฉลาดทางปัญญาและทางอารมณ์

ยกตัวอย่างเช่น ความคิดสร้างสรรค์และการคิดวิเคราะห์ต้องอาศัยการเข้าใจผู้อื่น (empathy) ด้วยเช่นกัน กล่าวคือ งานคิดออกแบบสร้างสรรค์ต้องอาศัยการเข้าใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้งเพื่อให้ผลิต

นวัตกรรมที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดและตรงตามความต้องการ เพราะฉะนั้นในกระบวนการออกแบบ การมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า หรือเข้าใจปัญหาที่มีอยู่ เป็นกระบวนการที่ควรเกิดขึ้นก่อนการระดมความคิด และลงมือสร้างชิ้นงาน

ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งนักเรียนของกราแลนด์ได้ออกแบบเครื่องซักผ้าที่ทำงานโดยใช้แรงโน้มถ่วงแทนไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ที่อาศัยอยู่ในชนบทในประเทศกำลังพัฒนาซึ่งยังไม่มีไฟฟ้าใช้

เห็นได้ว่าคุณลักษณะทั้งหมดที่ว่ามานั้นไม่ได้เกี่ยวกับความรู้ความสามารถอย่างเดียว แต่เกี่ยวข้องกับความฉลาดในการจัดการอารมณ์ หรือ Emotional Intelligence ด้วย

ในเมื่อคุณลักษณะเหล่านี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เราจะสอนเรื่องการเอาใจเขามาใส่ใจเราได้อย่างไร? ครูจะสอนให้นักเรียนเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นอย่างลึกซึ้งได้จริงหรือ? แล้วเราจะสร้างให้เด็กและเยาวชนมีความฉลาดในการจัดการอารมณ์ด้วยวิธีการไหน?

ก่อนจะไปถึงวิธีการ เรามาทำความเข้าใจเพิ่มเติมกันอีกสักหน่อยว่า ทำไมความฉลาดทางอารมณ์จึงสำคัญ

ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) และผู้เขียนหนังสือ “The Second Machine Age: Work, Progress, and Prosperity in a Time of Brilliant Technologies” อิริค บรินโอล์ฟซัน (Erik Brynjolfsson) และ  แอนดริว แมคเอฟี (Andrew McAfee) กล่าวถึง ยุคหุ่นยนต์ยุคที่ 2 (second machine age) ว่า ยุคนี้เป็นยุคที่หุ่นยนต์เริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองและพัฒนาขีดความสามารถของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว กระทั่งเข้าทำงานแทนแรงงานมนุษย์ในหลายส่วนที่แตกต่างกันมากขึ้น

แล้วมีอะไรบ้างที่หุ่นยนต์ยังทำไม่ได้ แต่มนุษย์อย่างเราทำได้และยังพอมีประโยชน์อยู่?

ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ความชำนาญกระฉับกระเฉง (dexterity) และความสามารถในการสื่อสารระหว่างบุคคล (interpersonal intelligence) เป็นทักษะที่มนุษย์เอาอยู่ ทั้งด้านอารมณ์ ความสัมพันธ์ การเอาใจใส่ดูแล การโคช การกระตุ้น การเป็นผู้นำและอื่น ๆ  

เช่นเดียวกับที่ โทมัส เอช. ดาเวนพอร์ท (Thomas H. Davenport) และ จูเลีย เคอร์บี้ (Julia Kirby) เขียนไว้ใน “Beyond Automation” ว่า มนุษย์ยุคอัตโนมัติจะต้องรู้วิธีการทำงานกับผู้อื่น (interpersonal intelligence) รวมทั้งรู้และเข้าใจความสนใจ (interests) เป้าหมาย (goals) และจุดแข็งของตัวเอง (strengths) หรือเรียกว่า intrapersonal intelligence

กลับมาที่เรื่องวิธีการ เมื่อความฉลาดทางอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็น แล้วโรงเรียนทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้มากกว่าแค่ความรู้

ที่กราแลนด์ พวกเขาเริ่มจากการจัดสรรเวลา 20 นาทีทุกวันให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสำหรับการให้คำปรึกษาแนะนำ และมีห้องเรียนที่ตอบสนอง (Responsive Classroom) ทุกเช้าสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา จากการลองผิดลองถูกในช่วงต้น ในที่สุดกราแลนด์ได้กำหนดช่วงเวลา 08:10 – 08:30 ช่วงเช้าทุกวันก่อนเริ่มบทเรียนให้เป็นเวลาสำหรับห้องเรียนที่ตอบสนองสำหรับชั้นประถมศึกษาและเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Developmental Designs หรือ การพัฒนาการออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ครูทุกคนจะได้เข้ารับการอบรมเพื่อเรียนรู้วิธีการโค้ชนักเรียน

ห้องเรียนที่ตอบสนองและการพัฒนาการออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ (The Responsive Classroom and Developmental Designs) คืออะไร?

คอบ์บ บอกว่า ทั้งสองอย่างมีความสำคัญต่อการสร้างการเรียนรู้ พวกเขานำการปฏิบัติอิงหลักฐาน (evidence-based programs) มาช่วยสร้างการเติบโตให้เด็ก ทั้งทางสังคม อารมณ์ และด้านวิชาการศึกษาไปพร้อม ๆ กัน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและปรับปรุงบรรยากาศภายในโรงเรียนให้ส่งเสริมการเรียนรู้

การพัฒนาห้องเรียนที่ตอบสนองมุ่งเน้นไปที่องค์ประกอบหลัก 4 ประการของการศึกษาระดับประถมศึกษา

  1. การมีส่วนร่วมทางวิชาการ (Engaging Academics)
  2. ชุมชนเชิงบวกในห้องเรียน (Positive Community)
  3. การจัดการที่มีประสิทธิภาพ (Effective Management)
  4. การติดตามพัฒนาการของเด็ก (Development Awareness)

ส่วนการพัฒนาการออกแบบการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ ช่วยให้นักเรียนพัฒนาทักษะตัวเอง  3 ด้าน ได้แก่

  1. สังคมและอารมณ์ (Social – Emotional)
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนในห้องเรียน และภายในโรงเรียน (Relationship and Community)
  3. วิชาการ (Academic)

โรงเรียนหลายแห่งกำลังเปลี่ยนวิธีการสอนเพื่อส่งเสริมความฉลาดทางวิชาการและทางอารมณ์ไปด้วยกัน ในบทความ“ Power Down or Power Up?” การศึกษาที่จำเป็นสำหรับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 โนแวมเบอร์ ย้ำว่า ผู้ใหญ่มักบอกเสมอว่าเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตของสังคมและประเทศชาติ เด็กและเยาวชนจะทำแบบนั้นได้ ผู้ใหญ่ต้องเป็นคนหนุนเสริมเครื่องมือและประสบการณ์ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อโรงเรียนมีวัฒนธรรมการสอนที่สร้างการเรียนรู้โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วม ยกตัวอย่างเช่น ให้นักเรียนมีส่วนช่วยคิดออกแบบหลักสูตร ระบุเรื่องที่นักเรียนสนใจอยากเรียนรู้จากความต้องการของนักเรียนเอง เป็นต้น

ในบทความ “Rethinking Curriculum for the 21st Century อาร์เทอร์ คอสตา (Arthur Costa) และ เบนา คาลลิค (Bena Kallick) กล่าวไว้ถึง 3 ข้อคิดในวิถีการเรียนการสอนแบบใหม่ ว่า โรงเรียนต้องสร้างวิถีการเรียนรู้ด้วยวิธีคิดใหม่

หนึ่ง จากการเรียนรู้เพื่อหาคำตอบ เปลี่ยนมาเป็นเรียนรู้ว่าควรคิดหรือทำอย่างไรเมื่อคำตอบคลุมเครือไม่ชัดเจน

สอง จากการสื่อความหมายในสิ่งที่เรียนรู้เพียงอย่างเดียว มาเป็นการต่อเติมสร้างความหมาย

และ สาม จากการประเมินโดยคนนอกมาเป็นการประเมินด้วยตัวเอง

ไม่ว่าโลกจะเดินทางไปในทิศทางไหน สิ่งที่พ่อแม่ โรงเรียนและผู้ใหญ่ทำได้ คือ การเตรียมความพร้อมให้เด็กและเยาวชนมีทักษะการเอาตัวรอดที่เป็นประโยชน์ติดตัวไปใช้ในอนาคต เมื่อความรู้อย่างเดียวไม่ใช่ทางออก ผู้ใหญ่จึงต้องช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ให้พวกเขาด้วย อย่างที่ แฟรงคลิน ดี. โรสเวลส์ (Franklin D. Roosevelt) อตีดประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บอกว่า

“เราไม่สามารถสร้างอนาคตให้ลูกหลานของเราได้เสมอไป แต่เราสามารถสร้างลูกหลานของเราให้มีความพร้อมสำหรับอนาคตได้”

“We cannot always build a future for our youth, but we can always build our youth for the future.”

หมายเหตุ

กราแลนด์คันทรีเดย์สคูล (Graland Country Day School) เป็นโรงเรียนเอกชนในเดนเวอร์ (Denver) รัฐโคโลราโด (Colorado) เปิดสอนนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อตั้งขึ้นในปี 2467 โดยผสมผสานวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย

Tags:

โซเชียลมีเดียพัฒนาการทางอารมณ์AI21st Century skillsนวัตกรรมความเข้าอกเข้าใจ(empathy)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • what-about-me-effect-nologo
    How to enjoy lifeSocial Issues
    ‘What About Me Effect’ แค่ถามหรือเรียกร้องความสนใจ ปรากฎการณ์ปัจเจกนิยมเกินเหตุในโซเชียลมีเดีย

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่น
    เปลี่ยนสถานการณ์รอบตัวให้เป็นห้องเรียนรู้แสนสนุก กับครอบครัวเพอร์เฟกท์ฮาร์โมนี

    เรื่องและภาพ วิรตี ทะพิงค์แก

  • Creative learningCharacter building
    OR HEALTH: ชุดปลูกต้นอ่อนข้าวสาลีอินทรีย์ที่ได้แรงบันดาลใจจากอาจารย์ผู้จากไปด้วยโรคมะเร็ง

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

  • Voice of New Gen
    E-SACK ถุงเพาะชำจากกากถั่วเหลืองและผักตบชวา ทำไม? ปลูกต้นไม้ยังต้องใช้พลาสติก

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ALGOLAXY: แอพฯ สอนอัลกอรึทึม เปลี่ยนความงงเป็นโอกาส ฝึกคิดให้เป็นระบบ 1-2-3-4

    เรื่อง

SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม
Social Issues
7 March 2019

SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ชวนสำรวจ ‘นโยบายด้านเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่’ ชาติพัฒนา ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และอนาคตใหม่ ไปดูว่าแต่ละมองเห็นและให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาอย่างไร และงัดนโยบายแบบไหนบ้าง ออกมาต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้

Tags:

การเลือกตั้งวัยรุ่นพลเมืองประชาธิปไตย

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Photographer:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ
Space
7 March 2019

มนตราการเรียนรู้ที่ ESC-EMPTY SPACE CHIANG MAI ผ่านความ ‘เงียบ’ งามของศิลปะ

เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

  • หนึ่งในกลุ่มงานศิลปะที่จัดแสดงในงาน Open Space Full@Empty #2 ณ ESC-Empty Space Chiang Mai คือละครหุ่นทั้งไร้เสียงและมีเสียง สุนทรียะที่พร้อมกระตุกต่อมจินตนาการทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่นับเอกลักษณ์ของละครที่พร้อมจะกระตุกต่อมคิดประเด็นทางสังคมไปในเนื้อในตัว
  • ท่ามกลางศิลปะหลายแขนงที่จัดแสดง The Potential หยิบละครหุ่นและละครเวทีมาเล่าให้ฟัง คือ กูจี กูจี โดย ยอด-เจริญพงศ์ ชูเลิศ, The Present โดย กลุ่ม Homemade Puppet & กลุ่ม Plasticity, From Lifeless to Life: When Masks Give Life สองเรื่องหลังเล่าสถานการณ์โลกอย่าง Environment Literacy อย่างเฉียบขาด
ภาพ: ปุณิกา พุณพาณิชย์

โลกการเรียนรู้ของสุนทรียศาสตร์มักเริ่มจาก ‘ความว่าง’ เช่นเดียวกับศิลปินนักการละคร ที่มอบพื้นที่ว่างให้กับคนดูก่อนแสดงเสมอ ทั้งเวทีที่ว่างเปล่า มืดสนิท ความเงียบงันบนเวที เหล่านี้ตั้งใจสร้างความว่างเปล่าให้เกิดขึ้น เป็นการทำงานกับความนิ่ง เงียบ สมาธิ เพื่อตั้งหลักคนดูก่อนเริ่มสร้างสรรค์การแสดง

เมื่อความพร้อมอันรู้กันของทั้งผู้แสดงและผู้ชมเกิดขึ้น ความเคลื่อนไหวปรากฏบนเวทีทั้งภาพ แสง สี เสียง กลิ่น การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก องค์ประกอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนเวทีละคร ณ ขณะการเติมเต็มพื้นที่ว่างนั้น ล้วนสร้างความหมายกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้ชมอย่างไม่รู้จบ นั่นคือมนตราการเรียนรู้ (magic of learning) ผ่านความงามของศิลปะ ซึ่งนำไปสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ของการเรียนรู้มากมายที่ผู้สร้างสรรค์ค้นพบคุณค่าของการเรียนรู้รูปแบบนี้มาชั่วอายุคน และไม่จำกัดเพียงการละครเท่านั้น แต่เป็นแก่นแกนของการเรียนรู้ผ่านศิลปะทุกแขนง

การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ณ ห้วงเวลาสั้นๆ ขณะที่คนดูมีประสบการณ์ส่วนตัวกับศิลปะ ช่างเรียบง่าย ผุดบังเกิดความสร้างสรรค์จากความว่างนี้ และอาจมีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยถ้าความลึกซึ้งสามารถสร้างคุณค่าร่วมที่ผู้คนล้วนพร้อมเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมร่วมกัน

The potential มีโอกาสตามรอยการเรียนรู้ของเด็กๆ เยาวชน พ่อแม่ คุณครู นักศึกษา ศิลปินนักการละครจากหลากหลายประเทศ รวมทั้งคนทำงานพัฒนาเยาวชนผ่านงานศิลปะหลากหลายรูปแบบที่มาเรียนรู้ร่วมกัน ณ ชุมชนทางศิลปะ เอ็มพ์ตี้สเปซ เชียงใหม่ (ESC-Empty Space Chiangmai) พื้นที่สำหรับวิถีชีวิต ศิลปะ และการศึกษา (Space for Life, Arts and Education) ซึ่งกำลังจัดงาน Open Space Full@Empty #2* เมื่อวันที่ 23-24 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา

ละครหุ่นแห่งความเงียบ: ปฏิบัติการจินตนาการโดยไร้เสียงสั่งการ

ไฮไลท์ของงานอยู่ที่ช่วงค่ำ คืนนี้พวกเรารวมตัวกันอยู่ที่โรงละครไม้เล็กๆ ที่จุผู้คนราว 50-60 คนภายในเอ็มพ์ตี้สเปซ เชียงใหม่ แสงไฟส่องสว่างภายในโรงละครทำให้มองเห็นนิทรรศการภาพถ่ายผลงานฉากละครของ มานูเอล ลุทเกนฮอสท์ จัดวางอยู่รอบโรงละคร เสียงซุบซิบเล็กๆ ของเด็กๆ ดังลอดออกมาจากโรงละคร ซึ่งขณะนั้นยังคงเงียบ มืด และ ว่างเปล่า เหมือนตื่นเต้นที่จะได้ชมผลงานการแสดงที่พวกเขารอคอย  

เมื่อไฟโรงละครสว่างขึ้นกลางเวที ตัวละครชายในชุดสีแดงปรากฏขึ้น เราเห็นนักแสดงเชิดหุ่นสายพม่ายืนอยู่เบื้องบน เส้นเชือกที่โยงมายังส่วนต่างๆ ของหุ่น ทำให้เราจดจ้องไปที่หุ่นละครขนาดเพียงหัวเข่าของนักแสดง เมื่อดนตรีดังขึ้น หุ่นเริ่มขยับมีชีวิตชีวา เด็กๆ ต่างตื่นเต้นที่ได้ชมการแสดงโหมโรงที่น่าอัศจรรย์นี้ เพราะหุ่นมีชีวิต ขยับขา ขยับมือ ร่ายรำตามจังหวะทำนองได้อย่างงดงาม เราสังเกตว่าเด็กๆ จ้องตาเขม็ง สายตาในฐานะโสตประสาทสำคัญที่ใช้เพื่อรับสุนทรียะความงดงามของสี แสง เพื่อค้นหา ‘ความหมายภายใต้ความว่าง’ การเปิดการแสดงด้วยละครหุ่น ราวกับฝึกความจดจ่อและรับรสความงามผ่านสายตา และการตีความหมายการเคลื่อนไหวของหุ่นละครในทิศทางต่างๆ ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์โดยไร้เสียงสั่งการ

‘กูจี กูจี’ ละครหุ่น (ไม่เงียบ) ที่เด็กๆ ช่วยส่งเสียงหาคำตอบ

ละครเรื่องต่อมา คือละครหุ่นเงาดัดแปลงจากนิทาน เรื่อง ‘กูจี กูจี (Guji Guji)’ เรื่องและภาพโดย เฉิน จื้อหยวน สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก โดย ยอด-เจริญพงศ์ ชูเลิศ ศิลปินและนักกิจกรรมพัฒนาเด็กและเยาวชนผ่านงานศิลปะ นำมาจัดแสดงในวันนี้  

“ช้าง ช้าง ช้าง น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา จมูกยาวๆ เรียกว่างวง มีเขี้ยวใต้งวงเรียกว่างา มีหู มีตา หางยาว” คือ เพลงที่พี่ยอดชวนเด็กๆ ร้อง ก่อนเริ่มแสดง ละครเรื่องนี้ไม่ได้เล่นเรื่องช้าง แต่เล่าเรื่อง ‘กูจี กูจี’ ซึ่ง ‘กูจี กูจี’ เป็นอะไรนั้น เป็นคำถามที่ตั้งไว้ให้เด็กๆ ได้รอคอยค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง

การแสดงหุ่นเงาในกล่องผ้าเล็กๆ สีขาวที่วางตั้งคอยอยู่บนเวที ในความเงียบและไฟที่ดับมืดของโรงละคร เมื่อไฟในจอหุ่นเงาฉายขึ้น เรามองเห็นเงารูปไข่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาที่ละใบ พี่ยอดชวนเด็กนับไข่ทีละใบ จนครบ 3 ใบ ก่อนที่จะมีไข่ใบหนึ่งกลิ้งตกลงมาจากภูเขามาอยู่ในรังไข่เป็ดและแตกออกเป็น ‘เป็ดน้อย’ 3 ตัว

แต่ตัวสุดท้ายไม่ใช่เป็ด “นี่มันไดโนเสาร์!” เด็กๆ ตะโกนโต้ตอบ ขณะที่พี่ยอดบอกว่า นี่คือ ‘กูจี กูจี’ แม่เป็ดและพี่น้องเป็ดต่างรักและฟูมฟักลูกน้อยตัวนี้ ทำให้ ‘กูจี กูจี’ เติบโตมาอย่างเป็ดตัวหนึ่ง

วันหนึ่ง ‘กูจี กูจี’ พบสัตว์ที่รูปร่างเหมือนตัวเอง และค้นพบว่าที่จริงแล้วตัวเองไม่ได้เป็น ‘เป็ด’ แต่เป็น ‘จระเข้’ และโดนโน้มน้าวให้พาพี่น้องเป็ดมาให้ฝูงจระเข้กิน ขณะที่ ‘กูจี กูจี’ รู้สึกสับสนมากที่ตัวเองไม่ใช่ ‘เป็ด’ เขามองเงาตัวเองในน้ำ แล้วลองทำท่าน่ากลัวแบบจระเข้ ด้วยความน่ารักของมันทำให้เงานั้นดูตลกมากจนต้องขำตัวเอง

‘กูจี กูจี’ ขบคิดและพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่ใช่จระเข้ แล้วก็ไม่ใช่เป็ด แต่ฉันเป็นจระเป็ดต่างหาก” คิดได้ดังนั้น ‘กูจี กูจี’ จึงไม่หลงไปกับคำหลอกล่อของเจ้าจระเข้ แม้ว่าจะรูปร่างหน้าตาดุร้าย แต่ก็ยืนยันตัวตนของตัวเอง ในคุณค่าความดีงามภายใน ที่รักเพื่อน พี่น้อง ไม่อาจทำร้ายทุกคนได้

ระหว่างดูหุ่นเงา เราได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กๆ ดังขึ้นตลอด ทั้งยังสามารถส่งเสียงความคิดในหัวโต้ตอบได้อย่างอิสระ

หลังละครจบลง พี่ๆ ถามว่าทำไม ‘กูจี กูจี’ รู้ตัวว่าเป็นจระเข้ถึงไม่กินลูกเป็ด “กูจี กูจีน่ากลัวไหม” “ทำไม กูจี กูจี ถึงเป็นจระเป็ด” คำตอบมากมายต่างพรั่งพรู

เราเชื่อว่าความเป็นไปได้ในโลกของการเรียนรู้ผ่านละคร การกล้าส่งเสียงอย่างไม่มีผิดไม่มีถูก ทำให้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ที่มาดูทำงานได้อย่างเต็มที่ และนี่เป็นการเรียนรู้ที่หาได้ยากจากวิธีการเรียนการสอนแบบอื่นๆ

The Present: ละครหุ่นเงาไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น แต่ดูจบแล้วเด็กๆ อยากเอามาส์คปิดปากกันฝุ่นควัน

ละครหุ่นเงาเรื่องถัดมามีฉากเป็นผ้าสีขาวขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์ฉายเงาวางอยู่หน้าเวที ชวนให้เด็กๆ อยากรู้ว่าละครเรื่องนี้จะสร้างความอัศจรรย์อย่างไร และละครเรื่องนี้คือ The Present ละครหุ่นเงา โดยกลุ่ม Homemade Puppet & กลุ่ม Plasticity เป็นความร่วมมือระหว่างศิลปินชาวไทย สุธารัตน์ สินนอง และกลุ่ม Plasticcity ศิลปินชาวมาเลเซีย ที่เตรียมสร้างสรรค์ละครเรื่องนี้ไปแสดง ณ Performing Arts Centre of Penang (penangpac) เมืองจอร์จทาวน์ รัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 8-10 มีนาคม 2562 นี้

The Present เล่าเรื่องผ่านเงา ภาพ และเสียง โดยไม่มีบทพูด เอื้อให้เด็กๆ และผู้ชมใช้ความคิดและจินตนาการได้อย่างเต็มที่ ในความมืดของแผ่นจอไม่นาน เราเห็นแสงเงาปรากฏบนจอเป็นสีและรูปทรงอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เพียงฉายไฟพาดผ่านวัตถุหน้าเวที ทั้งกระดาษตัด ถังน้ำพลาสติกใส ขวดแก้ว กระดาษแก้ว และอื่นๆ จินตนาการให้เราเห็นตึกสูงระฟ้าและเมืองใหญ่ เมื่อไฟดับลงอีกครั้ง จอภาพด้านหลังปรากฏภาพ ‘เด็กชาย’ คนหนึ่งสวมหน้ากากช่วยหายใจกระโดดโลดเล่นอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ทำให้เราครุ่นคิดมากขึ้นว่าเพราะอะไรเด็กชายคนนี้ถึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและเล่นอยู่เพียงลำพังในห้องแคบๆ ไปไหนไม่ได้? และนั่นทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดไปด้วย

ทันใดนั้นมีแสงไฟเล็กๆ สีเขียวเข้ามาในห้อง ดั่งของขวัญที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กชายรีบคว้าจุดเล็กๆ นั้นไว้

ฉับพลันมหัศจรรย์เริ่มเกิดขึ้น เด็กชายหลุดเข้าไปในมิติลึกลับ ดำดิ่งลึกไปใต้น้ำสีฟ้าคราม เขาท่องเที่ยวไปในมหาสมุทรที่มีแต่ปะการัง ปลาประหลาด ท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ จนพบวาฬตัวมหึมาที่ทำให้เด็กๆ ผู้ชมต่างร้อง ว้าว! พร้อมๆ กัน เพราะแสงเงาที่เป็นคลื่นสะท้อนมายังจอภาพสวยมาก… แต่ความงามกลับมีไม่นานนัก ในฉากพาเราไปให้เห็นโรงงานกลั่นน้ำมันกลางทะเล โรงงานอุตสาหกรรมหนัก ที่ต่างปล่อยของเสียและสร้างคลื่นโซน่าที่รบกวนเหล่าปลาน้อยใหญ่ วาฬตัวโตที่เด็กๆ เห็นและชื่นชอบต่างลอยตาย เด็กชายหลุดเข้าไปในโรงงานอย่างทุลักทุเล

ภาพตัดมาฉากที่เด็กชายเดินทางมาถึงป่าใหญ่เขียวขจี เขาได้วิ่งเล่นใต้ต้นไม้ใหญ่ เล่นกับสัตว์ต่างๆ ทั้งกระต่ายน้อย ช้าง นก ลิง แต่ไม่ทันไร ป่าก็เริ่มถูกเผาไหม้ เหมือนเป็นเศษไม้ที่ถูกกวาดออกไปโดยไม่เห็นค่า เพื่อสร้างตึกสูงใหญ่ ฝุ่นลอยคลุ้ง ทำให้เด็กชายต้องสวมหน้ากาก สถานการณ์นี้เองที่ต่อมาอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเห็นภาพว่าเด็กชายต้องอยู่ในโลกของขวดใส ถูกปิดฝาไว้เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดได้

ละครหุ่นเงาจบลงด้วยภาพเด็กชายสวมหน้ากาก เสียงหายใจแผ่วเบาผ่านเครื่องสูดอากาศอันอึดอัดกับโลกใบแคบที่เขาอาศัยอยู่ ชวนให้นึกถึงโลกอนาคตที่เรามีโอกาสจะเป็นแบบนั้น เด็กชายที่ได้มีโอกาสเข้าไปในจินตนาการของโลกอันมีธรรมชาติที่สมบูรณ์ในอดีต กลับต้องอาศัยอยู่ในขวดแก้วที่มีเพียงอากาศอันน้อยนิด กับกองหนังสือ โต๊ะหน้าต่างบางส่วนที่เขาใช้เพื่อมีชีวิตอยู่ ไม่มีแม้แต่ต้นไม้ สัตว์ป่า แม่น้ำ มหาสมุทร

เหมือนละครกำลังตั้งคำถามแรงๆ กับผู้ชมทุกคนว่า “เราควรจะทำอย่างไรเพื่อรักษาโลกอันงดงามใบนี้ไว้?”

ละครกำลังเอาเรื่องยากให้เด็กๆ ได้ขบคิด ใช้วิจารณญาณ แต่ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัว เพราะวันนี้อากาศที่เชียงใหม่กำลังเป็นพิษ หลักฐานคือสัญลักษณ์สีแดงในดัชนีคุณภาพอากาศ (Air Quality Index : AQI)  สาเหตุที่ทุกคนรู้ว่าเกิดจากการเผาไหม้จากท่อไอเสียยานพาหนะ ไฟป่า และอุตสาหกรรม

หลายคนในวันนี้ต้องใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นไม่ต่างจากตัวละครในเรื่อง The Present แม้เป็นเรื่องยากแต่กลับให้ ‘ของขวัญ’ กับพวกเรา นั่นคือการตระหนักรู้ถึงสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ปลุกให้เราตื่นขึ้นเพื่อร่วมคิดหาทางออกและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยไม่นิ่งเฉย ให้เราได้ตระหนักถึงการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ ธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่อื่นๆ ทั้งในป่า แม่น้ำ และมหาสมุทร

ศิลปะ ในความเงียบที่เด็กๆ นั่งดู พร้อมเสียงร้องว้าวกับความตื่นตาตื่นใจในแสงเงานั้น กลับมี “ความคิดและกระบวนการทางปัญญา” ที่ทำงานอยู่ผ่านความรู้สึกสัมผัส โดยที่เราแทบไม่รู้ตัว และนี่คือเทคนิคทางศิลปะในการเล่าเรื่องยากให้ง่ายงาม และน่าติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง เป็นการทำงานที่แยบยลกว่าการเรียนรู้ผ่านรูปแบบอื่นๆ เช่น การสอนสั่ง

From Lifeless to Life: When Masks Give Life: ละครหุ่นที่มีพลาสติกเต็มเวที

ไม่รอช้าการจัดวางละครชุดสุดท้ายของวันนี้เหมือนจงใจเป็นละครที่แสดงในประเด็น Environmental Literacy ต่อเนื่องจากละครหุ่นเงา เป็นละครหน้ากาก เรื่อง From Lifeless to Life: When Masks Give Life ผลงานจากนักศึกษาสาขาดนตรีและการแสดง คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับการอบรมจาก Gallis As ศิลปินชาวอินโดนีเซีย

ตัวละครหน้าตาแปลกตา ค่อยๆ เข้ามาสู่เวทีด้วยท่าทางแปลกประหลาด มีตัวละครตัวหนึ่งก้าวเข้ามาพร้อมชุดแต่งกายพลาสติก หยิบมือถือที่ดังขึ้นมาใช้เพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ เด็กๆ ต่างเข้าใจดีว่านี่คือพฤติกรรมปกติของผู้คนบนโลกสมัยใหม่ ตัวละครสวมหน้ากาก ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนเวทีกระโจนหยิบถุงพลาสติกออกมาใช้ทีละชิ้น ทีละชิ้น ฉับพลัน ถุงพลาสติกหลากสีกลับล้นมากมายจนเต็มเวที เด็กๆ ชวนกันขึ้นไปเก็บถุงพลาสติกกันสนุกสนาน ตัวละครที่สวมหน้ากากที่ใช้พลาสติก ถูกล้อมรอบด้วยพลาสติก ความหมายเหมือนต้องการให้ถุงพลาสติกลดลงและควบคุมไม่ให้พลาสติกล้นโลก ภาพดังกล่าวกำลังบอกอะไรเรา การที่เด็กๆ วิ่งขึ้นไปเก็บพลาสติกนั้นมันเกิดการเปลี่ยนแปลง อะไรข้างในสมองและจิตใจของเด็กๆ ขณะนั้น เราไม่อาจรู้ได้

สิ่งหนึ่งที่เราหวังคือ เด็กๆ ที่กำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตจะได้เรียนรู้การใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้ เราต่างรู้ดีว่าสถานการณ์ขยะล้นโลกล้วนส่งผลต่อสรรพสัตว์ สภาวะอากาศ และสภาวะแวดล้อมที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของเราทุกคนบนโลกใบนี้

พื้นที่ว่างอันว่างเปล่า ณ Empty Space ที่ถูกเติมเต็มอย่างเต็มที่ โดยกลุ่มศิลปินที่หลากหลาย นักศึกษา คนทำงานเยาวชน พ่อ-แม่ ผู้ปกครอง และเด็ก ต่างร่วมกันสร้างความหมายของการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า ศิลปะและความงามคงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการเรียนรู้ ที่เชื้อเชิญให้ทุกคนเข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์ที่นำพาให้เรา นอกจากได้เรียนรู้ความงดงามแล้ว การได้ครุ่นคิดร่วมกันบนพื้นที่แห่งนี้ จะเป็นปัญญาที่เราจะนำพาให้เด็กๆ แห่งโลกอนาคตของเรา ได้ยืนอยู่ด้วยความเป็นมิตรนำพาสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าส่งต่อธรรมชาติให้คนรุ่นต่อไปอย่างรู้คุณค่า

พื้นที่ว่าง จึงคือ จุดเริ่มต้นของพื้นที่การเรียนรู้…อย่างแท้จริง

Fun Fact

*Open Space Full@Empty #2 เพื่อระลึกถึงความทรงจำและมิตรภาพของเหล่าศิลปินคนทำงานศิลปะที่มีต่อ มานูเอล ลุทเกนฮอสท์ ศิลปินชาวเยอรมันผู้ล่วงลับ มานูเอลเป็นศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะในหลายๆ วงการในประเทศไทย อินโดนีเซีย พม่า ญี่ปุ่น เยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่เขาเดินทางไป ที่สำคัญเป็นผู้ที่ก่อตั้งพื้นที่แห่งความว่าง ESC แห่งนี้ ร่วมกับภรรยา คุณอรพรรณ ลุทเกนฮอสท์ และครอบครัว

ภายในงานจัดแสดงนิทรรศการบางส่วนจาก ‘Manuel Lutgenhorst: Behind the Scenes’ ‘ในความทรงจำและมิตรภาพกับโลกศิลปะ’ ซึ่งเคยจัดมาแล้วที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อ 1-10 ก.พ. ที่ผ่านมา นิทรรศการภายในงานครั้งนี้ได้จำลองแนวคิด บ้านพิพิธภัณฑ์ ชีวิตและผลงานของ มานูเอล ลุทเกนฮอสท์, พิพิธภัณฑ์หุ่นสายพม่า, งานแสดงเซรามิค จาก Empty space studio, ศิลปะจัดวาง โดย Chatchaiwat pottery Studio และ Reinhard Zabka

นอกจากนี้ยังมีเวิร์คช็อปหุ่นเงาใบไม้ โดยยอด-เจริญพงศ์ ชูเลิศ, ละครหน้ากาก โดย Gallis As ศิลปินจากประเทศอินโดนีเซีย กิจกรรมปั้นดินสำหรับเด็กๆ จาก Empty Space Studio กิจกรรมทอผ้าและบอร์ดเกมจากศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า การทำศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ และการเต้นแบบโบราณ จากศิลปินโปแลนด์

Tags:

เชียงใหม่ศิลปะศิลปะการแสดงละครหุ่น

Author:

illustrator

กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร

บรรณาธิการเว็บไซต์ The Potential

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ประชาธิปไทป์ กับ วิชา ‘การเมืองในศิลปะของตัวอักษร’

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์ ภาพ ปรารถนา สำราญสุข

  • Unique Teacher
    อานันท์ นาคคง: เรียนมานุษยวิทยาดนตรีผ่านงานวัด งานประเพณี ถกเพลงประเทศกูมีในห้องเรียน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Unique Teacher
    พรรัตน์ ดำรุง: ครูละครผู้รื้อสร้างและสนใจว่านางสีดาคิดและพูดอย่างไร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Creative learning
    ให้ละครหุ่นบอกเด็กน้อยว่า อย่ายอมให้ผู้ใหญ่มาปิดกั้นจินตนาการของเรานะ

    เรื่อง

‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง
Social Issues
6 March 2019

‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

เรื่อง

  • เปิดนโยบายด้านเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ ชาติพัฒนา ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และอนาคตใหม่
  • โจทย์ใหญ่คือ ปิดเทอมอย่างไรให้สร้างสรรค์ ไม่ต้องตื่นเช้าทุกวันไปเรียนพิเศษ – ทุกพรรคต้องตอบให้ได้
  • ความน่าสนใจอยู่ที่ เด็กๆ ที่เข้ามาฟัง ส่วนใหญ่ตอบว่า ปิดเทอมอยากอยู่บ้าน
  • พรรคไหนทำการบ้านมาดี หรือ พรรคไหนที่เตรียมตัวมาน้อย เชิญตรวจสอบได้จากรายงานชิ้นนี้
เรื่องและภาพ: อรสา ศรีดาวเรือง

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเวทีแสดงนโยบายด้านเด็กและเยาวชนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ‘มุมมอง New Gen พรรคการเมืองกับเรื่องปิดเทอมสร้างสรรค์’ โดย สสส. เชิญตัวแทนจาก 5 พรรคมาร่วมนำเสนอ ได้แก่ ชาติพัฒนา ประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ เพื่อไทย และอนาคตใหม่

พรรคไหนทำการบ้านมาดี หรือ พรรคไหนที่เตรียมตัวมาน้อย เชิญตรวจสอบได้จากรายงานชิ้นนี้

1. พรรคชาติพัฒนา: เยาวภา บุรพลชัย

แนวคิด

  • ขจัดความเหลื่อมล้ำ เพราะปัจจุบันเด็กได้รับโอกาสทางการศึกษาไม่เท่ากัน โดยเฉพาะเด็กยากจนที่มีทางเลือกไม่มาก จึงเสียโอกาสในการพัฒนาศักยภาพเพื่อการทำงานในอนาคต อีกกลุ่มหนึ่งคือเด็กพิเศษหรือผู้พิการ ที่มีศักยภาพแต่เข้าไม่ถึงการศึกษา ถ้ามีสถานที่และสร้างบุคลากรที่มีศักภาพได้อย่างทั่วถึง จะสามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำให้กับเด็กในพื้นที่ห่างไกลได้
  • ช่องว่างระหว่างครอบครัว ทุกวันนี้พ่อแม่ต้องแข่งขันกันสูงมากเพื่อหาเงินมาดูแลครอบครัว หลายครอบครัวจึงไม่มีเวลาให้กัน การส่งลูกเข้าโรงเรียนเนิร์สเซอรียิ่งเพิ่มช่องว่างระหว่างครอบครัวและปัญหาสังคมที่ตามมาหลายด้าน ท้องไม่พร้อม ติดเกม ยาเสพติด เด็กแว้น ฯลฯ

นโยบาย

  • เด็กไทยสองภาษา สนับสนุนให้มีห้องเรียนดิจิตอลให้เด็กเรียนรู้ภาษาที่ 2 และ 3 เพื่อโอกาสในการศึกษาและประกอบอาชีพในอนาคต
  • คุณครูเทคโนโลยี อำเภอละ 1 ล้านบาท เพื่อให้ทุนครูที่มีศักยภาพออกไปเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นเพื่อมาพัฒนาท้องถิ่นตนเอง
  • นโยบายนักอ่าน นักคิด นักปฏิบัติ และนักนำเสนอที่เก่งกาจ
  • นโยบายอุทยานการเรียนรู้และคอร์สเรียนออนไลน์ (Thailand Knowledge Center) ที่เอื้อต่อเด็กทุกชนชั้นเพื่อลดความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา
  • Mini Sport Complex จัดกีฬาทั่วทุกอำเภอและ Mini Fitness ทุกหมู่บ้าน เพราะ ‘กีฬาสร้างคน คนสร้างชาติ’ จึงควรกระจายโอกาสให้ทุกคนได้เข้าถึงกีฬา เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและลดต้นทุนในการรักษาพยาบาล

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • ผลักดันค่ายเยาวชน และจัดกิจกรรมที่เด็กสนใจ ทั้งกีฬา ดนตรี ศิลปะ ภาษา สิ่งแวดล้อม เสนอกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็กในกลุ่มเสี่ยง โดยเปลี่ยนวิกกฤติเป็นโอกาส สร้างพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้และแสดงออก เช่น หาสถานที่ให้เด็กแว้นได้บิดมอเตอร์ไซค์เพื่อผลักดันให้เป็นนักแข่ง หรือสอนเรื่องเครื่องจักรกลสำหรับตกแต่งมอเตอร์ไซค์“กิจกรรมในช่วงปิดเทอมไม่ควรเป็นเรื่องหนักแต่ควรเป็นสิ่งที่เด็กสนใจ เพราะวัยรุ่นคือช่วงค้นพบตัวเอง และหากเขาได้รับการยอมรับจะรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง จะเป็นเกราะป้องกันเด็กจากสภาพแวดล้อมที่แย่” 

2. พรรคประชาธิปัตย์: พริษฐ์ วัชรสินธุ

แนวคิด

  • เด็กไทยสุขภาพเเข็งแรง
  • มี 4 ทักษะที่ตอบโจทย์โลกอนาคต นั่นคือทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะสองภาษาเพื่อการเท่าทันข่าวสารและการประกอบอาชีพ ทักษะการใช้ชีวิต และทักษะการใช้เทคโนโลยี

จริยธรรมที่เด็กไทยควรมี เคารพสิทธิของผู้อื่นในระบอบประชาธิปไตยตามนโยบาย ‘แก้จน สร้างคน สร้างชาติ’ เพราะพรรคเชื่อว่าการพัฒนาและลดความเหลื่อมล้ำที่ยั่งยืนที่สุดคือการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้เด็กไทยเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม

นโยบาย

  • โครงการเบี้ยเด็กเข้มแข็ง 1,000 บาท ต่อเดือนสำหรับเด็ก 0-8 ขวบทุกคน เพื่อโภชนาการที่สมบูรณ์ของเด็กไทย
  • ลงทุนด้านการศึกษาในระดับปฐมวัย โดยเพิ่มศูนย์เด็กเล็กคุณภาพทั่วประเทศและฝึกฝนบุคลากรครูที่เหมาะสมกับเด็กวัยอนุบาล เพราะเด็กในพื้นที่ชนบทยังเข้าไม่ถึงการดูแลที่มีคุณภาพ
  • ปรับปรุงหลักสูตรระดับประถม-มัธยม พลิกบทบาทห้องเรียนจากที่ครูเป็นผู้สอนในห้องเรียน เปลี่ยนเป็นให้การบ้านเด็กไปหาข้อมูลเพื่อนำมาคิดวิเคราะห์และทำงานเป็นทีมในห้องเรียน
  • นโยบาย English For All เพื่อฝึกทักษะภาษาอังกฤษโดยการเปลี่ยนจากเน้นเรื่องไวยากรณ์เป็นการให้เด็กกล้าคิดกล้าพูดภาษาอังกฤษ ลดค่านิยมเก่าที่เน้นสำเนียงเพื่อเพิ่มความกล้าให้เด็กมากขึ้น
  • นโยบายคืนครูให้นักเรียน นำเทคโนโลยีมาลดการจัดการด้านธุรการในโรงเรียน เพื่อครูจะได้ใช้เวลากับนักเรียนอย่างเต็มที่
  • ปรับวิธีการประเมินโรงเรียนและครู โดนเน้นไปที่ผลลัพธ์จากการส่งต่อสู่นักเรียน
  • ปรับสัดส่วนการเรียนสายสามัญและสายอาชีพให้สมดุลกัน สัดส่วนการเรียนต่อสายสามัญกับสายอาชีพปัจจุบันอยู่ที่ 70:30 เพื่อรองรับตลาดงาน พรรคจะขยายโครงการเรียนฟรี 15 ปี เป็นเรียนฟรีถึง ปวส. ยกระดับคุณภาพของสถาบันอาชีวศึกษาโดยร่วมมือกับภาคเอกชนและผู้ประกอบการช่วยกันออกแบบหลักสูตร ‘ทวิภาคี’ คือการให้สถานที่ฝึกงาน ให้ครูฝึก และมีสัญญาว่าจ้างรองรับ
  • สนับสนุนการศึกษาตลอดชีวิต โดยให้คูปองฝึกทักษะสำหรับผู้ใหญ่ที่มีความต้องการเปลี่ยนสายอาชีพให้เข้าสู่ระบบการศึกษาได้ เพราะการเรียนรู้ถึงแค่อายุ 21-25 ปีนั้นไม่เพียงพอแล้วในโลกปัจจุบัน
  • ตั้งกองทุน Smart Education ซึ่งจะมี Social Enterprise และ Startup ด้านการศึกษา รวมถึงการนำเทคโนโลยี EdTech (Education Technology) เพื่อใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน และการสอบ ให้มีประสิทธิภาพโดยเชื่อมโยงภาครัฐและภาคเอกชนมาช่วยกันพัฒนาระบบการศึกษาผ่านเครื่องมือเทคโนโลยี
  • กระจายอำนาจจากส่วนกลาง คืนอำนาจการตัดสินใจให้โรงเรียน สามารถกำหนดการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและขนาดของพื้นที่ โดยกระทรวงศึกษาฯ มีหน้าที่คำนวณงบประมาณให้เพียงพอต่อจำนวนของเด็กและขนาดของโรงเรียนเท่านั้น

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • เด็กเล็ก – ใช้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุด เพราะสิ่งสำคัญของเด็กเล็กคือความอบอุ่นและการปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่น โดยเพิ่มสถานที่สร้างสรรค์ให้ครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ไปสวนสัตว์ ไปสวนสนุก เพื่อเปิดโลกให้กับเด็ก และทำอย่างไรให้สถานที่สร้างสรรค์เหล่านี้ครอบคลุมทั่วประเทศโดยการกระจายความเจริญออกไป และทำอย่างไรให้ครอบครัวที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงกิจกรรมได้
  • ประถม – ค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบและถนัด โดยการเพิ่มพื้นที่สร้างสรรค์ให้เด็กได้ค้นหาตัวเองทั้งโลกออฟไลน์และออนไลน์ และผลักดันให้สื่อผลิตเนื้อหาที่สร้างสรรค์และดึงดูด เช่น รายการ หนังพาไป และ English Room รวมถึงเปลี่ยนค่านิยมว่าความสำเร็จในชีวิตไม่จำเป็นว่าต้องเก่งเสมอไป ทำลายกรอบนี้เพื่อสร้างความเข้าใจว่าความสำเร็จมีหลายรูปแบบ
  • มัธยมและอุดมศึกษา – ให้เด็กมองเห็นอนาคต เช่น โครงการฝึกงานที่มีองค์ประกอบดังนี้ หนึ่ง เด็กต้องได้ทำงานจริงมากกว่าแค่ถ่ายเอกสารหรือชงกาแฟ สอง สร้างความมั่นคงโดยมีสัญญาว่าจ้างหากเด็กทำงานได้ดี

3. พรรคพลังประชารัฐ: ไกรเสริม โตทับเที่ยง

แนวคิด

  • การสร้างโอกาส = การสร้างอนาคต หัวใจสำคัญคือ บูรณาการระบบให้เกิดความเท่าเทียม เพราะกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมีบริบทที่ต่างกัน หลายพื้นที่ในชนบทยังไม่สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาขั้นต่ำได้ สาเหตุคือ ภาระของพ่อแม่ ดังนั้น รัฐต้องสนับสนุน และให้เครื่องมือเพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา
  • เรียนให้น้อย รู้ให้ตรงจุด และใช้ประโยชน์กับมันได้ ตามวิธีคิดแบบ High Scope ส่งเสริมการเรียนที่ไม่ใช่แค่ท่องจำ ส่งเสริมความสนใจของเด็กเพื่อให้เด็กตอบตัวเองได้ว่าอยากจะเรียนอะไร โดยเริ่มจากสถานรับเลี้ยงเด็ก จุดเริ่มต้นของการพัฒนาและการเรียนรู้ด้วยตัวเอง 

นโยบาย

  • ธนาคารเพื่อการศึกษา ต่างจากการกู้ยืมเงิน แต่เป็นกองทุนกู้ยืมให้เยาวชนที่อยากเรียนต่อ โดยวัดจากผลสำเร็จทางการศึกษาของเด็ก จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว เพื่อสร้างระบบหมุนเวียนเงินที่ดีมากกว่าแค่การกู้หนี้ยืมสินนอกระบบของผู้เป็นพ่อและแม่ และให้เด็กได้เข้าไปสู่ระบบการศึกษาที่ดี ทั่วถึง และวัดผลได้ และเพราะการศึกษาเป็นเรื่องของทุกภาคส่วน พรรคจึงมีแนวทางในการดึงภาคเอกชน และสังคมเข้ามามีส่วนร่วมด้วย
  • นโยบายมารดาประชารัฐ สนับสนุนการสร้างคุณภาพของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของแม่ ให้ได้เข้าถึงสิ่งที่ดีและออกมาจากครรภ์อย่างมีคุณภาพต่อสังคม

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • 50 สวนสาธารณะ 50 Creative Space เพื่อเพิ่มพื้นที่ทำกิจกรรมในหลากหลายด้านของครอบครัว และพื้นที่เรียนรู้ของเด็กเพราะเวลาว่างสร้างสรรค์สามารถทำได้ทุกวัน เด็กแต่ละวัยล้วนแตกต่างกัน การปิดเทอมจึงต่างกัน ตั้งแต่การใช้เวลาว่างอยู่บ้าน เรียนรู้สิ่งที่ตนเองชอบและสนใจ เช่น ฝึกดนตรี ศิลปะ อ่านหนังสือ

“สำคัญตรงที่เราเปิดโอกาสให้เขารับรู้มากขนาดไหน”

4. พรรคเพื่อไทย: ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส

แนวคิด

เด็กมีความฝันแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรต้องไปให้ถึง จากอุปสรรคหลายอย่าง เช่น ภาระค่าใช้จ่ายที่พ่อแม่ต้องแบกรับ หนี้สิน จนก่อปัญหาครอบครัว ภาครัฐเองก็ไม่ได้ดูแลเท่าที่ควร ทั้งที่ภาครัฐต้องทำหน้าที่เป็น Facilitator อำนวยความสะดวกด้านการศึกษาให้เด็กๆ

นโยบาย

  • ‘ศูนย์พัฒนาเด็กอัจฉริยะ’ 20,000 แห่งทุกชุมชน รวมไปถึง ‘ศูนย์คนชรา’ เพื่อเป็นที่พักพิงให้คนชราที่อยู่บ้านคนเดียวอีกด้วย
  • นโยบายคืนโรงเรียนสู่ผู้ปกครอง เพื่อให้ครูและผู้ปกครองได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการส่งเสริมศักยภาพ และภาครัฐจะต้องออกแบบวิชาชีพเพื่อรองรับเด็กๆ เหล่านี้
  • แนวทางเปลี่ยนการท่องจำเป็นการเข้าใจ เพิ่มความสุขและความสนุกในห้องเรียน โดยการลดขนาดห้องเรียนเพื่อเพิ่มการดูแลเด็กได้ทั่วถึง รวมถึงเพิ่มปริมาณ เพิ่มคุณภาพครู เพื่อให้เด็กมีความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมากขึ้น
  • กระจายอำนาจการศึกษา เพราะเด็กในแต่ละพื้นที่มีความสนใจต่างกันตามสภาพแวดล้อม จึงควรจะกระจายอำนาจให้โรงเรียนได้ออกแบบหลักสูตรที่เหมาะกับเด็กตามแต่ละภูมิภาค
  • เพิ่มสถานที่พิเศษเช่น co-working space ให้เด็กมีพื้นที่การเรียนรู้มากกว่าห้องเรียนพิเศษ 

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • ปิดเทอมที่หลากหลายมากกว่าการไปห้าง คือสิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตเด็ก เด็กควรได้ไปดูคอนเสิร์ต พิพิธภัณฑ์ ฯลฯ จึงควรส่งเสริมศูนย์การเรียนรู้ให้ตรงกับที่เด็กต้องการ และนำสิ่งที่เขาสนใจมาเปลี่ยนให้เป็นรายได้เสริมที่มากกว่าแค่เสิร์ฟอาหาร แต่เป็นการฝึกงานอื่นๆ ที่หลากหลาย
  • ส่งเสริมสถานที่การเรียนรู้ด้านกีฬาและดนตรี เช่น ห้องซ้อมดนตรี พื้นที่ฝึกศิลปะ รวมถึงการจัดแข่งขัน E-Sport  

5. พรรคอนาคตใหม่: กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ

แนวคิด

  • การศึกษาไทยเหมือนเจงก้า (เกมตึกถล่ม) ที่ฐานง่อนแง่น และพยายามนำบล็อกไม้ใส่เพิ่มอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายถึงภาระที่หนักอึ้งของเด็ก สิ่งที่พรรคจะทำคือการสร้างรากและพื้นฐานทางการศึกษาใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มจากเรื่องพื้นฐานที่ใกล้ตัวเด็กที่สุด ที่ผ่านมารัฐมักแก้ไขปัญหาการศึกษาด้วยโครงการขนาดเล็กต่างๆ ซึ่งไปเพิ่มภาระครูในห้องเรียน
  • งบประมาณด้านการศึกษา 3 หมื่นล้านบาท 3 ปีติดต่อกัน เพื่อยกระดับอุปกรณ์ บุคลากร และพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวกับการศึกษาของนักเรียน เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อสร้างพื้นฐานของปฐมวัยให้แข็งแรงมากขึ้น เพราะที่ผ่านมางบประมาณปีละกว่า 5 แสนล้านด้านการศึกษาไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้

นโยบาย

  • สวัสดิการเดือนละ 1,200 บาทแก่พ่อแม่ที่มีลูกวัย 0-6 ปี โดยอิงจากงานวิจัยว่า เงินที่ได้รับอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ จะทำให้เกิดการวางแผนชีวิตได้ดีขึ้น โดยพ่อแม่ไม่ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะมีเงินซื้อนมให้ลูกหรือเปล่า
  • งบประมาณในการยกระดับห้องน้ำ ห้องเรียน ไวไฟ ห้องสมุดโรงเรียน ในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางกว่า 17,000 แห่ง นโยบายนี้ออกแบบมาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำโดยเน้นไปที่สุขภาพและสุขภาวะของเด็กๆ โรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลาง
  • อาหารคือการเรียนรู้แบบหนึ่ง จึงมีแนวทางส่งเสริมให้เด็กรู้จักวิธีการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ จะทำให้เด็กรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักไปตลอดชีวิต นำมาซึ่งภาระที่ลดลงของกระทรวงสาธารณสุข ผลักดันให้มีนักโภชนาการในทุกเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อช่วยในการออกแบบอาหารที่ถูกหลักในทุกโรงเรียน
  • มีนักจิตวิทยาเพื่อดูสุขภาพจิตเด็ก เพราะการศึกษาไทยเครียดมากและมีภาวะกดดันอยู่ตลอด การมีนักจิตวิทยาประจำโรงเรียนจึงเป็นเรื่องสำคัญ การจัดการระยะยาวคือฝึกบุคลากรให้เพียงพอในส่วนนี้ ในระยะเร่งด่วนคือฝึกบุคลากรให้เข้าใจเรื่องโรคพื้นฐานทางสุขภาพจิต อย่างน้อยต้องสามารถคัดกรองและมองเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับนักเรียน และสามารถส่งต่อไปสู่หน่วยงานที่ถูกต้องได้
  • ปฏิรูปข้อสอบ ลดจำนวนข้อสอบระดับชาติและจำนวนครั้งการสอบในวัยประถมศึกษา รวมไปถึงลดการประเมินที่เป็นข้อสอบ และเพิ่มการประเมินที่หลากหลาย ลดหลักสูตรแกนกลางของวิชาบังคับและเพิ่มวิชาทักษะชีวิตตามแต่การออกแบบของแต่ละท้องถิ่น
  • ให้นักเรียนนั่งอยู่ในคณะกรรมการบริหารสถานศึกษา เพราะเชื่อว่านักเรียนคือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรู้ปัญหาดีที่สุด โครงสร้างนี้จึงต้องเกิดขึ้น
  • มี Open Data ตรวจสอบข้อมูลของโรงเรียนผ่านเทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของนักเรียน ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อการบริหารจัดการที่คล่องตัวและตรวจสอบได้
  • ปฏิรูประบบผลิตครู เริ่มจากการคัดเลือกคุณครูสู่ระบบการศึกษา และมีการทำช่องทางอาชีพให้ครูต้นแบบที่สอนเก่ง สามารถช่วยเหลือพัฒนาครูด้วยกันได้

“ต่อไปนี้เราจะไม่ใช่เจงก้าที่ง่อนแง่นอีกต่อไป เราจะได้เจงก้าที่แข็งแรงขึ้นและพร้อมให้ทุกคนโชว์ศักยภาพและต่อยอดให้เจงก้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆ”  

ทำอย่างไรให้ปิดเทอมสร้างสรรค์  

  • ปิดเทอมไม่ใช่แค่ของเด็กแต่รวมถึงครอบครัว ชุมชน ไม่ใช่แค่ตัวเยาวชนไปทำอะไรยามว่างช่วงปิดเทอม แต่รวมไปตั้งแต่ครอบครัว ชุมชน ทำให้เลือกได้ว่าอยากทำอะไร สนใจอะไร โดยเฉพาะกิจกรรม Job Shadow ให้เด็ก ม.ต้นได้เข้าไปค้นหาตัวเอง ได้เข้าไปสังเกตการณ์อาชีพหรือสิ่งที่ตนเองสนใจ โดยสามารถทำเป็นกิจกรรมช่วงปิดเทอม หรือ เสริมในห้องเรียน

แต่ แต่ แต่ ปิดเทอมเด็กๆ อยากอยู่บ้าน

พุทธชาติ พรมโคตร โอม ม.3

“เล่นกีตาร์อยู่บ้านครับ พ่อแม่ก็สนับสนุน ส่วนตัวผมไม่ชอบเรียนพิเศษ ปิดเทอมของผมควรเป็นอะไรที่ได้พักสมองบ้าง ตอนเรียนก็เครียดมาเยอะแล้ว”

ศุภธวดี พรมโคตร ม.2

“ปิดเทอมก็อยู่บ้านช่วยพ่อแม่ เมื่อก่อนก็ไปเรียนพิเศษบ้างแต่มันยาก หนูไม่เข้าใจ ก็เลยคุยกับพ่อแม่ขอไม่เรียนได้ไหม หนูชอบวาดภาพค่ะ ก็เลยไปบอกพ่อแม่ พวกเขาก็ให้หนูไปหากิจกรรมมาว่ามีคอร์สเรียนที่ไหนบ้างแล้วจะพาไปค่ะ”

พีรพล (สงวนนามสกุล) ม.6

“ปกติก็เรียนพิเศษออนไลน์ครับ แต่ผมจะชอบเล่นเกม เล่นบอล หรือไปว่ายน้ำมากกว่า มันผ่อนคลายกว่าการที่จะเรียนเพิ่มตอนปิดเทอม เพราะเรากดดันกับการเรียนแล้วไม่รู้เรื่อง เราสนใจในด้านคอมพิวเตอร์ ก็อยากให้พ่อแม่พาไปศึกษา ดูงาน ว่าเราชอบด้านนี้จริงๆ หรือเปล่า เราอยากรู้ตัวเองครับ”

ณัฐวุฒิ ใจตรง ม.3

“ผมชอบเล่นเกม เล่นได้ทั้งวันเลยครับ เรียนพิเศษมันยาก ไม่ค่อยรู้เรื่อง ปิดเทอมก็อยากทำอะไรที่ชอบจริงๆ มากกว่า สนุกดี”

Tags:

วัยรุ่นพลเมืองประชาธิปไตยงานเสวนาการเลือกตั้ง

Author:

Related Posts

  • Social Issues
    การเคลื่อนไหวของนักเรียนนักศึกษา โอกาสสำคัญในการเปิดพื้นที่การเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย: ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

    เรื่อง ปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    “ก็มาเลือกตั้งดิค้าบ” ฟังเสียง 9 น้องใหม่กับการเลือกตั้งครั้งแรก

    เรื่อง The Potential

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Voice of New Gen
    วิชา ‘หน้าที่พลเมือง’ ไม่ได้อยู่ในตำรา การชวนคนไปเลือกตั้งของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ต่างหากคือของจริง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

“เพราะเกมสอนให้รู้จักแพ้” เฮียโก้ เด็กติดเกมวันนั้น สู่เซียนนักพากย์เกมวันนี้
Voice of New Gen
6 March 2019

“เพราะเกมสอนให้รู้จักแพ้” เฮียโก้ เด็กติดเกมวันนั้น สู่เซียนนักพากย์เกมวันนี้

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ‘โก้-ประสิทธิ์ เกียรติวัชรวิทย์ หรือ ‘เฮียโก้’ ชื่อในวงการพากย์เกม eSports ที่หลายคนรู้จัก บอกว่ากว่าจะได้มายืนจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย การเป็นนักพากย์ไม่ใช่แค่การพูดเก่ง แต่ยังต้องเรียนรู้และเข้าใจวัฒนธรรมของ eSports ให้ได้อย่างถ่องแท้
  • นักพากย์เกม คือ อาชีพที่รวมศาสตร์ทักษะทั้งการสื่อสารและความแม่นยำในเนื้อหาเกมผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยที่นักพากย์แต่ละคนจะมีเทคนิคการพากย์ประจำตัวสื่อสารออกมาให้ครบรส ต้องสนุก ควบคู่สาระ และทำให้คนดูรู้สึกมีส่วนร่วมกับการแข่งขันให้ได้
  • นอกจากความบันเทิง eSports ยังเป็นเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น ทักษะการวางแผน การคิดวิเคราะห์ และการรู้จักแพ้ 

ในโลกที่เทคโนโลยีวิ่งเข้าหาแบบไม่ต้องร้องขอ ไม่ว่าคนหนุ่มสาว วัยรุ่น หรือแม้แต่เด็กเล็ก ก็สามารถเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่ตามมาและถูกพูดถึงบ่อยครั้ง นั่นคือพฤติกรรม ‘ติดเกม’ โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นหรือเด็ก ที่สังคมมักมองว่านี่คือปัญหา เป็นเรื่องใหญ่ที่ควรเร่งแก้ไข

ไม่ต่างกับ ‘โก้-ประสิทธิ์ เกียรติวัชรวิทย์’ พิธีกรดำเนินการแข่งขันเกม eSports หรือ นักพากย์เกม วัย 30 ปี มีดีกรีจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจากประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เด็กๆ โก้เป็นเด็กเนิร์ดที่ทำอะไรจริงจัง จนใช้ความชอบพาตัวเองมาสุดทาง โก้เล่าว่าเขาคือ ‘เด็กติดเกม’ ชอบเล่นเกมมาตั้งเเต่จำความได้ มักจะชวนเพื่อนๆ ในหมู่บ้านมารวมตัวกันเล่นเกม play station แต่เล่นในลักษณะเอาสนุกและเน้นสร้างความสัมพันธ์มากกว่าแข่งขันกัน

เป็นเด็กติดเกม แล้วพ่อแม่ว่าอย่างไร

ครอบครัวก็ไม่ค่อยแฮปปี้ ในยุคนั้นเกมเดียวที่พ่อผมรู้จักคือเตรติส (Tetris) เขาเลยไม่เข้าใจว่าทำไมเราไม่เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเลย ทำไมไม่อ่านหนังสือหรือเรียนพิเศษ ซึ่งตอนนั้นผมก็คิดนะ ว่าการให้เด็กนั่งอ่านหนังสือเฉยๆ ทั้งวี่ทั้งวัน มันน่าเบื่อ และตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่แฮปปี้กับการที่ผมนั่งเล่นเกม ก็มันสนุกอะ

แสดงว่ามีวิธีสร้างความเข้าใจกับพ่อแม่?

ตอนนั้น ผมไม่ได้ดีลอะไรมากมาย พ่อแม่แค่ห้ามบ้างเวลาเราเล่นเยอะๆ แต่ไม่ได้ขนาดต่อต้าน อาจจะเป็นเพราะว่าตอนที่ผมเล่นเกม ผมไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ผมรับผิดชอบชีวิตได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

ความรับผิดชอบ คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ครอบครัวไม่ต่อต้านการเล่นเกม

ใช่ มันเป็นเรื่องของความรับผิดชอบล้วนๆ ติดเพื่อน ติดยา ติดเกม ติดอะไรก็ตาม ทั้งหมดมันคือเรื่องของการบริหารเวลา

ถ้าเราใช้เวลาไปกับกิจกรรมใดเยอะเกินพอดี มันก็ย่อมส่งผลเเย่อยู่แล้ว ไม่ได้ผิดที่ตัวกิจกรรม มันผิดที่เวลาที่เสียกับมันมากกว่า แต่สิ่งที่ผู้ใหญ่หลายๆ คน ไม่เข้าใจ เพราะเขาไม่ได้โตมากับกิจกรรมนั้น โลกของเขาอาจมีแค่การเรียนหนังสือ

จากเด็กติดเกมในวันนั้น เข้าสู่วงการ eSports ได้อย่างไร

2 ปีที่แล้ว ผมเริ่มจากการเล่นเกมมาเรื่อยๆ จนมีโอกาสได้ลงแข่งในฐานะนักกีฬา eSports จากนั้นก็ขยับมาเป็นโค้ช เป็นคอมเมนเตเตอร์ จนได้มาทำ MC หรือคนพากย์เกม

ซึ่งแต่ละตำแหน่งมันต่างกันเยอะมาก หน้าที่ของคนแข่งหรือนักกีฬา คือการทำให้ดีที่สุด แข่งให้ชนะ ต้องเล่นให้ดี ต้องซ้อมอย่างหนัก กดดันมาก บวกกับผมเป็นคนค่อนข้าง emotional จึงไม่อยากรับความกดดันตรงนั้น ผมอยากให้เกมเป็นสิ่งสนุกอยู่ จึงเริ่มถอยออกมาจากเก้าอี้ผู้เล่นมากขึ้น 

เมื่อขยับมาเป็นโค้ช หน้าที่หลักคือการขยายมุมมองแก่นักแข่ง ผมโชคดีที่เคยเป็นทั้งนักแข่งเกมมาก่อน ดังนั้นสายตาของเราก็จะมองได้สองทาง ซึ่งก็เป็นมุมมองที่ค่อนข้างจะเฉพาะตัว เพราะมีประสบการณ์ผ่านการเเข่งขันมาก่อน การเป็นโค้ชต้องมีเรื่องของการเจาะรายละเอียดที่มากขึ้น เก็บข้อมูลให้กับผู้เล่นเพื่อเอาข้อมูลที่ดีไปประกอบการตัดสินใจ แต่โค้ชไม่ใช่คนสั่ง เป็นคนช่วยขยายมุมมองให้เเก่ผู้เล่นมากกว่า บางครั้งนักแข่งรับผิดชอบในตำแหน่งของตัวเองได้ดี แต่อาจจะไม่แม่นยำในภาพรวม โค้ชจึงต้องให้มุมมองที่ใหญ่ขึ้น สร้างความชัดเจนว่าผู้เล่นแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่ ทำเพื่ออะไร และจะทำอะไรต่อไป

แสดงว่าสำหรับคุณโก้ การเป็น MC พากย์เกม คือจุดสูงสุด

คำว่าสูงสุดที่ว่ามันคืออะไร? ผมเล่นเกมเพื่อเล่นกับคน ได้เจอเพื่อน ได้เจอสังคม ผมว่ามันเป็นการขยับตำแหน่งมากกว่า เเค่เปลี่ยนมุมมองเท่านั้นเอง

การเป็นนักพากย์เกม ไม่ใช่แค่มานั่งพูดๆๆๆ ผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยม แต่นักพากย์ต้องเป็นพิธีกรที่ขึงขังไปด้วย อธิบายกติกาการแข่งขัน ระบบการให้คะแนนให้กระชับชัดเจน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องมีก็คือ skill set สองอย่าง นั่นคือ การสื่อสาร (communication) และ ความเชี่ยวชาญและแม่นยำในตัวเกม (game knowledge)

การใช้ Skill Set ในอาชีพนักพากย์ต้องทำอย่างไรบ้าง 

เเน่นอนว่าหน้าที่ของเราก็ผสมความเป็นพิธีกรลงไป ก่อนการแข่งจะเกิดขึ้นก็ต้องเตรียมข้อมูลเบื้องหลังของเกมแต่ละแมทช์ นั่งคิดเเล้วว่าโปรเเกรมการแข่งเป็นอย่างไร รายการนี้การเเข่งขันมีทีมอะไรบ้าง แล้วแต่ละทีมมีผลงานหรือเคยแข่งอะไรมา จัดเตรียมเนื้อเรื่องระหว่างสองทีม มีเรื่องราวเชิงลึกแค่ไหนมาเล่าให้คนดูฟังบ้างเพื่อให้เกิดสีสัน ซึ่งจุดนี้เป็นสิ่งที่คนดูชอบเพราะเขาจะได้รู้ข้อมูลนอกจากหน้าจอตรงหน้า

และที่สำคัญเราจะดึงเรื่องไหนขึ้นมาพูด และจะพูดอย่างไร ต้องใช้น้ำเสียงแบบไหน คุมเสียงอย่างไร ใช้ภาษาแบบไหน ให้ทุกคนรู้สึกอินไปกับเรา

เพราะว่าสุดท้ายเเล้วหลักของการเป็นนักพากย์ คือ การมีเกมเป็นตัว input และนักพากย์มีหน้าที่ส่ง output ออกไป มันไม่เหมือนสมัยก่อนที่เป็นนักเเข่ง ซึ่งตอนนั้น output ของเราคือเกม  

กลายเป็นว่าหน้าที่ของผม คือ ต้องนั่งคิดว่ามุมมองของผู้เล่นเขาคิดอะไรอยู่ เขาทำอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงเดินเกมแบบนี้ ทำไมเขาถึงเลือกใช้ตัวละครนี้ ทำไมถึงเลือกใช้อาวุธนี้ นี่คือสิ่งที่ผมต้องเข้าใจและสื่อสารออกมาให้คนทุกคนดู

หลายๆ ครั้ง คนดูจะรู้สึกห่างไกลกับคนแข่ง เหมือนเกมอยู่บนหิ้ง และรู้สึกไม่มีส่วนร่วม MC หรือนักพากย์จึงต้องสื่อสารเพื่อให้รู้สึกว่าเกมใกล้ชิดกับเขามากขึ้น พากย์ให้อินกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้

นักพากย์เกมต้องทำการบ้านหลังกล้องหนักแค่ไหน

ในฐานะคนที่ชอบเล่นเกม การศึกษาเรื่องพวกนี้เป็นงานอดิเรกอยู่เเล้ว ผมเลยไม่ได้รู้สึกว่าทำงานหนัก ยิ่งเราเคยผ่านการเป็นโค้ชมาด้วย จึงทำให้รู้เทคนิคต่างๆ เพิ่มขึ้น แต่ใช่ว่าจะหยุดนิ่ง ผมดึงประสบการณ์ร่วม จากการที่เคยเป็นทั้งคนเล่น เป็นโค้ช คอมเมนเตเตอร์ จนมาถึงเป็นนักพากย์ และ MC เยอะมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ผมจะรู้ได้เลยว่าขณะที่แข่งขันอยู่ นักกีฬากดดันแค่ไหน ช่วงเวลานั้นมันมีแต่อารมณ์ที่รุนเเรง ซึ่งคนที่ไม่ได้อยู่บนเวทีอาจจะไม่เคยสัมผัส แต่เราเข้าใจดี ดังนั้นเราจึงเอาความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้น สื่อสารให้คนดูเขาอินตามได้

ถ้าสมมุติว่าการเเข่งขันเกม ไม่มี MC และนักพากย์ จะเป็นอย่างไร

มันจืดแน่ๆ (หัวเราะ) เราต้องเเยกคำว่า sport กับ spectator sport กีฬา กับ กีฬาที่มีคนดูให้ออกจากกันก่อน

sport คือการเเข่งขันกีฬาเพื่อความเป็นเลิศล้วนๆ แต่ถ้าเป็น spectator sport เน้นเรื่องของคนดูและความบันเทิงเข้ามาเกี่ยว ซึ่งการเล่นเกม ผมคิดว่ามันมี potential มากพอที่จะเชื่อมโยงกับคนที่อยู่บนหน้าจอได้ นักพากย์จึงทำหน้าที่ต่อสายระหว่างเกม นักแข่ง คนดู ให้ทั้งสามสิ่งนี้เชื่อมต่อกันและสุดท้ายมันก็จะเกิดเป็นความบันเทิงขึ้น

ความยากหรือจุดท้าทายในอาชีพนักพากย์คืออะไร

ความยากที่หลีกไม่ได้ ก็คงเป็นการต้องจับอารมณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้นให้เร็วและขยี้ อะไรก็ตามที่มีอิมแพคต่อคนดู นักพากย์ต้องจับอย่าปล่อยมันไป ถ้าเปรียบเหมือนเป็นพ่อครัว หากมีวัตถุดิบดี แต่เราทำไม่อร่อยมันก็เสียดายของ เช่นเดียวกันกับในเกม ถ้าเหตุการณ์ตรงหน้ามันพีคมาก แต่ถ้าเราจับตรงนั้นไม่ได้และปล่อยให้มันผ่านไป มันก็เสียของ นี่คือสิ่งที่ challenge ที่สุดในอาชีพนักพากย์ ดังนั้นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่ต้องมีคือ ‘ไหวพริบ’ และ ‘การเปลี่ยนความคิดให้เป็นคำพูดได้อย่างเร็วที่สุด’

อีกอย่างคือการพากย์ หรือ เป็น MC ในงานอีเวนท์หรือสถานที่เปิด จะทำให้ควบคุมได้ยากมากกว่า เพราะมีตัวแปรมากมาย ดีกรีความวุ่นวายจากสิ่งรอบข้างสูงกว่า มีอารมณ์ของผู้ชมที่อยู่ในงาน ทำให้สมาธิเราจดจ่อไปที่เกมและการพากย์ไม่เต็มที่ แต่มันมันส์นะ เหมือนเราดูคอนเสิร์ต ถ้าเรานั่งฟังเพลงเฉยๆ ก็สนุก แต่ถ้าเราได้เอาตัวเองไปอยู่ในคอนเสิร์ตนั้น มันจะสนุกกว่า ซึ่งเราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น คอนเสิร์ตเราอาจจะแพลนได้ว่าต่อไปร้องเพลงนี้ แต่เราในฐานะนักพากย์ ไม่ใช่คนดำเนินเกม มีเพียงคนแข่งเท่านั้นจะที่สร้างสิ่งที่อยู่บนหน้าจอ

หัวใจสำคัญ คือต้องอย่าลืมว่านักพากย์ก็เป็นคนดู เราเป็นหัวหน้าคนดู ทุกคนที่ฟังที่กำลังดูเกมอยู่นั่นหมายถึงเราด้วย ดังนั้นเมื่อเราเป็นคนดู เราต้องรู้ว่าจุดไหนคือจุดสนุก ดึงออกมา และสื่อสารออกมายังไง ให้เขาอินไปกับเกม ณ ช่วงเวลานั้นให้ได้

เด็กรุ่นใหม่สนใจอาชีพนี้เยอะไหม

ทุกอาชีพที่ได้อยู่หน้ากล้อง อาชีพที่แสงสปอตไลท์ส่องไปถึง คนชอบและอยากเป็นอยู่แล้ว เพราะมันโดดเด่นและได้อยู่ในสายตา ลองนึกไปถึงวันแรกที่เราเริ่มเข้ามาพากย์ เป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่สวยเอาซะเลย เละเทะ ยับเยินมาก ผมไม่รู้จังหวะ ไม่รู้ว่าจะพูดตอนไหน พอได้พูดก็พูดยาวเกินไป น้ำเสียงจริงจังเกินไป เป็นโมโนโทนเกินไป ควบคุมความตื่นเต้นไม่ได้ ก็ไม่คิดว่าจะมาจริงจังกับมัน

เอาเข้าจริงไม่ว่าจะอาชีพไหน ทุกคนก็เป็นได้ แต่การฝึกฝนคือเรื่องสำคัญ ต้องไปลุยก่อน ไปลองเล่นให้เชี่ยวชาญ บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะเขามองเกมเป็นเรื่องของความผ่อนคลาย นักพากย์ต้องฝึกเล่น ฝึกวิเคราะห์มัน หา play pattern หาวิธีเดินเกมที่ได้คุณภาพที่สุด สเต็ปต่อมาคือการเขยิบออกจากตัวละคร มาวิเคราะห์กลยุทธ์ โดยใช้ประสบการณ์รวมถึงข้อมูลจากต่างประเทศ ทั้งหมดเพื่อเก็บเป็นคลังข้อมูล ทำให้เรื่องพวกนี้มันไปอยู่ในจิตใต้สำนึก เวลาพากย์จะได้ออกมาอัตโนมัติ

‘เฮียโก้’ เป็นนักพากย์เกมแบบไหน

มองตัวเองทำได้หลายด้าน จริงจังก็ได้ สาระก็ได้ ตลกก็ได้ เรามองว่าตัวเองเป็นคนที่สามารถเอนเตอร์เทนและให้สาระไปพร้อมๆ กัน เราไม่จำเป็นต้องเลือก ไม่จัดตัวเองว่าต้องไปอยู่ในกล่องไหน ทำอะไรได้ก็โชว์ไปเลย อาจจะไม่ได้ตลกสุด พีคสุด สาระสุด แต่แค่เราคนเดียวเอาอยู่ก็พอแล้ว

เกม คือ สิ่งที่ไร้สาระ คิดแบบนั้นไหม

จากคำพูดที่บอกว่าเด็กจะก้าวร้าวเพราะเกม หัวร้อน จนส่งพฤติกรรมหยาบคาย ผมว่ามันไม่ได้เพราะเกม แน่นอนว่าการเล่นเกมอาจจะมีพื้นที่เอื้อให้การปะทะอารมณ์ หรือการด่ากันอย่างง่ายๆ เช่น เราเห็นทีมไหนแพ้ ก็ด่า ทับถม  

ทางแก้ไขของผมในฐานะ MC และนักพากย์ ไม่สามารถทิ้งทีมที่แพ้และอวยทีมชนะได้ เราต้องเสนอมุมมองของทีมแพ้ เมื่อการแข่งขันจบ มันจะมีคนที่คอยมาทับถมอีกฝ่ายอยู่แล้ว แต่แทนที่เราจะไปขยี้จุดนั้นโดยการห้ามเขา เราให้ความเข้าใจดีกว่า ทำให้เข้ารู้ว่ามันมีอะไรที่อยู่เบื้องหลังการแพ้นั้น เมื่อมีข้อความแย่ๆ ไหลเข้ามาในคอมเมนต์ เช่น

“ไอ้กาก!”
“ไอ้xx! เล่นไม่ได้เรื่อง”
“ทีม A อ่อน!!”

เราไม่จำเป็นต้องอ่าน หรือหยิบมันขึ้นมาเป็นประเด็นให้เกิดการปะทะที่มากขึ้น ในฐานะนักพากย์และผู้ดูข้อมูล เราเปลี่ยนคำพูดใหม่ เช่น “ทีมA สู้ๆ” แค่นี้ง่ายๆ เลย

นอกจากความบันเทิง ประโยชน์ของเกม คืออะไร

หน้าที่หลักคงเป็นความบันเทิง แต่เกมช่วยสะท้อนสังคมได้ในระดับหนึ่ง แล้วเป็นสังคมที่มีแต่ความจริงด้วยนะ อีกอย่างอยากให้ผู้ปกครองรู้ไว้คือเกมไม่ใช่กิจกรรมที่สร้างอาชีพให้กับทุกคน ไม่ว่าจะฟุตบอล บาสเกตบอล หรือเล่นเปียโน ดังนั้นไม่อยากให้พ่อแม่คาดหวังว่าลูกจะต้องไปสุดทางหรือต้องได้ประโยชน์จากกิจกรรมเหล่านี้ แต่อยากให้โฟกัสว่า ลูกของคุณสนุกกับกิจกรรมนั้นแค่ไหน ลูกของคุณดึงทักษะอะไรมาใช้ในชีวิตประจำวันได้บ้าง

คอนเซ็ปต์ที่คล้ายกันจนปฏิเสธไม่ได้ของกีฬาและเกม คือการสอนให้ลูก ‘รู้จักแพ้’ ถึงมันจะดูดาวน์ๆ นิดนึง แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่รู้ดี ว่าเรื่องการสอนให้ลูกรู้จักแพ้ รู้จักล้ม มันสำคัญมากแค่ไหน

พ่อแม่มักมีกรอบที่ยึดไว้ว่า ลูกต้องเรียนหนังสือให้เก่ง การเรียนเท่านั้นคือสำคัญที่สุด จึงเป็นกับดักทำให้มองว่าเกมคือสิ่งอันตราย แต่ผมก็ไม่แปลกใจ เพราะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ผลการเรียนดีเท่ากับมีอนาคตดี แต่อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรก ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบและการจัดสรรเวลาของตัวเอง ดังนั้นแทนที่จะห้ามลูกไม่ให้เล่น เราต้องหันมาสอนเรื่องเวลาและวินัยของลูกดีกว่า

Tags:

อาชีพเกมทักษะการสื่อสาร(Communication Skill)

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • ข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่ใช่ขีดจำกัดความสามารถ ขอเพียงไม่ปิด ‘โอกาส’ ผู้พิการ: จิดาภา นิติวีระกุล

    เรื่อง นฤมล ทับปาน ภาพ ปริสุทธิ์

  • Voice of New Gen
    3 เสียงของคนรุ่นใหม่ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เปิดใจเเละเข้าใจจาก TEDXYouth@Bangkok2020

    เรื่อง ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์

  • Voice of New Gen
    NEXTZY: เทคโนโลยีสำคัญต่อการทำงาน แต่การเจอหน้ากันสำคัญกว่า

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Everyone can be an Educator
    TALK LIKE TED – สื่อสารอย่าง ‘TED TALK’ ในวันที่มีแต่คนพูด ไม่มีคนฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Everyone can be an Educator
    RABBITHOOD ของโจ้ วชิรา ในวันที่ลูกค้าเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาแล้วบอกว่าชอบงาน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

เมื่อการเรียนรู้เชื่อมโยงสมองหลายส่วน คณิตศาสตร์จึงไม่ใช่สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวาก็ไม่ใช่แค่ศิลปะอีกต่อไป
Learning Theory
5 March 2019

เมื่อการเรียนรู้เชื่อมโยงสมองหลายส่วน คณิตศาสตร์จึงไม่ใช่สมองซีกซ้าย และสมองซีกขวาก็ไม่ใช่แค่ศิลปะอีกต่อไป

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา ภาพ บัว คำดี

  • การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของสมองซีกซ้าย ศิลปะและดนตรีไม่ใช่เรื่องของสมองซีกขวาอีกต่อไป, การกระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวัยใดวัยหนึ่ง, การทำซ้ำๆ จนช่ำชอง อ่านซ้ำๆ จนจำได้ ไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเสมอไป คือคอนเซ็ปท์สำคัญของ ‘การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงสมองหลายส่วน’
  • เพราะเมื่อสมองทุกส่วนถูกกระตุ้นและพัฒนาไปพร้อมกัน เซลล์ประสาทในสมองแตกแขนงเชื่อมโยงสัมพันธ์กับการทำงานของสมองหลายส่วน เพราะต้องอาศัยการประมวลผล การขยายและสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เชื่อมกับหน่วยความจำในสมอง ไม่เฉพาะแค่ด้านใดด้านหนึ่ง
  • การเรียนรู้แบบนี้ช่วยสร้างและพัฒนาความจำได้ดีกว่าการท่องจำหรือทำซ้ำจนเคยชิน เพราะความจำที่ถูกเก็บไว้ในสมองหลายส่วนจะถูกพัฒนาทุกครั้งที่ได้รับกระตุ้นจากกระบวนการเรียนรู้ใหม่ครั้งต่อไป

หลายคนทราบอยู่แล้วว่าวิธีการสร้างการเรียนรู้ไม่มีสูตรสำเร็จไม่มีกรอบตายตัว หลักฐานคือคำว่า ‘บูรณาการ’ ที่ได้ยินกันจนคุ้นหู ‘ห้องเรียนสร้างสรรค์’ ได้ยินกันจนจำได้ขึ้นได้

แต่… ทำอย่างไร, สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองระหว่างเรียนรู้เป็นอย่างไร และตัวอย่างห้องเรียนสร้างสรรค์ มีรูปแบบใดบ้าง ขอเห็นตัวอย่างชัดๆ เลยได้ไหม?

ยกตัวอย่าง ห้องเรียนสร้างสรรค์ในคอนเซ็ปท์ ‘วิธีการสอน 1 อย่าง แต่นักเรียนได้ประโยชน์ทบเท่าทวีคูณ’ เริ่มต้นจาก ความสำคัญของการเรียนรู้สร้างสรรค์ วิธีการเรียนรู้เช่นนี้เกิดอะไรขึ้นในสมองของผู้เรียนบ้าง และตัวอย่างไอเดียการสร้างสรรค์ห้องเรียน เพื่อให้คุณครูเห็นภาพและนำไปปรับใช้ได้จริง

ห้องเรียนสร้างสรรค์ สำคัญอย่างไร หน้าตาของมันคืออะไร?

‘การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงสมองหลายส่วน’ มีคีย์เวิร์ดที่ต้องทำความเข้าใจ 3 ประเด็น คือ

  1. การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของสมองซีกซ้าย ศิลปะและดนตรีไม่ใช่เรื่องของสมองซีกขวาอีกต่อไป
  2. การกระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวัยใดวัยหนึ่ง
  3. ‘การทำซ้ำๆ จนช่ำชอง อ่านซ้ำๆ จนจำได้’ ไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเสมอไป

หนึ่ง-การเรียนคณิตศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของสมองซีกซ้าย ศิลปะและดนตรีไม่ใช่เรื่องของสมองซีกขวาอีกต่อไป แต่สมองทุกส่วนถูกกระตุ้นและพัฒนาไปพร้อมกัน เซลล์ประสาทในสมองแตกแขนงเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของสมองได้กว้างขวางขึ้น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ต้องย้ำว่า… ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยวิธีการสอนที่ครูสร้างสรรค์ขึ้น

สอง-การกระตุ้นพัฒนาการเรียนรู้ ไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวัยใดวัยหนึ่ง แต่แน่นอนว่าหากเด็กได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สร้างการเรียนรู้หลากมิติตั้งแต่ระดับปฐมวัยและประถมศึกษา หน่วยความจำในสมองของเด็กจะทำงานได้รวดเร็ว ว่องไว และสร้างพัฒนาการได้ดีกว่า ดังนั้น เมื่อนักเรียนได้มีโอกาสสัมผัสกับการจัดการเรียนรู้แบบใหม่ เช่น ได้นำเสนอคอนเซ็ปท์ในวิชาคณิศาสตร์เป็นบทกวี การเรียนรู้ลักษณะนี้จะช่วยสร้างความจำที่มั่นคงถาวรได้มากกว่า เด็กจะเข้าใจแล้วนำชุดความรู้ไปต่อยอดเพื่อเรียนรู้เรื่องอื่นที่ใกล้เคียงกันได้อย่างรวดเร็ว (การถ่ายโอนความจำ) และเป็นการเรียนการสอนที่ทำให้เด็กสนใจได้มากกว่าด้วย

จูดี้ วิลลิส (Judy Willis) นักประสาทวิทยา อาจารย์ และนักเขียน ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเรียนรู้และสมอง ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ และมีประสบการณ์ด้านการสอนเด็กเล็กระดับปฐมวัยและประถมศึกษามากว่า 10 ปี บอกว่า ครั้งหนึ่งความบังเอิญจากประสบการณ์การสอนในห้องเรียนให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 5 เป็นแรงบันดาลใจให้เธอศึกษาและค้นหาคำถามเกี่ยวกับกระบวนการสร้างการเรียนรู้ให้เด็กเข้าใจบทเรียน แล้วยังเชื่อมโยงไปสู่เรื่องอื่นได้ โดยไม่ยึดติดเฉพาะกับเนื้อหาในตำราเรียน

วิลลิสเล่าว่า เธอกำลังสอนนักเรียนเกี่ยวกับลักษณะการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ สิ่งที่พบคือ นักเรียนสับสนระหว่างการหมุนรอบตัวเองของดาวเคราะห์และการโคจรเป็นรอบวงโคจร เธอจึงให้เด็กจับกลุ่มแล้วใช้ร่างกายตัวเองแสดงท่าทางประกอบให้เห็นภาพลักษณะการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ เพื่อสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจร่วมกัน

วิธีดังกล่าว นอกจากทำให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนมากขึ้นแล้ว ยังทำให้นักเรียนเชื่อมโยงความรู้และความเข้าใจที่เกิดขึ้นไปสู่การอธิบายการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบๆ อะตอมได้ด้วย

ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้วิลลิสศึกษาจนพบว่า การสร้างการเรียนรู้ไม่ควรจำกัดรูปแบบ และการเรียนรู้เพียงเรื่องเดียวก็สามารถเชื่อมโยงกับสมองหลายส่วนได้ ดังนั้นการสร้างการเรียนรู้จึงไม่ควรจำกัดอยู่แค่สมองส่วนใดส่วนหนึ่ง

สาม-การทำซ้ำๆ จนช่ำชอง อ่านซ้ำๆ จนจำได้ ไม่ใช่การเรียนรู้ที่ดีที่สุดเสมอไป

ที่ผ่านมาเราได้ยินอยู่บ่อยครั้งว่า การเรียนรู้ที่ดีเกิดขึ้นได้จากการทำสิ่งนั้นซ้ำๆ จนช่ำชอง และการอ่านสิ่งนั้นซ้ำๆ จนจำได้ แต่การผลการศึกษาค้นพบวิธีการที่ดีกว่า นั่นคือ ครูเป็นผู้ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ให้นักเรียน ช่วยให้นักเรียนมีความจำที่ดีขึ้น สามารถถ่ายโอนความจำหรืออาจเรียกว่านำความจำที่บันทึกไว้ในสมองแต่ละส่วนมาประยุกต์ใช้ได้ ด้วยการจัดการความรู้ให้มีความหลากหลายเชื่อมโยงกับสมองแต่ละส่วน ไม่จำกัดหรือยึดติดอยู่ที่รายวิชาและวิธีการสอนท่องจำแบบเดิม

อย่างที่กล่าวไปว่าการเรียนรู้แบบใหม่สัมพันธ์กับการทำงานของสมองหลายส่วน เพราะต้องอาศัยการประมวลผล การขยายและสร้างเครือข่ายการเรียนรู้เชื่อมกับหน่วยความจำในสมอง ไม่เฉพาะแค่ด้านใดด้านหนึ่ง

การเรียนรู้ที่ไม่จำกัดจำเพาะนี้ (cross-referencing) ช่วยสร้างและพัฒนาความจำได้ดีกว่าการเรียนรู้ย้ำๆ ซ้ำๆ แบบเดิม เนื่องจากความจำที่ถูกเก็บไว้ในหลายส่วนของสมอง จะถูกพัฒนาทุกครั้งที่ได้รับกระตุ้นจากกระบวนการเรียนรู้ใหม่ครั้งต่อไป

การเรียนรู้แบบบูรณาการกลุ่มสาระวิชาเรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นและพัฒนาการทำงานของสมองหลายส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถเชื่อมเครือข่ายเส้นใยประสาททั้งในส่วนแอกซอน* (Axon) และเดนไดรต์* (Dendrite) จากเซลล์ประสาท (Neuron) หนึ่งไปยังอีกเซลล์ประสาทหนึ่งได้

เมื่อข้อมูลความรู้ต่างๆ ถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำเป็นเครือข่ายในสมอง สิ่งนี้จะช่วยเปิดประตูการเรียนรู้อีกมากมาย ข้อมูลความรู้ที่เคยได้เรียนรู้จะถูกดึงกลับมาใช้ตอบสนองต่อสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่าง การเรียนรู้เรื่องขั้วบวกขั้วลบ (positive and negative) ชุดความรู้นี้นำไปใช้ได้กับทั้งการเรียนรู้ต่อยอดเรื่องอุณหภูมิบวกและลบ การดึงดูดและผลักของแม่เหล็กในวิชาวิทยาศาสตร์ และเส้นจำนวนในวิชาคณิตศาสตร์ เป็นต้น

จากการทดลองสแกนสมองขณะที่ใช้วิธีการสอนเพื่อสร้างการเรียนรู้แบบใหม่ นักวิจัยแสดงให้เห็นถึงการทำงานของสมองที่ถูกกระตุ้นซึ่งกระจายไปตามส่วนต่างๆ ของสมอง โดยทำงานเชื่อมโยงกันอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ทั้งในส่วน ประสาทสัมผัส (sensory) การเคลื่อนไหว (motor) ความตั้งใจ (attention) อารมณ์ (emotion) และด้านภาษา (language) เป็นกระบวนการทำงานของสมองที่เชื่อมโยงกันเพื่อใช้ความรู้เดิมเข้ามาแก้ปัญหาด้วยวิธีการใหม่

การทำงานของสมองลักษณะที่ว่านี้มีประโยชน์ต่อการสอนและการเรียนรู้อย่างไร?

การบูรณาการเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการผนวกหลายๆ ศาสตร์และศิลป์เข้าด้วยกัน ย้อนกลับไปที่บทเรียนเรื่องการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ บทเรียนครั้งนั้นวิลลิสได้นำการเคลื่อนไหวเข้ามาสร้างความเข้าใจในบทเรียน จากการศึกษาพบว่า การผสมผสานศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหว การนำเสนอหน้าชั้นเรียน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการเรียนรู้และการจดจำของนักเรียน

ยกตัวอย่างการเรียนรู้เกี่ยวกับรถยนต์ เมื่อสายตามองเห็นรถ ข้อมูลจะถูกส่งไปยังเปลือกสมองส่วนการมองเห็น (visual imagine cortex) เมื่อเห็นตัวสะกด c-a-r ข้อมูลจะถูกส่งไปยังสมองที่ทำงานด้านภาษา หรือหากได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องยนต์ ความรู้นี้จะถูกเชื่อมโยงไปสร้างความเข้าใจเรื่องการสันดาปของเครื่องยนต์ไอพ่นและจรวดได้ อย่างที่บอกข้อมูลแต่ละส่วนจะถูกเรียกออกมาใช้ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับกิจวัตรประจำวัน อาชีพและการใช้ชีวิตของแต่ละคน

เพียงได้เห็นคำว่า ‘รถ’ ก็ทำให้เรานึกถึง ตัวรถ เสียงเครื่องยนต์ ความรู้สึกเมื่อรถเคลื่อนที่ พาหนะอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ส่วนในด้านภาษาเชื่อมโยงไปได้ถึงคำคล้องจอง คำเหมือนและอื่นๆ อีกมากมายขึ้นอยู่กับรากฐานความจำเดิมหรือชุดความรู้เดิมที่มีอยู่

การเรียนการสอนด้วยวิธีการดังกล่าวช่วยให้สมองสร้างการรับรู้และเรียนรู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด สมองสามารถหยิบจับความรู้เก่าและใหม่มาผสานเพื่อสร้างความเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ทั้งข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมไปจนถึงความรู้เชิงนามธรรม

ไอเดียสำหรับคุณครู สร้างบทเรียนเปลี่ยนการเรียนรู้

แม้อยากเปลี่ยนแปลง แต่ถ้ายังไม่เคยทำ ไม่เคยสอน การจะปรับเปลี่ยนวิธีการสอนไปเลยทันทีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย กลยุทธ์ที่กำลังจะเอ่ยถึงต่อไปนี้เป็นทั้งตัวช่วยและเป็นโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกฝนการเรียนรู้แบบใหม่ที่สร้างทักษะติดตัวไปได้ในระยะยาว อีกทั้งยังสามารถพัฒนาต่อยอดไปสู่ทักษะด้านอื่นๆ ได้อีก

วิชาคณิตศาสตร์

  • ครูสามารถใช้ ‘ไฮกุ’ มาเป็นตัวช่วยเรียนรู้คอนเซ็ปท์เรื่องความสมมาตร ไฮกุเป็นการเขียนบทกวีสไตล์ญี่ปุ่น มีความโดดเด่นอยู่ที่ความเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับแบบแผน ไม่เหมือนกับการแต่งกวีอื่นๆ ที่มีรูปแบบบังคับสัมผัสตามหลักฉันทลักษณ์มากมาย แต่ไฮกุตัดทอนให้เหลือหลักๆ เพียง 3 วรรค รวม 17 พยางค์ โดยแบ่งท่อนการแต่งคำแต่งละวรรคออกเป็น 5-7-5 พยางค์
  • การออกแบบการเรียนรู้เรื่องปริมาณผ่านกราฟ
  • การเรียนรู้เรื่องการคูณผ่านวิดีโอหรือเอนิเมชั่น นำเสนอภาพการเพิ่มขนาดของวัตถุ หนึ่งเท่า สองเท่า สามเท่า แทนการท่องสูตรคูณ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจคอนเซ็ปท์ของการคูณซึ่งแตกต่างจากการบวก

วิชาวิทยาศาสตร์

  • สำหรับเด็ก ครูสามารถจัดกิจกรรม เช่น การเต้นหรือการแสดงประกอบท่าทาง เรียนรู้เรื่องวงจรชีวิตของผีเสื้อและวัฏจักรของน้ำได้
  • ให้นักเรียนลองใช้จินตนาการเปรียบเทียบการเกิดปฏิกิริยาเคมีกับการจับคู่ความสัมพันธ์ของคนในชีวิตประจำวัน หรือความสัมพันธ์ของนักเรียนกับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน เพื่อเรียนรู้เรื่องการจับ แยกและสลายตัวขององค์ประกอบทางเคมีของสารต่างๆ

วิชาสังคมศึกษา

  • ให้นักเรียนเขียนรายงานข่าวเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นเหมือนเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน โดยอาจเพิ่มเติมโจทย์ให้นักเรียนเขียนจากมุมมองของผู้ร่วมเหตุการณ์ที่รู้ข้อมูลเชิงลึกหรือจากมุมมองของคนนอกที่รายงานจากข้อมูลเบื้องต้น
  • ให้นักเรียนนำเสนอรูปแบบโครงสร้างของรัฐบาลในระบอบต่างๆ เช่น ระบอบพระมหากษัตริย์ ระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ ผ่านมุมมองที่แตกต่างกัน โดยสวมบทบาทเป็นบุคคลแต่ละสาขาอาชีพ
  • ลองให้นักเรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์ ร่างจดหมายประกาศเอกราชในรูปแบบของจดหมายรัก

ด้านภาษาและวรรณกรรม

  • ลิสต์รายชื่อตัวละครในหนังสือหรือบทวรรณกรรม ให้คล้ายรายการเมนูอาหาร แล้ววิเคราะห์กำกับตามหลังถึงรสชาติ เปรี้ยว หวาน ขม เพื่อสะท้อนถึงคาแรคเตอร์ของตัวละครแต่ละตัว
  • เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้การจัดการความรู้เพื่อสร้างการเรียนรู้แบบใหม่ โครงสร้างวิธีคิดและกระบวนการเรียนรู้ของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาจะมีความเข้าใจและเชื่อมโยงความรู้ได้ มีความจำที่พร้อมเติบโต มีรากฐานวิธีคิดที่สามารถนำไปปรับประยุกต์ แก้ไขปัญหาและคิดค้นนวัตกรรมได้อย่างสร้างสรรค์
หมายเหตุ:
ใยประสาท (Nerve fiber) แบ่งตามหน้าที่การทำงานเป็น 2 ชนิด คือ เดนไดรต์ (Dendrite) และแอกซอน (Axon)
เดนไดรต์ คือ ส่วนของใยประสาทที่ทำหน้าที่รับการกระตุ้นของสิ่งเร้า ทั้งสิ่งเร้าจากภายนอกและจากเซลล์ประสาทอื่นๆ ส่วนแอกซอน คือ ส่วนของใยประสาทที่ทำหน้าที่นำกระแสประสาทออกจากบริเวณเดนไดรต์ ไปสู่เซลล์อื่นๆ โดยทั่วไปแอกซอนมีเส้นเดียว ลักษณะเป็นเส้นใยยาวมาก มีส่วนปลายที่แตกแขนงเล็กน้อย
อ้างอิง:
edutopia.org

Tags:

STEMAdolescent Brainความคิดสร้างสรรค์(Creativity)

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Adolescent Brain
    เพราะสมองหรือเพราะใจ? ทำไมวัยรุ่นถึงเป็นซึมเศร้า ทำความเข้าใจผ่านปัจจัยสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • How to get along with teenager
    พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร เมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Family Psychology
    เล่าเรื่องอย่างใส่ใจใคร่ครวญ: พ่อแม่เข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ยิ่งเข้าใจลูกมากเท่านั้น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • 21st Century skills
    3 ห้องเรียนฝึกความคิดสร้างสรรค์ ที่ครูไม่ต้องอ่านตำราและเขียนกระดานหน้าห้อง

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Learning Theory
    5 วิธีสอนลูกให้มีทักษะ STEM

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW
Unique Teacher
4 March 2019

สนุกด้วยไรห์ม จำได้ด้วยบีท ในห้องเรียนของ ‘ครูเอ็ม’ RAP IS NOW

เรื่อง ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • ‘ครูเอ็ม’ คือ ครูภาษาอังกฤษสอนระดับมัธยมที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี แต่อีกฉากหนึ่งเขาคือ ‘NAZESUS’ แร็ปเปอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Rap is Now 
  • ห้องเรียนภาษาอังกฤษแบบฉบับครูเอ็ม คือการฝึกให้นักเรียนใช้ WHAT, WHY, HOW เพราะจะช่วยให้เด็กหาคำตอบและตั้งคำถามด้วยตัวเอง ได้ฝึกคิดมากกว่าการนั่งท่องศัพท์
  • ครูเอ็มใช้วิชาที่เขาถนัดทั้งการแร็ปและภาษาอังกฤษผสมผสานเข้าด้วยกันและส่งต่อให้เด็กนักเรียน เช่นการเปิดเพลง This is America เพื่อวิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา ซึ่งเป็นการเรียนภาษาวัฒนธรรม โดยไม่ต้องพึ่งตำราเรียน
เรื่อง: อสรา ศรีดาวเรือง

คุณครูภาษาอังกฤษกับแรปเปอร์ผู้มีความขบถ สองบทบาทอาชีพที่ดูจะไปกันไม่ค่อยได้ แต่ครูเอ็ม – จีรังกุล เกตทอง หรือ แรปเปอร์ในนาม  AKA NAZESUS กลับเลือกที่จะเดินไปพร้อมๆ กับสองฉากชีวิตที่ดูแตกต่างกันสุดขั้ว ด้วยความฝันที่อยากเป็นครูมาตั้งแต่วัยเด็ก ที่แยกไม่ออกจากความชอบในเสียงดนตรีและไรห์มแรป

แม้ช่วงแรกของการเป็นครู เขาจะโดนโลกของความจริงซัดความฝันเสียจนเกือบหมอบ แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขาล้มเลิกอาชีพครูเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขากลับใช้ความชอบและความสามารถในการแรปมาออกแบบห้องเรียนที่เขาเชื่อว่า

“ห้องเรียนที่ดี คือห้องเรียนที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัว”

เขาบอกเราว่า การเป็นครูไม่จำเป็นต้องทอดทิ้งตัวตนเพื่อเป็นครูตามขนบ และเขาบอกว่า การเป็นครู ทำให้ NAZESUS ที่ครั้งหนึ่งเคยวางตนเป็นศูนย์กลางของโลก มองเห็นถึงหัวใจของผู้คนผ่านนักเรียนที่เป็นดั่งบทเรียนชั้นยอด เราจึงไม่พลาดที่จะมาชวนเขามาคุยในบทเรียนชีวิตตลอด 7 ปีของการเป็นครูเอ็ม แห่งโรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี ว่าเขาล้ม ลุก ต่อสู้ และดำรงอยู่อย่างไรในวิถีนี้

ความฝันของผม คือเป็นครูที่เฟี้ยวๆ

ครูคือสิ่งที่ผมฝันเอาไว้ ว่าอยากจะเป็นครูที่เฟี้ยวๆ ก็เหมือนกับ  GTO ในการ์ตูนที่ทำเท่ เฮ้วๆ ชวนเด็กสร้างสรรค์ แต่ความเป็นจริงมันอีกรูปแบบหนึ่งเลย เราเรียนรู้ความเป็นครูก็ตอนที่เป็นครูนี่แหละ ว่ามันแหกคอกไปไม่ได้ เพราะเด็กเขาดูเราอยู่ เราเป็นต้นแบบให้เด็กอีกมากมายไม่ใช่เฉพาะเด็กที่แก่นเซี้ยว  เรายังต้องเป็นแบบอย่างให้เด็กที่ตั้งใจเรียนเป็นหมอ หรือเป็น WHATEVER ที่เขาต้องการ พอแหกคอกไม่ได้ ก็อยู่กับมันและแหกคอกแบบลับๆ (หัวเราะ) นั่นคือเราเป็นตัวเองให้ได้ขณะเดียวกันกับที่เราต้องเป็นมาตรฐานให้กับทุกๆ คนด้วย 

ด่านแรกของครู คือละลายความกลัวของนักเรียน

ความกลัวระหว่างครูกับนักเรียนเป็นสิ่งที่ต้องตัดทิ้งไปให้ได้ ผมรู้สึกว่าครูไม่ค่อยจะคุยกับนักเรียนแบบมนุษย์ธรรมดาเสียเท่าไหร่ (หัวเราะ)  และเมื่อไหร่ที่เกิดความกลัว เด็กจะทำตามเราในแบบที่เขากลัว แต่ไม่ใช่แบบที่เขาต้องการจะทำ เราจะชอบสังเกตเวลาเข้าไปในห้องเรียน เด็กทุกคนเหมือนหุ่นกระบอก แค่พูดก็เหมือนหุ่นกระบอก ซึ่งการเรียนการสอนมันควรเป็นธรรมชาติมากกว่านี้ วิธีของเราคือ เข้าไปคุยกับเขาเหมือนคนปกติคุยกัน ไม่ต้องใส่กรอบให้เขาและไม่ต้องตีกรอบให้ตัวเองด้วย ผมเชื่อว่าครูใหลายๆ คน อยู่ข้างนอกเขาก็เป็นอีกแบบ อยู่ในโรงเรียนก็ต้องสวมหน้ากากความเป็นครูอีกแบบ แค่เราเป็นธรรมชาติและคุยกับเขาแบบที่มนุษย์คุยกับมนุษย์ ก็ละลายความกลัวของเขาได้แล้ว

 ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่คลอไปด้วยบีทดนตรี

เด็กจะจำอะไรได้ดี อย่างแรกเลยคือความประทับใจ การเอาแร็ปมาใช้กับกริยาสามช่องมันโอเคเลยนะ ตอนที่ผมเข้ามาสอนแรกๆ มันไม่มี RAP IS NOW หรือ THE RAPPER เด็กก็จะงงๆ แต่พอเด็กได้เปล่งเสียง ได้พูด ได้ตะโกนออกมา มันทำให้เขาได้ผ่อนคลาย ผมว่าเด็กเขาสนใจอะไรที่ไม่อยู่บนกระดานอยู่แล้ว พอเราเปิดเพลงเขาจะสนใจ เมื่อเขาผ่อนคลายแล้วเราจะสามารถหยิบยื่นอะไรให้เขาได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นเราก็เอาเพลงฮิปฮอปของเมืองนอกมาฉาย อย่างเพลง This is America ให้เขาดูว่า อะไรที่เพลงต้องการจะพูดถึงและเกิดอะไรขึ้นกับอเมริกา หรือลองเขียนประโยคที่จะอธิบายเรื่องราวของมิวสิควิดีโอที่เราเอามาเปิดสั้นๆ ว่าอะไรที่เขาคิดว่ามันแปร่งๆ หรือรู้สึกว่าไม่เวิร์คเลย

ห้องเรียนภาษาอังกฤษที่ถามแค่ WHAT, WHY, HOW

วิชาภาษาอังกฤษมันไม่ได้สอนแต่ภาษาอังกฤษ มันสอนเรื่องวัฒนธรรมการใช้ชีวิตด้วย เราก็จะแทรกวัฒนธรรมไทยไปด้วยว่าจริงๆ แล้วไทยเป็นแบบนี้ ของเมืองนอกเขาเป็นอย่างนี้ ทำไมถึงต่างกัน ทำไมจีนเวลากินเขาเรอได้อย่างเปิดเผย แต่ถ้าเราเรออาจจะโดนเพื่อนเขม่นเอาได้ ความต่างเหล่านี้เป็นเพราะอะไร ให้เขาคิดต่อยอดได้

จะมีอยู่สามคำถามที่ผมจะถามคือ What, Why, How ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกว่า เขาจะต้องหาคำตอบและตั้งคำถามให้กับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ให้เขาได้คิดมากกว่าการนั่งท่องศัพท์ เพราะศัพท์สมัยนี้มันหาง่าย มันไม่ต้องเปิดดิกชันนารี แค่ดูใน Google ก็ได้ทุกอย่าง แต่การจะได้ทุกอย่างตรงนั้นมันง่ายไป ผมมีความรู้สึกว่าในประเทศเราจะครูจะพ่อหรือแม่ก็ตาม เราจะยัดเยียด จะป้อน จะเป็นผู้บังคับในสิ่งต่างๆ มากกว่าให้เขาไปคิดเอง อันนี้มันผิดตั้งแต่แรกแล้ว

ชมรม RAP IS NOW ของครู NAZESUS

แร็ปไม่ใช่การมาด่ากันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะแร็ปได้ต้องผ่าน hip-hop culture ก่อน ให้เขาสนุกไปกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เราเอามาเล่าให้ฟัง เพราะก่อนที่จะชอบอะไร เขาควรรู้สิ่งนั้นให้มากพอ มันสำคัญ แร็ปคือแรงบันดาลใจ เป็นที่ให้เขาได้คิด ถ้าคิดแล้วพูดออกมาเลยก็แค่นั้น

แต่แร็ปคือการคิดและเขียน เขียนไม่พอต้องเรียบเรียง เอาคำที่สละสลวยคล้องจองมาใส่ แล้วในระบบการคิด มันได้ตกผลึกบางอย่าง แต่ละบาร์ หรือทุกๆ สี่บาร์ มันมีการตกผลึกในตัวของมัน การฝึกคิดเช่นนี้จะทำให้เด็กคิดเป็นแบบแผนมากขึ้น คิดมากกว่าปกติที่คิดไปอีกระดับหนึ่ง

การเป็นครูมันเครียดในระดับหนึ่ง และสิ่งที่จะทำให้เรามีความสุขได้คืออะไรที่ไม่ใช่การเรียนการสอน เราก็ตั้งชมรม RAP IS NOW ขึ้นมาเพราะมันน่าสนุก ไม่ได้คิดว่ามันจะต้องวางแผนการสอนด้วยซ้ำ แต่พอเด็กเข้ามา เขามีไฟ ยิ่งรู้ว่าเราคือ NAZESUS เขายิ่งอยากเข้ามา แต่เราไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้เขา มันไม่แฟร์ แต่พอเราเตรียมให้ มันก็ไม่แฟร์อีกแล้วเพราะเราปูให้เขามากไป กลายเป็นการเรียนการสอนอีกแล้ว เราเลยประยุกต์ให้มันเป็นโปรเจ็คท์ขึ้นมา พยายามให้เขาออกแบบด้วยตัวเอง โดยมีแค่เราเป็นที่ปรึกษาเท่านั้น

งานของครูไม่ได้มีแค่สอนหนังสือ

ผมเชื่อว่าครูทุกคนมีหน้าที่นอกเหนือจากการสอนคนละอย่างสองอย่าง มีเวรต้องนอน มีเอกสารต้องทำ เขาอาจจะลืมไปว่าครูมีการบ้านที่ต้องตรวจ มีการสอนที่ต้องออกแบบ มันสำคัญนะ เคยไหมที่เราไม่ได้ไปโรงเรียนแล้วเรารู้สึกว่าเราจะตามเพื่อนไม่ทัน ครูก็รู้สึกอย่างนั้น เราไม่สามารถทุ่มเทการสอนในคาบนี้ได้ ในคาบถัดๆ ไปก็จับจังหวะไม่ถูก มันก็ทำให้เราเป๋เลย และด้วยหน้าที่และสิ่งที่มันมารุมเร้าโดยเฉพาะการประเมินต่างๆ ในประเทศนี้ มันไม่ใช่แค่การประเมินตัวเอง แต่มันประเมินยิบย่อย

ผลสุดท้ายพวกเขาก็มาดูแค่หน้างาน ดอกไม้สวยๆ ที่เอาไปตั้ง เล่มเอกสารที่เอาไปวาง รูปภาพที่เขาเปิดดูแล้วเขาก็จากไป โดยที่เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดจากการเตรียมการภายใน 1 อาทิตย์

เราไม่เกี่ยงที่จะถูกประเมิน แต่ว่ามาประเมินที่การสอนเลย ท่านมากันที่โรงเรียน มาเดินดูเลยไม่ต้องบอกพวกเราก่อน มาดูว่าพวกเราสอนกันยังไง ไม่ใช่แค่วันเดียวแล้วกลับ มาดูกันเป็นเดือนเลยก็ได้เพราะทรัพยากรคนของพวกท่านเยอะมาก เและจุดมุ่งหมายจริงๆ มันแค่ต้องเห็นศักยภาพของเด็กกลุ่มหนึ่ง แต่ทั้งโรงเรียนมีเด็กเป็นพัน มันไม่ใช่มีแค่ 50 คน อันนี้หรือเปล่าที่คุณควรจะต้องทำ ประเมินเรื่องจริงดีไหม  

อำนาจในมือครู

เคยได้ยินไหมว่าถ้าอยากเห็นคนคนนั้นเป็นแบบไหน ให้ยื่นอำนาจให้เขา ครูก็เหมือนกันนะเขารู้ว่าเขามีอำนาจกับเด็ก และอำนาจมันสำคัญตรงที่เราเป็นคนที่มีพลังในการพูด สั่งอะไรเด็กก็ได้ ชี้อะไรเขาก็ทำ และเราก็เคยใช้อำนาจนั้น เพราะตอนเราเป็นครูมันก็ยังไม่ได้มีกฎห้ามตีกัน

ครั้งหนึ่งเราเห็นเด็กนักเรียนกดลิฟต์ลงมา เราอยู่ชั้นสี่เพิ่งสอนเสร็จ ร้อน เหนื่อย อยากจะลงลิฟต์ พอลิฟต์ลงมาถึงและประตูเปิดได้หน่อยหนึ่ง นักเรียนรีบกดปิดแล้วรูดลิฟต์ลงไปเลย เราโมโหมาก วิ่งตามไปจนถึงชั้น 1 รอลิฟต์เปิด พอเด็กออกมาเราก็โมโห เราก็ตีเขา ตีก้นเขา ซึ่ง … มันรู้สึกแย่จนถึงทุกวันนี้

เพราะอันนั้นมันไม่ใช่การสั่งสอน ไม่ใช่ห่าอะไรเลย มันคืออารมณ์ พอตีเสร็จ เรารู้เลยทันทีว่าเราผิดละ เฮ้ย เราทำอะไรวะ เรากำลังเป็นในสิ่งที่เราไม่ชอบ มันไม่ใช่แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าพลาด นักเรียนคนที่ผมตีตรงนั้นเขาก็เป็นครูให้ผมว่าอย่าทำแบบนี้อีก

โรงเรียนกึ่งเผด็จการ

โรงเรียนปกครองแบบกึ่งเผด็จการนะ เพราะในความเป็นเผด็จการ มันมีการเลือกตั้ง (หัวเราะ) แต่ว่าการเลือกตั้ง ประธานนักเรียนก็ไม่ได้ใช้กระบอกเสียงของเขาเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับโรงเรียนได้อยู่ดี ผลสุดท้ายแล้วการเลือกตั้งประธานนักเรียนขึ้นมามันเหมือนการให้เด็กเล่นเลือกตั้ง จำลองให้ได้กา ได้เอาประธานขึ้นมานั่ง แล้วฟังครูกำหนดสิ่งต่างๆ ให้ไปทำ เอาง่ายๆ นโยบายของประธานนักเรียนที่หาเสียงในโรงเรียน มันเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน

ครูคือผู้ชี้ทางแต่ไม่ชี้นำ

ผมว่าครูคือคนที่เป็นมาตรฐานบางอย่างให้กับเด็ก ไม่จำเป็นต้องเก่งแบบโอเวอร์ ดุเวอร์ ครูเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งให้ได้ก่อนแล้วนำความธรรมดาๆ ของคุณมาเล่าให้เด็กฟัง ผมว่าครูคือคนชี้ทาง แต่ไม่ชี้นำ ครูไม่จำเป็นต้องไปพูดว่าโลกมันเป็นแบบนี้ ให้เขาตัดสินใจด้วยตัวเอง ผมว่าเขาอาจจะตัดสินใจผิดก็ได้นะแต่สุดท้ายเขาจะเรียนรู้มันเอง แต่เมื่อไหร่ที่เราสามารถทำให้เขาเข้าใจตัวเองได้ด้วยวิธีใดก็ตาม วิชาสามัญทั้งหลายมันเป็นเรื่องรองด้วยซ้ำถ้าเทียบกับชีวิตที่เขาจะต้องเจอในอนาคต การที่เราบอกเขาได้ แนะนำเขาได้ ทำให้เขาค้นหาตัวเองได้ มันสำคัญกว่าการป้อนวิชาเหล่านี้ด้วยซ้ำ คือการชี้นำมันคือทางเดียว แต่ทางเราชี้ทาง เราชี้กี่ทางก็ได้ให้เขาเลือกเอง

บทเรียนสุดท้ายของ NAZESUS ผู้หลงตัวเอง

NAZESUS ผู้หลงตัวเอง ผู้คิดว่าตัวเองเก่ง เราก้าวร้าวพอสมควรและคิดว่าตัวเองเจ๋งไปหมด เทียบกับตอนนี้มันคงต่างกันมากพอสมควรแต่ไม่ทั้งหมดนะเพราะเรายังมีอีโก้ เพราะถ้าไม่มีเราคงไม่แร็ป เรายังเชื่อมั่นในแร็ปของตัวเอง สิ่งที่ต่างออกไปคือ เรามองโลกกว้างขึ้น เรามองว่าคนอื่นดี เรามองว่าคนอื่นเก่ง เจ๋ง และเขาเป็นพลังให้เราได้ เราไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของโลกอีกต่อไป พอมาที่โรงเรียนเราเจอลูกของคนหลายพ่อพันแม่ นิสัยก็ต่างกัน ความที่เด็กเป็นผ้าขาวเปื้อนสีมาในแบบของเขา นั่นเหมือนเราเห็นกระจกสะท้อนตัวเองทุกวัน บางอย่างในตัวเรามันเปลี่ยนไป

เราอยู่กับแร็ป อยู่กับตัวเอง อยากจะพูดระบายในมุมมองของกู แต่พอได้อยู่กับนักเรียน มันไม่ใช่แค่มุมมองกูแล้ว มันกลายเป็นมุมมองของทุกคน แน่นอนว่าเพลงที่ออกมาหลังจากที่เป็นครูแล้วมันอ่อนลงเรื่อยๆ จากที่พูดถึงด้านดาร์คเต็มที่ มันค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป กลายเป็นเราทำเพลงเพื่อให้อะไรกลับไปสู่สังคมบ้าง

Tags:

ศิลปินดนตรีRapperจีรังกุล เกตทองครู

Author:

Photographer:

illustrator

สิทธิกร ขุนนราศัย

Related Posts

  • Voice of New Gen
    WISHDOM: ไอดอลสายการศึกษา ไม่เสียการเล่น เน้นการเรียน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    บาส-นัฐวุฒิ พูนพิริยะ: เพราะชีวิตมนุษย์ต้องผ่านบททดสอบตลอดเวลาจนกว่าจะตาย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Voice of New Gen
    รักที่จะแร็ป: เส้นสีแดงแห่งไรม์ และด้านมืดสว่างของแร็ปเปอร์

    เรื่อง

“ภูเขาหัวโล้น เพราะปลูกข้าวโพดเลี้ยงไก่ เรากินไก่ แล้วใครทำลายป่า? เฮ้ย เรานี่หว่า” วิชาธรรมชาติของแตง อาบอำไพ รัตนภาณุ
Voice of New Gen
1 March 2019

“ภูเขาหัวโล้น เพราะปลูกข้าวโพดเลี้ยงไก่ เรากินไก่ แล้วใครทำลายป่า? เฮ้ย เรานี่หว่า” วิชาธรรมชาติของแตง อาบอำไพ รัตนภาณุ

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • แตง-อาบอำไพ รัตนภาณุ อดีตครีเอทีฟบริษัทเอกชน ผันตัวเป็นนักเรียนวิชาธรรมชาติและศาสตร์พระราชา ศึกษาและอาสาทำงานเพื่อให้พื้นป่ากลับมา ตั้งแต่วันแรกที่เห็นภาพภูเขาหัวโล้น
  • เมื่อออกเดินทางไปเรียนรู้ในวิชาธรรมชาติ โดยการลงพื้นที่ ฟังและพูดคุยกับชาวบ้าน ไปเห็นปัญหาจริงด้วยตาตัวเอง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แตงลุกขึ้นจัดสรรพื้นที่ข้างบ้านด้วยวิธี ‘โคกหนองนา’
  • จากเดิมเมื่อแตงเรียนจบไปมีชีวิตของตัวเอง ไม่มีอะไรจะคุยกับครอบครัวมากนัก นอกจากการถามไถ่ทั่วไป ‘กินข้าวนะ’ ‘กลับบ้านนะ’ แต่เมื่อเปลี่ยนชีวิตมาทำงานตรงนี้ ทำให้แตงมีเรื่องคุยกับพ่อแม่มากขึ้น คุยกันเรื่องสวน มันเป็นพื้นที่ฟื้นความสัมพันธ์ในครอบครัว

จากนิสิตศิลปะการละคร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตครีเอทีฟบริษัทเอกชน ผันตัวเป็นนักเรียนวิชาธรรมชาติและศาสตร์พระราชา ความพิเศษของห้องเรียนนี้คือมันเคลื่อนที่ได้ เธอนิยามว่าคือ ‘มหา’ลัยสี่ล้อ’ เคลื่อนที่พาเธอและทีมงานศึกษาทั้งพื้นที่เขียวชอุ่มและแห้งแตกเป็นดินดานเกือบทั่วประเทศ

ประสบการณ์การเดินทางและเรียนรู้ใน ‘มหา’ลัยสี่ล้อ’ ไม่เคยทำให้อดีตครีเอทีฟเข็ดขยาด แต่ยิ่งอยากส่งต่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

แตง-อาบอำไพ รัตนภาณุ นอกจากจะเป็นลูกศิษย์และเลขาฯ อาจารย์ยักษ์-วิวัฒน์ ศัลยกำธร, รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีตประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และอดีตประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ บุคคลสำคัญที่มีบทบาทสำคัญขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สู่ภาคปฏิบัติโดยมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนามนุษย์, ปัจจุบันแตงเป็นอาจารย์พิเศษหลักสูตรผู้ประกอบการสังคม สถาบันอาศรมศิลป์ เป็นครูโรงเรียนประถมและมัธยมที่โรงเรียนปูทะเลย์มหาวิชชาลัย (ชื่ออย่างเป็นทางการ ศูนย์การเรียนกสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง) เป็นนักออกแบบกระบวนการ และสำคัญที่สุด เธอคือนักทดลอง

The Potential เคาะประตู (บุก) บ้านชวนแตงคุย เหตุใดคนหนุ่มสาว อดีตครีเอทีฟไฟแรงจึงเลือกเส้นทางใหม่ศึกษาศาสตร์พระราชา และแอบรู้มาว่าเธอจัดสรรพื้นที่รกร้างข้างบ้านขนาด 80 ตารางวา ทำเป็น ‘โคก หนอง นา’* ขนาดย่อม แตงตั้งใจไม่ล้อมรั้วเพื่ออยากให้เป็น ‘สวน’ สาธารณะในชุมชน ไม่ว่าใครก็เข้าไปใช้ประโยชน์ได้

ก่อนจะมาทำงานด้านเกษตรยั่งยืนและทำงานกับมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ คุณทำอะไรมาก่อน

เราจบศิลปะการละคร เอกกำกับการแสดง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ประมาณปี 55 ทำงานเป็นครีเอทีฟ บริษัทอีเวนต์แห่งหนึ่ง ขณะนั้นทำงานโปรเจ็คต์พิเศษด้าน CSR (Corporate Social Responsibility ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ขององค์กร) ร่วมกับสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง และมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ เลยได้มีโอกาสรู้จักกับอาจารย์ยักษ์ ทำสกู๊ปทีวี เราจึงต้องสัมภาษณ์อาจารย์ยักษ์และตามไปลงพื้นที่ด้วย ซึ่งครั้งนั้น อาจารย์บอกให้ไปดูพื้นที่ป่าต้นน้ำ ที่ลุ่มน้ำป่าสักว่ามันเป็นยังไง ได้เดินทางไปอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ กับทีมสถาบันฯ และมูลนิธิฯ ซึ่งทีมงานก็จะนำเราไปในพื้นที่และไปสัมภาษณ์คนโน้นคนนี้

เฉพาะตอนที่ยังเป็นครีเอทีฟ คนจบใหม่คนนั้นมีมุมมองต่อเรื่องพวกนี้อย่างไร

เราอินเรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อมตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว เราเคยดูคลิปฉลามโดนตัดครีบ หมีโดนตัดอุ้งตีน แล้วรู้สึกสะเทือน เศรษฐกิจพอเพียงเป็นคำที่ได้ยินมานาน แต่ไม่ได้สนใจ พอได้ฟังอาจารย์พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียงตอนสัมภาษณ์ รู้สึกว่าอาจารย์เป็นคนที่อธิบายเรื่องนี้ไม่เหมือนใคร เข้าใจง่าย ไม่ได้อธิบายแต่ทฤษฎี แต่ทำให้เห็นว่ามันเชื่อมโยงกับเรายังไง เอาไปใช้ยังไง พอฟังอาจารย์พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง มันเลยเกิดความรู้สึก ‘เข้าใจได้’ ขึ้นมาว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเอามาใช้พัฒนาประเทศทุกๆ ด้าน ไม่ใช่แค่การพัฒนาทางเกษตรอย่างเดียว นั่นก็โดนเราอีก ยังไงดี…คือเราสนใจเรื่องการทำให้ประเทศมันดีขึ้น

แต่ไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยม?

ไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยม ด้วยหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้ปฏิเสธทุนนิยม แต่ไม่ได้เอาทุนนิยมนำ

หลังจากพูดคุยกับอาจารย์ แล้วยังไงต่อ?

หลังจากสัมภาษณ์อาจารย์ ก็สนใจจะฟังอาจารย์อีก สนใจจะศึกษาเรื่องนี้ ด้วยความเนิร์ดส่วนตัวของเรา พอลงพื้นที่ไปดูป่าต้นน้ำ สิ่งที่เห็นคือภาพภูเขาหัวโล้น ซึ่งตอนนั้นเป็นปี 2557 นะ ยังไม่มีใครพูดเรื่องภูเขาหัวโล้นเลย อาจจะเป็นที่รู้กันในหมู่นักสิ่งแวดล้อมแต่สังคมยังไม่รับรู้นัก

พอเราไปถึงแล้วเห็นว่ามันเป็นภูเขาหัวโล้น ทีมพื้นที่ที่ดูแลให้ข้อมูลว่า มันเคยเป็นป่ามาก่อนนะ ซึ่งเราก็จินตนาการไม่ออกว่าป่าเขียวๆ มันกลายเป็นพื้นที่สีน้ำตาลทั้งหมดนี้ได้ยังไง และมันไม่ใช่แค่ลูกเดียว แต่มันคือ 360 องศา หมุนรอบตัวเรา มองไปไกลแค่ไหนก็ยังเป็นสีน้ำตาลทั้งหมด เชื่อไหมว่าตลอด 2 ชั่วโมงในการนั่งรถไถของชาวบ้านขึ้นไปเพื่อดูพื้นที่หาโลเคชั่นถ่ายทำ มันเป็นวิวแบบนี้ทั้งหมดแค่พื้นที่สูงขึ้นไป เราไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นเรื่องนี้มาก่อน เราไม่รู้จริงๆ ว่ามันเป็นเพราะอะไร

ภาพเหล่านั้นเชื่อมโยงกลับมาที่ตัวเองยังไง

เราถามพี่ๆ ในทีมว่าเขาปลูกอะไรกัน เขาตอบ ‘ข้าวโพด’ ตอนนั้นเป็นฤดูเผาพอดี เราเห็นซากไหม้ๆ ที่ถูกเผา มันเป็นภาพที่โคตรเศร้า เราถามเขาอีกว่า เขาปลูกข้าวโพดไปทำอะไร คำตอบคือ ‘เอาไปทำอาหารสัตว์ ให้ไก่กิน’ เราจำได้เลยว่า วันนั้นเราลงรูปในอินสตาแกรม แคปชั่นว่า “ตัดป่า ปลูกข้าวโพด ข้าวโพดไปเลี้ยงไก่ เรากินไก่ ใครทำลายป่า?” คำตอบคือ ‘เรานี่หว่า’ มันสะท้อนกลับมาที่ตัวเอง เฮ้ย เรานี่หว่าที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำลายป่า รู้สึกยอมไม่ได้ที่เป็นคนหนึ่งในการทำลายป่าทางอ้อม

จากนั้นไปคุยกับชาวบ้าน ลงไปถึงทางแยกของแม่น้ำป่าสัก เขามีป้ายเขียนว่าต้นน้ำป่าสัก แต่มันไม่ใช่ต้นน้ำแบบ original ตาน้ำนะ แต่เป็นทางที่แม่น้ำมาบรรจบกันซึ่งเรียกว่า แม่น้ำสองสี ที่เป็นแม่น้ำสองสีเพราะฝั่งหนึ่งน้ำใส อีกฝั่งน้ำขุ่น เราก็ถามเขาว่า ทำไมด้านหนึ่งใส ด้านหนึ่งขุ่น เขาบอกว่า มองเลยไป ตรงนั้นเป็นภูเขาหัวโล้น ส่วนฝั่งที่ใสยังเป็นป่าอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พอตัดป่าและปลูกข้าวโพด น้ำฝนมันตกมา พาเอาดินตะกอนและสารเคมีไหลมากับน้ำด้วย พอแม่น้ำสองสายมาบรรจบกัน ปรากฏว่าน้ำขุ่น น้ำใสสู้น้ำขุ่นไม่ได้ ยิ่งฝนตกแรง ก็จะเกิดดินโคลนถล่มทับหมู่บ้านข้างล่างอีก

ภาพภูเขาหัวโล้น ขณะลงพื้นที่ครั้งแรกในฐานะครีเอทีฟ

เสร็จแล้วเราสัมภาษณ์ชาวบ้านต่อ คือวันนั้นพยายามหาคำตอบว่า คุณได้รับผลกระทบโดยตรงจากการตัดป่าที่อยู่เหนือบ้านตัวเอง แต่ก็ยังทำ เป็นเพราะอะไร เขาถามเรากลับว่า ‘แล้วจะให้ปลูกอะไร?’ มันเป็นคำตอบที่ง่ายและสั้นมาก แต่จังหวะนั้นมันสะเทือนเรามากเลย ทำให้เราปิ๊งขึ้นมาทันทีเลยว่า ‘เออนี่ไง เขาไม่รู้’

ทริปนั้นเราไปหลายอำเภอมาก ไปเขาค้อด้วย ซึ่งพอไปเขาค้อก็ยังเห็นภาพแบบเดิมอีก เราโวยวายแล้วอะ “เฮ้ย มันจะเยอะแยะอะไรขนาดนี้” มันไม่ใช่แค่ที่เดียวนี่หว่า แสดงว่าเรื่องนี้มันใหญ่มาก

คำถามมากมายที่เกิดระหว่างลงพื้นที่ ภาพภูเขาหัวโล้นที่อยู่ตรงหน้า การสืบค้นความจริง ทำให้เห็นอะไรบ้าง

พบว่าเกษตรกรเลือกปลูกข้าวโพดเพราะมันง่าย มันเหมือนแพ็คเกจมือถือ แค่สมัคร ที่เหลือได้ทุกอย่าง เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา มีคนเอามาให้ถึงบ้าน เสร็จแล้วไม่ต้องไปขายที่ไหน มารับซื้อถึงบ้าน

จังหวะที่เห็นภาพความเชื่อมโยงทั้งหมด มันสะท้อนใจ รู้สึกว่า เราเองก็ไม่ได้ทำอะไร ทั้งๆ ที่เราเองมีส่วนทำให้มันเกิดขึ้น วันนั้นพอกลับมาถึงบ้าน เปิดก๊อกน้ำที่บ้านอาบ น้ำไหลโคตรง่าย แต่ก๊อกน้ำที่หมู่บ้านนั้น เปิดเท่าไหร่ น้ำก็ไม่ไหล ทั้งๆ ที่เป็นพื้นที่ต้นน้ำ

จำได้เลยว่า วันนั้นเราร้องไห้ในห้องน้ำ เรารู้สึกว่าชีวิตเราแม่งโคตรง่าย แล้วเราทำอะไรอยู่ (น้ำตาคลอ) เราต้องทำอะไรสักอย่าง เราคือคนที่ประเทศนี้ให้ไปเรียนหนังสือนะ เรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อ่านหนังสือตั้งมากมายเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียนจนจบปริญญา ได้เกียรตินิยม แล้วเราทำอะไรอยู่?

ตอนนั้นเราทำงานมาได้สองปี แต่รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ทำงานแปดชั่วโมงต่อวัน สิ้นเดือนได้เงิน ครบเดือนก็ใช้เงินหมด วนอยู่อย่างนี้ 2 ปี ถามตัวเองว่า ‘เรียนมาทำไมวะตั้ง 20 กว่าปี’ มันเป็นความคิดแบบนั้น เลยรู้สึกว่าอยากทำตัวเองให้เป็นประโยชน์มากกว่านี้ แล้วก็คุยกับทีมสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง สุดท้ายก็เลยลาออกมา

ขณะนั้นคุณอยู่ในฐานะกึ่งๆ สื่อมวลชน บทบาทหน้าที่อย่างหนึ่งก็ได้ทำเพื่อสังคมอยู่แล้ว?

ใช่ ตอนนั้นเราก็ได้ทำได้พูดผ่านสื่ออยู่แล้ว ถ่ายทำเสร็จกลับมาตัดต่อก็คิดนะ ทำยังไงให้สื่อออกไปแล้วเป็นประโยชน์มากที่สุด ไม่อยาก aggressive ไม่อยากทำออกมาแค่สื่อว่า แย่แล้ว มีภูเขาหัวโล้นเยอะมากจ้า แต่ว่า (นิ่งคิด) เราอยากใช้ความสามารถของเรามากกว่านี้ มากกว่าแค่ได้พูดมันออกไป เราอยากทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่อยากแค่พูดในฐานะสื่อ แล้วรอให้คนอื่นไปทำ

ที่ว่า ‘อยากใช้ความสามารถของตัวเองมากกว่า’ คุณอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไร

ป่าหายต้องปลูกป่าคืนมา ตอนนั้นคิดแค่นั้นเลย อยากรู้ว่าเรื่องนี้ต้องแก้ยังไง ใครต้องทำอะไรบ้าง อยากลงมือทำด้วยตัวเอง

หลังออกจากงาน ทำอะไรต่อ

ทำโปรเจ็คต์แรกในนามสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง ชื่อ ‘กล้า ท้า เปลี่ยน’ เป็นโครงการหนึ่งใน active citizen ของ สสส. เสนอว่าเราอยากทำค่ายที่มีคีย์เวิร์ดมาจากคำว่า ‘เราไม่อยากเห็นภาพนี้คนเดียว’ รับสมัครคนจากในเฟซบุ๊คและออกบูธประมาณ 2 ที่เท่านั้น มีคนสมัครเข้ามาประมาณ 150 คน

จัดที่เพชรบูรณ์ พาไปดูเขาหัวโล้น พาไปนอนดูดาว พาไปคุยกับอาจารย์ยักษ์ พี่โจน จันได และอีกหลายๆ คน ให้รู้ความเชื่อมโยง ให้ได้เจอ ให้ได้คุยกับชาวบ้าน ให้ได้อยู่ในสภาพนี้ และให้ช่วยกันเสนอทางแก้ไข สุดท้ายให้จับจอบ ลงมือทำตามแนวทางศาสตร์พระราชา

การพาคนไปเห็น จะเกิดอะไร

หนึ่ง-เปิดตา เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น และถ้าเขาได้รับเนื้อหา เขาได้จะ สอง-เปิดโลก เปิดโลกเปิดสมอง รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ เห็นความเชื่อมโยง เห็นวัฏฏะของมัน เขาจะรู้ว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบ สาม-เปิดผัสสะ คือได้ทำได้สิ่งที่ไม่เคยทำ

เราคิดและสังเกตว่า วิถีชีวิตคนรุ่นเราถูกตัดออกจากธรรมชาติ เพราะเราแค่ไม่รู้จักและไม่เคยอยู่ ปกติเราเองสมัยเรียนใช้ชีวิตวนอยู่ 3 ที่ คือ บ้าน โรงเรียน ที่เรียนพิเศษอยู่ในกรุงเทพฯ เวลาออกไปเที่ยวก็ได้เห็นแต่ภาพดีๆ แต่เราไม่เคยเห็นภาพของประเทศมุมนี้ที่ถูกซ่อนไว้ เราคิดว่ามันเป็นภาพที่ซ่อนไว้นะ เพราะมันไม่ได้ถูกโปรโมท ไม่ถูกยกขึ้นมาเป็นประเด็นที่ต้องเร่งแก้ แต่พอปี 59 เรื่องนี้ก็ดังขึ้นมา คนก็เริ่มรับรู้มากขึ้น

ในฐานะคนหนุ่มสาวซึ่งมีอาชีพมั่นคง ไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นมาทำก็ได้ มีหน่วยงานที่ทำงานเรื่องนี้โดยตรงทำงานอยู่แล้ว

ตอนที่เห็นภูเขาหัวโล้น เราตั้งคำถามขึ้นในใจ ใครต้องเป็นคนแก้ปัญหานี้ ชาวบ้านคนที่ตัดป่าเหรอ กรมที่ต้องดูแลป่าไม้เหรอ รัฐบาลเหรอ หน้าที่ใคร ทำไมไม่ทำ? สุดท้ายมันกลับมาที่ ‘ใครแก้ไม่รู้ รู้แต่กูซวย’

คือถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาแก้เองในวันนี้ ปัญหาจะวิกฤติไปเรื่อยๆ และอีกสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้า ในวันที่เราต้องโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ต้องดูแลประเทศต่อ ปัญหาคงยิ่งแย่มากกว่านี้ ในวันนั้นถ้าเราไม่มีความรู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง เราก็ตายแน่ ไม่มีทางอื่น

พอศึกษาเรื่องพวกนี้ ต้องเจอกับปัญหาโครงสร้าง การชนกับนายทุนผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ และความซับซ้อนอื่นๆ คำถามคือ ‘แก้ที่เราก่อน’ ก็จริงอยู่ แต่ถ้าโครงสร้างหรือหน่วยงานข้างบนไม่แก้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดได้จริงแค่ไหน

อืม… (คิด) เรายังเชื่อในพลังคนเล็กคนน้อยนะ บวกกับประสบการณ์ทำงานประมาณ 4 ปีของเราหลังจากมีโอกาสไปช่วยงานปฏิรูปประเทศ ซึ่งอาจารย์ยักษ์เข้าไปนั่งในสภาปฏิรูปฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและด้านการศึกษา ตอนแรกก็คิดว่า โห… นี่แหละคือไม้กายสิทธิ์ แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ มันไม่มีจริง ไม่มีคำสั่งจาก ‘ฟ้า’ ผ่าลงมาแล้วทุกอย่างจะดี ปัญหาจะได้รับการแก้ไข ไม่จริง ไม่มีสิ่งนั้น

หรืออย่างตอนนี้ทำงานกับกระทรวงฯ ก็ยิ่งได้เรียนรู้ว่า ระบบราชการมีความซับซ้อนสูงมาก สิ่งที่ทำได้ก็กลับมาที่ตัวเรา ‘อีกแล้ว’ (เน้นเสียง) กลับมาที่มือเรา ที่เครือข่ายนี่แหละ เพื่อนเรานี่แหละ เวลาพูดคำว่าเครือข่าย มันเหมือนแบบ… ม็อบรึเปล่านะ? หรือขายตรง? เราเลยชอบใช้คำนี้มากกว่า ‘เพื่อนเรา’ เพื่อนเราซึ่งอายุมากกว่า น้อยกว่า อะไรก็ตาม แต่นี่คือเพื่อนที่มีความคิดเดียวกัน ความฝันเดียวกัน และไม่ใช่แค่ฝัน แต่เราลงมือทำด้วย

จากนิสิตการละครมาเป็นนิสิตศาสตร์พระราชา เข้าใจว่ามีความรู้ที่ต้องศึกษาใหม่เยอะมาก เริ่มอย่างไร

ช่วงแรกๆ ที่ลาออกแล้วมาช่วยงานอาจารย์ยักษ์ เราใช้วิธี ‘ขอตามไปทุกที่’ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นการเรียนแบบ ‘มหา’ลัยสี่ล้อ’ คือรถตู้ของอาจารย์ยักษ์นั่นแหละ หลับไม่ได้ด้วยนะ ระหว่างเดินทาง-เราถาม พอลงพื้นที่-เราเห็นแล้วก็ฟัง จดแล้วก็ถาม มีแค่นี้จริงๆ

ซึ่งการติดตามอาจารย์ เราไม่ได้ลงพื้นที่ภาคสนามอย่างเดียว แต่ได้ไปตั้งแต่งานเสวนาวิชาการ งานบรรยาย งานอบรมเกษตรกร อบรมคนเมือง อบรมข้าราชการ งานประชุมระดับนโยบาย คือต้องมีเสื้อผ้าหลายสไตล์เลย

เพราะฟัง ลงพื้นที่ และเห็นกับตา จึงเป็นเหตุผลที่ลุกขึ้นจัดสรรพื้นที่ข้างบ้านด้วย ‘โคก หนอง นา โมเดล’?

ใช่ๆ (ยิ้ม) ด้วยความที่ลูกศิษย์ของอาจารย์ยักษ์กลุ่มแรกๆ คือเกษตรกร กลุ่มหลังๆ มานี้คือคนเมือง คนเมืองอย่างเราจะถูกตราหน้าว่า ‘มึงทำไม่เป็นหรอก’ แม้เราเป็นคนที่ฟังอาจารย์เยอะ แต่พูดไป เขาก็ไม่เชื่อ เพราะเราไม่ใช่เกษตรกร เราก็รู้สึกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการพิสูจน์ตัวเอง ไม่ได้แค่ฟัง จำ แล้วไปพูดต่อ แต่เราทำมันกับมือ เห็นมันโต มันเป็นการเรียนรู้ที่ลึกกว่า

อย่างตอนแรกที่ปลูกมะนาว ทำยังไงมันก็ไม่ออกดอก เราก็เลย ‘ขุดคลองไส้ไก่’ เลียนแบบที่เคยไปขุดดินบ้านคนอื่นเขา แต่แปลงแรกที่บ้านเราแค่กว้าง 2 เมตร ยาวไม่ถึง 4 เมตร ใช้แวก หรือจอบไซส์เล็กขุดทางน้ำแปลงเล็กๆ จากจุดที่พ่อใช้ล้างรถซึ่งสังเกตว่าจะมีน้ำหยดติ๋งๆ ตลอด ทำทางน้ำผ่านตะไคร้ ข่า เพื่อมาหามะนาว ปรากฏว่ามันดีขึ้น ครั้งแรกที่เริ่มทำเลยแบบ จริงว่ะ… ต้องบำรุงดินด้วยน้ำหมักจุลินทรีย์ ต้องกระจายความชุ่มชื้น


ความหมายและปรัชญาของ ‘โคก หนอง นา โมเดล’ เพื่อการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดย What2Grow NECTEC

อันนี้เป็นแค่แปลงเล็กๆ แต่โคกหนองนาข้างบ้าน เข้าใจว่าต้องใช้แรงงานจัดสรรพื้นที่พอสมควร

มันอาศัยแรงงาน แต่นานๆ ที หรือแค่ช่วงบำรุงดินในช่วงแรกเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเราเลือกพันธุ์ไม้ที่เขาดูแลตัวเองได้ พึ่งตัวเองได้ ไม่ต้องประคบประหงม ก็ไม่ต้องใช้แรงมาก แต่ถ้าคุณจะปลูกผักสลัดหรืออะไรที่ต้องรดน้ำทุกวันก็จะอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่ว่าคุณเลือกใช้ชีวิตแบบไหน ถ้าคุณมีเวลาอยู่ดูแลก็โอเค แต่ถ้าไม่มีเวลาแบบเรา ต้องทำงานต่างจังหวัดตลอด ก็ต้องเลือกอะไรที่ ‘ปล่อยแม่งเลย’ อย่างกล้วยนี่ก็ไม่เคยปลูกอีกเลยเพราะมันขึ้นมาเอง

วันแรกที่บอกพ่อแม่ว่าจะทำโคกหนองนา มีฟีดแบคยังไง

เขาก็รอดูว่าจะเลิกเมื่อไร (หัวเราะ) เป็นอารมณ์แบบ มันจะไปได้สักกี่น้ำ เดี๋ยวมันก็เลิก ไม่ได้ค้าน แต่ไม่ได้สนับสนุนตั้งแต่แรก เช่น พ่อไม่ให้ทำน้ำหมักเพราะกลัวสกปรก แต่พอทำแล้วเขาได้กินกล้วย มะละกอ มะนาว เยอะแยะ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะ การได้กินเนี่ย คือคำว่า ‘เห็นผล’ ต้องได้ผลอะ

หรืออย่างเช่น เขาเป็นคนที่หวงหญ้ามาก ชอบหญ้านวลน้อย ไม่ชอบหญ้าแห้วหมู พ่อเคยเอายาฆ่าหญ้ามาฉีดฆ่าแห้วหมู ซึ่งเราโกรธมาก เราทำงานต่อต้านเรื่องพวกนี้อยู่อะ เราก็แบบ “ไม่ได้ เอาออกไปจากบ้าน” เขาก็ไม่ยอม เสร็จแล้วหญ้าทั้งสองชนิดก็เริ่มตายเป็นวงเหมือนสนามเป็นกากเกลื้อน เราก็เลยไปหาความรู้ พบว่ามันเกิดจากดินปิด น้ำหมักนี่แหละช่วยได้ เราก็ อะ… เข้าทาง ก็เอาน้ำหมักที่หมักไว้นี่แหละฉีด มันก็คือการเอาจุลินทรีย์มาลงดินแล้วให้เขาทำงานเอง พอมันทำงาน หญ้านวลน้อยก็กลับมา พ่อตกใจ “เฮ้ย น้ำหมักอะไร”

น้ำหมักเปลี่ยนชีวิต!

ประมาณนั้น…

พอเราเปลี่ยนชีวิตมาทำงานตรงนี้ ก็มีเรื่องคุยกับพ่อแม่มากขึ้น เราก็เป็นเด็กปกติที่พอเรียนจบแล้วก็มีชีวิตของเรา ช่วงทำงานก็คุยกับเขาน้อยลง ไม่มีอะไรจะคุยนอกจากแบบ ‘กินข้าวนะ’ ‘กลับบ้านนะ’ แต่พอมีเรื่องนี้ เรามีอะไรคุยกัน มันเลยเป็นสวน เป็นพื้นที่ฟื้นความสัมพันธ์ในครอบครัว

เป็นพื้นที่ที่เพื่อนก็มากินข้าวแม่ มาลงแขกแลกแรงกัน เลยเรียกว่าสวนของเพื่อน เพราะว่าเพื่อนทำ เราทำน้อยมากเลย (หัวเราะ)

อยากทำพื้นที่แบบนี้เพื่อพิสูจน์อะไรรึเปล่า?

คิดว่าในกรุงเทพฯ ต้องมีสักที่ที่พิสูจน์สิว่า โคกหนองนาทำได้ทุกที่ และการปลูกอะไรแบบนี้มันง่ายนะ ใครก็ทำได้

ทำไมต้องมีพื้นที่แบบนี้ในเมือง

มีคนเมืองเยอะที่สนใจและไปสัมภาษณ์ ไปเรียนกับอาจารย์ยักษ์ คนมักถามว่าทำยังไง มีตัวอย่างให้ดูมั้ย? จะไปดูที่มาบเอื้องอยู่ชลบุรีก็ไกล เลยอยากเห็นพื้นที่แบบนี้ในกรุงเทพฯ อยากให้เห็นว่ามันย่อขนาดได้ สนุกได้ ไม่ได้ใช้ตังค์เยอะ เพราะไม่มีตังค์ แต่โชคดีที่มีที่ของเรา ก็ใช้พื้นที่ที่เรามี พึ่งตัวเอง

มีครั้งนึงไปร้านกาแฟ เห็นเด็กต้องมาเล่นในร้านกาแฟ เศร้านะ คือที่วิ่งเล่นกับธรรมชาติในเมืองมันน้อยลง ก็ชวนคิดกับพี่ๆ เล่นๆ ว่าน่าทำ play ground ที่เป็นดิน น้ำ ทราย ต้นไม้ เนอะ และมีโซนเย็นๆ ให้พ่อแม่นั่ง ก็เป็นความคิดแต่ยังไม่ได้ทำ แต่เฉพาะแปลงข้างบ้านของเรานี้ เราตั้งใจไม่ทำรั้วเพราะอยากให้เป็นที่ๆ ใครมาปลูกและเก็บผลผลิตก็ได้ ตอนนี้เป็น play ground ของนก กระรอกอยู่

4 ปีของการเดินทางในสายนี้ เป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าเทียบ learning curve ของสี่ปีในช่วงมหาวิทยาลัยกับสี่ปีที่ผ่านมา คนละเรื่องกันเลย เรารู้สึกว่ามันเป็นสี่ปีที่ก้าวกระโดดมากสำหรับชีวิตคนคนหนึ่ง เปลี่ยนจากเด็กที่ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน ไม่รู้ว่าอยู่ไปทำไม หาเงินไปวันๆ เป็นคนที่ตั้งเป้าหมายกับชีวิตว่าจะทำเรื่องนี้ ชีวิตนี้คุ้มแล้ว

มีคนถามเราว่าจะทำงานให้อาจารย์ยักษ์ไปนานมั้ย? เราไม่รู้ แต่รู้อย่างหนึ่งว่า

สิ่งที่เรารู้วันนี้ รู้แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ได้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ปรากฏในหนังสือ ในคลิปวิดีโอต่างๆ แล้ว แต่สำคัญกว่าคือมันต้องเข้าไปอยู่ในคน

เรารู้แล้วว่าทางรอดของคน ของธรรมชาติ ของเศรษฐกิจ ของประเทศ แก้ได้ด้วยวิธีง่ายๆ ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำไว้ให้ดูแล้ว แม้วันหนึ่งเราอาจไม่ได้ทำงานกับอาจารย์ยักษ์แล้ว แต่ก็คงเดินบนเส้นทางนี้ต่อ

Fun Fact

โคกหนองนา หรือแปลงเกษตรของแตงเป็นพื้นที่ข้างบ้านกินพื้นที่เล็กๆ ราว 80 ตารางวา เดิมเป็นพื้นที่รกร้าง ดินปะปนไปด้วยเศษขยะ ช่วงแรกของการเปลี่ยนที่ดินเธอตั้งใจแค่ขุดหลุมฝังขยะเศษอาหารเท่านั้น ต่อมามีไฟไหม้จากการเผาขยะลามมาถึงในบริเวณนี้ จึงคิดทำแนวกันไฟด้วยการปลูกกล้วยเป็นกอติดรั้วบ้าน

แต่เมื่อตั้งใจอยากทดลองทำโคกหนองนาด้วยตัวเอง เธอเริ่มจากปรับพื้นดินด้วยมือตัวเอง (และมือเพื่อน) ก่อนจะพบว่า ยิ่งขุดลงไป ก็พบแต่ขยะปนกับดินจำนวนมาก จึงตัดสินใจถมที่ดิน จากนั้นใช้รถขุดขนาดเล็กขุดหนองน้ำ 2 หนอง ไล่ระดับเป็นชั้นๆ คล้ายขั้นบันไดด้วยเห็นว่า หากมีน้ำเต็ม พื้นที่ขั้นบันไดจะเป็นที่วางไข่ของปลา แต่หากน้ำแล้ง ขั้นบันไดดังกล่าวใช้ปลูกพืชได้

ปัจจุบันภารกิจของเธอยังไม่เสร็จสิ้น แต่ด้วยความที่เธอเลือกใช้พันธุ์ไม้ที่อยู่ได้ด้วยตัวเอง สวนดังกล่าวจึงทำงานขยายพันธุ์ด้วยตัวเอง โดยมีเธอ ครอบครัว และเพื่อนๆ ช่วยกันเล็มใบกล้วยและนำพันธุ์ไม้ใหม่ๆ ลงมาปลูกตามสมควร

Tags:

สิ่งแวดล้อมศูนย์การเรียนกสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้องอาจารย์ยักษ์ วิวัฒน์ ศัลยกำธรอาบอำไพ รัตนภาณุพลเมืองเกษตรกร

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Photographer:

illustrator

พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • Social Issues
    สู้วิกฤตฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ด้วยการทำเครื่องฟอกอากาศ DIY

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา ภาพ ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Everyone can be an Educator
    กวิ๊: ดริปกาแฟ หมักเหล้าบ๊วยแบบโลกไม่สวยแต่ยั่งยืน

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    CONNECT TO THE FUTURE: “มันต้องไม่เป็นอย่างนี้” เปลี่ยนอนาคตด้วยการไม่ทนอีกต่อไป

    เรื่อง

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน
Learning Theory
28 February 2019

ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ ‘ประชาธิปไตย’ จึงต้องเริ่มต้นในห้องเรียน

เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนาทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • คุยกับ 4 ครู 1 กระบวนกร ว่าเพราะเหตุใดประชาธิปไตยในความหมายที่แท้จริงต้องเริ่มต้นสอนในห้องเรียน
  • ไม่จำเป็นต้องอยู่ในคาบวิชาสังคม วิชาอื่นๆ ก็แทรก ‘ความเท่าเทียมกันของทุกคน’ เข้าไปได้ สนุกด้วย
  • เพราะห้องเรียนคือโลกจำลองของสังคม ถ้าห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ แต่ถ้าห้องเรียนประชาธิปไตย ห้องเรียนก็ประชาธิปไตย

เพราะห้องเรียนคือโลกจำลองของสังคม ถ้าห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ แต่ถ้าห้องเรียนประชาธิปไตย ห้องเรียนก็ประชาธิปไตย

The Potential จึงไปคุยกับครู 4 คนที่เห็นความสำคัญของประชาธิปไตยและใส่เข้าไว้ในห้องเรียน ในจำนวนนี้แบ่งเป็นครูสังคม 2 คน ครูฟิสิกส์ 1 คน และ ครูบูรณาการอีก 1 คน รวมถึงไปคุยกับกระบวนกรคนสำคัญที่ผลักดันและเป็นกองหลังสำคัญครูให้สอนประชาธิปไตยด้วยหัวใจในห้องเรียน

1. ประชาธิปไตยในกระป๋องมันฝรั่ง: ภาคิน นิมมานนรวงศ์

ภาคิน นิมมานนรวงศ์

คุณครูวิชาสังคมศึกษา ม.4 กับ ม.5 โรงเรียนกำเนิดวิทย์

ร่มใหญ่ที่รับผิดชอบคือวิชาสังคมศึกษา แต่ในรายละเอียด คุณครูภาคิน นิมมานนรวงศ์ รับหน้าที่สอนวิชาหน้าที่พลเมือง ม.4 และ ม.5 ส่วนคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ จะไปปรากฏในวิชาหน้าที่พลเมือง ม.5 เทอม 1

ครูภาคินตั้งธงไว้แต่แรกว่าประชาธิปไตยจะต้องไม่ใช่วิชาที่ว่าด้วย ‘สิทธิเสรีภาพ’

“การโฟกัสประชาธิปไตยไปที่คำว่าสิทธิเสรีภาพ มันจำกัดไปหน่อยและทำให้เราเข้าใจมันอย่างผิวเผิน

คาบแรกที่ผมสอนจะพยายามทำให้เด็กเข้าใจว่าการเมืองหมายถึงอะไร และการเมืองไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นในสภา หรือมีนักการเมือง”

แต่การเมืองคือการรวบรวมและจัดสรรทรัพยากร ด้วยการเริ่มต้นที่ ‘มันฝรั่ง’

การเมือง = การจัดสรรทรัพยากร

“คาบแรก ผมเอามันฝรั่งพริงเกิลส์ไปให้เด็กๆ แจก ให้ช่วยกันคิดว่าจะแจกยังไง แจกให้เท่าๆ กันไหม หรือแจกตามความต้องการ แล้วให้คนเดียวแจกหรือหลายคนแจก ผมลองให้เด็กจินตนาการ โดยให้นึกถึงโลกที่เราอยากได้อะไรก็ได้ แต่ในโลกแบบนั้นอะไรที่หายไปแน่ๆ”

คำตอบกลับมาหลายอย่าง แต่เสียงส่วนใหญ่บอกว่าที่หายไปแน่ๆ คือ การเมืองการปกครอง

“ในโลกที่เราได้อะไรก็ได้ทุกอย่าง มันไม่มีเหตุผลที่เราอยากจะไปอยู่ใต้การปกครองของใคร แต่ในความเป็นจริง โลกต้องมีการเมืองการปกครอง เพราะโลกมีทรัพยากรจำกัด แล้วการเมืองการปกครองแต่ละรูปแบบคืออะไร ก็คือวิธีการที่แต่ละสังคมจะเอาทรัพยากรจำกัดนั้นมา แต่เอามาจากไหน และเอาไปใช้ทำอะไร”

เพื่อให้ง่ายขึ้น ครูภาคินจึงสมมุติให้ทรัพยากรที่ว่านั้นคือเงิน และโยนให้เด็กๆ ช่วยกันคิดว่าถ้าห้องเรียนนี้ต้องการเงิน คำถามแรกคือแล้วจะเอาเงินมาจากไหน และจะจัดสรรอย่างไรเป็นคำถามถัดมา

“ทุกคนก็บอกว่าเงินเอามาจากเพื่อน แล้วเอาไปใช้ทำอะไร บางคนบอกเอาไปจีบสาว บางคนก็บอกว่าแบ่งออกไปใช้หน่อยนึง อีก 50 เปอร์เซ็นต์เก็บเอาไว้แล้วกัน พอเห็นภาพนี้ก็จะรู้ว่าการที่เราให้สิทธิใครบางคนตัดสินใจว่าจะเอาทรัพยากรมาจากไหน หรือเอาไปใช้ทำอะไร-เพียงคนเดียว โดยมากแล้วก็เอาทรัพยากรมาจากที่อื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง เอาไปใช้ทำอะไร สุดท้ายก็มักเอาไปใช้ทำอะไรเพื่อตัวเอง ไมได้ทำเพื่อคนอื่น”

อาศัยความเข้าใจนี้ครูภาคินเลยอธิบายต่อว่า สิ่งนี้ก็คล้ายๆ กับการปกครองระบอบประชาธิปไตย นั่นหมายถึง รูปแบบการเก็บและจัดสรรทรัพยากรในกลุ่มคนที่มีพื้นเพแตกต่าง มีผลประโยชน์หลากหลาย

เช่นนั้นแล้วระบอบการเมืองแบบไหนที่มีปัญหา?

คำตอบคือ ระบอบที่การจัดสรรทรัพยากรเป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม

“คุณเอามาจากคนอื่นเยอะ แต่เวลาคุณใช้ คุณเอามาใช้กับตัวเองเยอะ ถามเด็กว่าแฟร์หรือไม่ ไม่มีใครพูดเลยว่าแฟร์”

สเต็ปต่อมาคือ นำความไม่แฟร์ที่เด็กๆ เข้าใจ โยงสู่เรื่องใหญ่ๆ อย่างงบประมาณของประเทศ

“ว่ามันไปอยู่ที่กระทรวงหรือจังหวัดไหนมากที่สุด เด็กๆ จะเห็นภาพว่าอ๋อ… ระบบการเมืองที่ดีกับไม่ดี มันต่างกันแบบนี้ ระบบการเมืองที่ดี มันเปิดโอกาสให้พลเมืองต่างๆ ในสังคมซึ่งมีผลประโยชน์ต่างกัน มีโอกาสถกเถียงกันว่าจะเอาทรัพยากรที่จำกัดไปทำอะไรในแต่ละพื้นที่ที่มีความต้องการต่างกัน ส่วนระบบการเมืองที่ไม่ดีคือระบบที่อำนาจการตัดสินใจไปกระจุกตัวอยู่ที่คนบางคน บางกลุ่ม ซึ่งมีผลประโยชน์เหมือนกันหมด”

ครูภาคิน ชี้ว่าพอเด็กเห็นอย่างนี้ เด็กจะเข้าใจได้เองว่า หัวใจหลักของประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องสิทธิเสรีภาพ แต่คือเรื่องจัดสรรทรัพยากรต่างหาก

เราไม่ได้เก่งแบบนี้ด้วยตัวเราเอง

ในแต่ละคาบ ครูภาคินทำหน้าที่ตั้งแต่สร้างบรรยากาศ ชักชวนเด็กๆ เข้าสู่ประเด็น ด้วยการชวนคิด ชวนตั้งคำถาม แต่ภารกิจหลักคือ ‘โชว์ข้อมูล’  

ความที่เด็กๆ ในโรงเรียนกำเนิดวิทย์ถูกคัดเลือกผ่านการสอบที่มีการแข่งขันกันสูง พื้นฐานครอบครัวใกล้เคียงกัน ครูภาคินเลยต้อนรับนักเรียน ม.4 เทอม 1 วันแรกด้วย ‘ข้อมูลส่วนตัว’  

“ผมไปนั่งทำข้อมูลแบ็คกราวด์ของเด็กทุกคนว่า พ่อแม่ทำอาชีพอะไร ได้เงินเดือนเท่าไหร่ มาจากโรงเรียนอะไรไหน จังหวัดอะไรบ้าง พอถึงคาบเรียน ก็เริ่มด้วยการถามเด็กๆ ว่า ทำไมถึงมาเรียนที่นี่ คาดหวังหรือมีเป้าหมายอย่างไร แต่รู้หรือเปล่าว่าคุณมีอะไรเหมือนกัน แล้วก็ให้จับกลุ่มกันเขียน”

คำตอบมีหลากหลายตั้งแต่ ชอบเกาหลีเหมือนกัน พูดภาษาอังกฤษเก่งเหมือนกัน และ เรียนเก่งเหมือนกัน

แต่ครูภาคินกลับเฉลยว่า “จริงๆ แล้วมีอีกอย่างหนึ่งที่พวกคุณเหมือนกัน แต่ไม่เคยสังเกต คือ…”

ว่าแล้วครูภาคินก็เปิดข้อมูลแบ็คกราวด์ของแต่ละคนและนำเสนอในรูปแบบสถิติ

“พวกคุณมาจากโรงเรียนเพียงไม่กี่จังหวัดในประเทศ อันดับ 1 คือกรุงเทพฯ อันดับ 2 คือ สงขลา และโชว์คะแนนโอเน็ตของแต่ละจังหวัด ให้เด็กเห็นความเชื่อมโยงว่ามันมีความสอดคล้องกันอย่างไร รวมทั้งเอาจำนวนโรงเรียนพิเศษในจังหวัดต่างๆ มาให้ดูประกอบ”

ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่การแสดงให้เห็นวุฒิการศึกษาของผู้ปกครอง (โดยไม่ได้เปิดเผยรายชื่อ) เพื่อให้เด็กๆ เห็นว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของพ่อแม่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา แล้วครูภาคินก็นำไปเปรียบเทียบกับสถิติเด็กๆ ที่มาจากครอบครัวยากจนว่ามีโอกาสเรียนต่อมหาวิทยาลัยเพียง 5 เปอร์เซ็นต์

“แล้วก็เอารายได้เฉลี่ยประชากรไทยมาให้ดูแล้วถามเด็กๆ ว่าพวกคุณอยู่ตรงไหน ปรากฏว่าอยู่เลยค่าเฉลี่ยไปไกลมาก ติดท็อปเท็นเลยด้วยซ้ำ”

เมื่อเด็กๆ ได้รับคำตอบว่า “เรามีพื้นฐานครอบครัวและเศรษฐกิจ ‘ดี’ เหมือนกัน” ครูภาคินจึงถามต่อว่า

“แล้วที่คุณตอบตอนแรกว่าพวกคุณเก่งเหมือนกัน ถามว่าความเก่งที่คุณมี เป็นความเก่งด้วยตัวคุณเองล้วนๆ หรือเปล่า ลองจินตนาการว่าถ้าคุณไม่ได้อยู่ในครอบครัวของคุณ แต่ไปอยู่ในครอบครัวเด็กที่มีโอกาสต่อมหา’ลัย 5 เปอร์เซ็นต์ คุณจะเห็นความสัมพันธ์บางอย่าง มันอาจไม่ใช่เรื่องความสามารถส่วนบุคคลอย่างเดียว แต่มีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้คุณก้าวไปได้ไกลกว่าคนอื่น”

ท้ายชั่วโมงครูภาคินสรุปโดยชวนเด็กๆ ตั้งคำถามว่า ถัดจากความสนใจด้านวิทยาศาสตร์ อย่างน้อยที่สุดเพราะพวกคุณมีเงินทุน หรืออยู่ในบริบททางสังคมซึ่งเอื้อให้ความสนใจด้านวิทยาศาสตร์โดดเด่นและไปได้ไกลกว่าเด็กคนอื่นหรือไม่ ผ่านโรงเรียนขนาดใหญ่ โรงเรียนพิเศษ และมีทรัพยากรที่ดีกว่า

“คนอื่นสอบไม่ติด อาจไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่ง แต่อาจเป็นเพราะแบ็คกราวด์และเงื่อนไขที่ต่างกัน ดังนั้นคำพูดที่ว่าความเก่ง ความโง่ เป็นเรื่องส่วนบุคคล ก็อาจจะไม่จริง”

การเมืองไม่ใช่แค่เลือกตั้ง

ทั้งเรื่องการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกันและแบ็คกราวด์ของนักเรียนแต่ละคนที่ต่างกัน นำไปสู่ ‘ประชาธิปไตย’ อย่างไร

“นำไปสู่การทำความเข้าใจสังคม และทำความเข้าใจคนอื่นอย่างใจเย็น” ครูภาคินตอบ ก่อนจะขยายความต่อว่า ปัญหาหลายอย่างในสังคมจำเป็นต้องใจเย็น และคิดกับมันว่า มีเงื่อนไขเชิงโครงสร้างบางอย่างที่ทำให้สังคมมีหน้าตาแบบนี้

“เช่น การศึกษา เราคิดว่า คนต่างจังหวัดไม่มีการศึกษา เมื่อไม่มีการศึกษาก็โง่ เมื่อโง่ก็ไม่สามารถตัดสินใจที่ดีได้ เมื่อไม่สามารถตัดสินใจที่ดีได้ก็ไม่ควรให้เขาตัดสินใจ และควรให้คนมีความรู้เป็นผู้ตัดสินใจ และสุดท้ายแล้วคนไม่ต้องเท่ากันก็ได้นี่หว่า ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากตรงนั้น”

ความตั้งใจของครูภาคิน คือ การจะเข้าใจเรื่องใหญ่ได้ เด็กๆ ต้องเริ่มจากการเข้าใจเรื่องเล็กที่สุดก่อน

“อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่ผลักคนคนนั้นให้ไปได้มากกว่าคนอื่น ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายปัจจัยที่เหนี่ยวรั้งคนคนนั้นไม่ให้ไปได้ไกล ทั้งๆ ที่เขาพยายามมากกว่าอีกหลายๆ คน”  

สุดท้าย ธงการสอนของคุณครูภาคินสรุปได้ 3 อย่าง

หนึ่ง – ระยะสั้น อยากให้เด็กๆ รู้ว่าพวกเขามาอยู่ตรงนี้ได้เพราะเขามีโอกาสที่ดีกว่าคนอื่นๆ ยอมรับก่อนว่าความเก่งหรือไม่เก่งอาจไม่ได้มาจากความสามารถส่วนตัวล้วนๆ แต่มาจากเหตุผลอื่นๆ ด้วย สิ่งที่คิดว่าเป็นตัวเรา มันไม่ใช่เรื่องของตัวเราเท่านั้น

สอง – เมื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้นก็เข้าใจคนอื่นมากขึ้น เมื่อเข้าใจคนอื่นมากขึ้น จะตัดสินคนอื่นน้อยลง

“คนเรียนจะเห็นเลือดเนื้อ เห็นเรื่องเล่า เห็นคนอื่น เมื่อเด็กๆ ไม่ได้เห็นแต่ตัวเอง มันถึงจะไปไกล”  

สาม – อยากให้มีเด็กๆ มี political literacy หรือความเข้าใจการเมืองว่าจริงๆ การเมืองไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใหญ่พยายามบอกเรา แต่การเมืองเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องปากท้อง ทรัพยากร ไมใช่แค่เรื่องสภา หรือคอร์รัปชัน แต่ยังคือการที่คนมาเถียงกันเรื่องผลประโยชน์ด้วย

“เวลาคุณอยู่ในสังคมแบบนี้ คุณจำเป็นต้องรู้เท่าทัน ถ้ารู้ไม่เท่าทันตัวคุณเองอาจเสียผลประโยชน์ สุดท้ายการเลือกตั้งเป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการแก้ปัญหาการจัดสรรทรัพยากร ประชาธิปไตยจึงไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง”  

2. ในฟิสิกส์ มีอนุภาคไม่เล็ก ชื่อประชาธิปไตย: ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

คุณครูสอนวิชาฟิสิกส์ ม.3 กับ ม.6 โรงเรียนสุวรรณพลับพลาพิทยาคม

คุณครูธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์ หรือ ครูโปเต้ เริ่มเข้าใจตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยว่า ประชาธิปไตยและการศึกษามีความเกี่ยวข้องกัน ตรงการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทำ ได้มีส่วนร่วม และการมีส่วนร่วมนี่แหละคือวิธีคิดแบบประชาธิปไตย

“ตอนนั้นเรารับรู้แล้วว่า เราสามารถที่จะเป็นครูได้ สามารถใช้การศึกษาเป็นส่วนหนึ่งที่จะผลักดันสังคม ให้มันเป็นประชาธิปไตย เพราะว่าสังคมไทยมันไม่เป็นประชาธิปไตย”

พอเข้าสู่วงการสอนอย่างเต็มตัว ครูโปเต้ก็เริ่มมีปัญหากับระบบ ไม่เห็นด้วย และไม่มีความสุขในการสอน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ครูโปเต้มีความสุขคือการสอน และเป็นการสอนที่แทรกประชาธิปไตยเข้าไปอย่างไม่ยัดเยียด

ด้วยการเริ่มต้นคาบแรกของทุกๆ ห้อง ด้วยกฎข้อเดียวเลยว่า “เราต้องไม่ละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์ของกันและกัน”

“เด็กก็งง เราก็อธิบายต่อว่า อะไรที่เธอไม่อยากโดนกระทำก็อย่าไปทำกับคนอื่น…ง่ายๆ แค่นี้”

ยกตัวอย่าง ครั้งหนึ่งครูโปเต้เคยโดนเด็กล้อว่า “ครูเป็นรุกหรือเป็นรับ” ซึ่งเป็นคำถามที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

“ก็เรียกเข้ามาคุยว่า สำหรับความเข้าใจของหนู คำว่ารุก และ คำว่ารับคืออะไร แล้วเธอคิดว่าเรื่องแบบนี้ควรเอามาถามในที่สาธารณะไหม พยายามบอกว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าสิทธินะ”

ถัดจากคำว่าสิทธิ คือ ประชาธิปไตย

ธงแรกในการสอนของครูโปเต้คือ เด็กต้องรู้เยอะ รู้ลึก รู้ให้สุด แต่เด็กที่โรงเรียนมีความแตกต่างกัน และไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนอยากเรียนฟิสิกส์ แต่จะทำอย่างไรให้ทุกคนเรียนด้วยกันได้

“พอสอนๆๆๆ มันไม่สำเร็จ เราเหนื่อยมาก ฟีดแบคก็ไม่โอเค เลยคิดได้ว่า เนื้อหาไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เราเลยโยนคอนเทนท์ทุกอย่างทิ้งไป และกลับมาทำงานกับความเป็นมนุษย์ของเด็กๆ ขณะเดียวกันก็ต้องตรงกับตัวชี้วัดในหลักสูตรด้วย

“ต้องให้เด็กมีแรงบันดาลใจและรักในการเรียน เดิมเราพาเด็ก proof ยาวทุกสมการ แต่เราเปลี่ยนมาเป็นไม่ proof แล้วชวนเด็กคุยว่า สมการนี้มันบอกอะไรเกี่ยวกับชีวิตเราได้บ้าง แล้วมันอยู่ตรงไหนในชีวิตเรามากกว่า

“ยกตัวอย่าง กฎแรงโน้มถ่วงของนิวตัน ครูโปเต้อธิบายจะอธิบายว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติมันเป็นไปด้วยกฎของนิวตัน สิ่งนี้ที่มันวางอยู่ได้เพราะมันมีมวล มีแรงเสียดทานนั่นนู่นนี่ เราพยายามชวนเด็กคุย ตั้งคำถาม ชวนคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น ให้เขามีส่วนร่วม”

ส่วนการสอดไส้ประชาธิปไตยเข้าไปในวิชาฟิสิกส์ของครูโปเต้ เริ่มต้นจากการ ‘ไม่คิด’

“เราคิดว่าประชาธิปไตยอยู่ในเนื้อในตัวของเราอยู่แล้ว เช่น เราให้ดีเบตเรื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย ให้แบ่งกลุ่มว่าใครเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย แล้วให้ยกเหตุผลขึ้นมาดีเบตกัน”

ก่อนการดีเบต สิ่งที่แต่ละฝ่ายต้องไปทำการบ้านมาก่อน คือ จะชูประเด็นอย่างไร อะไรคือเหตุผลที่เห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย และต้องเป็นเหตุผลที่จะทำให้อีกฝ่ายตอบไม่ได้ ทุกฝ่ายจึงต้องเก็บข้อมูลให้ได้เยอะที่สุดและ หนักแน่นที่สุด

“เขาก็จะพยายามไปคุยกัน ปรึกษากัน จากนั้นก็ออกมานำเสนอทีละฝั่ง ครูจะคอยรวมประเด็นที่เขาพูด สรุปให้อีกฝ่ายฟังว่า ฝั่งนี้เขาพูดว่าอย่างนี้นะ อีกฝั่งหนึ่งเขาก็พูดว่าอย่างนี้นะ”

วิธีดีเบต มันจะเข้ากับหลักการ ‘ฟังกันก่อน’ จะยอมรับหรือแย้งก็มาดีเบตกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นมันไม่ได้มีกระบวนการใดๆ ที่จะมาตัดสินหรือชี้ขาดว่าแบบไหนดีกว่า

“ท้ายที่สุด สรุปกิจกรรมออกมาแล้ว เราก็ไม่ได้ตัดสินอยู่ดีว่า มันควรจะเป็นแบบไหน คำตอบมันอยู่ในใจเราอยู่แล้วแหละ ถึงแม้เราอยากจะเข้าข้างกลุ่มเรามากน้อยแค่ไหน แต่พอมันได้ฟัง เชื่อเถอะในความเป็นมนุษย์ก็ต้องเลือกสิ่งที่มันรู้สึกว่าเป็นประโยชน์ของตัวเองที่สุด กระบวนการที่มันเป็นประชาธิปไตยแบบนี้มันถึงสำคัญในการเรียน”

เช่นเดียวกับทุกๆ ประเด็นสาธารณะหรือเรื่องส่วนรวม ครูโปเต้ก็จะชี้ให้เด็กๆ เห็นว่ามันต้องผ่านกระบวนการฟังเสียงของกันและกันก่อน

และใช้โอกาสนี้ อธิบายการเลือกตั้ง

“เราก็โยงว่า ก็เหมือนกับการเลือกตั้ง เวลาเราจะเลือกพรรคไหนเราก็ต้องดูก่อนว่าเขานำเสนออะไรออกมา แล้วเราก็ลองฟังเสียงของนักการเมือง ลองฟังดู นอกจากฟังนักการเมือง เราก็ลองฟังเสียงคนอื่นด้วยว่าเขาคิดเห็นยังไง แล้วเราก็บวกลบคูณหารชั่งน้ำหนักของเราเองว่า แล้วเราควรจะเลือกสิ่งไหนที่มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเราแล้วก็ต่อคนอื่นได้มากที่สุด”

ความเห็นส่วนตัว ครูโปเต้เชื่อว่าวิธีการสอนแบบนี้ โอเคกว่าการสอนแบบเดิม 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะการสอนแบบเดิม ครูคือผู้มีอำนาจสูงสุด ครูคือผู้กุมความรู้แล้วค่อยนำมาแจกให้เด็กๆ

“แต่แบบนี้ อำนาจในการกุมความรู้มันมาจากสองฝ่าย ครูและนักเรียน”

ถามเถอะ ฉันจะตอบ ชอบที่สุด

ในแต่ละคาบ การถามขึ้นมาทันทีทั้งที่ครูยังพูดไม่จบ อาจถือว่าผิด แต่สำหรับครูโปเต้ ถามมาเถอะ ฉันจะตอบ ชอบที่สุด

“ชอบ ชอบให้ถาม สวนเลย ชอบมาก ชอบที่สุด การถามทำให้การเรียนรู้มันสนุก คนอื่นจะได้เรียนรู้ว่าเวลาเขาไม่เข้าใจแล้วเขาอยากรู้ เขามีสิทธิถามได้ แล้วเขาก็จะได้เห็นว่า เออ ครูพูดมาแบบนี้เพื่อนไม่เข้าใจ แล้วเราก็ได้เห็นตัวเองด้วยว่า ทำให้คนส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ เราจะได้ไปสะท้อนตัวเองว่า ควรปรับวิธีการพูดใหม่หรือสอนใหม่ อันนี้ต้องปรับตลอด”

และการถามทันที นั่นแสดงว่าเด็กสงสัยจริงๆ แล้วเขาก็รู้ว่าตัวเองมีสิทธิที่จะถาม แทนที่จะโดนต่อว่าในข้อหาเสียมารยาท

“ตอนเด็กๆ เราโดนว่าตลอดเลยเวลาสงสัยแล้วยกมือถาม โดนครูด่าว่าไม่ตั้งใจถึงเรียนไม่รู้เรื่อง สุดท้ายเด็กจะไม่กล้าถาม ซ้ำร้าย ทำให้เด็กที่ไม่รู้แกล้งทำเป็นรู้ ซึ่งส่งผลร้ายต่อประเทศมากเลย ตรงที่ทำให้การเรียนรู้ไม่เติบโต ปิดกั้นการเรียนรู้ของสังคม ทำให้คนไม่สนใจกันมากขึ้น เมื่อเคยชินกับพฤติกรรมนี้ เราก็อยู่กันไปเหมือนว่าเราเข้าใจว่ามันเป็นแบบนี้ ก็ไม่อยากจะลุกขึ้นมาตั้งคำถาม พอไม่ตั้งคำถามมันก็ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคม”

3. ห้องเรียนเผด็จการ สังคมก็เผด็จการ: ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

ครูผู้ช่วยสอนวิชาสังคมศึกษาชั้นมัธยม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ปทุมธานี

“โรงเรียนหรือห้องเรียนเป็นภาพจำลองของสังคมใหญ่ เพราะฉะนั้นถ้าห้องเรียนไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ก็จะแปลว่าสังคมก็ไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยตามไปด้วย มันเป็นภาพสะท้อนซึ่งกันและกันเสมอ”

ถ้าถามว่าโลกของประชาธิปไตยเกี่ยวข้องกับโลกของนักเรียนอย่างไร ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล ในฐานะครูสังคมที่สอนวิชาหน้าที่พลเมือง บอกว่าโลกทั้งสองใบนี้เกี่ยวพันกันอย่างชัดเจน ด้านหนึ่งนอกจากโลกทั้งสองนี้จะสามารถสะท้อนกันและกันแล้ว ยังช่วยสร้างพลังเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างให้เกิดขึ้นจริงอีกด้วย

ถ้าสมมุติเด็กต้องอยู่ในสังคมที่มีแต่ความเผด็จการ แน่นอนว่าเด็กจะต้องตกอยู่ภายใต้วิถีหรือวิธีคิดแบบนั้น ส่งผลให้ การปฏิบัติตัว การแสดงออก ความสัมพันธ์ระหว่างกันในโรงเรียน ไม่ว่าครู–นักเรียน หรือ นักเรียนด้วยกันเอง ก็จะอยู่บนฐานคิดการมองคนที่ไม่เท่ากัน รวมถึงจะทำให้พวกเขามองเห็นคำตอบในห้องเรียนว่ามีแบบเดียวเท่านั้น

ดังนั้นในฐานะครู ถ้าทำให้ห้องเรียนเกิดความเป็นประชาธิปไตยขึ้นได้จริง สร้างห้องเรียนที่ทำให้เด็กนักเรียนมองเห็นถึงความเป็นมนุษย์ และให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิ เสรีภาพ ที่ทุกคนล้วนมีติดตัวตั้งแต่เกิด ความสัมพันธ์ระหว่างกันในโรงเรียนก็จะเปลี่ยนไป และการเปลี่ยนแปลงจะไม่หยุดแค่ในในโรงเรียนเท่านั้น เขาจะมองเห็นคนรอบๆ ตัวมากขึ้น

ยิ่งครูพล–เป็นครูที่สอนวิชาพลเมืองโดยตรง จึงแบ่งวิธีการสอนออกเป็น 2 แบบ ทั้งหมดทั้งมวลเพื่อนำเด็กไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริง

“อย่างแรกคงเป็นเรื่องวิถีปฏิบัติ ผ่านการแสดงออกของเรา แค่สร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียนอย่างเท่าเทียม มองเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ให้เกียรติและเคารพเขา ไม่สวมหัวความเป็นครูที่เอาอำนาจนำ แค่นี้ก็เป็นการสอนหลักประชาธิปไตยโดยไม่จำเป็นต้องเข้าสู่เนื้อหาหรือบทเรียนแล้ว ทำให้เขารู้สึกว่าแม้จะเป็นนักเรียนแต่เขาก็ไม่ได้ตัวเล็กเกินกว่าที่เราจะมองเห็น”

อย่างที่สองก็คงหลีกไม่ได้ที่จะเข้าสู่ห้องเรียน นั่นคือ การเลือกหยิบประเด็นต่างๆ ไปสอนให้เด็กรู้สึกว่าชีวิตเขาเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างไร พยายามแทรกเรื่องราวต่างๆ เข้าไปทำให้เด็กเห็นว่าการเมืองคือเรื่องพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ ทุกคนเกิดมาแล้วต้องเจอ แม้เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ แต่ก็ไม่อาจหนีความเป็นการเมืองไปได้ ตั้งแต่เเริ่มตื่นมาโรงเรียน จนขึ้นรถเมล์กลับบ้าน มันเป็นเรื่องการเมืองทั้งนั้น  

ดังนั้นโจทย์ใหญ่ของครูพลคือการหยิบยกประเด็นที่อยู่ในชีวิตประจำวันเหล่านี้ ขึ้นมาพูดในห้องเรียน โดยพานักเรียนไปสู่การมองเห็นอำนาจ มองเห็นโครงสร้าง และหนทางที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ โดยผ่านกระบวนการประชาธิปไตย อย่างการส่งเสียงของตัวเองและรับฟังเสียงของผู้อื่น ซึ่งเป็นหัวใจหลักของหลักประชาธิปไตย

“เช่น การถือกระเป๋าตังค์เข้าไปในห้อง แล้วให้เด็กจินตนาการว่าถ้ากระเป๋าตังค์เป็นทรัพยากร แล้วครูโยนกระเป๋าตังค์เข้าไปกลางห้องจะโอเคไหม? เด็กที่อยู่ทางซ้าย–ขวา ตอบสวนขึ้นมาทันทีว่าไม่โอเค เพราะพวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์ แล้วถ้าครูไม่โยนแต่เปลี่ยนเป็นให้วิธีให้คนที่วิ่งเร็ว วิ่งมาถึงก่อนได้ไปจะโอเคไหม? เด็กก็ไม่โอเค”

จากนั้นครูพลจึงตั้งคำถามต่อว่า แล้ววิธีแบบไหนนักเรียนถึงพอใจ?

ไม่น่าเชื่อว่านักเรียนทั้งห้องจะตอบไปในเชิงเดียวกันว่า ‘ครูควรจัดสรรทรัพยากรให้เท่าเทียม’ โดยที่ยังไม่ทันได้หนังสือสอนเลยด้วยซ้ำ

สิ่งที่ครูพลทำพยายามทำอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ใช่หวังแค่ให้เด็กสอบได้คะแนนสูงๆ แต่สิ่งสำคัญและจำเป็น นั่นคือ การเตรียมความพร้อมให้เขาต่างหาก

“หลายๆ ครั้ง ครูก็ยังติดกับดักการสอนในรูปแบบเดิมๆ จะต้องเปิดตำราแล้วสอนว่าประชาธิปไตยคืออะไร โดยที่ไม่ได้พาบทเรียนเข้าไปสู่ชีวิตประจำวันของนักเรียนมากนัก รวมถึงยังขาดการลงลึกไปให้ถึงรากด้วยว่า ทำไมเราต้องมีประชาธิปไตย”

ครูพลเชื่อว่าถ้าเด็กสามารถเข้าใจคำถามพื้นฐานเหล่านี้ได้ เมื่อพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะสามารถออกแบบและดีไซน์สังคมของตัวเองได้ด้วยตัวเขาเองเช่นกัน

4. คาบประชาธิปไตยในโพสต์อิท: ‘ครูวิลลี่’ อนุสรณ์ นิลโฉม

‘ครูวิลลี่’ อนุสรณ์ นิลโฉม

โรงเรียนชุมชนบ้านผานกเค้า จังหวัดเลย

ทุกคาบในรายวิชาบูรณาการ ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมต้น ในโรงเรียนชุมชนบ้านผานกเค้า ‘ครูวิลลี่’ อนุสรณ์ นิลโฉม อธิบายว่า นักเรียนจะได้เรียนเนื้อหาที่หลากหลาย โดยข้อกำหนดตามหลักสูตรบอกว่า วิชาบูรณาการคือวิชาที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกเรียนรู้ด้วยตัวเอง ผ่านกระบวนการต่างๆ เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน เรียนรู้จากธรรมชาติ หรือเรียนรู้จากสิ่งที่นักเรียนสนใจ

ซึ่งถึงแม้ว่าวิชาบูรณาการจะไม่ใช่รายวิชาที่เกี่ยวกับสังคมศึกษาโดยตรง แต่ครูวิลลี่ ครูผู้สอนวิชานี้ กลับมองเห็นความสำคัญและพยายามใส่เนื้อหาเรื่องประชาธิปไตยลงไปในห้องเรียนให้ได้มากที่สุด

“เรื่องสิทธิเป็นเรื่องสำคัญ เราจะเน้นสอนให้เด็กทุกคนรู้จักเคารพในสิทธิผู้อื่น มองเห็นสถานะคนอื่น และทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์กันได้ ไม่ใช่เรื่องผิด สามารถมองต่างมุมได้ แต่ต้องยอมรับความคิดเห็นผู้อื่น นี่คือสิ่งที่พยายามใส่ลงไปในห้องเรียน ซึ่งเรื่องนี้มันก็เป็นหลักของประชาธิปไตยโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว”

ยิ่งในวิชาบูรณาการ ที่หลายคนมองว่าเป็นวิชาที่ไม่ใกล้เคียงกับภาควิชาสังคมสักเท่าไรนัก แต่ครูกลับมีเทคนิคการสอนที่น่าสนใจและช่วยสะท้อนความเป็นประชาธิปไตยได้ ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น การวางกระดาษโพสต์อิทไว้ประจำห้อง

ครูวิลลี่บอกว่าโพสต์อิทหล่านี้ มีเพื่อแทนเสียงของนักเรียน เพราะสิ่งที่เป็นฐานคิดแรกของเรื่องประชาธิไตย นั่นคือ การทำให้นักเรียนทุกคนสามารถออกเสียงของตัวเองออกมา สามารถพูดข้อเสนอแนะของตัวเองได้ หรือถ้าครูทำอะไรไม่ถูกต้อง นักเรียนก็สามารถเขียนบอกผ่านกระดาษได้

วิธีการของครูวิลลี่อาจเป็นวิธีธรรมดา ไม่ได้เข้าไปเขย่าหรือช่วยตกตะกอนให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง แต่นี่คือการเริ่มต้นเล็กๆ เพราะได้เปิดพื้นที่ให้นักเรียน ช่วยละลายพฤติกรรมทำให้เขาไม่รู้สึกกลัว และกล้าจะวิพากษ์วิจารณ์

นอกจากวิธีการสื่อสารผ่านโพสต์อิทแล้ว ครูวิลลี่ยังมีอีกวิธี นั่นคือ การเปลี่ยนหัวหน้าห้องเวียนไปทุกอาทิตย์

“ทุกคนต้องได้เป็นหัวหน้าห้อง เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกยึดติดกับอำนาจและสอนให้เขาฝึกตัวเองให้เป็นผู้นำและผู้ตามไปพร้อมๆ กัน”

รวมถึงเรื่องเล็กๆ อย่างเช่นการทำเวรความสะอาด ในบางคาบเรียน ครูวิลลี่จะพาเด็กมานั่งล้อมวงเพื่อทำความสะอาดห้องเรียนด้วยกัน นอกจากเป็นการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมแล้ว วิธีนี้ทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของพื้นที่นั้น สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกผูกพันและจะไม่ทำให้สกปรกอีก ซึ่งเป็นการสอนให้นักเรียนรู้จักรักษาความสะอาด โดยไม่ต้องชี้นิ้วสั่ง

ถึงแม้โลกจะพัฒนาไปไกล โซเชียลมีเดียเข้าถึงมือเด็กหลายๆ แต่ครูวิลลี่บอกว่าเด็กส่วนใหญ่ในโรงเรียนยังมีความรู้เรื่องในสภาหรือเรื่องการเลือกตั้งระดับประเทศน้อย แต่พวกเขาจะเข้าใจได้ง่ายๆ หากเรื่องนั้นเป็นประชาธิปไตยใกล้ตัว เช่น การเลือกอบต. การเลือกผู้ใหญ่บ้านในชุมชน ดังนั้นจึงตั้งคำถามให้ไปคิดต่อว่า ‘เพราะเหตุผลอะไรทำไมเราทุกคนต้องช่วยกันเลือกคนเหล่านี้เข้ามาดูแล’ ทำให้เขาความสำคัญว่าทำไม? เพราะอะไรถึงต้องออกสิทธิ ออกเสียง ในการเลือกคนเหล่านี้เข้ามา

ดังนั้นความท้าทายต่อไปของครูวิลลี่ คือ การทำให้นักเรียนทุกคนเข้าใจหัวใจของประชาธิปไตยได้

“แม้เขาจะเป็นเด็กตัวเล็กๆ แต่การสอนให้เขารู้จักตั้งคำถาม ผ่านสิ่งง่ายๆ รอบตัว เช่น ละครที่เขาดูกับพ่อแม่ตอนหัวค่ำ วิเคราะห์ตัวละครที่เห็น โดยที่ไม่ใช่การบอกว่าใครดีใครเลว คนนี้บวก คนนี้ลบ เพียงแค่ให้รู้ว่าใครเป็นอย่างไร ฝึกให้คิดและตั้งคำถามไปกับมัน มองอย่างรอบด้านมากขึ้น ให้เห็นมิติอื่นๆ จะทำให้เด็กเรียนรู้ไปเองว่านี่คือความหลากหลาย”

5. ภัทรภร เกิดจังหวัด “เราจะไม่สร้างครูให้ไปสอนว่าประชาธิปไตยคืออะไร แต่เราจะค้นหากระบวนการที่นำไปสู่ประชาธิปไตย”

ภัทรภร เกิดจังหวัด

นักจัดกระบวนการห้องเรียนประชาธิปไตย จากมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม)

แม้จะไม่ได้เป็น ‘ครู’ ไม่ใด้ใกล้ชิดกับเด็กที่สุด แต่ในฐานะนักจัดกระบวนการเรียนรู้ ‘ฝน’ ภัทรกร เกิดจังหวัด นักจัดกระบวนการห้องเรียนประชาธิปไตย จากมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) จึงเปรียบเสมือนผู้ที่ถ่ายทอดเครื่องมือหรือความรู้อะไรบางอย่าง ผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้คุณครูได้นำวิธีการเหล่านี้กลับไปใช้ในห้องเรียนและส่งต่อให้เด็ก

เมื่อย้อนถามความเข้าใจเดิม เกี่ยวกับคำว่า ‘ประชาธิไตย’ ฝนบอกว่าแต่ก่อนก็เคยเข้าใจแบบที่ทุกคนคงรู้

“มันคงเป็นภาพฟุ้งๆ อยู่แล้วว่าประชาธิปไตยคือความเท่าเทียม คือการเคารพกัน จนได้ยินคำพูดหนึ่งของคุณโตมร ศุขปรีชา (นักเขียน) ที่เคยพูดไว้ว่า ‘ประชาธิปไตยไม่ใช่สิ่งที่อยู่ปลายทาง แต่กระบวนการที่เดินไปสู่ปลายทางต่างหาก การถกเถียง การมองเห็น การได้ยินเสียงของทุกคน สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือประชาธิปไตย’ ดังนั้นถ้าต้องการจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ประชาธิปไตยจึงเป็นอีกเครื่องมือสำคัญ เพราะมันทำให้เกิดการถกเถียงกันและกันได้”

สำหรับฝน ประชาธิปไตยจึงคือกระบวนการถกเถียง เพื่อหาคำตอบบางอย่างร่วมกัน

“โดยที่เราทุกคนไม่รู้หรอกว่าคำตอบนั้นมันจะเป็นอย่างไร แต่มันเกิดจากการ ‘ร่วมกัน’ ไม่ใช่ฉันเห็นว่าดี พวกเธอจงทำตาม”

และเมื่อเข้าสู่การกระบวนการ สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการทำให้ครูเห็นว่า ‘เสียงทุกเสียงมีคุณค่า’

พออยู่ในกิจกรรมเรียนรู้ สิ่งที่เห็นได้ชัดเลย คือครูที่เข้าร่วมไม่ต่างอะไรจากเด็กคนหนึ่ง ครูทุกคนไม่ได้เกิดมาแล้วพูดเก่ง หรือมีความมั่นใจ สิ่งที่ฝนทำคือการสร้างกระบวนการให้ครูก้าวข้ามความรู้สึกนั้น จนกล้าที่จะส่งเสียงของตัวเองออกมา

“ดังนั้นเมื่อเราสร้างเครื่องมือให้ครูเห็นได้ว่าเสียงของเขามีค่า เขาก็จะนำวิธีการเหล่านี้กลับไปใช้ในห้องเรียน กลับไปใช้กับเด็กที่ตัวเองสอนเอง ทำให้เด็กกล้าพูด สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกเสียงที่จะพูดออกมา”

สำหรับฝน ‘ความเป็นประชาธิปไตย’ เป็นสมบัติที่มนุษย์ทุกคนพึงมี ไม่ใช่แค่อาชีพครู

ครูคนหนึ่งเคยบอกกับฝนว่า เขาไม่เคยสั่งเด็กเลย แต่ด้วยออร่าอะไรบางอย่าง ทำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าส่งเสียงของตัวเองออกมา เอาแต่นั่งเงียบ ไม่พูด จึงตัดสินใจเปลี่ยนพลังงานบางอย่างของตัวเอง จนทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเปลี่ยนไป ซึ่งฝนบอกว่า นี่คืออีกกระบวนการหนึ่งที่ช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็ก ทำให้เด็กกล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น หา ‘อำนาจร่วม’ หาทางออกด้วยกัน ซึ่งสิ่งนี้คือวิถีประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง และไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแค่ในห้องเรียน ในครอบครัว ในบริษัท ก็เอาไปใช้ได้

ในฐานะนักจัดกระบวนการ ฝนบอกว่ามีกิจกรรมหลายอย่างที่ช่วยเขาไปสะกิดต่อมอำนาจ ทำให้ครูเผยความรู้สึกอะไรบางอย่างได้ ตัวอย่าง เช่น กิจกรรมละครชื่อว่า landlord (แลนด์ลอร์ด) ที่โยงให้เห็นถึงโครงสร้างเหนือสุดสู่ล่างสุด ตามลำดับ 1-2-3-4 (เบอร์ 1 สามารสั่งเบอร์ 2 ได้, และเบอร์ 2 สามารถสั่ง 3 กับ 4 ได้) จากนั้นก็ให้ทุกคนได้ทดลองสลับตำแหน่งเวียนกันไป แล้วฝนในฐานะกระบวนกรจะถามความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับครูแต่ละคนว่าเมื่อได้ยืนในทุกๆ ตำแหน่งแล้ว รู้สึกอย่างไร เห็นอะไร

“บางคนก็สะท้อนมาว่า แม้จะได้ไปยืนในตำแหน่งเบอร์หนึ่งที่มีอำนาจสั่งทุกคนได้ แต่เขาก็ไม่ได้ชอบ เพราะมันกดดัน หรือ ถึงแม้จะไปยืนในตำแหน่งเบอร์ 3, 4 ที่ถูกกดขี่ แต่บางคนกลับชอบเพราะไม่ต้องคิดมาก ทำตามคำสั่งสบายๆ จากนั้นก็โยงเข้าไปสู่ในห้องเรียนโดยให้ครูกลับไปคิดว่า ใครอยู่ตำแหน่งไหน และถ้าเด็กถูกผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าสั่งเขาจะรู้สึกอย่างไร”

ดังนั้น เมื่อถามว่าทำไมต้องสร้างห้องเรียนประชาธิปไตย ฝนตอบทันทีว่า เพราะในแต่ละวันเด็ก ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนเยอะมาก ห้องเรียนและโรงเรียนจึงกลายเป็นสถานที่และแบบจำลองของสังคม ถ้าโรงเรียนเป็นพื้นที่ให้เด็กได้ลองถูก ลองผิด คอยสอนเขาเมื่อเขาเดินผิดทาง ฝึกให้เขาคิดและถกเถียง ให้เขาได้รู้ว่ามันมีอีกหลายความคิดที่เกิดขึ้น ทำให้เขาเห็นว่า ‘เออ มันก็มีคนคิดแบบนี้ด้วย’ จนสุดท้ายเขาตกตะกอนออกมาได้เอง โดยที่บางครั้งครู อาจไม่ต้องเปิดตำราสอนเลยด้วยซ้ำ

หากโรงเรียนเป็นโลกจำลองของสังคมได้จริง เด็กนักเรียนไปโรงเรียนทุกวัน เขาก็จะได้ฝึกวิธีคิดเชิงถกเถียง ซ้ำๆ ทุกวันและในที่สุดมันก็จะกลายเป็นพฤติกรรม เป็นสิ่งที่เข้าอยู่ในเนื้อในตัวของเขา เมื่อเขาโตขึ้นไปอยู่ในสังคมจริง สังคมนั้นก็จะไม่ใช่สังคมที่สยบยอม ที่มีแต่กลัวผิด กลัวพลาด ไม่กล้าส่งเสียงของตัวเอง ดังนั้นถ้าเราอยากทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆ อยากทำให้สังคมเปลี่ยนแปลง โรงเรียนก็ต้องเปิดพื้นที่ตรงนี้ให้เกิดขึ้นจริง

“เราจะไม่สร้างครูให้ไปสอนว่าประชาธิปไตยคืออะไร แต่เราจะค้นหากระบวนการที่จะนำไปสู่ความประชาธิปไตยต่างหาก ครูต้องสอนแบบไหน สอนประชาธิปไตยโดยใช้อำนาจได้ไหม ถ้าใช้อำนาจต้องเป็นอำนาจแบบไหน จึงชวนครูมาหาคำตอบร่วมกัน” ฝนทิ้งท้าย

Tags:

ภัทรภร เกิดจังหวัดอนุสรณ์ นิลโฉมพลเมืองเทคนิคการสอนประชาธิปไตยอรรถพล ประภาสโนบลการเลือกตั้งภาคิน นิมมานนรวงศ์ธนา เอี่ยมบำรุงทรัพย์

Author:

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Related Posts

  • Education trend
    Global Citizenship Education: เราจะสอนให้นักเรียนเป็นพลเมืองโลกได้อย่างไร

    เรื่อง อรรถพล ประภาสโนบล ภาพ อัคคเดช ดลสุข

  • Learning Theory
    อยากเห็นเด็กๆ โตเป็นพลเมืองที่ดี การเมืองต้องเป็นเรื่องที่พูดได้ เถียงได้ในห้องเรียน

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ PHAR

  • Social Issues
    SAVE เก็บไว้! นโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคใหญ่ เข้าสภาไปจะได้ไม่ลืม

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Social Issues
    ‘ปิดเทอมต้องสร้างสรรค์’ เปิดนโยบายเด็กและเยาวชนของ 5 พรรคการเมือง

    เรื่อง

  • Learning Theory
    สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

Posts navigation

Older posts
Newer posts

Recent Posts

  • Lilo & Stitch: ‘โอฮาน่า’ ไม่ใช่แค่ครอบครัว แต่หมายถึงใครสักคนที่เห็นคุณค่าและยอมรับตัวตนในแบบที่เราเป็น
  • ขับเคลื่อนการศึกษาคุณภาพ ปั้นสมรรถนะ ‘เด็กตงห่อ’ สานต่ออนาคตของภูเก็ต
  • ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2 ‘พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย’
  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel