Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น

Month: October 2019

“คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา
Social Issues
9 October 2019

“คุณมาโรงเรียนทำไม?” คำถามจากครูขอสอน คำตอบอันดับ 1 ไม่ใช่ความรู้และวุฒิการศึกษา

เรื่องและภาพ ณิชากร ศรีเพชรดี

  • เวทีที่สองของ #ครูขอสอน ตั้งคำถามสำคัญกับคนทั่วไปว่า “คุณมาโรงเรียนทำไม”
  • คำตอบอันดับ 1 พบว่า พวกเขามาเพื่อเรียนรู้ พัฒนาร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา ส่วนเรื่องความรู้และวุฒิการศึกษา กลับหล่นลงไปเป็นอันดับรองๆ
  • คำตอบดังกล่าว คือคีย์เวิร์ดของหัวข้อ “อนาคตที่อยาก การศึกษาที่อยากเป็น” ที่ชวนคุยในเวทีครั้งนี้

เวทีที่สองของ #ครูขอสอน* เครือข่ายครูที่ตั้งใจทำงานเป็นแกนกลางรวบรวมเสียงของครู นักเรียน ผู้ปกครอง-ในฐานะเจ้าของสิทธิใช้ประโยชน์จากแหล่งบ่มเพาะการศึกษาในรั้วโรงเรียน – ครั้งแรกพวกเขาจัดเวทีชื่อ ตั้งวงเล่า #1 เมื่อ ‘ครู’ ไม่ได้ทำหน้าที่ครู: เสรีนิยมใหม่ในโรงเรียนไทย (ดูเพิ่มเติมที่นี่) บอกเล่าเหตุผลภายใต้โครงสร้างสังคมที่ทำให้ครูไม่ได้สอนหนังสือ

แต่วันนี้ วันที่ 5 ตุลาคม 2562 ซึ่งตรงกับวันครูโลก (World Teachers’ Day) #ครูขอสอน ขอเปิดอีกหนึ่งเวที ชวนคุยกันในประเด็น ‘อนาคตที่อยาก การศึกษาที่อยากเป็น’ นำเสนอผลสำรวจความเห็นจากคนทั่วไปจำนวน 1,277 คน ในประเด็นความคาดหวังที่คนทั่วไปมีต่อโรงเรียนในอนาคต 

รายชื่อวิทยากรบนเวที มีรายนามและนำพูดในประเด็นดังนี้ 

  • ทักษิณ อำพิณ นักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม ในฐานะเสียงของนักเรียนจริงๆ
  • กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ รองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาฟินแลนด์ในแง่ ‘ตัวอย่าง’ ของโรงเรียนที่ก้าวหน้าและสร้างกำลังของประเทศได้จริง ว่าเขามีวิธีการทำงานแบบไหน
  • ครูทิว-ธนวรรธน์ วุวรรณปาล ครูโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง และ ครูพล–อรรถพล ประภาสโนบล ครูโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการปทุมธานี นำเสนอแบบสำรวจ ตัวแทนเสียงของครู และผู้ชี้ประเด็น ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…. ที่กำลังจะร่างขึ้น ว่าควรมีหน้าตาแบบไหน และข้อกังวลต่อร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวคืออะไร
  • ณัฏฐเมธร์ ดุลคนิต ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 1 เป็นผู้ชวนคุยและนำบทสนทนา

เสียงคนทั่วไป “อนาคตที่อยาก การศึกษาที่อยากเป็น”

ครูทิว เปิดวงคุยด้วยการหยิบผลสำรวจจากครู นักเรียน ผู้ปกครอง และบุคคลในอาชีพอื่น จำนวน 1,277 คน ในประเด็นอนาคตการศึกษาแบบไหนที่พวกเขาอยากเห็น ครูทิวเริ่มด้วยคำถามว่า “เคยตั้งคำถามต่อตัวเองไหมว่ามาโรงเรียนไปทำไม” คำถามนี้ต้องการให้นัยยะว่า บุคคลทั่วไปคิดว่าบทบาทของโรงเรียนเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ใด หรือพูดให้ง่ายกว่านั้น “คุณมาโรงเรียนทำไม?”

โดยความคาดหวังต่อโรงเรียน เรียงตามอันดับดังนี้ (หนึ่งคน ตอบได้มากกว่า 1 คำตอบ คำตอบที่ได้จึงรวมกันแล้วเกิน 100 เปอร์เซ็นต์)

  • 20%: เพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาตามกรอบที่สังคมกำหนด
  • 41%: เพื่อมาอบรมจริยธรรม คุณธรรม เพื่อให้ได้รับการขัดเกลาตามกรอบสังคม
  • 45%: เพื่อมารับการถ่ายทอดความรู้
  • 45%: เพื่อฝึกฝนการอยู่ร่วมกับคนอื่น
  • 46%: เพื่อพัฒนาตัวเองและเปลี่ยนแปลงสังคม
  • 49%: เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบตัวเอง
  • 65%: เพื่อการเรียนรู้ พัฒนาร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา

โดย 41.45 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า โรงเรียนตอบสนองต่อสิ่งที่พวกเขาคาดหวังได้ในระดับ ‘ปานกลาง’ และหากดูจากกราฟจะพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามยังคิดว่า โรงเรียนตอบสนองความต้องการของพวกเขาในสัดส่วนที่ ‘น้อย’ อยู่

จุดนี้ ครูพล ตั้งคำถามว่า หากคนมองว่าการศึกษาที่มีอยู่ยังไม่เติมเต็มการเติบโตทั้งทางกาย จิตวิญญาณ และสมรรถนะของพวกเขา ต้องกลับมาถามตัวเองดังๆ กันแล้วว่า ทำไมการศึกษาจึงไม่สามารถพาเราไปถึงจุดนั้นได้

ครูพลบอกว่าเขาได้ยินเสียงของเด็กหลายคนที่เลือกเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ เลือกทำตามความฝันของตัวเองไม่ได้ เพียงเพราะต้องทำตามแรงผลักของสังคม ต้องทำอะไรก็ตามเพื่อความอยู่รอดในชีวิต ณ เหตุการณ์ตรงหน้าก่อน แต่หน้าที่ของโรงเรียนในแง่การประกันสิทธิการเข้าถึงการศึกษาของผู้เรียน ต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้คนต้องเลือกระหว่าง ทำตามความฝันหรือสิ่งที่สังคมบอก จะเรียนหนังสือหรือออกไปทำมาหากิน หรือเงื่อนไขอื่นๆ 

ส่งไมค์ต่อไปที่ ทักษิณ ในฐานะตัวแทนนักเรียน เขาให้ความเห็นส่วนตัวและเสียงจากเพื่อนนักเรียนใกล้ตัวเฉพาะประเด็น ทำไมการศึกษาจึงไม่ทำให้เขาพัฒนาตัวเองในทักษะที่เขาชอบและถนัดได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความคาดหวังของผู้คนรอบข้างที่คอยส่งเสียงและเลือกทางเดินให้เขาและเพื่อนหลายคน

ต่อมาเป็นเรื่องการประเมินผลโดยเฉพาะการตัดเกรด ทั้งที่เขารู้ชัดเจนว่าอยากเรียนต่อเพื่อทำงานในแวดวงไหน แต่เกรดบางตัวที่เขาไม่ถนัด (ซึ่งวัดผลจากการทำข้อสอบ) ทำให้เขาและเพื่อนหลายคนเลือกเรียนในกลุ่มหรือสายวิชาที่ไม่สามารถต่อไปยังคณะที่อยากเรียนได้

อันที่จริงประเด็นนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ ไม่ว่าพูดคุยกับคนในเจนเนอเรชั่นไหนเราก็ได้ยินเรื่องเล่าทำนองนี้ ที่ต้องถามมากกว่าคือ ทำไมมรดกแห่งสถานการณ์แบบนี้ ยังคงส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เคยหายไปสักที

“การศึกษาที่ไม่เปิดโอกาสให้เป็นตัวของตัวเอง ถ้าไม่ทำตามเงื่อนไขที่วางไว้ คุณก็จะไม่ได้ความรู้” ทักษิณขมวดประเด็น

กุลธิดา ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการศึกษาฟินแลนด์ จับไมค์เพื่อขยายประเด็นว่าการศึกษาในประเทศโลกที่หนึ่งจัดการการศึกษาอย่างไร และอธิบายจาก พ.ร.บ.การศึกษาของฟินแลนด์ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ราวปี 1999 และยังคงใช้สืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน ขั้นแรกเธอกล่าวว่า ใน พ.ร.บ.การศึกษาฟินแลนด์ เขียนไว้ทั้งแบบแคบและกว้าง คือ

แบบกว้าง – การศึกษาฟินแลนด์เขียนชัดว่าการศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องเข้าถึงได้อย่างมีมาตรฐาน และฟรี

แบบแคบ – หากเด็กที่บ้านอยู่ไกลจากโรงเรียนเกินรัศมี 5 กิโลเมตร โรงเรียนต้องจัดรถรับส่งให้นักเรียนคนนั้น

ทั้งหมดนี้มีรายละเอียดอีกมาก แต่เป็นสิ่งที่เธอตั้งคำถามและพยายามนำประเด็นนี้ไปสู่วงคุยของคนระดับนโยบายว่า ในร่างพ.ร.บ.การศึกษาของไทยที่กำลังทำประชาพิจารณ์และร่างขึ้นอยู่นี้ เราจะลงรายละเอียดให้กว้าง และ แคบ ในประเด็นไหนและอย่างไร

อีกครั้ง – ทั้งหมดนี้มีรายละเอียดอีกมาก แต่ในโครงสร้างพื้นฐานการจัดการศึกษาฟินแลนด์ ประกอบไปด้วยจิ๊กซอว์ 3 ตัวที่ต่อกันสนิทคือ

ครูและคนในท้องถิ่นเป็นเจ้าของการศึกษา หนึ่ง-ออกแบบ หลักสูตร ของตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงตามมาด้วย สอง-ครูออกแบบการประเมิน ของตัวเองได้ เมื่อออกแบบการประเมินเองได้ แน่นอนที่สุด สาม-ครู ออกแบบกระบวนการเรียนรู้ ในห้องเรียนตัวเองอย่างอิสระเสรี

หลักสูตร การประเมิน และ การเรียนรู้ – นี่คือจิ๊กซอว์ 3 ชิ้นที่ต่อกันสนิท แต่ระหว่างรอยต่อของจิ๊กซอว์แต่ละชิ้น กุลธิดากล่าวว่า มันคือ ความเชื่อใจ เชื่อใจว่าจิ๊กซอว์ทั้ง 3 ชิ้นจะทำงานร่วมกันในการออกแบบวิธีการทำงานและกฎเกณฑ์ให้เอื้อต่อการสร้างสรรค์การเรียนรู้ของผู้เรียนจริงๆ ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่สร้างขึ้นเพื่อจ้องจับคนผิด ลงโทษคนที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่งาน

ก่อนจบวงสนทนา ครูพล เป็นตัวแทนกลุ่มครูขอสอน ชวนทุกคนจับตาดูร่าง พ.ร.บ.การศึกษาฉบับดังกล่าวที่กำลังเตรียมปรับปรุงและดำเนินการพร้อมใช้ หนึ่งในเหตุผลที่ต้องจับตาคือ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวมีสิ่งที่หายไปคือ ข้อความเกี่ยวกับการยืนยันสิทธิการเข้าถึงการศึกษาของผู้เรียน กลไกในการประกันสิทธิการศึกษาของผู้เรียนไม่ชัดเจน เครือข่าย #ครูขอสอน จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการรวบรวมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนและจะนำเสนอต่อคณะกรรมการร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวต่อไป


#ครูขอสอน เครือข่ายครูที่ตั้งใจทำงานเป็นแกนกลางรวบรวมเสียงของครู นักเรียน ผู้ปกครอง ในฐานะเจ้าของสิทธิใช้ประโยชน์จากแหล่งบ่มเพาะการศึกษาในรั้วโรงเรียนนี้ ทั้งหมดเพื่ออยากสื่อสารว่า
หนึ่ง – ครูทุกคนหวังใจอยากทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี สร้างสรรค์ และทุ่มเทสรรพกำลังเพื่อพัฒนามนุษย์คนหนึ่งให้เต็มพร้อมและเติบโตอย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยโครงการการทำงานและภาระงานที่ท่วมท้น ดึงครูออกจากหน้าที่นั้นและไปโฟกัสกับการทำงานด้านเอกสาร ติดตามข้อมูลเรื่อง ‘เวลาของครูไทยหายไปไหน’ ได้ที่นี่
สอง – ครูขอสอนเชื่อว่า การศึกษาคือสิทธิที่ทุกคนต้องเข้าถึงอย่างเท่าเทียม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐไม่อาจเพิกเฉย งานหลักของเครือข่ายกลุ่มนี้จึงระดมสรรพกำลังเพื่อชวนคนออกมาให้ความเห็นต่อ ‘ร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.…’ และจับตามองว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเพิ่ม ลด เนื้อหาส่วนใด และจะยังเป็นไปเพื่อรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนหรือไม่
สาม – เพื่อให้หลักการในข้อสอง เป็นไปอย่างราบรื่นและอย่างมี ‘เสียง’ ของผู้คนจริงๆ ครูขอสอนจึงออกแบบการรับฟังเสียงที่ให้ได้เสียงของผู้คนที่หลากหลายไม่เพียงเฉพาะครู แต่คือผู้ปกครอง พ่อแม่ นักเรียน และบุคคลทั่วไปที่ต่างได้รับผลกระทบจากการศึกษา ให้เข้ามาร่วมวงและทำประชาพิจารณ์ย่อยๆ วิธีการมีทั้งเปิดรับผ่านแบบสอบถามออนไลน์ และพวกเขาตั้งใจจัดวงระดมความคิดในหลายๆ จังหวัด
ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ที่แฮชแท็ก #ครูขอสอน และในเพจหลักที่นี่

Tags:

ครูระบบการศึกษางานเสวนาก่อการครูกลุ่มพลเรียน

Author & Photographer:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Social Issues
    ครูในยุคเสรีนิยมใหม่: จะทำอย่างไรไม่ให้หมดสนุกกับการสอน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ บัว คำดี

  • Education trend
    พื้นที่นวัตกรรม: การศึกษาไทยแก้ได้ในชาตินี้ ให้คนในพื้นที่เป็นเจ้าของ

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Education trend
    สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์: ความรู้อายุสั้น คนอายุยาว ภาพใหม่การศึกษายุค DISRUPTION

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Voice of New Gen
    ครูสอนสังคมที่ให้สังคมสอนนักเรียน : ‘ครูพล’ อรรถพล ประภาสโนบล

    เรื่อง

  • Unique Teacher
    ครูสอญอ: ผู้อำนวยการสร้างเยาวชนแห่งโรงเรียนเทศบาลบ้านโนนชัย

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

เวลาทองของพ่อแม่ เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ใช้การได้: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
EF (executive function)
8 October 2019

เวลาทองของพ่อแม่ เป็นหน้าที่รัฐบาลที่ใช้การได้: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

คำแนะนำประเภทพ่อแม่ที่ดีควรมีเวลาให้ลูกมากๆ เป็นคำแนะนำประเภทน่ารำคาญ ดังที่ทราบกันว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ ได้ต้นเดือนกินให้ถึงปลายเดือน ชักหน้าไม่ถึงหลัง หนี้สินล้นพ้นตัว รถหนึ่งคันบ้านหนึ่งหลังรวมค่ากวดวิชาเด็กๆ จากเตรียมอนุบาลถึงมัธยมหก หาเงินทั้งชาติก็ไม่มีวันจะได้

คลอดเด็กเสร็จแล้วไปหาเงินเป็นเรื่องจำเป็น

ในชนบทวันนี้ เด็กเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปู่ย่าตายายยุคเบบี้บูมเมอร์ จึงเลี้ยงหลานตามมีตามเกิดและหลานไม่ควรจะเป็นอะไรเพราะเคยเลี้ยงลูกตามมีตามเกิดมาแล้ว เด็กๆ เล่นดินทรายปั้นควายเล่นได้เอง

แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน มีใครบางคนยื่นมือถือให้หลาน

หากอยู่บ้านปู่ย่าตายายมิได้เพราะเหตุใดก็ตาม หรือบางหมู่บ้าน บาง อบต. ก็มีนโยบายไม่ให้เด็กอยู่กับปู่ย่าตายายเพราะเกรงว่าจะขาดสารอาหารหรือการกระตุ้นพัฒนาการ จึงมีนโยบายให้ส่งเด็กทุกคนมาที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งมีชื่อย่อว่า ศพด. อันไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย

วิถีชุมชนเดิมถูกรบกวน พี่เลี้ยงเด็กจำนวนไม่พอหรือขาดคุณสมบัติของพี่เลี้ยงที่ดี เจ้าหน้าที่ ศพด. หลายคนก็ยังขาดความรู้ทางจิตวิทยา ทำให้เด็กพัฒนาการติดขัด พ่อแม่ไม่อยู่ ปู่ย่าตายายไม่มี มี ศพด. ที่ทรัพยากรและคุณภาพไม่เต็มร้อย

สาเหตุหนึ่งเพราะ ศพด. มิได้เป็นอิสระจากส่วนกลางด้วย

ภายใต้สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีทางออกนี้ เราจะแก้ไขปัญหาพัฒนาการเด็กได้อย่างไร ภายใต้ตัวชี้วัดที่ว่ามีเด็กป่วยไปรอพบจิตแพทย์เด็กที่โรงพยาบาลของรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะน้อยลง

มีทางออก 3 ทาง 1.สร้างรัฐสวัสดิการโดยเร็ว 2.ให้ ศพด. มีอิสระในการบริหารรวมทั้งบริหารงบประมาณโดยเร็ว 3.ให้อำนาจจัดการการศึกษาเป็นของส่วนท้องถิ่น อันนี้เขียนแบบไม่เกรงใจคนที่พูดว่าทำไม่ได้

กลับมาที่เรื่องพ่อแม่ไม่มีเวลา ปู่ย่าตายายไม่มีความรู้ และ ศพด. ไม่มีอำนาจบริหาร เราทำอะไรได้บ้าง

เด็ก 1 คนจำเป็นต้องมีมนุษย์ 1 คนที่มีเวลาให้แก่เขา ‘มากพอ’ ที่เขาจะรับรู้ว่ามนุษย์คนนั้นเป็นเสาหลักได้ ทำให้เขาไว้ใจ ไว้ใจมากพอที่เขาจะสร้างสัมพันธ์ด้วยได้ แล้วพัฒนาตัวตนให้ชัดมากพอที่จะพัฒนาความสามารถควบคุมตนเองได้ หากเวลาที่ว่านั้น ‘ไม่มากพอ’ มนุษย์คนนั้นย่อมไม่มีอยู่จริง พัฒนาการเด็กก็จะล้มระเนระนาดเช่นทุกวันนี้

มนุษย์คนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นแม่และเมีย ดีเอ็นเอยิ่งไม่เกี่ยว

เราจะหาหรือสร้างเวลาที่มากพอนี้ได้อย่างไร บางคนเรียกว่าเวลาทอง ด้วยยังเชื่อว่าเวลามีค่าเท่าทองคำ และทองคำเป็นของมีค่า

ที่จริงแล้วเวลาทองนั้นมิใช่ของที่มีอยู่ตั้งแต่แรกด้วยเหตุผลระดับชาติข้างต้น ดังนั้นเวลาทองจึงเป็นเรื่องต้อง ‘หา’ และบางครั้งก็ต้อง ‘สร้าง’ เพราะมันไม่มีจริงๆ ตั้งแต่แรก

อีกครั้งหนึ่ง-ปากกัดตีนถีบก็ยังมีเงินไม่พอใช้แล้วจะมีเวลาทองได้อย่างไร

เด็กเติบโตได้เอง ความข้อนี้จริงแท้แน่นอน เราทำหน้าที่เพียงแค่ป้องกันอันตรายและวางวินัยที่สำคัญบางประการก็พอ นี่เป็นหลักการอีกข้อที่ควรทราบ ปัญหาพฤติกรรมเด็กจำนวนมากทุกวันนี้เกิดจากคุณพ่อคุณแม่ ‘มากไป’ และการศึกษา ‘มากไป’ ที่จริงแล้วเราปล่อยเด็กเล่นมากๆ ใน 7 ขวบปีแรกภายใต้กติกาบางประการเพื่อช่วยให้เขาควบคุมตนเองได้ก็พอแล้ว

เด็กเล่นคนเดียวได้ก็เป็นความจริงอีก มีพ่อแม่เล่นด้วยเขาก็ชอบ มีปู่ย่าตายายเล่นด้วยเขาก็ชอบ มีครูพี่เลี้ยง ศพด. หรือเพื่อนๆ เล่นด้วยเขาก็ชอบ แต่ถ้าสมมุติไม่มีใครเลยเขาเล่นคนเดียวได้และพัฒนาเองได้แน่นอน อย่าจับไปบังคับเรียนหนังสือก็พอ

แต่มีบ้างบางเวลาที่เขาจะเหลียวดูคน ถ้าเขาพบว่าข้างๆ มีมนุษย์ 1 คนอยู่เป็นประจำ สม่ำเสมอ และต่อเนื่องยาวนานมากพอ เวลาที่ว่าคือมากพอ เขาจะยอมรับมนุษย์คนนั้นเป็นเสาหลักของพัฒนาการ คือเป็นแม่ที่มีอยู่จริง โดยที่คำว่าแม่ในที่นี้มิได้จำเป็นต้องเป็นสตรี ส่วนจะเป็นหุ่นยนต์หรือเอไอได้หรือเปล่าเป็นเรื่องที่เราต้องดูกันต่อไป

ดังนั้นเวลาทองคืออะไร เวลาทองคือเวลาที่เราจะอยู่ข้างๆ ลูก เท่านี้เอง

เราในที่นี้เป็นได้ทั้งพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ครูพี่เลี้ยง ศพด. หรือเจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าใดๆ พูดง่ายๆ ว่าหากเรายุ่งมาก หรือเหนื่อยมาก (จากงานปากกัดตีนถีบ) หรือมิได้อยู่บ้านทุกวัน (จากงานปากกัดตีนถีบ) ลำพังเพียงการปรากฏตัวเป็นประจำ อย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องยาวนานก็พอใช้ได้ เด็กทุกคนเรียนรู้ได้จาก ‘ความสม่ำเสมอ’

ตำราบางเล่มใช้คำว่า ‘จังหวะ’ เมื่อพ่อแม่ปรากฏกายเป็นจังหวะที่เขาทำนายได้ พ่อแม่ก็จะมีอยู่จริง

พ่อแม่ที่รู้งาน มีเวลา และมีเงินย่อมทำอะไรได้มากกว่านั้นใช่ (แต่ก็ไม่ทุกคน) อย่างไรก็ตามพ่อแม่ที่ยากจน เป็นคนชั้นล่าง ค่าแรงวันละ 300 บาท ผู้หญิงเผลอๆ ได้น้อยกว่านี้อีก ต้องฝากลูกให้คนอื่นเลี้ยง และไม่ได้มีเวลามาอ่าน The Potential (ก็เพราะปากกัดตีนถีบ) หากมีใครบางคนเดินไปบอกเขาเหล่านั้นว่าเวลาทองเป็นเรื่องสำคัญ เราอาจจะพอมีความหวังว่าเขาจะหาเวลาทองนั้นพบหรือสร้างขึ้นได้ ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าก็ไม่เคยมีใครมาบอกนี่นาว่าเวลาทองเป็นเรื่องสำคัญ

เรื่องจะกลับมาที่รัฐอยู่ดี เราไม่สามารถทำงานพัฒนาการเด็กได้เลยถ้ามีรัฐหรือรัฐบาลที่ไม่มีทั้งวิสัยทัศน์และความสามารถ ถ้าเราต้องการมีเวลาทอง (คือไม่ต้องปากกัดตีนถีบมากไป) เราจำเป็นต้องเลือกตั้ง และเลือกตั้งซ้ำๆ จนกว่าจะได้รัฐหรือรัฐบาลที่ใช้การได้

เราจึงจะมีเวลาทอง

Tags:

EFและการศึกษาเวลาทองประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อ่าน เล่น ทำงาน

Author:

illustrator

ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: อ่านนิทานได้อะไร ฉบับสมบูรณ์ ตอน 7 (จบ)

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน2) เด็กต้องการการสบตาและการเล่นกับพ่อแม่ตัวเป็นๆ มากกว่าสิ่งใด

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ของเล่นเด็ก (ตอน 1) “ซื้อเพื่อลดความวิตกกังวลของพ่อแม่หรือพัฒนาการลูก”

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน : เพื่อคำว่า ‘ความสำเร็จ’ เราทำอะไรกันอยู่

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

  • EF (executive function)
    อ่าน เล่น ทำงาน: ใช้ลูกกวาดบ้าน vs หุ่นยนต์ดูดฝุ่น แบบไหนดีกว่ากัน

    เรื่อง ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ภาพ antizeptic

สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน
Voice of New Gen
8 October 2019

สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • แม้ยังมีความกังวลถึงความพร้อมของครูผู้สอนในวิชา Coding แต่หลักสูตรนี้ถือว่าเป็นหลักสูตรที่มีประโยชน์ ทำให้ผู้เรียนได้รับองค์ความรู้ใหม่ๆ และฝึกทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม ฝึกการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงพัฒนาการทางกล้ามเนื้อมือ และการตัดสินใจได้อีกด้วย
  • หนังสือ ‘Coding as a Playground’ ระบุว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ สามารถเรียนรู้วิธีการคิดเชิงคำนวณได้ แต่การสอนนั้นจะต้องถูกวิธี เหมาะสมตามวัยและพัฒนาของผู้เรียน
  • เทคนิคสำคัญที่ทำให้การเรียน Coding แบบไม่ใช้คอมพิวเตอร์ (Unplugged) ทำได้จริง และผลักให้นักเรียนอยากเป็นผู้สร้างสรรค์เทคโนโลยีมากกว่าผู้ใช้งาน คือ ความสนุก

เมื่อโลกหมุนไป เทคโนโลยีย่อมหมุนตาม วิชา Coding คือการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าระบบการศึกษาในประเทศไทยขยับตัว

Coding คือส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาการคำนวณที่บรรจุอยู่ในกลุ่มสาระเทคโนโลยี เป็นนโยบายเร่งด่วนที่กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมผลักดันให้เด็กทุกชั้นปี-ทุกโรงเรียนต้องเรียน เริ่มตั้งแต่ ป.1 โดยจะเริ่มสอนเทอมสอง ในเดือนพฤศจิกายนนี้

บทความตอนที่แล้ว(Codiing คืออะไร) ช่วยอธิบายให้เห็นเป้าหมายโดยรวมของวิชา Coding ที่มุ่งเน้นให้เด็กฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา โดยไม่จำเป็นต้องเรียนผ่านคอมพิวเตอร์

คำถามคือ เด็กจะเรียน Coding โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ได้จริงหรือ 

The Potential ชวน ‘ภูมิ’ ภูมิปรินทร์ มะโน วัย 18 นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือ software developer บริษัท OmniVirt สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในฐานะ ‘Coder’ คลี่คลายประเด็น เพราะภูมิคือผู้ใช้งานเทคโนโลยีตัวจริง ผ่านการจัดค่ายความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์และเทคนิคต่างๆ ให้กับเยาวชนที่สนใจ โดยสอน Coding ด้วยวิธีการง่ายๆ ผ่านการเล่นให้สนุก ให้เหมือนอยู่ในสนามเด็กเล่น

ภูมิ – ภูมิปรินทร์ มะโน 

สำหรับ Coder  ‘Coding’ คืออะไร

คำว่า coding เป็นคำจำกัดความกว้างๆ ที่สามารถนิยามได้สองความหมายครับ

ในแง่หนึ่ง เราสามารถตีความได้ว่า coding คือการเขียนโค้ด ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่งในการเขียนโปรแกรมที่เรานำขั้นตอนและวิธีคิดในการแก้ปัญหา ที่เรียกกันว่า ‘อัลกอริธึม’ ไปเขียนให้อยู่ในรูปแบบของโค้ดในภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นการแปลงวิธีคิดให้กลายเป็นโค้ดที่สามารถทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ได้

แต่ในอีกแง่หนึ่ง เราก็สามารถตีความ coding ว่าเป็น การคิดเชิงคำนวณ (computational thinking) ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นกระบวนการคิดแก้ปัญหารูปแบบหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดหรือใช้คอมพิวเตอร์ในการแก้ปัญหา และเป็นทักษะที่ทุกคนสามารถมีได้โดยไม่ต้องเขียนโปรแกรมเป็น

การคิดเชิงคำนวณ เป็นวิธีคิดที่มองวิธีการแก้ปัญหาเป็นลำดับขั้นตอน (algorithmic thinking) ที่ทำให้เราสามารถอธิบายปัญหาในรูปแบบที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยแก้ปัญหาได้ ซึ่งใช้ทักษะหลายส่วนประกอบกัน เช่นการจัดเรียงและวิเคราะห์ข้อมูลที่มี การวิเคราะห์ปัญหาและหาวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด และการประยุกต์ข้อมูลวิธีการแก้ปัญหานี้ไปใช้กับปัญหาอื่นๆ

ทำให้คำว่า coding สามารถตีความได้ทั้งสองความหมาย ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ในการสื่อสาร ซึ่งในบทความนี้ผมจะอิงตามความหมายที่สองเป็นหลักครับ

โปรแกรมเมอร์ หรือคนในสาย IT ใช้ Coding ในการทำงานอย่างไรบ้าง

ในการทำงาน โปรแกรมเมอร์เขียนโค้ดเพื่อสร้างซอฟต์แวร์ตามความต้องการของภาคธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและแก้ปัญหาที่ผู้ใช้พบเจอ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของแอพพลิเคชั่น เว็บไซต์ ไปจนถึงโปรแกรมที่ทำงานในฮาร์ดแวร์ต่างๆ

นอกจากนั้น โปรแกรมเมอร์ยังสามารถเขียนโปรแกรมเพื่อลดทอนขั้นตอนการทำงานที่ไม่จำเป็น เพื่อทำให้ขั้นตอนบางส่วนกลายเป็นระบบอัตโนมัติ เช่นการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ หรือสร้างรายงานสรุปผล โดยที่เราไม่ต้องทำขั้นตอนเหล่านั้นด้วยตัวเอง ที่เรียกว่า automation ครับ

นอกจากการทำงานแล้ว เราสามารถเขียนโปรแกรมขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองพบเจอในชีวิตประจำวันได้ เช่น เขียนโปรแกรมบันทึกรายรับรายจ่ายอัตโนมัติจากข้อความ SMS ที่ธนาคารส่งมา หรือเขียนโปรแกรมขึ้นมาปิดปั๊มน้ำหลังจากเดินออกจากห้องน้ำ ทำให้ทุกคนสามารถกลายเป็นนักเวทมนตร์ที่เสกสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ผ่านการเขียนโปรแกรม

ในฐานะโปรแกรมเมอร์ คิดอย่างไรกับการให้เด็กๆ เรียนวิชา Coding

โดยส่วนตัว ผมไม่แนะนำให้เริ่มสอนวิชาวิทยาการคำนวณในประเทศไทยในตอนนี้ครับ

ไม่ได้เป็นเพราะว่าหลักสูตรยังไม่พร้อม ผมเชื่อว่าหลักสูตรที่ออกแบบมามีคุณภาพดีมาก เทียบเท่าหลักสูตรของต่างประเทศได้เลย แต่เป็นเพราะผมเชื่อว่าคุณครูส่วนมากในประเทศไทย ยังไม่พร้อมที่จะส่งต่อประสบการณ์และความสนุกของวิชานี้ได้

ถ้าเริ่มสอนวิชานี้ไปโดยที่สภาพแวดล้อมในการสอนยังไม่พร้อม จะส่งผลร้ายต่อผู้เรียนมากกว่าผลดี โดยเฉพาะกับนักเรียนประถมศึกษาตอนต้น ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มวางรากฐานความสนใจในระยะยาว ทำให้เด็กมีมุมมองในแง่ลบกับการเขียนโปรแกรม มองว่าการเขียนโปรแกรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและไม่สนุก

ซึ่งการสอนวิชาวิทยาการคำนวณ โดยเฉพาะกับกลุ่มนักเรียนในชั้นประถมศึกษา เราจะตีความคำนี้ในบริบทของการสอน computation thinking ซึ่งเน้นวิธีคิดมากกว่าการเขียนโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์ ทำให้ความเชี่ยวชาญของครูผู้สอน และสภาพแวดล้อมในโรงเรียนเป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นพิเศษ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ผมเชื่อว่าทั้งครูผู้สอนและโรงเรียนในประเทศไทย ยังขาดความพร้อมในการสอนด้านวิทยาการคำนวณมาก

การสอน คือการส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตนเองเคยได้รับมา ส่งมอบความสนุกในการเรียนรู้เหล่านั้นไปให้กับผู้เรียน ซึ่งการสอนจำเป็นจะต้องมีทักษะสองด้าน คือองค์ความรู้ในวิชาวิทยาการคำนวณ (domain knowledge) และทักษะในการในการสอนให้สนุกและน่าติดตาม (delivery)

การเรียนการสอนวิชาวิทยาการคำนวณให้สามารถส่งต่อความรู้และประสบการณ์ให้กับนักเรียนได้ หมายความว่าคุณครูต้องเคยสัมผัสกับประสบการณ์ความสนุกตรงนี้มาก่อน ถึงจะสามารถสอนได้เห็นภาพ เข้าใจง่าย และจับต้องได้

ด้วยความที่คุณครูหลายท่านยังไม่เคยได้รับประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้ยังขาดทั้งองค์ความรู้ที่จะสามารถสอนได้อย่างตรงประเด็น ถ่ายทอดความเข้าใจ และไม่มีทักษะ เครื่องมือ วิธีการเรียนการสอนที่ทำให้การเรียนรู้ด้านนี้เป็นเรื่องที่สนุกและจับต้องได้ จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่คุณครูเหล่านี้จะสอนวิชาวิทยาการคำนวณได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคุณครูเลย

นอกจากนั้น โรงเรียนยังขาดงบประมาณที่สามารถซื้อเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนรู้สนุก และจับต้องได้มากขึ้น อย่างของเล่นโค้ดดิ้ง (coding toys) คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ฮาร์ดแวร์ และเครื่องมืออื่นๆ ที่จะช่วยให้การเรียนรู้มีจุดหมาย เป็นรูปธรรม ผู้เรียนจะเห็นภาพทันทีว่าเราเรียนวิชานี้ และวิชาอื่นๆ ไปเพื่ออะไร ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

เด็กประถมเมื่อเรียน Coding เขาจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง

หนังสือ ‘Coding as a Playground’ (สนามเด็กเล่นแห่งการโค้ด) ของคุณ Marina Umaschi Bers เป็นหนังสือที่อธิบายว่าเด็กที่อายุต่ำกว่า 7 ขวบ สามารถเรียนรู้วิธีการคิดเชิงคำนวณเพื่อพัฒนาทักษะด้านการเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่ๆ และทักษะการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมได้

เขาอธิบายว่าการเขียนโค้ดผ่านการเล่นที่สอนอย่างถูกวิธี ทำให้เราสามารถปลูกฝังนักเรียนให้เป็นผู้สร้างสรรค์มากกว่าผู้ใช้งานเทคโนโลยี ในรูปแบบที่สนุกสนาน และยังพัฒนาทักษะด้านการแก้ปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้ การเข้าสังคม การพัฒนาทักษะทางกล้ามเนื้อมือ การเข้าใจอารมณ์ตัวเอง และการตัดสินใจได้อีกด้วย

นอกจากนั้น การเขียนโปรแกรมยังช่วยในการบูรณาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิชาต่างๆ เช่น วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม ศิลปะ และคณิตศาสตร์ ซึ่งเรียกรวมๆ ว่าวิชาในกลุ่ม STEAM (science, technology, engineering, arts, mathematics) และยังพัฒนาทักษะด้านการอ่านเขียนอีกด้วย

กระทรวงศึกษาธิการให้เหตุผลของการเรียน Coding สำหรับเด็กประถมว่า เรียนเพื่อสร้างเสริมทักษะการคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ในมุมมองของคนสาย IT คิดว่าหลักสูตรนี้เวิร์คไหม ถ้าเห็นด้วย – เพราะอะไร / ถ้าไม่เห็นด้วย – เพราะอะไร

เห็นด้วยว่าเรียนไปเพื่อเข้าใจวิธีการคิดอย่างเป็นระบบครับ แต่หลักสูตรต้องออกแบบวิธีการสอน วิธีการเรียนรู้ และจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาในหลักสูตรให้เหมาะสมกับวัย ไม่อย่างนั้นหลักสูตรนี้จะส่งผลในแง่ลบแทน

สำหรับนักเรียนในชั้นประถมศึกษาตอนต้น การเรียนรู้ที่ดีที่สุดคือการเล่นสนุกผ่านเกม เช่น โดมิโน บันไดงู ต่อเลโก้ ไปจนถึงเล่นบอร์ดเกมต่างๆ ซึ่งเหมาะสมกับวัยมากกว่า

นอกจากนี้ การเรียนรู้ผ่านกิจกรรม ผ่านการเล่นและลงมือทำ ซึ่งเรียกว่า ‘CS Unplugged’ คือการเรียนรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ แต่ใช้การจับต้อง การวิ่งเล่น ใช้อุปกรณ์บ้านๆ อย่างกระดาษ และกรรไกร

โดยที่นักเรียนจะได้รับโจทย์ที่มีกฎง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และน้องๆ จะได้ค้นพบคอนเซ็ปต์ต่างๆ ผ่านการเล่นด้วยตัวเอง ทำให้น้องๆ ไม่รู้สึกว่าไอเดียเหล่านี้เป็นเรื่องยาก แต่กลับคิดว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ใครๆ ก็ค้นพบได้ จดจำ และเข้าใจคอนเซ็ปต์ของวิทยาการคำนวณได้อย่างสนุกสนาน

แสดงว่าการเรียน Coding แบบ Unplugged ทำได้จริง

เดือนที่แล้ว ผมจัดกิจกรรมโค้ดเพลิน (CodePlearn) ที่พาน้องๆ ชั้นประถมศึกษามาทำความรู้จักกับ coding ผ่านการเล่นของเล่นโค้ดอย่างหุ่นยนต์ Cubetto ที่ให้น้องๆ ใส่บล็อกไม้ลงบนกระดาน เพื่อให้หุ่นยนต์เดินตามแผนที่ ท่องทะเล ท่องอวกาศ มีสีสันและรูปภาพประกอบสวยงาม

ผลที่เกิดขึ้นคือน้องๆ ทำความเข้าใจ และเล่นสนุกกับของเล่นชิ้นนี้ได้เร็วมากๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ น้องเข้าใจคอนเซ็ปต์พื้นฐานอย่าง if-else และ loops ได้ดีกว่าการเรียนการสอนทั่วไปมากๆ

มีวิธีการเรียนการสอนที่ไม่ต้องใช้ของเล่นเช่นกัน เช่นให้น้องเรียงตัวจากคนตัวเตี้ยไปตัวสูง ด้วยวิธีการจัดลำดับ (sorting algorithm) แบบต่างๆ เช่น bubble sort ก็จะเทียบกับทีละสองคน แล้วให้คนตัวสูงกว่าขยับไปด้านขวา ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกคนจะเรียงตัวกันครบ ไม่ต้องเขียนโปรแกรมก็เข้าใจอัลกอริธึมได้

ดังนั้นการเรียนการสอนแบบ CS Unplugged ทำได้จริงครับ แต่ขึ้นอยู่กับคุณครูผู้สอนว่ามีความรู้ความเข้าใจมากแค่ไหน และมีทักษะในการถ่ายทอดให้เรียนรู้ได้อย่างสนุกสนานมากแค่ไหนด้วย คุณครูต้องอินกับสิ่งที่สอน ก่อนที่เด็กจะรู้สึกสนุกไปกับมันได้

Coding จะช่วยให้เด็กๆ มีคาแรคเตอร์อย่างไร / เป็นคนอย่างไรเมื่อเขาโตขึ้น

เด็กๆ ที่ผ่านการเรียนวิทยาการคำนวณที่สอนอย่างถูกต้องมา จะเป็นคนที่คิดเชิงระบบได้ดีขึ้น มองเห็นและแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน กล้าที่จะพูดว่าตรรกะของใครไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผล มองเห็นตรรกะวิบัติในการสื่อสารในชีวิตได้ดีขึ้น เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ได้มีประสิทธิภาพขึ้น ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น และเติบโตมาเป็นบุคลากรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

ศาสตร์ Coding จำเป็นอย่างไรในยุคอนาคต

ศาสตร์และอาชีพแห่งยุคอนาคต อย่างชีวสารสนเทศ (Bioinformatics) เป็นศาสตร์ที่นำความรู้ด้านชีววิทยามาผสมผสานกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ ทำให้เราสามารถเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลรหัสพันธุกรรม ด้วยเทคโนโลยีอย่าง machine learning เป็นต้น

ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ในการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ พืช และสัตว์ ซึ่งการเข้าใจรหัสพันธุกรรมว่าแต่ละส่วนส่งผลอย่างไร จะช่วยให้เราสามารถผลิตยาใหม่ๆ และรักษาโรคอย่างโรคมะเร็ง และโรคเบาหวานได้

อาชีพในโลกอนาคตหลายๆ อาชีพ จำเป็นต้องมีความรู้ในด้านการเขียนโปรแกรมมาผสมผสาน เนื่องจากงานส่วนมากสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าด้วยคอมพิวเตอร์ เพราะการวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมมนุษย์ซึ่งประกอบไปด้วยคู่เบสกว่า 3,000,000,000 คู่โดยไม่มีคอมพิวเตอร์ก็คงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

คนไทยควรที่จะพร้อมเปิดรับหลักสูตรหรือทำความรู้จักกับ Coding แล้วหรือยัง – เพราะอะไร

ควร เพราะอาชีพในยุคอนาคตหลายๆ อาชีพ จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมมาประกอบด้วย นอกจากนั้น เราไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ ก็สามารถใช้ประโยชน์จาก automation และการเขียนโปรแกรมง่ายๆ เพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้นได้

แทนที่จะต้องพิมพ์เอกสารเอง บันทึกรายรับรายจ่ายเอง หรือปิดไฟในห้องนอนด้วยตัวเอง การเขียนโปรแกรมด้วยภาษาง่ายๆ เพียงไม่กี่บรรทัด ก็อาจทำให้ชีวิตเราสะดวกขึ้น ทั้งในการทำงานและในชีวิตส่วนตัว

ที่สำคัญไปกว่านั้น การคิดเชิงคำนวณ (computational thinking) เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เพราะเป็นกระบวนการคิดที่มีประสิทธิภาพ ไม่ใช่การเขียนโปรแกรม และไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์

หนังสือ ‘Algorithms to Live By’ ของ Brian Christian และ Tom Griffiths ยกตัวอย่างมากมายว่าอัลกอริธึมสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้อย่างไร วิธีการแก้ปัญหาที่เป็นลำดับขั้นตอนที่เรียบง่ายที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับการตัดสินใจและพฤติกรรมของมนุษย์ได้เช่นกัน

การเรียนรู้ศาสตร์ด้านเทคโนโลยีของเด็กไทยปัจจุบัน ทั้งในและนอกห้องเรียน ยังมีปัญหาอะไรไหม

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้น เรายังขาดคุณครูที่มีความรู้ความสามารถด้านการสอนวิชาวิทยาการคำนวณ ขาดการอบรมและการแนะนำคุณครูที่มากเพียงพอ เรายังไม่มีวิธีที่ทำให้คุณครูได้สนุกกับวิทยาการคำนวณมากพอที่พวกเขาสามารถส่งต่อความสนุกเหล่านั้นให้กับเด็กๆ ได้

เราขาดทรัพยากรและอุปกรณ์ที่จะช่วยเหลือในการเรียนการสอน อย่างคอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ของเล่นโค้ดดิ้ง ฮาร์ดแวร์อย่าง Arduino และ Raspberry Pi ที่จะช่วยให้การเรียนการสอนจับต้องได้และสนุกยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น ผู้ใหญ่หลายๆ คนยังไม่เข้าใจความแตกต่างของการเขียนโปรแกรม วิทยาการคำนวณ วิทยาการคอมพิวเตอร์ การคิดเชิงคำนวณ ทำให้ไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญ และให้ความสำคัญกับการเล่นได้อย่างเพียงพออีกด้วย

ที่สำคัญที่สุด คือค่านิยมทางอาชีพและภาพจำต่างๆ การเขียนโปรแกรมยังถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่ได้มีคุณค่าเท่ากับหมอ ครูแนะแนวขาดความเข้าใจในอาชีพนี้อย่างมาก ไม่สามารถแนะนำแนวทาง สายการเรียน คณะในการเรียนให้กับเด็กมัธยมได้ ผู้ปกครองยังเข้าใจผิดๆ ว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีแต่ผู้ชายเรียนกัน (male-dominated) ไม่น่าเรียน ยาก ซับซ้อน เข้าใจว่าเขียนโปรแกรมคือนั่งเล่นเกม ซึ่งเป็นภาพจำที่ไม่ถูกต้องทั้งสิ้น

นอกจาก Coding มีศาสตร์ทางด้านเทคโนโลยีใดอีกบ้างที่เห็นว่าควรจะเน้นให้เด็กไทยเรียนรู้

ส่วนตัวมองว่าคำว่า ‘coding’ ในแง่ของวิทยาการคำนวณ และการคิดเชิงคำนวณ (computational thinking) ครอบคลุมทุกส่วนแล้ว แต่ต้องทำให้ประสบการณ์เรียนรู้หลากหลายและผสมผสานกันถึงจะมีประสิทธิภาพ

ทั้งการเรียนรู้แบบ CS Unplugged ที่เน้นกิจกรรมและการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และการเรียนรู้ผ่านการเขียนโปรแกรม สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ขึ้นมาด้วยการเขียนโปรแกรม ไปจนถึงการต่อวงจรเล่นกับฮาร์ดแวร์ และสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา

การเรียนรู้ที่หลากหลายนี้ ทำให้นักเรียนเห็นภาพและเข้าใจว่าการเรียนรู้แต่ละส่วน เรากำลังเรียนไปเพื่ออะไร ใช้ความรู้นี้แก้ปัญหาอะไรในโลกจริงได้บ้างได้ และจะสามารถช่วยพัฒนาวิธีการใช้ชีวิตของเราให้ดีขึ้นได้ครับ

Tags:

ระบบการศึกษานวัตกรรมภูมิปรินทร์ มะโนcodingGeneration of Innovator

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

Photographer:

illustrator

ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

ศิลปศาสตร์บัณฑิต และมนุษย์ฟรีแลนซ์ที่ทำงานเขียน ถ่ายรูป สัมภาษณ์ แปลงาน ล่าม ไปจนถึงครูสอนพิเศษเด็กชั้นประถม ของสะสมที่ชอบมากๆ คือถุงเท้าและผ้าลายดอก เขียนเรื่องเหนือจริงด้วยความรู้สึกจริงๆ ออกเป็นหนังสือ 'Sad at first sight' ซึ่งขายหมดแล้ว ผลงานล่าสุดคือ I Eat You Up Inside My Head รับประทานสารตกค้างในกลีบดอกปอกเปิก

Related Posts

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Voice of New Gen
    นวัตกรตัวน้อย: ไม้ยืนต้น รากลึกและแข็งแรงจาก ‘ต่อกล้าให้เติบใหญ่’

    เรื่อง The Potential

  • Voice of New Gen
    ‘ภูมิ’ เด็กสร้างค่าย เปลี่ยนเด็กธรรมดาให้กลายเป็น ‘นักสร้างสรรค์’ ภายใน 3 วัน

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • 21st Century skillsVoice of New Gen
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน
Education trend
7 October 2019

CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้ Coding เป็นหลักสูตรที่นักเรียนทั่วประเทศต้องเรียนอย่างเป็นทางการ (National Standards) ภายในเดือนพฤศจิกายน 2562 โดยเริ่มตั้งแต่ชั้น ป.1
  • Coding คือ ส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาการคำนวณที่บรรจุอยู่ในสาระเทคโนโลยี กลุ่มสาระเรียนรู้วิทยาศาสตร์
  • เป้าหมายโดยรวมของหลักสูตรวิทยาการคำนวณ มุ่งเน้นให้นักเรียนฝึกคิดอย่างเป็นระบบ ค้นเจอปัญหาและเงื่อนไข รู้เหตุและผล เข้าใจกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ซึ่งเป็นทักษะสำคัญและจำเป็นสำหรับเด็กในศตวรรษใหม่
  • ตัวอย่างการเรียน Coding ในเด็กเล็กคล้ายกับการเล่นเกม เช่น เกมบันไดงู โดยให้ฝึกคิดหาทางออกทีละขั้น ผ่านการคิดและออกคำสั่งลูกศร ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง

พฤศจิกายนนี้เด็กๆ ป.1 ป.2 ป.4 ป.5 ม.1 ม.2 ม.4 และ ม.5 จะได้เรียน Coding พร้อมกันทั่วประเทศ ในฐานะหลักสูตร National Standards 

คำถามพื้นฐานอย่าง Coding คืออะไร เรียนไปทำไม มีประโยชน์อย่างไร อาจสำคัญเท่าๆ กับ เรา-ในที่นี้คือเด็กในฐานะผู้เรียน และครูในฐานะผู้สอน พร้อมแล้วหรือยัง สำหรับการเรียนรู้ครั้งนี้

The Potential สนทนาอย่างจริงๆ จังๆ กับ ดร.เขมวดี พงศานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเครือข่ายและพัฒนาครู สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) เจ้าภาพในการออกแบบหลักสูตรและเนื้อหา การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาการคำนวณ (Computer Science) และสะเต็มศึกษา (Stem education) รวมถึงรับหน้าที่จัดอบรมครูทั่วประเทศให้พร้อมสอนวิชาใหม่หมาดนี้ด้วย

‘Coding for all, All for Coding’ มอตโตของหลักสูตร วิทยาการคำนวณ ที่ ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวไว้ จะเป็นจริงหรือไม่ อาจจะไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ที่หลายคนก็ยังไม่รู้เลยว่า Coding คืออะไร 

ดร.เขมวดี พงศานนท์

Coding วิชาใหม่ที่ใส่เข้าไปในกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์

ประเทศไทย การศึกษาถูกแบ่งออกเป็น 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้หรือ 8 กลุ่มวิชาที่เด็กทุกคนต้องเรียนเหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือ ‘กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์’ ในกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ สมัยก่อนไม่มีสาระเทคโนโลยี มีแต่ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ จนเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการและ สสวท. ปรับหลักสูตรโดยเอาสาระเทคโนโลยีที่เดิมทีเคยอยู่ในกลุ่มการงานพื้นฐานอาชีพ โดยเพิ่มเข้ามาอยู่ในกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ 

ทั้งนี้ กลุ่มสาระเทคโนโลยี ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ

1. วิทยาการคำนวณ สำหรับประถมศึกษา-มัธยมศึกษา

2. การออกแบบและเทคโนโลยี สำหรับชั้นมัธยมศึกษา  

“วิทยาการคำนวณ มี Coding อยู่ในนั้น Coding คือ 1 ใน 3 ของวิทยาการคำนวณ” 

ทำไมเด็กๆ ต้องเรียน Coding

Coding มาจากภาษาอังกฤษว่า code หมายถึงการเข้ารหัส 

รหัสคือการจำลองการทำงานของมนุษย์ทีละขั้น แต่เป็นขั้นที่เล็กที่สุด มนุษย์นำมาสร้างทีละหนึ่งขั้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์เข้าใจ 

“การที่เราจะสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เราหรือโปรแกรมเมอร์ต้องคิดให้เป็นขั้นตอน เพราะคอมพิวเตอร์ไม่มีทางทำเองได้” 

การทำงานของคำว่า Coding จึงถูกนำมาผนวกในหลักสูตร เพื่อฝึกทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving Skill) อย่างเป็นขั้นตอนให้เด็กๆ 

“ทักษะแบบนี้เหมาะกับการสร้างนวัตกร ฝึกการเป็นผู้สร้าง เด็กในศตวรรษใหม่จำเป็นต้องเรียนเพื่อฝึกทักษะนี้ คอนเทนต์อาจจะไม่สำคัญเท่าทักษะในการทำงาน แก้ปัญหา จึงจะดำเนินชีวิตได้” 

ดีเดย์ เทอมสอง พฤศจิกายนนี้ ทุกโรงเรียน

จริงๆ แล้ว หลักสูตร Coding ในบางโรงเรียนที่พร้อมก็เริ่มสอนไปแล้วเมื่อปี 2561 ในนักเรียนชั้น ป.1 ป.4 ม.1 และ ม.4 แต่ปีนี้ กระทรวงศึกษาธิการประกาศเป็นหลักสูตรทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ (National Standards) ดังนั้น พฤศจิกายน 2562 หรือเทอมสองนี้ จะมีนักเรียน ป.1 ป.2 ป.4 ป.5 ม.1 ม.2 ม.4 ม.5 ได้เรียน Coding พร้อมกัน

แน่นอน แต่ละชั้น เรียนไม่เหมือนกัน

จึงอยากให้ทิ้งแทบเล็ต สมาร์ทโฟน หรือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ไปก่อน เพราะการสอนเขียนโปรแกรมหรือ Coding ให้เด็กเล็กโดยเฉพาะ ป.1-ป.3 แปลว่า ‘การเขียนชุดคำสั่ง’ แปลให้ง่ายกว่านั้นคือ เล่นเกม และเป็นแบบ unplugged

“ในเด็กเล็กเรามีเกมเหมือนบันไดงู ให้หาทางออก คือหาเป้าหมายให้ถูกต้องโดยเดินทีละขั้น ผ่านการใช้บัตรคำ 4 แบบ เช่น เดินซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือถ้าอ่านไม่ได้ก็ใช้สัญลักษณ์ลูกศรแทน ให้เด็กๆ เอามาเรียงกันยังไงก็ได้ ยกตัวอย่าง ให้เดินจากบ้านไปซื้อไอติมได้ แล้วให้เขาเอาบัตรนี้ไปใส่ในตารางคำสั่งเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งอะไรและเรียงอย่างไรบ้าง” 

ดร.เขมวดี เปรียบเทียบกับวิชาคอมพิวเตอร์ที่เด็กๆ เคยเรียนสมัยก่อนว่าตอนนั้นหัวใจหลักคือการสอนเด็กๆ ให้เป็น user เช่น แนะนำให้รู้จักฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ เมาส์ ฯลฯ แต่วันนี้โลกเปลี่ยนไป ต้องขยับเด็กๆ จาก user มาเป็น programmer หรือผู้สร้าง ควบคุม รับมือ และแก้ปัญหาด้วยเทคโนโลยี 

และนี่คือเป้าหมายของหลักสูตรวิทยาการคำนวณ ในส่วนของวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science: CS) แยกตามชั้นปี

ป.1

  • สามารถแก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้การเปรียบเทียบ การลองผิดลองถูก การค้นหาอย่างเป็นระบบ 
  • เล่าเรื่องราวและกิจวัตรประจำวันได้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน
  • แสดงลำดับขั้นตอนการทำงานด้วยสัญลักษณ์ผ่านกิจกรรม unplugged เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด และหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์

ป.2

  • จัดลำดับขั้นตอนที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น การทำความสะอาดบ้าน การจัดวางสิ่งของ 
  • ทดสอบการทำงานของโปรแกรม โดยตรวจสอบทีละคำสั่ง และทดสอบกับ input หลายแบบ
  • แก้ปัญหาอย่างเป็นระบบโดยนำเหตุผลเชิงตรรกะมาประกอบการพิจารณา เช่น การค้นหาคำในพจนานุกรมโดยเปิดทีละครึ่งเล่ม การสืบหาสาเหตุของอาหารที่เป็นพิษ หรือเกมสืบสวนอย่างง่าย
  •  เขียนโปรแกรมแบบ unplugged โดยใช้เงื่อนไขต่อเนื่องกันหลายเงื่อนไข เพื่อสร้างผลลัพธ์หลายแบบ เช่นโปรแกรมปรุงอาหาร โปรแกรมห่อของขวัญ และโปรแกรมคำนวณค่าผ่านทางเข้าสวนสนุก

ป.3

  • มีความคุ้นเคยกับการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา สามารถจำลองการทำงานตามเงื่อนไขที่ระบุได้ สามารถใช้เหตุผลเชิงตรรกะสร้างข้อสรุปขึ้นใหม่จากข้อมูลเดิมได้
  • คิดอย่างเป็นระบบเพื่อแจกแจงทางเลือกของสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้ เช่น การจัดเรียงสิ่งของ การจัดตารางแผนงาน
  • เขียนโปรแกรมแบบ unplugged โดยใช้เงื่อนไขซ้อนกันหลายชั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แตกต่างกันตามสถานการณ์และความต้องการของผู้ใช้ที่ซับซ้อนขึ้น
  • เขียนโปรแกรมแบบ unplugged โดยมีการทำซ้ำแบบระบุจำนวนรอบ เช่น โปรแกรมที่สั่งให้ตัวละครเคลื่อนที่แบบเดิมหลายครั้ง

ป.4

  • รู้จักคำว่า ‘อัลกอริธึม’ สามารถออกแบบอัลกอริธึมเพื่อแก้ปัญหาอย่างง่ายในชีวิตประจำวันได้ มองเห็นวิธีการที่หลากหลายที่สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • เขียนโปรแกรมแบบ block programming (แบบลาก-วาง) เพื่อให้ตัวละครสนทนา เคลื่อนที่ และวาดรูปได้ โดยจัดเรียงคำสั่งตามลำดับขั้นตอน (sequential)
  • ตรวจหาข้อผิดพลาดของโปรแกรม (debug) ทั้งแบบ unplugged และ block programming โดยทดสอบทีละคำสั่ง และตรวจสอบสถานะเริ่มต้นของโปรแกรม

ป.5

  • ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา โดยการแจกแจงทางเลือก และตัดทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้ 
  • เขียนอธิบายอัลกอริธึมด้วยข้อความที่ชัดเจน ไม่กำกวม หรือด้วยรหัสลำลอง (pseudo code)
  • เขียนโปรแกรมแบบ block programming โดยรับ input และใช้คำสั่งวนซ้ำเพื่อให้ตัวละครเคลื่อนที่หรือวาดรูปที่ต้องการ และใช้คำสั่งเงื่อนไขอย่างง่ายเพื่อให้ตัวละครตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมโดยการเปลี่ยนทิศทางหรือเปลี่ยนรูปร่างของตัวละคร
  • ตรวจสอบข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่มีการวนซ้ำโดยจำลองการทำงานของโปรแกรมในแต่ละรอบ และสังเกตตำแหน่งของคำสั่งที่มีการวนซ้ำ

ป.6

  • ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหาและออกแบบอัลกอริธึม และเขียนอธิบายอัลกอริธึมด้วยผังงาน (flowchart) 
  • เขียนโปรแกรมแบบ block programming โดยใช้คำสั่งต่างๆ ผสมกับการวนซ้ำและการใช้เงื่อนไข เพื่อสร้างโปรแกรมที่มีเรื่องราวและมีการโต้ตอบ เช่น เกมอย่างง่าย หรือโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์ให้เคลื่อนที่ตามเส้นทาง

“ป.1-ป.3 เราหวังแค่เด็กสามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนได้ ต่างกันแค่ความลึกของเนื้อหาที่ใส่ไป ส่วน ป.4-ป.6 คือการให้เหตุผลเชิงตรรกะ คือให้เหตุผลของการแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนได้ เริ่มเน้นเรื่องเหตุผล” ดร.เขมวดีย้ำ 

เริ่มต้นกับเด็ก ป.1 ไม่เร็วเกินไปใช่ไหม

ถึงจะกางหลักสูตรให้เห็นกันไปแล้ว แต่หลายคนก็ยังเป็นห่วงว่ามันเร็วเกินไปสำหรับเด็กหรือไม่

“ไม่เร็วไปค่ะ (ตอบทันที) จริงๆ เริ่มได้ตั้งแต่อนุบาลเลย แต่ไม่ต้องเอาวิธียากๆ อย่าง ป.1 เราเริ่มวิธีแก้ปัญหา ไม่ต้องมีเหตุผลก็ได้แค่ลองผิดลองถูก เพราะเด็ก ป.1 อาจยังเชื่อมโยงเหตุผลไม่ได้ แต่ให้ฝึกแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ วางทุกอย่างเป็นขั้นตอนไปเรื่อยๆ โตขึ้นก็ค่อยๆ ปรับปัญหาที่ให้ ไม่ให้ลองผิดลองถูกแล้วแต่ต้องใช้เหตุผล”

สำหรับ ป.1 ดร.เขมวดี ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การแต่งตัว แค่การติดกระดุมเสื้อ เด็กสามารถลองผิดลองถูกได้ว่าจะเลือกติดจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบน หรือเริ่มติดจากเม็ดกลาง โดยปล่อยให้เด็กลองให้หมด เพื่อค้นหาวิธีที่เวิร์คที่สุด 

เช็คความพร้อมของครู

หลักสูตรที่ดี ต้องมาพร้อมกับครูที่เข้าใจ ที่ผ่านมา สสวท. จัดอบรมครูเป็นระยะๆ โดยคัดวิทยากรแกนนำที่ผ่านการอบรมอย่างเข้มข้นจังหวัดละ 1-2 คน ให้ไปกระจายอบรมต่อ ควบคู่ไปกับการจัดอบรมออนไลน์ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายคู่มือวางเนื้อหาให้ครูสามารถจัดการสอนได้ตามนั้นทีละขั้นตอน โดยที่ครูผู้สอนไม่จำเป็นต้องจบด้านคอมพิวเตอร์โดยตรง 

“ต้องปรับให้เข้าใจใหม่ว่า คำว่า Coding ไม่ใช่ให้ครูและนักเรียนกระโดดลงไปเขียนโปรแกรมด้วยคอมพิวเตอร์เลยทันที แนวคิดคือวิชานี้ สอนให้เด็กทำงานเป็นขั้นตอน แก้ปัญหาอย่างมีกระบวนการ ฝึกตรรกะในการคิด” ดร.เขมวดี ย้ำ

จริงๆ สิ่งที่เด็กๆ เรียนในวิชา Coding คือ การฝึกทักษะการคิดเชิงคำนวณ หรือ Computational Thinking แต่ถูกชูด้วยคำว่า Coding แทนเพราะ Computational Thinking เป็นนามธรรม ไม่มีแนวทางให้เห็นว่าเด็กจะได้ทำอะไร

“Coding เป็นรูปธรรม เป็นสื่อหนึ่งที่สร้างภาพให้เห็นการทำงานเป็นขั้นตอนและวิธีการคิดแก้ปัญหาที่เป็นระบบ ซึ่งเป็นผลจาก Computational Thinking”

เหนือสิ่งอื่นใด อุปสรรคสำคัญของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้คือ ความกลัวของครู 

“ครูส่วนใหญ่จะกลัวเพราะไม่เคยอ่านหลักสูตร ไม่เคยลองเปิดหนังสือ สสวท. ว่าให้ทำอะไรบ้าง แต่พอเข้ามาอบรมกับเรา เขาจะพูดเหมือนกันหมดเลยว่า กิจกรรมสนุกเหมือนเล่นมากกว่า กลับไปเขาก็ทำได้กัน” 

ไม่ต่างจาก ‘โคนัน’ ชัชวาล สังคีตตระการ ผู้ช่วยวิจัยอาวุโส จาก NECTEC ที่แสดงความกังวลต่อประเด็นความพร้อมของครูผู้สอนเช่นกัน 

“สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของ Coding คือ ความไม่เข้าใจของทุกคน ทั้งคนสอน เครื่องมือในการสอน เขาเห็นในภาพเดียวกันหรือเปล่า เช่น วิชาวิทยาการคำนวณ เขาตีความว่าอะไร ให้เด็กมานั่งเขียน python (ชื่อภาษาหนึ่งที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม) หรือไม่ หลักสูตรที่เกิดขึ้นต้องเหมาะสมและเป็นไปตามพัฒนาการ เรากำลังคาดหวังให้เด็กประถมต้องเรียนอะไรบ้าง เด็กสมัยนี้มีเวลาเล่นน้อยลง เพราะถูกยัดเยียดด้วยเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยเต็มไปหมด จึงจำเป็นต้องตีความให้ชัดว่าจะเอาอะไรกับเด็ก”

โคนัน – ชัชวาล สังคีตตระการ

โคนันยังย้ำอีกว่า โจทย์สำคัญที่ต้องหลักสูตร Coding ต้องตอบให้ได้ คือ เด็กจะใช้กระบวนการพวกนี้ไปอธิบาย การเกิดปัญหาอย่างไร รวมไปถึงจะสร้างโปรแกรมขึ้นมาช่วยแก้อย่างไร ถ้าสามารถอธิบายได้ คำตอบเบื้องหลังของ Coding มันอาจจะเป็น วิธีการคิดที่ซ่อนอยู่ ถ้ามันสอนไปถึงระดับนั้นเด็กก็คงได้ประโยชน์

สอดคล้องกับ ‘ภูมิ’ ภูมิปรินท์ มะโน นักพัฒนาซอฟต์แวร์ หรือ software developer วัย 18 บริษัท OmniVirt สตาร์ทอัพสัญชาติไทยในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ที่เชื่อว่า ทั้งครูผู้สอนและโรงเรียนในประเทศไทย ยังขาดความพร้อมในการสอนด้านวิทยาการคำนวณ

ภูมิอธิบายว่า เพราะการสอน คือการส่งมอบประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตัวเองเคยได้รับมา ส่งมอบความสนุกในการเรียนรู้เหล่านั้นไปให้กับผู้เรียน ซึ่งการสอนจำเป็นจะต้องมีทักษะสองด้าน คือองค์ความรู้ในวิชาวิทยาการคำนวณ (domain knowledge) และทักษะในการในการสอนให้สนุกและน่าติดตาม (delivery)

“การเรียนการสอนวิชาวิทยาการคำนวณให้สามารถส่งต่อความรู้และประสบการณ์ให้กับนักเรียนได้ หมายความว่าคุณครูต้องเคยสัมผัสกับประสบการณ์ความสนุกตรงนี้มาก่อน ถึงจะสามารถสอนได้เห็นภาพ เข้าใจง่าย และจับต้องได้” 

​​​​ด้วยความที่คุณครูหลายท่านยังไม่เคยได้รับประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้ยังขาดทั้งองค์ความรู้ที่จะสามารถสอนได้อย่างตรงประเด็น ถ่ายทอดความเข้าใจ และไม่มีทักษะ เครื่องมือ วิธีการเรียนการสอนที่ทำให้การเรียนรู้ด้านนี้เป็นเรื่องที่สนุกและจับต้องได้ “จึงเป็นเรื่องที่ยากมากที่คุณครูเหล่านี้จะสอนวิชาวิทยาการคำนวณได้อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งไม่ใช่ความผิดของคุณครูเลย” ภูมิย้ำประโยคท้าย 

ภูมิ – ภูมิปรินท์ มะโน

​​​​นอกจากนั้น โรงเรียนยังขาดงบประมาณที่สามารถซื้อเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนรู้สนุก และจับต้องได้มากขึ้น อย่างของเล่นโค้ดดิ้ง (coding toys) คอมพิวเตอร์ หุ่นยนต์ ฮาร์ดแวร์ และเครื่องมืออื่นๆ ที่จะช่วยให้การเรียนรู้มีจุดหมาย เป็นรูปธรรม ผู้เรียนจะเห็นภาพทันทีว่าเราเรียนวิชานี้ และวิชาอื่นๆ ไปเพื่ออะไร ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยในสภาพแวดล้อมปัจจุบัน

เรื่องงบประมาณ ดร.เขมวดี ยอมรับว่า ที่ผ่านมายังไม่มีงบประมาณสนับสนุนการสอน Coding ของครูในโรงเรียนต่างๆ ครูหลายคนต้องขวนขวายเอาเอง

“หลายครั้ง สสวท. ก็ทำเป็นสื่อช่วยครู เราทำต้นแบบสื่อที่เป็นเกมออกมา หาบริษัทมาทำให้แมสแล้วช่วยขายในราคาที่ไม่แพงมาก แต่ยังไม่สามารถแจกได้ ยกเว้นบางโรงเรียนที่เป็นเครือข่าย เราพยายามหางบประมาณมาซื้อแจกได้ แต่เราไม่สามารถสนับสนุนทั้งหมดสามหมื่นกว่าโรงเรียนได้”  

ตอบโจทย์ศตวรรษที่ 21 คือประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ

ในฐานะผู้ร่างหลักสูตรและจัดการอบรม ดร.เขมวดี ยืนยันว่า วิชาวิทยาการคำนวณคือวิชาที่จะตอบโจทย์การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะในหลัก 4Cs ได้แก่ creativity, critical thinking, collaboration และ communication 

Creativity คิดสร้างสรรค์ “เวลาที่เราบอกเด็กว่ามีปัญหาหนึ่งอย่าง จะมีการแก้ได้กี่วิธีบ้าง เปิดโอกาสให้เด็กคิดได้หลากหลาย และสร้างสรรค์”

Critical Thinking การคิดอย่างมีวิจารณญาณ “เพราะการออกแบบขั้นตอนการทำงานต้องใช้ทั้งวิจารณญาณและการประเมิน ประเมินผลที่เราคาดหวังข้างหน้าและประมวลผลว่าจะเลือกการแก้ปัญหาแบบไหน”

Collaboration ทำงานร่วมกับผู้อื่น “ยิ่งโตขึ้น หลักสูตรก็จะเขียนโปรแกรมรวมกับเพื่อนเพื่อแก้ปัญหากันเป็นทีม” 

Communication สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ “ตั้งแต่ ป.1 เลยคือการบอกลำดับงานเป็นขั้นตอน เขียนโฟลว์ชาร์ท เพื่อแสดงขั้นตอนการคิดแก้ปัญหาของตัวเองได้” 

อีกเหตุผลสำคัญของการดัน Coding เข้ามา ดร.เขมวดีมองว่า ปัจจุบันเด็กขาดทักษะการแก้ปัญหาและทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอน 

“สมมุติเราบอกเด็กว่าอยากได้โซลูชั่นแบบนี้ ไปช่วยแก้หรือทำมาให้หน่อย เขาทำไม่ได้ เขาเริ่มไม่ถูกหรือไม่รู้ว่าควรจะเริ่มตรงไหน เราต้องไปนั่งโค้ดเขาเลยว่าทำอันนี้แล้วต้องไปทำอันนั้นต่อ แต่วิทยาการคำนวณสอนให้คิดเชิงตรรกะ คือการคิดเชื่อมโยงเชิงเหตุผล ให้แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้ด้วยตัวเขาเอง

นี่คือการสร้างพื้นฐานการคิดให้เข้มแข็ง ให้เด็กพร้อมต่อยอดไปได้ในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยหรือไปทำอะไรก็ตาม” 

อธิบายให้ชัดเจนมากขึ้น เพราะเด็กรุ่นนี้เติบโตมากับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกรอบตัว ช่วยแก้ปัญหาแทบจะทุกอย่าง จนบางครั้งอาจทำให้หลงลืมการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง 

โดยคุณสมบัติสำคัญที่เด็กควรจะพัฒนาในยุคนี้ อย่างน้อยจะต้องช่างสังเกต และมีความคิดสร้างสรรค์ 

“สิ่งเหล่านี้มันจะไปปลูกฝังในเด็กผ่านการเรียนรู้ แม้เราจะเห็นการเรียนการสอนที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้ใช้เครื่องมือทันสมัย แต่มันยังขาดมิติบางอย่างคือ วิธีการคิดโรงเรียนควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาคนโดยใช้วิธีการสร้างกระบวนการคิด ทำให้เด็กรู้ที่ไปที่มา ต้นตอ สาเหตุของปัญหา มากกว่าจะผลักให้เขาเรียนใช้เทคโนโลยี” โคนัน จาก NECTEC เสริม

นอกจากวางรากฐานวิธีคิดเป็นสิ่งสำคัญแล้ว การให้เด็กได้เจอโจทย์และแก้ปัญหาบ่อยๆ จะช่วยให้เด็กๆ ไม่กลัวและไม่หนีปัญหา 

“เด็กจะดีลกับปัญหาได้ รู้ว่าอะไรคือสาเหตุ ค่อยๆ หาวิธีแก้ ซึ่งประยุกต์ใช้กับชีวิตเขาได้ ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร เขาจะตั้งสติ แล้วการที่เขาเจอปัญหาตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้เขารู้สึกว่าทุกปัญหาแก้ได้ ทำให้เขาแข็งแรงขึ้นทางจิตใจ มี mindset ว่าปัญหาคือสิ่งที่ต้องหาวิธีแก้ เป็น growth mindset” 

ถ้าครูสอนตามหลักสูตรที่ สสวท. วางไว้ได้จริง การประเมินหรือทดสอบวิชานี้จะไม่มีคำว่าถูกหรือผิด การสร้างสรรค์และกระบวนการแก้ปัญหาต่างหากคือเกณฑ์สำคัญในการวัดผล

“การกลับบ้านให้ถูก เราไม่ได้บอกว่ามีทางเดียว จากตรงนี้ไปอาจมีหลายเส้นทาง เด็กมีสิทธิเลือกไปทางไหนก็ได้ แต่ต้องให้เหตุผลให้ได้ว่าทำไมเลือกทางนั้น มันคือความคิดสร้างสรรค์ โจทย์เปิดหมด เมื่อไหร่เขียนโปรแกรม เมื่อนั้นไม่เคยมีคำตอบเดียว เพียงแต่คุณจะเลือกคำตอบไหน ด้วยเหตุผลอะไร” 

และเมื่อไม่มีเด็กคนไหนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพียงเพราะว่าเขาตอบต่างจากคนอื่น เมื่อนั้น ดร.เขมวดีเชื่อว่า “เด็กๆ จะเรียนอย่างมีความสุขมากขึ้น”

พ่อแม่ช่วยลูกได้อย่างไร

จริงอยู่ที่วิชานี้จะเกิดขึ้นในห้องเรียน แต่เมื่อกลับมาบ้าน พ่อแม่และผู้ปกครองสามารถเรียนรู้และอยู่ข้างๆ พร้อมคำแนะนำอย่างคนมีข้อมูลเรื่องนี้ได้ เริ่มง่ายๆ จากการซื้อหนังสือมาลองศึกษา 

“พ่อแม่เองก็ต้องปรับความเข้าใจว่า เป็นการฝึกให้เด็กคิดอย่างเป็นขั้นตอน ไม่ใช่เขียนโปรแกรม (สำหรับเด็กเล็ก) และลองไปเปิดหนังสือดูแล้วอ่านไปพร้อมกับลูก เหมือนเล่านิทานให้เขาฟัง แล้วพอถึงส่วนที่เป็นกิจกรรมหรือเกมก็เล่นกับเด็ก โดยเฉพาะของ ป.1-ป.6 จะเป็นการ์ตูน เล่าผ่านครอบครัวครอบครัวหนึ่งมีลูกฝาแฝด จะสอดแทรกการแก้ปัญหาไปในเรื่องราวที่เด็กสองคนนี้เจอในแต่ละวัน คล้ายๆ มานะมานีที่เราเคยเรียน” 

มาถึงขั้นนี้แล้ว คำว่าพร้อมไม่พร้อม เร็วไปหรือเปล่า เริ่มช้าไปไหม ครูจะเตรียมตัวทันหรือไม่ ฯลฯ คงไม่สำคัญเท่ากับการเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับวิชาใหม่ที่มาแน่ๆ 

“ถ้ารอให้พร้อมยังไงก็ไม่ทัน หมายความว่า ถ้าเรารอให้ครูมีศักยภาพมากกว่านี้ รอให้เด็กพร้อมมากกว่านี้ รอให้งบประมาณพร้อมกว่านี้ ก็คงไม่ได้เริ่ม สุดท้ายคนที่เสียโอกาสที่สุดก็คือเด็ก”

โคนัน ชวนคิดต่อว่า สิ่งสำคัญที่น่าติดตามคือ action หลังจากนั้น เพราะเนื้อหาไม่ว่าเรื่องใดๆ จะต้องมีทั้งส่วนที่ใช้ได้ผลกับไม่ได้ผล 

“และส่วนที่เอาไปใช้แล้วไม่ได้ผล คำถามคือผู้ใหญ่จะแก้ปัญหาหลังจากนั้นอย่างไร ที่สำคัญต้องอย่าละทิ้งกระบวนการระหว่างทาง Coding เป็นเหมือนเครื่องมือที่จะมาดูกันว่าเวิร์คไม่เวิร์ค มันเป็นแค่ tool หนึ่งแค่นั้นเอง ยังไม่รู้ด้วยว่าบริบทของประเทศตอนนี้มันโอเคไหมกับหลักสูตรนี้ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้อยู่ดี” 

Tags:

ระบบการศึกษา21st Century skillsนวัตกรรมcodingเขมวดี พงศานนท์ชัชวาล สังคีตตระการพ่อแม่

Author:

illustrator

ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

อดีตนักข่าวที่ผันตัวมาทำงานด้านการเรียนรู้(อย่างรื่นรมย์) ด้วยอินเนอร์คุณแม่ลูกหนึ่ง(ที่เป็นวัยรุ่นและขายาวมาก) รักการทำงานก็จริงแต่ชอบหนีไปออกกำลังกายตามคำบอกของคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เพื่อให้ชีวิตการงานสมดุลอยู่

illustrator

รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

หลงใหลถุงผ้ากับกระบอกน้ำ เริ่มต้นอาชีพด้วยการฝึกปรือและอยู่กับผู้คนในประเด็นการศึกษา สนุกจะคุยกับเด็ก ชอบฟังเรื่องเล่าในห้องเรียน ที่สนใจการเรียนรู้ก็เพราะเชื่อว่านี่เป็นใบเบิกทางให้ขยายขอบขีดความสามารถตัวเอง ฝันสูงสุดคืออยากเห็นตัวเองทำงานสื่อสารที่มีคุณภาพและคุณค่าต่อไป

Photographer:

illustrator

ศรุตยา ทองขะโชค

ออกเดินทางเก็บบันทึกห้วงอารมณ์ความสุขทุกข์ผ่านภาพถ่าย ร้อยเรียงความคิดในใจก่อนลั่นชัตเตอร์ ภาพทุกภาพล้วนมีเรื่องราวและมีที่มา ตัวเราเองก็เช่นกัน ในอนาคตอยากทำหลายอย่าง หนึ่งในลิสต์ที่ต้องทำแน่ๆ คือออกไปเผชิญโลกที่กว้างกว่าเดิม เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เติมเต็มจิตใจให้พองฟูได้มากกว่าเดิม

Related Posts

  • อ่านความรู้จากบ้านอื่นEducation trend
    สอนให้ลูกเป็นสุนัขจิ้งจอก: ทำได้หลายแบบ คิดได้หลายโหมด และไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

    เรื่อง เพ็ญสินี ธิติธรรมรักษา

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    CODERDOJO : โปรแกรมเมอร์ตัวน้อยที่สนุกกับคำว่า ‘ERROR’

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6
Education trend
6 October 2019

เป้าหมายและหลักสูตร CODING ป.1 – ป.6

เรื่องและภาพ The Potential

พฤศจิกายนนี้ นักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ทุกคนต้องเรียน Coding Coding

คือส่วนหนึ่งของหลักสูตรวิทยาการคำนวณบรรจุอยู่ในสาระเทคโนโลยี กลุ่มสาระเรียนรู้วิทยาศาสตร์ กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้นักเรียนทั่วประเทศต้องเรียนอย่างเป็นทางการ (National Standards)

การสอนเขียนโปรแกรมหรือ Coding ให้เด็กเล็ก (ป.1-ป.3) แปลว่า ‘การเขียนชุดคำสั่ง’ แปลให้ง่ายกว่านั้นคือ เล่นเกม และเป็นเกมแบบ unplugged เช่น เกมบันไดงู ให้หาทางออก คือหาเป้าหมายให้ถูกต้องโดยเดินทีละขั้น ผ่านการใช้บัตรคำ 4 แบบ เช่น เดินซ้าย ขวา หน้า หลัง หรือถ้าอ่านไม่ได้ก็ใช้สัญลักษณ์ลูกศรแทน ให้เด็กๆ เอามาเรียงอย่างไรก็ได้ ยกตัวอย่าง ให้เดินจากบ้านไปซื้อไอติม แล้วให้เขาเอาบัตรนี้ไปใส่ในตารางคำสั่งเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีคำสั่งอะไรและเรียงอย่างไรบ้าง

และนี่คือเป้าหมายของวิชา Coding ในส่วนของวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science: CS) แยกตามแต่ละชั้นปี ตั้งแต่ป.1-6

อ่านบทความเกี่ยวกับ Coding เพิ่มเติม
Coding คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน  ที่นี่
สอน Coding อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน  ที่นี่

Tags:

codingระบบการศึกษา21st Century skillsนวัตกรรม

Author & Illustrator:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Related Posts

  • Voice of New Gen
    สอน CODING อย่างไรให้ง่าย สนุกเหมือนสนามเด็กเล่น: ภูมิปรินทร์ มะโน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Education trend
    CODING คืออะไร ครูไทยพร้อมไหม ทำไมหนูต้องเรียน

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ ศรุตยา ทองขะโชค

  • Social Issues
    การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • 21st Century skillsVoice of New Gen
    ‘ภูมิ’ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ผู้หยุดการศึกษาไว้ที่ ม.4 เพื่อเริ่มการเรียนรู้ตลอดชีวิต

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ ภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Creative learning
    ต่อกล้าให้เติบใหญ่ บ่ม โค้ชและเคี่ยวให้คนรุ่นใหม่สู้ได้ในศตวรรษที่ 21

    เรื่อง กิติคุณ คัมภิรานนท์

การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง
Social Issues
4 October 2019

การศึกษาที่เท่าเทียมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สร้างการเรียนรู้ที่แท้จริง

เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • ข้อมูลระบุว่า มีเด็กจำนวนมากมายจากหลายประเทศที่ไปโรงเรียน แต่กลับมีการเรียนรู้น้อย อยู่ในฐานะ ‘ไม่รู้หนังสือ’ (illiterate)
  • การสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ จะเกิดขึ้นได้จากปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ไม่เพียงเฉพาะ ‘ผู้เรียน’ เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ใกล้ชิดผู้เรียนอีกด้วยอีก เช่น ครู สื่อการเรียนการสอน เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีต่างๆ การจัดการภายในโรงเรียน และระบบการศึกษา
  • World Bank Group ย้ำว่า ทักษะการคิด ทักษะทางปัญญา (cognitive skills) ไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องอาศัยทักษะทางสังคมและอารมณ์ (socio-emotional skills) เช่น อุปนิสัยความเพียร (grit) และการควบคุมตนเอง (self-control) และทักษะเชิงเทคนิค (technical skills) ที่ไม่ได้แค่ช่วยให้คนคนหนึ่งมีอาชีพแต่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างดีและมีความสุข

จากการศึกษาข้อมูลและคำสัมภาษณ์ของผู้รู้  The Potential ในฐานะสื่อกลางเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ได้นำเสนอมาอย่างต่อเนื่องว่า การศึกษาไม่ใช่แค่เรื่อง ‘ความรู้’ (knowledge) แต่รวมถึงการพัฒนา ‘ทักษะ’ (skills) และ ‘ลักษณะนิสัย’ (character) ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต เพื่อให้ผู้เรียนมีทางเลือกและสร้างสรรค์เส้นทาง ‘การเรียนรู้’ (learning) ของตัวเองได้

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ที่เมื่อเจาะลึกถึงการพัฒนาการเรียนรู้มากเท่าไร กิจกรรมการเรียนรู้ที่ถูกเอ่ยถึงมักถูกบรรยายด้วยฉากหลังที่ไม่ใช่แค่โรงเรียนและสถานศึกษาอย่างที่เข้าใจกัน แต่กลับเป็นการใช้เวลาใน ‘บ้าน’ การทำกิจกรรมสร้างสรรค์ใน ‘พื้นที่สาธารณะ’ หรือเรื่องราวอื่นๆ ที่ประกอบร่างให้เกิดการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ยิ่งลงลึกเท่าไร เรายิ่งได้รู้และได้รับคำยืนยันว่า กระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ และตลอดชีวิต

‘การเรียนรู้’ ลักษณะนี้จึงไม่ใช่แค่ ‘การศึกษา’ (schooling) ในโรงเรียนหรือในห้องเรียน แต่เกิดขึ้นจากองค์ประกอบหลายส่วน ยกตัวอย่างเช่น การดูแลอย่างเอาใจใส่จากคนใกล้ตัว แรงกระตุ้นจากครูเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเรียน รวมไปถึงเรื่องภาวะโภชนาการ เพราะอาหารการกินส่งผลต่อสารอาหารที่ร่างกายได้รับ ซึ่งช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง หรือแม้แต่เรื่องละเอียดอ่อนและควรระวัง เช่น เรื่องความรุนแรงที่เด็กสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบที่เป็นความเสี่ยงให้กับเด็กและเยาวชน ทั้งด้านความคิดและพฤติกรรมในอนาคต

ยากดีมีจน ไม่ใช่เงื่อนไขปิดกั้นการเรียนรู้

ถึงตรงนี้คงต้องย้ำอีกครั้งว่าการศึกษาที่ล้มเหลวไม่ได้มีสาเหตุจากระบบการศึกษาเชิงนโยบายของรัฐเพียงอย่างเดียว รายงานเรื่อง Learning to Realize Education’s Promise โดย World Bank Group ที่เผยแพร่ล่าสุดในปี 2018 พยายามชี้ให้เห็นว่าการศึกษาที่ดีทั้งในและนอกห้องเรียนควรมีหน้าตาแบบไหน แล้วสามารถสร้างการเรียนรู้ได้อย่างไร ทีมงานได้เก็บรวบรวมข้อมูลด้านการศึกษาจากหลายแหล่งทั่วโลก เพื่อนำมาวิเคราะห์ ได้ข้อสรุปชัดเจนว่า การเข้าเรียนในห้องเรียน หลายครั้งไม่ช่วยสร้างการเรียนรู้                               

ในบทที่ 3 ของรายงาน แสดงข้อมูลของเด็กที่ไปโรงเรียนมากมายจากหลายประเทศ แต่กลับมีการเรียนรู้น้อยมาก โดยระบุว่า ในโลกนี้มีเด็ก 125 ล้านคนที่ไปโรงเรียน 4 ปีแล้ว แต่ยังอยู่ในฐานะ ‘ไม่รู้หนังสือ’ (illiterate) ตัวเลขร้อยละของนักเรียนที่เข้าโรงเรียนแล้วหลายปี แต่ยังอยู่ในสภาพไม่รู้หนังสือแตกต่างกันตามประเทศ ซึ่งสะท้อนคุณภาพของการศึกษาของประเทศนั้นๆ เช่น ประเทศไนเจอร์ นักเรียนชั้น ป.6 กว่าร้อยละ 90 มีทักษะด้านการอ่าน และด้านคณิตศาสตร์ ในระดับไม่มีความสามารถ

ใน 51 ประเทศทั่วโลก มีผู้หญิงเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (แต่ไม่ได้เรียนต่อ) แล้วสามารถอ่านประโยค 1 ประโยคได้ 

มีปัจจัยหลายด้านที่ส่งผลต่อการพัฒนาการศึกษา และโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานของผู้คนแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ความยากจน ถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ เพศสภาพ และความผิดปกติทางร่างกายของผู้เรียนเอง หลายปัจจัยเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หลายปัจจัยสามารถส่งเสริมให้ดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม การสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากมัวแต่โทษปัจจัยภายนอกเหล่านี้โดยไม่พัฒนา 4 สาเหตุหลักของวิกฤติทางการเรียนรู้ ซึ่งก็คือ ‘ผู้เรียน’ และปัจจัยใกล้ชิดผู้เรียนมากที่สุด ได้แก่ ครู ทรัพยากร (สื่อการเรียนการสอน เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีต่างๆ) การจัดการภายในโรงเรียน และ ระบบการศึกษา ซึ่งแต่ละส่วนมีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก

เมื่อเอ่ยถึง ผู้เรียน ตัวผู้เรียนเชื่อมโยงไปสู่ครอบครัว พื้นฐานครอบครัว เช่น ความยากจน การขาดความรักความเอาใจใส่จากคนในครอบครัว หรือเด็กที่เติบโตจากครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีความรู้ แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมเหล่านี้ส่งผลต่อ ความพร้อมของผู้เรียน กรณีนี้การเสริมความพร้อมด้านอื่น ซึ่งก็คือ ครู ทรัพยากร และการจัดการภายในโรงเรียนและระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ สามารถยกระดับชีวิตให้เด็กได้

หลายคนบอกว่า พื้นฐานและฐานะทางครอบครัวมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ แต่จากการศึกษาพบว่า การจัดการศึกษาต่างหากที่มีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน

ผลการศึกษาชี้ว่า นักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนหรือด้อยโอกาส หากได้รับการศึกษาจากโรงเรียนที่จัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพสูง กล่าวคือ มีครู ทรัพยากร และระบบจัดการศึกษาที่มีความพร้อม ผลการเรียนของนักเรียนจะอยู่ในระดับมาตรฐานไม่ต่างจากนักเรียนที่มีภูมิหลังมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย ดังนั้น ความยากดีมีจน ความด้อยโอกาสทางกายภาพอื่นๆ จึงไม่ใช่ปัจจัยฉุดรั้งการเรียนรู้เสียทีเดียว หากเด็กและเยาวชนได้รับโอกาสและความเท่าเทียมกันทางการศึกษาที่ดีพอและมีมาตรฐาน

ปี 1950 ประเทศเกาหลีใต้ เริ่มต้นพัฒนาคุณภาพการศึกษา มุ่งเน้นที่ระดับประถมศึกษา ก่อนขยายไปสู่ระดับมัธยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยไม่ละทิ้งครอบครัวที่มีรายได้ต่ำและด้อยโอกาส ปัจจุบันระดับการเรียนรู้ของนักเรียนเกาหลีใต้จากการวัดผล Programme for International Student Assessment (PISA)* อยู่ในระดับยอดเยี่ยม ประเทศเวียดนามก็ใช้การพัฒนาคุณภาพการศึกษาแบบเดียวกัน ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เท่าเทียมกันเป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการขยายจำนวนโรงเรียนออกไปยังพื้นที่ต่างๆ 

กลับมาที่สาเหตุหลักของวิกฤติทางการเรียนรู้ทั้ง 4 ในเมื่อสามารถเสริมสร้างความพร้อมให้ผู้เรียนได้ แล้วสามารถสร้างความพร้อมให้อีก 3 ปัจจัยที่เหลือได้ไหม?

โรงเรียนที่ไม่มีคุณภาพ มีสาเหตุได้จากหลายเงื่อนไขด้วยกัน 

‘ครู’ ขาดความรู้ ขาดทักษะการสอน และขาดแรงจูงใจในการทำหน้าที่ หลายโรงเรียนครูไม่เห็นความสำคัญและไม่เห็นคุณค่าในตนเองว่า บทบาทหน้าที่ครูเป็นหัวใจของการเรียนรู้ของนักเรียน

ผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกา พบว่า นักเรียนที่เรียนกับครูที่มีความสามารถสูง มีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ไปไกลได้ถึง 1.5 ปีการศึกษาเมื่อเทียบกับครูทั่วๆ ไป เทียบกับนักเรียนที่เรียนกับครูซึ่งขาดทักษะ พบว่า นักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น วัดระดับการเรียนรู้ได้เพียง 0.5 ปีการศึกษา เห็นได้ว่าศักยภาพของครูส่งผลต่อประสิทธิภาพการเรียนของนักเรียนถึง 3 เท่า

ในส่วนของ ทรัพยากร การจัดการภายในโรงเรียน และระบบการศึกษา เรายังคงได้ยินคำเรียก ‘โรงเรียนทุรกันดาร’ ในสังคมไทย สะท้อนภาพโรงเรียนในต่างจังหวัดและพื้นที่ห่างไกลจำนวนไม่น้อย ยังขาดแคลนอุปกรณ์ สื่อการเรียนการสอน และไม่มีการจัดการระบบการเรียนรู้ที่ดี รวมถึงครูที่มีความรู้ความสามารถ

วิกฤติจากทั้ง 4 ปัจจัย เมื่อไม่ได้รับการเตรียมหรือเสริมความพร้อม นักเรียนที่ไม่พร้อมจึงยิ่งขาดแคลน ส่งผลให้มีพัฒนาการการเรียนรู้ช้า เกิดช่องว่างในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ เมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อยๆ โอกาสแก้ไขก็ยิ่งยากขึ้น

ผลการวิเคราะห์คะแนนสอบ PISA ปี 2009 พบว่า ประเทศที่ได้ผลคะแนนสูงในลำดับต้นๆ เช่น แคนาดา ฟินแลนด์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ (จีน) ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นประเทศที่นักเรียนมีโอกาสเข้าถึงการจัดการศึกษาคุณภาพสูงอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เฉพาะนักเรียนจากครอบครัวฐานะดีเท่านั้นที่เข้าถึงโอกาส 

ตัดภาพมาที่ความเป็นจริงในสังคมไทย และอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่สถานการณ์กำลังดำเนินอยู่ในทิศทางตรงกันข้าม เด็กด้อยโอกาส มาจากครอบครัวที่ขาดแคลนมักถูกซ้ำเติมด้วยความขาดแคลนหนักเข้าไปอีก พวกเขาไม่มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนที่มีคุณภาพ ไม่มีโอกาสเข้าถึงแหล่งความรู้อื่นๆ เช่น หนังสือที่ดี สื่อการเรียนการสอน หรือแหล่งข้อมูลมหาศาลในอินเทอร์เน็ตที่ช่วยเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจโลกกว้าง

การขาดแคลนทางกายภาพ กลายมาเป็นข้ออ้างของการไม่พยายามเข้าถึงการเรียนรู้ หรือพยายามแล้วแต่ก็ยังไปไม่ถึง ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ใช่ปัจจัยทางกายภาพที่เป็นปัญหา แต่สาเหตุหลักมาจาก ความไม่เท่าเทียมกันของระบบการศึกษามากกว่า

ปรับให้ดีที่สุด จากจุดที่ยืน

ในเมื่อไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายภาพรวมให้ปรับปรุงระบบการศึกษาได้ แล้วจะทำอย่างไรให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสเข้าถึงการเรียนรู้ที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมกันมากที่สุด?

ประเด็นที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือ ปัญหาการเรียนที่พบได้ทั่วโลก เกิดขึ้นจากการที่เด็กไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ที่ดีพอตั้งแต่ช่วงวัยแรกเกิด โภชนาการเป็นเรื่องที่ถูกมองข้าม ต่อมาเมื่อเข้าสู่วัยเรียน เด็กไม่ได้รับการกระตุ้นให้เกิดความสนใจเรียนรู้สิ่งรอบตัว จากการสำรวจพบว่า 1 ใน 4 ของเด็กและเยาวชนทั่วโลกไม่สามารถเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเองผ่านการเรียนรู้ในห้องเรียน ขณะที่มีเด็กและเยาวชนราว 263 ล้านคนไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา

ซ้ำร้ายเด็กและเยาวชนที่เข้าถึงการศึกษา กลับต้องเผชิญหน้ากับการเรียนการสอนที่ไม่ได้ช่วยให้เกิดความอยากเรียน ผลลัพธ์ที่ได้ คือ นักเรียนที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาควรมีความรู้และทักษะขั้นสูงในการประกอบอาชีพ หรือพูดง่ายๆ ว่าควรมีความพร้อมออกไปประกอบอาชีพจริงๆ กลับไม่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะที่จำเป็นในการทำงานได้ เนื่องจากได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ไม่มีคุณภาพ

รายงาน Learning to Realize Education’s Promise ได้แนะแนวทางหลุดกับดักการเรียนรู้ ด้วยการวางรากฐานการเรียนรู้ที่แข็งแรงให้เด็กตั้งแต่แรกเกิดและต่อเนื่องในแต่ละช่วงอายุ โดยระบุว่า หัวใจหลักของการเรียนรู้ คือ เด็กควรได้รับการเรียนรู้อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ และได้เรียนในสิ่งที่ชอบ เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมและสร้างแรงจูงใจในการเรียน 

หลักการ 3 ข้อต่อไปนี้ เป็นแนวทางและเป็นจุดตั้งต้นให้ใครก็ตามที่ต้องการปฏิรูปการศึกษา นำไปพัฒนาต่อให้เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน คนทำงาน และสภาพแวดล้อมในพื้นที่ของตัวเองได้ แต่คงไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีเงื่อนไขและอุปสรรคเฉพาะตัว  

หนึ่ง ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อม สร้างการเรียนรู้ตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการการเรียนรู้ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ควรส่งเสริมการพัฒนาด้านความรู้ ความเข้าใจและการเข้าสังคมตั้งแต่ปฐมวัย ด้วยการเอาใจใส่ด้านโภชนาการ การดูแลให้ความรัก กระตุ้น และสร้างโอกาสการเรียนรู้จากครอบครัวและคนใกล้ชิด

สอง ครู ทรัพยากร และระบบการจัดการศึกษาในโรงเรียนก็ต้องมีความพร้อม โรงเรียนเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างการเรียนรู้ เพื่อให้เด็กมีโอกาสเข้าถึงการศึกษา รัฐควรพัฒนาโรงเรียนรัฐให้ได้มาตรฐาน ค่าเล่าเรียนสำหรับโรงเรียนที่มีคุณภาพไม่ควรแพงเกินไป และโรงเรียนควรให้ความสำคัญกับการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนด้วยสื่อการเรียนการสอน และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการสอนให้มีความน่าสนใจและหลากหลาย อบรมครูที่มีคุณภาพเข้าไปจัดการเรียนการสอน และจัดสรรจำนวนนักเรียนต่อชั้นเรียนอย่างเหมาะสม เพราะจำนวนนักเรียนมีผลต่อประสิทธิภาพของครูผู้สอนด้วยเช่นกัน ส่วนนี้ทั้งหมดต้องอาศัยการสนับสนุนในระดับนโยบาย

แต่สิ่งที่แต่ละโรงเรียนทำได้ทันที คือ การพัฒนาครูให้มีทักษะการสอนที่ก้าวทัน เปิดรับการใช้เครื่องมือหรือนวัตกรรมเข้ามาเพิ่มแรงจูงใจในการสอน อบรมครูให้มีความรู้และมีทักษะที่สามารถหนุนเสริมพัฒนาการเรียนรู้และทักษะต่างๆ ของนักเรียนได้อย่างเต็มศักยภาพ นอกจากนี้ควรมีการสร้างกำลังใจให้ครูเห็นคุณค่าและภูมิใจในบทบาทหน้าที่ของตัวเอง 

ในบทรายงาน Learning to Realize Education’s Promise บอกว่า วิธีการที่ดีที่สุดที่ช่วยพัฒนาครู สร้างแรงจูงใจและดึงดูดคนที่มีความรู้ความสามารถ และมีแรงบันดาลใจเข้ามาสู่อาชีพครู คือ การสร้างคุณค่าให้กับอาชีพ ประเทศฟินแลนด์ เป็นหนึ่งในประเทศที่ให้การยกย่องอาชีพครู ครูได้รับการยอมรับนับถือ มีความน่าเชื่อถือ และมีรายได้ที่ดี ไม่ได้เป็นอาชีพเกรดรอง แต่เป็นอาชีพที่ต้องแน่พอถึงจะได้รับใบรับรองการประกอบอาชีพ เพราะครูทุกคนต้องได้รับการฝึกฝนและอบรมมาเป็นอย่างดีก่อนทำงานจริง

สาม ลดช่องว่างการเรียนรู้ในห้องเรียน ด้วยการปรับปรุงหลักสูตรและระบบการเรียนการสอนการศึกษาขั้นพื้นฐาน  

น่าแปลกที่ตามธรรมชาติแล้ว ครูมักให้ความสนใจนักเรียนที่เก่ง มีผลการเรียนโดดเด่นมากกว่านักเรียนที่ตามเพื่อนไม่ทัน ทั้งที่นักเรียนกลุ่มหลังควรได้รับการเอาใจใส่เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้มากกว่า 

ระบบการเรียนการสอนในสิงคโปร์ ลดช่องว่างเรื่องนี้ด้วยการให้มีการทดสอบคัดกรองเด็กก่อนเริ่มชั้นเรียน ไม่ใช่เพื่อบอกว่าใครเก่งกว่าใคร แต่เพื่อให้ครูรู้ว่าเด็กแต่ละคนมีจุดอ่อนจุดแข็งตรงไหน แล้วซ่อมเสริมเพิ่มเติมได้ตรงจุด

ที่เซี่ยงไฮ้ การสอนของครูติดอันดับมาตรฐานที่มีประสิทธิภาพสูงระดับโลก ผลลัพธ์นี้เกิดจากการรวมกลุ่มทำงานของเครือข่ายครู Teaching-Research Groups ที่ช่วยสังเกตการณ์ ประเมินผลการสอนและให้คำแนะนำเพื่อพัฒนาการสอนอย่างต่อเนื่องในกลุ่มครู

ทั้งหมดนี้เป็นการปรับสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เรียนมีความสุขในการเรียน และผู้สอนมีความกระตือรือร้นในการสร้างการสอนที่มีคุณภาพ เพื่อผลิตเด็กที่มีทั้งความรู้และมีทักษะพร้อมออกไปประกอบอาชีพจริง  

หลักการข้อ 2 และ 3 มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน ค่าเล่าเรียนที่แพงเกินควร ทำให้หลายครอบครัวไม่มีกำลังส่งลูกเรียนหนังสือ ระบบการเรียนการสอนที่ขาดแรงจูงใจ ไม่กระตุ้นให้อยากเรียน และละทิ้งนักเรียนบางกลุ่ม ส่งผลให้เด็กเบื่อหน่าย ไม่สนใจเรียน กระทั่งขาดเรียน โดดเรียน หรือรวมกลุ่มกันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นนอกห้องเรียน กรณีนี้ในสังคมไทยอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยง เช่น เรื่องการสูบบุหรี่และยาเสพติด

มีความรู้ไม่พอ ต้องประยุกต์ให้ได้

เมื่อเด็กไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามระบบเท่ากับเป็นการตัดอนาคตของตัวเอง เพราะอย่างน้อยที่สุด เด็กควรได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกันถึงในระดับที่สามารถอ่านออกเขียนได้

จากการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนที่ไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มักถูกจ้างงานในตลาดแรงงานที่แทบไม่มีโอกาสได้ลืมตาอ้าปาก ในทางกลับกันหากเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ได้รับการฝึกฝนและพัฒนาฝีมือจากสถานประกอบการ พวกเขาสามารถพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นจากวงจรการใช้แรงงาน ไปสู่ตำแหน่งงานที่สูงขึ้นและมีเงินเดือนมากขึ้นได้ 

เห็นได้ว่าการพัฒนาในส่วนนี้ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนอีกต่อไป เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากนายจ้างหรือผู้ประกอบการด้วย

แล้วผู้ประกอบการได้อะไรจากการลงทุนเทรนนิ่ง/อบรมให้พนักงาน?

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในประเทศลาตินอเมริกาและแคริบเบียนระบุว่า แรงงานที่มีฝีมือช่วยเพิ่มศักยภาพในการผลิตให้ผู้ประกอบการได้ เมื่อผู้ประกอบการลงทุนเทรนนิ่งให้พนักงานเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ ในสัดส่วนของพนักงานทั้งหมด ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 0.7 เปอร์เซ็นต์

ที่เม็กซิโก การลงทุนฝึกอบรมพนักงานสำหรับแรงงานที่มีวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป ส่งผลให้ศักยภาพการผลิตเพิ่มขึ้น 4-7 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับที่มาเลเซีย ที่โรงงานได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 7.7 เปอร์เซ็นต์ และ 4.7 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศไทย

ในประเทศเคนยาและแซมเบีย การฝึกอบรมในสถานที่ทำงานมีความสัมพันธ์กับค่าแรงของคนงานที่เพิ่มขึ้นถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เพราะค่าแรงที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงสัดส่วนผลประกอบการที่เพิ่มสูงขึ้นของโรงงาน

ในโลกแห่งความเป็นจริง ในตลาดแรงงาน ความสำเร็จทางวิชาการและการประกอบอาชีพไม่ได้อาศัยแค่ความรู้เพียงอย่างเดียว การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ในชีวิตต่างหากที่เป็นเชื้อเพลิงให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้อย่างไร้ทางตัน

ทักษะต่างๆ ที่ว่ามาทั้งหมดสามารถพัฒนาได้ แต่จะได้มากน้อยช้าเร็วแค่ไหน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้านความยืดหยุ่นทางสมองและทางจิตใจของแต่ละคน

ข้อมูลจากการรายงานของ World Bank Group เน้นย้ำว่า ทักษะการคิด/ทักษะทางปัญญา (cognitive skills) นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (socio-emotional skills) หรือ หลายครั้งเรียกว่า ทักษะเชิงพฤติกรรม (non-cognitive skills) อย่างเช่น อุปนิสัยความเพียร (grit) และการควบคุมตนเอง (self-control) และ ทักษะเชิงเทคนิค (technical skills) เป็นหัวใจ 3 ห้องสำคัญที่ไม่ได้แค่ช่วยให้คนคนหนึ่งมีอาชีพแต่ช่วยให้ใช้ชีวิตได้อย่างดีและมีความสุข

หลักฐานการรายงานจากประเทศที่ประชากรมีรายได้สูง แสดงให้เห็นว่า ‘ทักษะ’ และ ‘ประสบการณ์ทำงาน’ มีผลอย่างมากต่อการจ้างงาน ทำให้ผู้ถูกจ้างมีตัวเลือกในการประกอบอาชีพ และสามารถเลือกงานที่มีรายได้เหมาะสมกับทักษะงานของตนเอง

เมื่อมีงาน และมีรายได้เพียงพอ ผลกระทบด้านบวกที่เกิดตามมา คือ การเลือกมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ในภาพรวมจึงช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงทางสังคม เช่น อาชญากรรม ความรุนแรง และการใช้สารเสพติดลงได้ด้วย

มาทำความรู้จักทักษะที่ต้องมี!

การทำความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะต่างๆ ทั้ง 3 ส่วน และการกระตุ้นให้เกิดการสร้างทักษะแต่ละส่วน ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

สหราชอาณาจักรได้นำการวัดมาตรฐานทักษะทางปัญญา และทักษะทางอารมณ์และสังคม มาใช้เป็นเครื่องมือพยากรณ์ตัวบุคคลในแง่การดำเนินชีวิต เช่น บุคคลนี้จะเข้าเรียนไหม จะจบการศึกษาหรือเปล่า จะได้รับการจ้างงานหรือไม่ มีพฤติกรรมเสี่ยงเกี่ยวกับการสูบบุหรี่ไหม และมีแนวโน้มเกี่ยวข้องกับปัญหาอาชญากรรมหรือเปล่า เป็นต้น

ข้อมูลต่อไปนี้ จะทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าแต่ละทักษะทำงานต่างกันอย่างไร และประกอบด้วยอะไรบ้าง

  • ทักษะการคิดหรือทักษะทางปัญญา (cognitive skills)

หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจไอเดียหรือความคิดที่ซับซ้อน แล้วปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์และการเข้าใจเหตุผล ทักษะการคิดมีความจำเป็น เพราะเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาพื้นฐานส่วนอื่น แบ่งเป็นทักษะพื้นฐาน ได้แก่ การอ่านออกเขียนได้ การคิดคำนวณ การคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหาจากการคิดวิเคราะห์ด้วยตนเอง เป็นต้น

  •  ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (socio-emotional skills)

เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม ทัศนคติ และค่านิยม ที่คนคนหนึ่งต้องการเพื่อนำทางชีวิตในการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น และสังคมที่อยู่ด้วย รวมถึงการตอบสนองต่อสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ท้าทายต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

ประกอบไปด้วย การรู้จักตัวเอง (self-awareness) ภาวะความเป็นผู้นำ (leadership) การทำงานเป็นทีม (teamwork) การควบคุมตนเอง (self-control) การจัดการตนเอง (self-management) การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (effective communication) และแรงจูงใจ (motivation) ครอบคลุมไปถึง ทักษะเชิงพฤติกรรม หรือ non-cognitive skills เช่น ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพส่วนบุคคล ต่อการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และมารยาทในการเข้าสังคมและทักษะเชิงเทคนิค (technical skills)

คือ ความรู้ ความชำนาญเฉพาะทาง เช่น เรื่องการใช้วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่จำเป็น และการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะทำงานอย่างมืออาชีพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด

ทักษะเชิงเทคนิคนี้สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต ทั้งจากการเรียนและการทำงาน เป็นประสบการณ์ ความชำนาญ และความคล่องแคล่ว ที่จะติดตัวผู้เรียนและผู้ปฏิบัติไปตลอด

ทักษะการคิด/ทักษะทางปัญญา และทักษะทางสังคมและอารมณ์ เป็นทักษะ 2 กลุ่มที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน คนที่มีทักษะทางสังคมและอารมณ์ที่ชัดเจน เช่น มีแรงขับ มีความขยันหมั่นเพียร และมีมนุษยสัมพันธ์ในการเข้าสังคม มีแนวโน้มที่จะพัฒนาทักษะการคิดได้ดี และมีความสุขกับการใช้ชีวิตได้มากกว่า

สมองสามารถเรียนรู้ทักษะทั้ง 2 ส่วน และพัฒนาได้ดีในช่วงตั้งแต่แรกเกิดถึงปฐมวัย แต่อย่างที่เอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้ว่า เด็กแต่ละคนมีต้นทุนชีวิตแตกต่างกัน เด็กที่เติบโตมาด้วยความขาดแคลน ไม่ได้รับการดูแลที่ดีในช่วงต้น ก็สามารถพัฒนาตัวเองได้หากได้รับโอกาส เพราะสมองของคนเรามีความยืดหยุ่นมากพอต่อการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะทั้ง 2 ส่วนเมื่อโตขึ้น โดยเฉพาะทักษะทางสังคมและอารมณ์บางอย่างที่เรียนรู้ได้ดีเมื่ออยู่ในวัยประถมและมัธยม เช่น การเห็นคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) การพัฒนาตัวตนในเชิงบวก (positive identity) และ ภาวะความเป็นผู้นำ (leadership)

บอกให้สังคมรับรู้ ว่าการเรียนรู้ไม่ใช่ผลตัวเลข

สำหรับสถาบันการศึกษาต่างๆ ระบบการศึกษาคงไม่สามารถรับมือกับวิกฤติการเรียนรู้ได้ หากไม่สร้างความเข้าใจที่แท้จริงกับสังคมว่า การวัดผลการเรียนจากคะแนนไม่ได้การันตีการเรียนรู้ 

ตัวชี้วัด หรือ การประเมิน ที่มีประสิทธิภาพควรเป็นตัวชี้วัดเฉพาะ ที่ออกแบบจากผู้ดำเนินการสอนหรือครูซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติการและใกล้ชิดกับผู้เรียน ประเมินตามพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนแต่ละบุคคลในแต่ละชั้นเรียน โดยแบบการประเมินอ้างอิงจากเกณฑ์มาตรฐานจากส่วนกลาง ส่วนวิธีการวัดการเรียนรู้เป็นสิ่งที่คณะครูต้องถกเถียงร่วมกันและแลกเปลี่ยนกันระหว่างเครือข่าย นี่เป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้การเรียนรู้เดินต่อไปได้อย่างมีความหวัง โดยเริ่มจากหน่วยเล็กๆ ในห้องเรียน

รายงานของ World Bank Group ชี้ชัดว่า ระบบการศึกษาในประเทศต่างๆ ส่วนใหญ่ไม่มีการจัดการข้อมูลด้านการศึกษาที่ดีพอ ซ้ำยังไม่ได้รับความสนใจจากภาครัฐอย่างตรงจุด นักการเมืองมักพูดถึงการศึกษาในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับจำนวนตัวเลข เช่น จำนวนโรงเรียน จำนวนครู เงินเดือนครู และทุนการศึกษา แต่น้อยมากที่จะพูดถึงการสนับสนุนให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่แท้จริง

การขาดการจัดการข้อมูลด้านการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนในเชิงคุณภาพ ที่ไม่ใช่ผลคะแนนจากการทดสอบ ทำให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่รู้ต้นตอปัญหา หรือต่อให้รู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ เพราะไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์เผยแพร่ต่อสาธารณชน ทั้งที่ความไม่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เป็นปัญหาที่มีมาอย่างยาวนาน และคุกคามการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ…

โครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ OECD) มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินคุณภาพของระบบการศึกษาในการเตรียมความพร้อมให้ประชาชนมีศักยภาพหรือความสามารถพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง โดย PISA เน้นการประเมินสมรรถนะของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้ความรู้และทักษะในชีวิตจริงมากกว่าการเรียนรู้ตามหลักสูตรในโรงเรียน ปัจจุบันนี้มีประเทศจากทั่วโลกเข้าร่วมโครงการมากกว่า 70 ประเทศ

Tags:

ระบบการศึกษาคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

วิภาวี เธียรลีลา

นักเขียนอิสระที่อยากเข้าใจวิถีชีวิตผู้คน เลยพาตัวเองไปใช้ชีวิตในลอนดอน ปักกิ่ง เซินเจิ้นและอเมริกา กินมังสวิรัติ อินกับโภชนาการ กำลังเรียนเป็นนักปรับพฤติกรรมสุนัขและชอบกินกาแฟใส่ฟองนม

Related Posts

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • Social Issues
    ล้าหลัง เชื่องช้า แต่อย่าเฉยชา ความหวังที่ยังไม่หมดของระบบการศึกษา

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • 21st Century skills
    FIVE MINDS FOR THE FUTURE: ปลูกฝังจิต 5 แบบ เพื่อโลกศตวรรษที่ 21

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learningCharacter building
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

#SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน
Voice of New Gen
3 October 2019

#SCHOOLSTRIKE 4 เหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ทนกับโลกร้อน

เรื่อง

  • #SchoolStrike คือแฮชแท็กจากคนรุ่นใหม่ที่ไม่ยอมทนกับสถานการณ์ ลุกขึ้นมาเรียกร้องและเคลื่อนไหว และอธิบายว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
  • เพราะอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นส่งผลกระทบหลายด้าน เช่น ทำให้โรคที่หายไปแล้วกลับมา, ทำลายการสังเคราะห์แสงของพืช, สัตว์น้อยใหญ่จะค่อยๆ สูญพันธุ์, จำนวนผู้อพยพเพิ่มขึ้น แต่ที่อยู่อาศัยน้อย
เรียบเรียง: นลินี มาลีญากุล

“มันขึ้นกับว่าคุณอ่านการศึกษาเรื่องใด ซึ่งงานชิ้นนั้นอาจให้ผลสรุปที่มองโลกในแง่ดีเกินไป หรือมองโลกในแง่ร้ายเกินไป”

มาร์ค เออร์เบิน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนิเวศวิทยา มหาวิทยาลัยคอนเนคติคัต กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่หลายฝ่ายหันมาศึกษาภาวะโลกร้อนกันอย่างแพร่หลายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะเขาเชื่อว่า ต่างฝ่ายต่างต้องการให้ผลการศึกษาไปตรงกับประเด็นที่กลุ่มองค์กรนั้นๆ จะหาประโยชน์ได้จากมัน ดังนั้นโลกร้อนจึงควรถูกทำความเข้าใจใหม่ เพื่อให้ผู้คนกลับมามองมันจากความจริงที่เกิดขึ้นให้มากที่สุด 

ท่ามกลางเสียงเล็กเสียงน้อยที่ธรรมชาติทั่วโลกแอกชั่นให้เราเห็นอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีคนตั้งแง่ต่อขบวนการเคลื่อนไหวกู้โลกร้อนของเยาวชนทั่วโลกให้เห็นกันอยู่ บ้างก็ว่าเรื่องนี้มันพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้มากน้อยแค่ไหน เอาเวลาไปเรียนให้ดีก่อนดีกว่าไหม โลกร้อนแล้วยังไงต่อ?

สถิติต่างๆ ที่แม้แต่ เกรตา ธุนเบิร์ก นักเคลื่อนไหวสิ่งแวดล้อมชาวสวีดิชวัย 16 ปี เอามาพูดก็ยังดูจับต้องได้ยาก บวกกับความจำเป็นเร่งด่วนอื่นๆ ในชีวิตของผู้คน จึงไม่แปลกที่โลกร้อนจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลายคนบอกว่ามันเป็นปัญหาที่รอได้ ท่ามกลางความจำเป็นอื่นที่ต้องจัดการในชีวิต ขอโฟกัสเรื่องอื่นที่ใกล้ตัวและจำเป็นก่อน 

แต่เดี๋ยวก่อน พฤติกรรมเก็บเล็กผสมน้อยในชีวิตประจำวันของพวกเรานี่แหละ ที่รวมก้อนกันแล้วอาจจะยิ่งใหญ่มหาศาล รู้ตัวอีกทีโลกก็ปะทุพลังร้อนจนอยู่ไม่ไหว สำคัญที่สุด นี่คือ 4 เหตุผล (อย่างน้อย) ที่อธิบายว่าทำไมโลกร้อนจึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และมันส่งผลกระทบต่อเราในระดับชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง ที่สำคัญคือ ส่งผลต่อคนรุ่นใหม่ที่จะอยู่ในโลกร้อนๆ ใบนี้ต่อในอนาคต

เป็นเหตุผลว่าทำไมคนรุ่นใหม่ถึงไม่ยอมทน ขอลุกขึ้นมา #SchoolStrike ในทุกๆ #Friday 

อ้างอิงจากอินสตาแกรม เกรตา ธุนเบิร์ก จำนวนผู้คนที่ออกมา #SchoolStrike ในวันศุกร์ที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ประเมินว่าอยู่ที่ราว 170,000 คน จาก 170 ประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่ในจำนวนนั้นคือ…คนรุ่นใหม่ 

โลกร้อนเพาะเชื้อโรคติดต่อชนิดใหม่ และรีเทิร์นโรคที่หายไปนาน

อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องช่วยส่งเสริมให้เจ้าเชื้อโรคต่างๆ ฟักตัวและเติบโตได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นนอกจากโลกร้อนจะนำพาให้โรคหลายชนิดที่เคยหายไปจากประเทศไทยกลับมาโลดเต้นและระบาดเป็นวงกว้างอีกครั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้โลกร้อนยังอาจทำให้โรคที่รุนแรงอยู่แล้วแพร่ระบาดไปได้ไกลกว่าเดิมอีกด้วย 

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดข้อมูลจากการเฝ้าระวังโรคของสำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่พบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยและพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีโรคที่เกิดขึ้นใหม่และโรคที่หายไปนาน แต่อยู่ๆ ก็เกิดซ้ำขึ้นมาอีกหลายชนิด 

  • โรคที่เกิดขึ้นมาบ้างแล้ว เช่น โรคไข้กาฬหลังแอ่น โรคไข้เลือดออก อีโบลา โรคติดเชื้อไวรัสนิปาห์และเฮนดรา โรคไข้หวัดนก โรคไข้เหลือง โรคชิคุนกุนยา โรคมือเท้าปากจากเชื้อเอาเทอโรไวรัส 71 โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) รวมถึงโรคสมองเสื่อมชนิดใหม่ด้วย 
  • โรคที่เกิดขึ้นและกำลังระบาดในประเทศไทยก็คือ โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส หรือพูดให้เห็นภาพก็คือ อาการติดเชื้อในกระแสเลือด รวมถึงเยื้อหุ้มสมอง ที่พบได้จากการรับประทานเนื้อหมูนั่นเอง

ยังมีโรคที่ชื่อพอจะคุ้นหูอยู่บ้างอย่าง โรคไข้หวัดนก โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบหายใจเฉียบพลันรุนแรงอีกด้วย

นอกจากนั้น ภาวะโลกร้อนยังส่งผลโดยตรงต่อวงจรชีวิตของยุงทั้งหลาย เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้วงจรชีวิตของยุงสปีดเร็วขึ้น ดังนั้นปริมาณเชื้อโรคในตัวยุงที่เป็นพาหะก็จะเพิ่มขึ้นในอัตราก้าวกระโดดเรื่อยๆ ส่งผลให้เจ้ายุงตัวเล็กๆ นี้ยิ่งแทรกซึมไปได้ทุกที่ยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือโรคระบาดจากยุงจะไม่ได้เกิดแค่เฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น แต่เกิดขึ้นได้ในทุกฤดูกาล เพราะอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ นี้เองที่ยิ่งทำให้โลกเป็นพื้นที่อุ่นๆ สำหรับการขยายพันธุ์ของยุงตัวน้อยนี้ไปได้เรื่อยๆ 

ภัยพิบัติหนักขึ้น อุณหภูมิสูงทำลายการสังเคราะห์แสงของพืช ซึ่งหมายถึงโภชนาการอาจลดลง

น้ำท่วมอุบลอาจจะเป็นแค่จุดสตาร์ทที่ทำให้เราเริ่มเอะใจ แต่จากตัวเลขของศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตรพบว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2560 นั้น สร้างความเสียหายให้ภาคการเกษตรของประเทศไม่ต่ำกว่า 14,198.21 ล้านบาท

หากนำตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) มาพูดต่อน่าจะไกลตัวไปนิด เรื่องของเรื่องก็คือ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ พบว่า ความแปรปรวนของภูมิอากาศทั้งหมดนี้จะทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญภัยพิบัติ เช่น ภาวะน้ำท่วม ภาวะฝนแล้ง

ที่สำคัญคือ หากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ข้าวกำลังออกดอก ทั้งหมดจะกระทบต่อกระบวนการสังเคราะห์แสงและการเจริญเติบโตของต้นข้าว และแน่นอน ผลผลิตที่ได้ก็จะลดลงตามไปด้วย

อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นยังมีผลต่อการเติบโตและอยู่รอดของพืชการเกษตรที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย อย่าง ข้าวโพด และอ้อย ซึ่งนำไปแปรรูปเป็นอาหารเลี้ยงสัตว์อย่าง ไก่ หมู หรือวัวอีกที

ย้อนกลับไปที่ความรู้วิทยาศาสตร์สมัยประถม ว่ากันง่ายๆ ก็คือ หากพืชไม่สังเคราะห์แสง ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างอาหารของพืชพรรณ ก็จะทำให้การเติบโตชะลอตัวหรือหยุดชะงัก พืชไปต่อไม่ได้ การเกษตรทำได้ยากขึ้นทุกวัน เกษตรกรต้องพบกับความไม่แน่นอนในการประกอบอาชีพ คิดในแง่ดีก็คือ ไทยอาจจะต้องเสียเงินนำเข้าผลผลิตการเกษตรที่จำเป็นมากขึ้น ซึ่งประเทศที่เรานำเข้าทั้งหลายนี้ก็น่าจะประสบภัยธรรมชาติไม่ต่างกัน ในที่นี้ เด็ดดอกไม้อาจจะไม่สะเทือนถึงดวงดาว แต่อุณหภูมิไม่กี่องศานั้นสะเทือนถึงปากท้องทุกคำที่เราตักกิน

หากอุณหภูมิเพิ่มสูงอีก 4.5 องศา สัตว์น้อยใหญ่จะค่อยๆ สูญพันธุ์อย่างต่อเนื่อง

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ทางการออสเตรเลียออกมาประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการของ หนูเมโลมีส์ ซึ่งมีถิ่นที่อยู่อาศัยเพียงแห่งเดียวบนเกาะทรายขนาดเล็กที่ชื่อ แบรมเล เคย์ ที่น้ำทะเลสูงขึ้นและเข้าท่วมจนหนูเหล่านี้ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เจ้าหนูที่ว่าจึงกลายเป็นสัตว์ชนิดแรกที่สูญพันธุ์อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน

การสูญพันธุ์ที่ว่าสอดคล้องกันกับรายงานของมหาวิทยาลัย Jams Cook และองค์กรภาครัฐที่ทำงานร่วมกัน ที่ว่าพื้นที่ 35 แห่งสำคัญทั่วโลกที่มีความโดดเด่นในเชิงระบบนิเวศและเป็นที่อยู่อาศัยทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ซึ่งรวมถึงพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงของเราเอาไว้ด้วยนั้น หากอุณหภูมิโลกยังคงสูงขึ้นอีกเพียง 4.5 องศาเซลเซียส ก็อาจจะทำให้เกือบ 50% ของสายพันธุ์สัตว์ที่อาศัยตามธรรมชาติสูญพันธุ์ไปเรื่อยๆ 

พอพูดว่าสัตว์ป่าขึ้นมาก็อาจจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวล แต่อย่าลืมว่าสัตว์ทุกตัวนั้นมีผลต่อระบบนิเวศโดยรวม และที่แน่ๆ สัตว์ท้องถิ่นที่ว่า ก็หมายรวมถึงกุ้ง หอย ปู ปลา ที่อยู่ตามธรรมชาติและเป็นอาหารของเราๆ ท่านๆ 

โลกร้อนยังอาจกระทบต่อการขยายพันธุ์ของสัตว์น้ำ ซึ่งเจ้าสัตว์น้ำที่ว่านั่นก็รวมถึงแซลมอน ปลาทูไทย หรืออื่นๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูที่เราโปรดปรานกันมาแต่ไหนแต่ไร 

ผู้อพยพทั่วโลกจะเพิ่มมากขึ้น และที่อยู่อาศัยก็จะน้อยลงเรื่อยๆ

โลกร้อนดูไม่น่าเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องผู้อพยพ แต่จากตัวเลขในรายงาน UN Climate Change ชี้ให้เห็นกันชัดๆ ว่า มีประชากรกว่า 17.2 ล้านคนทั่วโลกที่เผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของแหล่งที่อยู่อาศัย อันเนื่องมาจากความปั่นป่วนของสภาพอากาศที่ทำให้ถิ่นที่อยู่เกิดภัยแล้ง น้ำท่วม พายุเข้า แหล่งอาหารหดหาย สภาพความเป็นอยู่ก็เลยย่ำแย่ตามไปด้วย

ซึ่งทั้งหมดนั้นผลักให้ประชากรหลายล้านคนต้องละทิ้งถิ่นฐาน เพื่ออพยพไปสู่แผ่นดินอื่นๆ ที่ยังพอจะฝากเนื้อฝากตัวไว้ได้

จากการคาดการณ์ของ ​UN ยังพบว่า หากน้ำทะเลยังคงเพิ่มระดับสูงขึ้น ผู้คนที่อาศัยในถิ่นฐานที่ใกล้กับภาคผิวน้ำก็อาจจะต้องกระชับพื้นที่เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะแผ่นดินที่เคยอยู่มาหลายชั่วคนนั้นไม่สามารถเดินเหินได้อีกต่อไป

ลองมองกลับมายังประเทศไทย เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่อีสาน โดยเฉพาะในจังหวัดอุบลราชธานีที่เกิดขึ้นไม่นานนี้นั้น น่าจะพอทำให้เห็นภาพความเดือดร้อนจากภัยธรรมชาติที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะจู่โจมเราเมื่อไหร่ เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน ความไม่แน่นอนเหล่านี้นี่แหละที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ผู้คนค่อยๆ มองหาถิ่นฐานที่ดูจะมั่นคงกว่าในที่สุด

อ้างอิง
315 billion-tonne iceberg breaks off Antarctica
สัตว์ชนิดใดมีโอกาสสูญพันธุ์เพราะสภาวะโลกร้อน
โรคติดเชื้อสเตร็พโตค็อกคัส ซูอิส (STREPTOCOCCUS SUIS)
โลกร้อนกับโรคระบาด
ภาวะโลกร้อนกับผลกระทบ ต่อภาคเกษตรไทย
เมื่อพื้นที่ ‘เกษตรกรรมผลิตอาหาร’ ถูก ‘ภาวะโลกร้อน’ เล่นงาน
Climate change, global agriculture and regional vulnerability
The impacts of climate change at 1.5C, 2C and beyond
Ten Grim Climate Scenarios If Global Temperatures Rise Above 1.5 Degrees Celsius
The facts: How climate change affects people living in poverty
Climate change: Where we are in seven charts and what you can do to help

Tags:

สิ่งแวดล้อมSchool Strike for Climate

Author:

Related Posts

  • Voice of New Gen
    Project-based learning กระบวนการเรียนรู้ที่ทำให้อวกาศไม่ไกลเกินเอื้อม ของ ‘ทีมกรุงเทพคริสเตียนฯ’

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    ความกังวลเรื่องภูมิอากาศกับการวางแผนครอบครัว เมื่อการไม่มีลูกคือหนึ่งในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    หนูไม่ใช่ เกรตา ธุนเบิร์ก หนูชื่อ ‘ลิลลี่’ ระริน สถิตธนาสาร

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Voice of New Gen
    FRIDAYS FOR FUTURE: ผู้ใหญ่หายไปไหน ให้เด็กมากู้โลกร้อน

    เรื่อง

  • Creative learningCharacter building
    ‘น้ำตกสายใจ’ ห้องเรียนหน้าร้อน สอนให้เด็กๆ บ้านเขาไครรู้ว่าตัวเองเป็นใคร

    เรื่องและภาพ The Potential

NATURE CONNECTION เขียนใบสั่งยารักษา ‘โรคขาดธรรมชาติ’ ให้ออกไปหาธรรมชาติ
Creative learning
2 October 2019

NATURE CONNECTION เขียนใบสั่งยารักษา ‘โรคขาดธรรมชาติ’ ให้ออกไปหาธรรมชาติ

เรื่อง วิรตี ทะพิงค์แก

  • Nature Deficit Disorder (NDD) หรือ โรคขาดธรรมชาติ กำลังเกิดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลานอกบ้านสัมผัสธรรมชาติ ทำให้มีปัญหาเรื่องอารมณ์และพฤติกรรมต่างๆ เช่น สมาธิสั้น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
  • หนึ่งในใบสั่งยารักษาโรคนี้คือ ออกไปหาธรรมชาติ และบทความชิ้นนี้ของ วิรตี ทะพิงค์แก กำลังเขียนใบสั่งยาด้วยภาษาละเมียดละไม
  • ยิ่งถ้าได้รู้ว่ามนุษย์มีผัสสะรับรู้มากถึง 54 แบบ ผ่าน ตา หู จมูก กาย ใจสัมผัส ถ้าไม่ได้รับการฝึกบ่อยๆ ด้วยธรรมชาติ ทักษะมหัศจรรย์นี่จะค่อยๆ เลือนหายไป

ทุกวันนี้ เมืองสมัยใหม่ทำให้คนเปลี่ยวเหงาเปล่าดาย หลายคนรู้สึกอ้างว้าง ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว บ้างมีภาวะทางจิตใจ หลายคนซึมเศร้าราวกับตัดขาดจากโลกทั้งมวล อาการดังกล่าวเป็นผลกระทบเชิงลบของความทันสมัย สะดวกสบายที่นำพามนุษย์ห่างเหินจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที

Nature Deficit Disorder (NDD) หรือ โรคขาดธรรมชาติ กำลังเป็นสภาวการณ์ที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่ค่อยได้ใช้เวลานอกบ้านสัมผัสธรรมชาติ ทำให้มีปัญหาเรื่องอารมณ์และพฤติกรรมต่างๆ เช่น สมาธิสั้น ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เติบโตเป็นคนที่ขาดความละเอียดอ่อนและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (และสรรพชีวิต)

มูลนิธิโลกสีเขียวในฐานะองค์กรทำงานด้านสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยมานานเกือบ 30 ปี ตระหนักถึงปัญหาและเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงจัดกิจกรรม Nature Connection เพื่อเปิดโอกาสให้คนในเมืองได้เรียนรู้เพื่อกลับมาเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้อีก ท่ามกลางบรรยากาศอันสงบงามในสนามพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

เปิดผัสสะใหม่แล้วไปคืนดีกับธรรมชาติ

ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวนิชย์ ประธานมูลนิธิโลกสีเขียว หรือ ดร.อ้อย ได้เชื้อเชิญให้เรากลับมาช้าลงและแบ่งปันความคิดสำคัญว่า “ตลอดเวลาของกระบวนการวิวัฒนาการของมนุษย์ เราเชื่อมโยง มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติมาตลอด เรารับรู้ทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นเพื่อความอยู่รอด ทำให้ผัสสะละเอียดของเราทำงานอยู่ตลอดเวลา แต่ชีวิตสมัยใหม่ทำให้เราสะดวกสบายมากขึ้น ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เชื่อมโยงกับธรรมชาติน้อยลง ร่างกายจึงปรับตัวไม่ได้ การตัดขาดจากธรรมชาติกลายเป็นความป่วยไข้สมัยใหม่หรือ Nature Deficit Disorder … ร่างกายของเราครึ่งหนึ่งประกอบด้วยจุลชีพมากมายที่ขับเคลื่อนระบบนิเวศภายใน ร่างกายจึงไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา แต่ยังเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสรรพชีวิตอื่นๆ อีกมากมายอย่างที่เราคาดไม่ถึง”

ดร.อ้อยเล่าว่าอันที่จริงมนุษย์มีผัสสะรับรู้อย่างมากมายน่าเหลือเชื่อถึง 54 แบบ แต่การที่เราไม่ได้ใช้ความสามารถเหล่านี้ ทำให้ทักษะค่อยๆ เลือนหายไป อย่างไรก็ตาม หากฝึกฝนผัสสะพื้นฐาน คือ ตา หู จมูก กาย ใจสัมผัส อย่างสม่ำเสมอ ย่อมเป็นประตูนำไปสู่สัมผัสที่หกและผัสสะละเอียดอื่นๆ อันอาจช่วยให้เราค้นพบความลับของโลกมหัศจรรย์ เข้าใจรูปแบบของธรรมชาติและอ่านปัญญาจากธรรมชาติได้ในที่สุด

ช้าช้าหน่อย

ปกติเวลาที่เราอยู่ในภาวะรีบเร่งตื่นตัว คลื่นสมองอยู่ในระดับ Beta (ความถี่ 12-30 Hz) หากอยู่ในความผ่อนคลายและสงบ คลื่นสมองอยู่ในระดับ Alpha (ความถี่ 8-12 Hz) และหากอยู่ในภาวะสมาธิหรือผ่อนคลายอย่างลึกซึ้ง คลื่นสมองจะลดต่ำลงในระดับ Theta (ความถี่ 7 Hz) ซึ่งภาวะที่ค่อนข้างผ่อนคลายนี้เชื่อมโยงกับคลื่นจังหวะของธรรมชาติ (earth heartbeat) ซึ่งมีความถี่ประมาณ 7.8 Hz ดังนั้น การที่เราช้า สงบ และผ่อนคลาย จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เราเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้อย่างลึกซึ้ง

เยื้องย่างดั่งหมาจิ้งจอก

การมีชีวิตในป่าโดยพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ต้องมีความตื่นตัวสูง ใช้ประสาทสัมผัสอย่างละเอียด เพื่อความอยู่รอดของตนเอง แต่ทุกวันนี้ การเดินของเราเปลี่ยนไปจากบรรพบุรุษ คนส่วนใหญ่เดินด้วยส้นเท้า (ใช้ส้นเท้าลงก่อน) ทำให้เกิดแรงกระแทกที่หัวเข่า ปวดหลัง ทั้งยังสร้างแรงกระเพื่อมออกไปภายนอก (สัตว์แตกตื่น) ด้วย การเยื้องย่างดั่งหมาจิ้งจอก (fox walk) จึงเป็นการเชื่อมโยงกับธรรมชาติด้วยสัมผัสอ่อนโยน แผ่วเบา โดยใช้จมูกเท้าวางลงบนพื้นเป็นอันดับแรกแทนการลงส้นเท้า การเดินแบบนี้ช่วยลดแรงกระแทกลงอย่างเห็นได้ชัด และช่วยเปิดผัสสะละเอียดบริเวณฝ่าเท้าให้ทำงานได้ดีขึ้น

ปิดดวงตาขยายการรับฟัง

ดวงตาและการมองเห็นเป็นผัสสะหลักที่มนุษย์ใช้ดำรงชีวิต ทำให้ประสาทการรับรู้ด้านอื่นๆทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ กิจกรรมการปิดตาเงี่ยหูฟัง แล้วบันทึกเป็นแผนที่ (ภาพ) ของเสียงว่าได้ยินเสียงอะไรบ้าง ตามทิศทาง (เหนือ/ใต้/ตะวันออก/ตะวันตก) คุณภาพของเสียง (ดัง/เบา) รวมทั้งระยะห่างของเสียงกับตัวเรา ช่วยฝึกความละเอียดในการใช้หูเพื่อรับฟังเสียงได้ดีขึ้น

มองให้กว้างไกลอย่างนกฮูก

มนุษย์ไม่ได้มองเห็นเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงขอบเขตในทางกว้าง (ซ้าย-ขวา) ได้ด้วย ความช้าและการฝึกฝนบ่อยๆ จะช่วยพัฒนารัศมีการมองที่กว้างขึ้น สังเกตการเปลี่ยนแปลง ความเคลื่อนไหวเพียงเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีขึ้น พี่อ้อยชวนเราฝึกฝนคุณภาพการมองเห็นด้วยกิจกรรมเก็บใบไม้ให้ได้สีเขียว 3 เฉดสี และมีผิวสัมผัส 3 แบบ ทำให้หลายคนสนุกสนานและตื่นเต้นมากที่ได้สังเกตอย่างจริงจังว่าโลกนี้มีความงามที่เรายังไม่สังเกตเห็นอีกมากมายนัก เหมาะใช้เป็นแบบฝึกฝนในชีวิตประจำวันเพื่อพัฒนาคุณภาพการมองเห็นอันส่งผลต่อความละเอียดอ่อนทางใจ

เรียนรู้สายใยที่มองไม่เห็น

ตอนที่ ดร.อ้อยพาเดินเล่นในทุ่งน้ำนูนีนอย (พื้นที่ชุ่มน้ำหน้าบ้านที่ตั้งชื่อเพื่อระลึกถึงพ่อและแม่ผู้ส่งมอบหัวใจความรักธรรมชาติให้ลูก) เราได้เห็นพืชริมทาง พืชริมน้ำหลายชนิด ทุกอย่างมีบทบาทหน้าที่ในระบบนิเวศเสมอ เช่น คล้าน้ำเป็นแหล่งน้ำหวานของนกกินปลี ดอกไม้ป่าเป็นแหล่งน้ำหวานของผึ้งและผีเสื้อ พื้นที่ชุ่มน้ำมักถูกมองว่าเป็นพื้นที่เฉอะแฉะไร้ประโยชน์ แต่อันที่จริงเป็นพื้นที่พักน้ำ กรองสารพิษ เป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อนต่างๆ อาทิ ตัวอ่อนแมลงปอที่สามารถกินยุงได้วันละมากกว่าร้อยตัวต่อวัน การมีแหล่งน้ำสะอาดจึงเท่ากับมีแหล่งกำเนิดนักล่ายุงตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพที่สุดไปพร้อมกัน

กิจกรรมในความทรงจำของหลายคนคือการพบเพื่อนใหม่ในป่าจอบ (ป่าที่ คุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์-อดีตบรรณาธิการบริหารนิตยสารสารคดี ที่ปลูกต้นไม้ไว้ในพื้นที่ส่วนตัวเพื่อให้ชาวบ้านใช้ประโยชน์ได้) โดยผู้ร่วมกิจกรรมจับคู่สองคน คนหนึ่งปิดตา ส่วนคนที่เปิดตาตั้งจิตเป็นสมาธิ (ดร.อ้อยใช้คำว่าเปิดเรดาร์สแกนไปในธรรมชาติ) มองหาต้นไม้ในป่าที่ส่งกระแสพลังงานมาว่าอยากรู้จักเพื่อน (ที่ปิดตา) ของตน แล้วพาเพื่อนที่ปิดตาไปกอดต้นไม้ต้นนั้น คนที่ปิดตาจะใช้เวลาสัมผัสเพื่อนต้นไม้สักครู่ แล้วถูกนำกลับออกมา เมื่อเปิดตาแล้วจะต้องกลับไปตามหาเพื่อนต้นไม้ต้นเดิมในป่าของตัวเองให้เจอ

สิ่งที่น่าทึ่งคือเกือบทุกคนกลับไปหาเพื่อนต้นไม้ของตัวเองได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว บางคนใช้กลิ่นจดจำเพื่อนต้นไม้ของตัวเอง คนที่ถูกปิดตาส่วนใหญ่บอกว่า ได้เพื่อนต้นไม้แบบที่ตัวเองชอบจริงๆ บางคนได้รับข้อความสื่อสารทางใจจากเพื่อนต้นไม้ของตัวเองด้วย Meet the Tree จึงเป็นกิจกรรมที่ชวนให้กลับมาใคร่ครวญว่า เรื่องราวในธรรมชาติบางอย่างอาจอธิบายไม่ได้ด้วยเหตุผล แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง ทั้งยังยืนยันด้วยว่า “สายใยความผูกพันของคนกับธรรมชาติ” นั้นสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม และทุกคนต่างมี “ต้นไม้เพื่อนรัก” อย่างน้อยคนละหนึ่งต้นแล้วในช่วงชีวิตนี้

สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนเกี่ยวพัน

วันต่อมาเป็นการฝึกฝนให้เชื่อมโยงกับธรรมชาติในพื้นที่จริงสองแห่ง คือ วัดถ้ำผาปล่องซึ่งเป็นวัดที่เน้นการปฏิบัติภาวนา ด้วยภูมิประเทศของเทือกเขาหินปูนที่มีปล่องโล่งเหมือนห้องขนาดใหญ่ จึงสงบเงียบและมีพลังงานเชิงบวก ส่งเสริมให้เข้าถึงความสงบได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนที่สถานีวิจัยสัตว์ป่าเชียงดาว ทุกคนได้ฝึกประสบการณ์ตรงเปิดผัสสะเชื่อมโยงกับธรรมชาติ เรียนรู้ความสัมพันธ์อันเกี่ยวเนื่องของสรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ทั้ง ความสัมพันธ์แบบอิงอาศัย เช่น ต้นไม้ใหญ่กับกล้วยไม้หรือเฟิร์น ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ต้นไม้ชนิดที่เป็นกระเปาะให้มดแมลงมาอยู่อาศัย โดยต้นไม้ได้ประโยชน์จากเศษอาหารกลายเป็นดิน ความสัมพันธ์แบบปรสิต เช่น ต้นไทรที่รัดต้นไม้เดิมจนตาย และความสัมพันธ์แบบย่อยสลาย เช่น เห็ดราย่อยสลายกิ่งไม้ใบไม้ให้กลายเป็นดิน เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติ เมื่อต้นไม้ปลดปล่อยออกซิเจนออกมา เราหายใจเข้าไป เราและต้นไม้จึงเป็นดั่งลมหายใจเดียวกัน เช่นเดียวกับเสียงซัดสาดของลำธารอันเป็นลมหายใจของสายน้ำที่เปรียบดังการเติมอากาศเพื่อให้สรรพชีวิตในน้ำได้เจริญเติบโต

หากมองด้วยสายตาธรรมดา ลำธารก็เป็นเพียงแค่สายน้ำ ดร.อ้อยจึงชวนเราพลิกก้อนหินมองหาสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในลำธาร แล้วมองผ่านแว่นขยายซึ่งเปรียบดังตาวิเศษเพื่อพินิจชีวิตเหล่านั้น มีทั้งตัวอ่อนแมลงชีปะขาว แมลงเกาะหินจั๊กกะแร้ฟู แมลงหนอนปลอกน้ำ ซึ่งเป็นดัชนีแสดงคุณภาพของน้ำว่าสะอาดมาก

ความรู้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก เมื่อเรารักสิ่งใดแล้วเราย่อมอยากรักษาให้สิ่งนั้นคงอยู่ยาวนานที่สุด

การได้มีประสบการณ์ตรงกับการผ่านกิจกรรมนักสืบสายน้ำฉบับย่อ ทำให้เรามองลำธารไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะเรารู้แล้วว่านี่คือบ้านของสรรพสิ่งมากมาย เรารู้ว่าก้อนหินคือปอดของลำธาร เราจึงไม่เก็บหินออกไปและไม่เรียงหินเล่นเป็นชั้นๆ และเราย่อมเรียนรู้แล้วว่าการทำฝายไม่ใช่วิธีการแสดงความรักต่อผืนป่าและสายน้ำเสมอไป หากขาดความรู้ที่ถูกต้องเพียงพอ

เปิดประตูสู่โลกมหัศจรรย์

เมื่อพี่อ้อยให้ทุกคนได้ใช้เวลาส่วนตัวอยู่ลำพังเพื่อฝึกเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับผืนป่าและธรรมชาติ บางคนเลือกที่จะนอนใต้ต้นไม้ บางคนนั่งอยู่ริมน้ำ ฉันเลือกเดินตามลำธารลงไปให้ห่างไกลผู้คน นั่งลงบนก้อนหินกลางน้ำ ทอดสายตาผ่อนคลายไปในผืนป่า สะดุดตากับต้นไม้ใหญ่สูงสง่าต้นหนึ่งราวกับมีพลังดึงดูดให้เข้าใกล้ เวลานั้นป่าร่มครึ้มดูเขียวเข้มไปหมดเพราะอากาศครึ้มฝน แต่อยู่ๆ แดดก็เจิดจ้าขึ้นมา ลำแสงจากดวงอาทิตย์ส่องประกายฉายฉานความงามให้ผืนป่ามีชีวิตชีวาด้วยสีเขียวหลายเฉดสีปรากฏขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ฉันรู้สึกได้รับข้อความจากป่า “ต้นไม้ทุกต้นมีศักยภาพในการเติบโตแบบของตัวเอง มีจังหวะในแบบของตัวเอง ทุกครั้งเมื่อโอกาสมาถึง จงเติบโต (go) เบ่งบาน (grow) และเปล่งประกาย (glow)” เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติอย่างลึกซึ้งเหลือเกิน

เพื่อนคนหนึ่งแบ่งปันประสบการณ์ว่า ตอนที่เธอนอนหลับตาอยู่ใต้ต้นไม้ ตั้งจิตว่าต้องการได้รับพลังจากผืนป่า เธอรู้สึกราวกับตัวเองค่อยๆ เติบโตขึ้นเหมือนต้นไม้แทงยอดขึ้นไปหาแสงอาทิตย์ จนดวงตาร้อนผ่าว เสมือนกับตัวเองได้กลายเป็นต้นไม้ที่สังเคราะห์แสงจริงๆ บางคนเกลียดกลัวแมลงทุกชนิด แต่เมื่อหลับตากอดต้นไม้ เธอยอมเปิดใจและไว้วางใจ จนรู้สึกได้ถึงการโอบอุ้มคุ้มครอง บางคนมีโลกส่วนตัวสูงมาก แต่เมื่อเรียนรู้เชื่อมโยงโลกด้วยความวางใจ เธอพบว่ามิตรภาพนั้นอยู่รอบตัว ถึงกับพูดว่า “ราวกับได้ดวงตาใหม่” ทั้งดวงตาทางกายภาพและทางจิตใจ ทำให้เห็นว่าโลกใบนี้งดงามและมีความมหัศจรรย์อยู่ในสรรพสิ่งเล็กน้อยรอบตัวแทบทั้งสิ้น เพียงแต่ที่ผ่านมาเราไม่เคยมองเห็นเท่านั้นเอง

เพื่อนบางคนถึงกับหลั่งน้ำตาปิติที่ได้รับความไว้วางใจจากธรรมชาติ เมื่อเธอสามารถเข้าใกล้ผีเสื้อตัวหนึ่งได้จนบินมาเกาะที่มือ

“ตอนแรกยื่นมือไปได้ใกล้มากแล้วผีเสื้อบินหนี เราถอดใจแล้ว แต่ปรากฏว่าเขาบินกลับมาเกาะมือของเราเอง ลองขยับมือแล้วก็ไม่บินไปไหน เขาอยู่นิ่งๆ ให้เรามองจนพอใจ ตอนนั้นน้ำตาไหลเลย ทั้งดีใจ ทั้งตื้นตันใจ ความรู้สึกได้รับความไว้วางใจมันเป็นแบบนี้เอง เราคิดว่าเราได้เพื่อนใหม่ หรืออาจเรียกว่าญาติเลยก็ว่าได้”

อ่านธรรมชาติ มองเห็นปัญญาอนาคต

การเรียนรู้ในปัจจุบันเป็นการเรียนรู้ผ่านความคิดด้วยหัว (สมอง) แต่การเรียนรู้ในแบบที่ ดร.อ้อยเปิดประตูให้พวกเราเป็นการเรียนรู้ด้วยหัวใจผ่านประสบการณ์จริง เพราะรอยประทับ (ใจ) นั้นจะคงอยู่กับเราเสมอไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ความรู้หรือนวัตกรรมหลายอย่างบนโลกใบนี้ล้วนมีแรงบันดาลใจและใช้หลักการจากธรรมชาติ เรียกว่า ชีว ลอกเลียน (Biomimicry) เช่น ตีนตุ๊กแก (แถบแปะที่รองเท้าหรือเสื้อผ้า) ที่พัฒนามาจากเมล็ดพืชที่มีหนามตะขอรอบตัว เสื้อผ้ากันน้ำหรือสีทาบ้านที่พัฒนามาจากใบบัว (ไม่เปียก/ไม่เปื้อน) หรือการสร้างบ้านด้วยหินปูนที่เลียนแบบปะการัง เป็นต้น ดังนั้น สถานการณ์ของโลกที่วิกฤติรุนแรงขึ้นทุกทีนั้น เราไม่อาจแก้ไขด้วยวิธีคิดแบบเดิมได้อีกต่อไป เพราะโลกใบนี้ยังมีปัญญาอนาคตอีกมากมายที่ซุกซ่อนอยู่ในธรรมชาติเพียงรอให้เราเข้าไปค้นให้พบด้วยวิธีคิดและการรับรู้ใหม่

“การที่เราปล่อยให้ร่างกายได้เชื่อมโยงกับสิ่งรอบตัว มันนำมาสู่ความเห็นอกเห็นใจต่อชีวิตอื่นๆ และพลิกจิตสำนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เหมือนเราได้เชื่อมโยงกับต้นไม้และตระหนักรู้แล้วว่าต้นไม้เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ ความตระหนักรู้แบบนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการกระทำ เราจะไม่ใช้ชีวิตแบบเดิมอีกต่อไป” ดร.อ้อยกล่าวทิ้งท้าย การมีความรู้เพื่ออ่านธรรมชาติได้ (ecological literacy) จึงเป็นสะพานอันสำคัญที่นำพามนุษย์ไปเรียนรู้ เข้าใจและอยู่ร่วมกับสรรพชีวิตได้อย่างเป็นมิตรมากขึ้น เพื่อให้สรรพชีวิตดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน

ความงามและความมหัศจรรย์ของโลกจึงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่เสมอไป หากเพียงเรามีสะพานเชื่อมดวงใจได้ ความวิเศษนั้นย่อมปรากฏกายในทุกเวลา

ฝึกกิจกรรม Nature Connection ประจำวันเลือกมุมโปรดที่เป็นพื้นที่ธรรมชาติใกล้บ้านที่เข้าถึงง่ายทุกวัน ผ่อนคลาย สังเกตธรรมชาติอย่างละเอียดผ่านประสาทสัมผัสทุกด้าน ตาดู หูฟัง จมูกได้กลิ่น ผิวกายสัมผัส เลือกโจทย์ในแต่ละวัน เช่น สังเกตเฉดสีเขียวของใบไม้ ฟังเสียงรอบตัว รู้สึกถึงลมผ่านใบหน้า เฝ้าดูพฤติกรรมนกหรือแมลง หรือฝึกร่วมกับการภาวนา แล้วจดบันทึกเป็นเรื่องเล่าประจำวันกิจกรรม Nature Connection จัดโดยมูลนิธิโลกสีเขียว มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบผัสสะต่างๆ ในร่างกายไปสู่ความละเอียดขึ้นจนเชื่อมโยงกับสรรพชีวิตและพบความมหัศจรรย์ในธรรมชาติได้ จัดขึ้นที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

สามารถติดตามข่าวสารในการจัดกิจกรรมครั้งต่อไปได้ที่ facebook: มูลนิธิโลกสีเขียว

ที่มา: มูลนิธิโลกสีเขียว ปรับจาก 8-shields Institute

Tags:

เข้าป่าสิ่งแวดล้อมโรคขาดธรรมชาติ(nature deficit disorder)

Author:

illustrator

วิรตี ทะพิงค์แก

นักเขียน นักเล่าเรื่อง และบรรณาธิการอิสระ ที่ยังคงมีความสุขกับการเดินทางภายนอกเพื่อเรียนรู้โลกภายในของตัวเอง เจ้าของผลงานนิทานชุดดอยสุเทพเรื่อง ‘ป่าดอยบ้านของเรา’ หนังสือเรื่อง ‘เตรียมหนูให้พร้อมก่อนเข้าอนุบาล’ และ ‘ของขวัญจากวัยเยาว์’ คู่มือสังเกตความถนัดของลูกช่วงปฐมวัย เคยทำนิทานร่วมกับลูกชายเมื่อครั้งอายุ 6 ปี เรื่อง ‘รถถังนักปลูกต้นไม้’

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    ‘วิชาถิ่นนิยม’ บนดอยหลวงเชียงดาว: ก่อนจะเป็นเป็นจะที่นิยม ต้องทำให้ท้องถิ่นเป็นความรื่นรมย์เสียก่อน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีอุบลวรรณ ปลื้มจิตร

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: เหตุผลที่ต้องรักษาโรงงานผลิตออกซิเจนยักษ์

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • Creative learning
    สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์: PUBLIC SPACE ควรมีไว้เล่น สัมผัส และสูดหายใจเข้าเต็มปอด

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี ภาพ พรภวิษย์ โพธิ์สว่าง

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: รู้จักชีวิตที่ขาดสวิตช์ ปลั๊กไฟ และก๊อกน้ำ

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

  • SpaceCreative learning
    โรงเรียนธรรมชาติ: ธรรมชาติคือครูที่สุดยอด เด็กๆ ต้อง ‘ปลอดสายตา’ พ่อแม่บ้าง

    เรื่อง เกรียงไกร สุวรรณภักดิ์ ภาพ บัว คำดี

การสื่อสารและตอบสนองจากพ่อแม่อย่างเข้าใจ ไม่บั่นทอน จะสร้างความรู้สึก ‘มีตัวตน’ ให้ลูก
Family Psychology
1 October 2019

การสื่อสารและตอบสนองจากพ่อแม่อย่างเข้าใจ ไม่บั่นทอน จะสร้างความรู้สึก ‘มีตัวตน’ ให้ลูก

เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ antizeptic

  • ทารกแม้จะยังพูดไม่ได้ แต่มีความพยายามในการสื่อสารกับพ่อแม่และต้องการการตอบสนอง แม่ที่ทำสีหน้าเรียบเฉยใส่ลูกชั่วขณะหนึ่ง ส่งผลให้เด็กรู้สึกขาดการสื่อสารเชื่อมโยงกับแม่ เด็กจะแสดงความเครียดและร้องไห้ออกมา
  • และแม้ว่าแม่ที่กำลังส่งเสียงหยอกล้อ แต่ไม่ตรงกับอากัปกิริยาที่ลูกสื่อสาร ผลก็ออกมาเช่นเดียวกับการทดลองสีหน้าไร้อารมณ์
  • ความรู้สึกว่าพ่อแม่ ‘มองเห็น’ คือฐานอิฐอันมั่นคง ส่งให้มนุษย์คนหนึ่งเติบโตขึ้นมาอย่างตระหนักถึงคุณค่าในตนเองซึ่งพัฒนาตั้งต้นมาจากความเข้าใจในตัวเอง

สมองเป็นอวัยวะที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างและตอบสนองแรงกระตุ้นในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนโดยเฉพาะ ด้วยเหตุนี้ เราจึงมักเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นและตอบสนองการเรียกร้องที่ส่งมาด้วยในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะส่วนที่เป็นจิตใจซึ่งอยู่ภายใต้การทำงานอันซับซ้อนของสมอง

นับตั้งแต่แรกเกิด จิตใจจะค่อยๆ พัฒนาการรับรู้ตัวตน (sense of self) ขึ้น ผ่านการเรียกร้องและการตอบสนองจากการมีปฏิสัมพันธ์ในสภาวะแวดล้อมที่เขาได้รับการฟูมฟักจากพ่อแม่

ศาสตราจารย์โคลวิน เทรวาร์เธน (Colwyn Trevarthen) แห่ง มหาวิทยาลัยเอดินเบอระห์ (University of Edinburgh) หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการปฐมวัยของโลกหยิบงานวิจัย ‘Still-Face Experiment’ หรือการทดลองสีหน้าไร้อารมณ์อันโด่งดังของ ดร.เอดเวิร์ด โทรนิค (Dr.Edward Tronick) แห่ง มหาวิทยาลัยแมสซาชูเสตส์ (University of Massachusetts) มาสานต่อ จากเดิมที่งานนี้เคยพิสูจน์ว่าเด็กทารกแม้จะยังพูดไม่ได้ แต่มีความพยายามในการสื่อสารกับพ่อแม่และต้องการการตอบสนอง แม่ที่ทำสีหน้าเรียบเฉยใส่ลูกชั่วขณะหนึ่งยังผลให้เด็กรู้สึกขาดการสื่อสารเชื่อมโยงกับแม่ แสดงความเครียดและร้องไห้ออกมา

ในการทดลองของศาสตราจารย์เทรวาร์เธน ให้แม่กับลูกสื่อสารกันผ่านหน้าจอมอนิเตอร์โดยแบ่งเป็นสองช่วง ช่วงแรกเป็นการสื่อสารแบบ interactive คือลูกกับแม่สื่อสารและตอบสนองกันในคราวเดียวกัน ต่อมาใช้การรันเทปใบหน้าแม่บนหน้าจอไม่ใช่การโต้ตอบจริง เมื่อภาพแม่ที่กำลังส่งเสียงหยอกล้อไม่ตรงกับอากัปกิริยาที่ลูกสื่อสาร ผลก็ออกมาเช่นเดียวกับการทดลองสีหน้าไร้อารมณ์ คือเด็กน้อยเกิดความรู้สึกเครียดและร้องไห้เช่นเดียวกัน

สาเหตุที่ศาสตราจารย์เทรวาร์เธนทำการศึกษา เพราะต้องการอธิบายให้ลึกซึ้งขึ้นว่าที่จริงแล้วทารกไม่ได้ต้องการเพียงแค่สื่อสารความปรารถนาเพื่อถูกเติมเต็มเพียงอย่างเดียว สิ่งที่เขารอคอยที่จะได้รับกลับมาพร้อมกันด้วยคือการตอบสนองที่สะท้อนถึงการมีตัวตนของเขา (sense of self) ซึ่งยึดโยงคุณค่าความสำคัญที่เขามีเข้ากับบริบทสังคมรอบตัว และสิ่งนี้จะถูกเติมเต็มได้ก็ต่อเมื่อส่งสัญญาณบางอย่างออกไป แล้วได้รับการตอบสนองที่สื่อว่าพ่อแม่ ‘มองเห็น’ ความต้องการของเขาและรับรู้ถึงความรู้สึกที่ถ่ายทอดไปอย่างเข้าอกเข้าใจกลับมา

ตอบสนองความต้องการของลูกอย่างเฉพาะหน้าและสอดคล้อง

นายแพทย์เดเนียล เจ. ซีเกล (Daniel J. Siegel) และอาจารย์แมรี ฮาร์ทเซลล์ (Mary Hartzell) ผู้เขียน Parenting from the Inside Out อธิบายหลักการสื่อสารที่สะท้อนการมีตัวตนและตอบสนองความต้องการของลูกด้วยคำว่า contingency and coherence หรือ สื่อสารอย่างไรให้ ‘ตอบสนองได้อย่างเฉพาะหน้าและสอดคล้องกับความรู้สึกของลูกที่เกิดขึ้นในชั่วขณะนั้น’

คำว่าเฉพาะหน้า (contingency) หมายถึงการตอบสนองต่อสัญญาณที่ลูกส่งมาให้ในขณะนั้นได้อย่าง ‘ตรงจังหวะพอดี’ อย่างในการทดลองช่วงแรกของศาสตราจารย์เทรวาร์เธน ที่แม่และลูกโต้ตอบรับส่งกันแบบทันที หรือเช่น เวลาลูกชี้มือไปที่ต้นไม้อย่างสงสัยแล้วพ่อแม่ตอบสนองอากัปกิริยานั้นด้วยการหันไปตามที่เขาชี้แล้วเอ่ยถามว่า “มีอะไรเหรอลูก”

แต่การสื่อสารที่ตอบสนองอย่างเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว ไม่อาจทำให้การรับรู้ตัวตนพัฒนาไปสู่การเข้าใจคุณค่าความหมายในตนเองได้ หากการตอบสนองนั้นไม่ได้สอดคล้อง (coherence) กับความต้องการที่แท้จริง

เช่นในสถานการณ์ทารกร้องไห้เพราะผ้าอ้อมเปียกชื้นไม่สบายตัว พ่อแม่ที่ได้ยินเสียงร้องและใช้เวลาตรวจตราหาสาเหตุว่าลูกร้องเพราะอะไร เมื่อเข้าใจและเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ เขาก็จะได้รับการตอบสนองเฉพาะหน้าและสอดคล้องกับความต้องการด้วย

ประสบการณ์ที่หนูน้อยเรียนรู้คือ 1) ต้องการความช่วยเหลือเพราะรู้สึกไม่สบายตัว 2) พ่อแม่ปลอบโยนและเข้าใจความต้องการ 3) ปฏิสัมพันธ์ของพ่อแม่เชื่อมโยงสอดคล้องกับการรับรู้

ในทางกลับกัน หากไม่เข้าใจว่าลูกร้องทำไมแล้วตอบสนองเฉพาะหน้าโดยการพยายามหยอกล้อ ป้อนนมหรือกล่อมนอน สิ่งที่ต้องเรียนรู้คือ 1) ต้องการความช่วยเหลือเพราะไม่สบายตัว 2) พ่อแม่ไม่เข้าใจและตอบสนองไปคนละทางกับความต้องการ 3) ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นไม่เชื่อมโยงสอดคล้องกับสิ่งที่ตนรับรู้ รูปการณ์นี้หากดำเนินต่อเนื่องนานๆ เข้า เด็กจะค่อยๆ เรียนรู้ว่าเขาไว้ใจและคาดหวังความเข้าใจจากการสื่อสารกับพ่อแม่ไม่ได้

แม้บางสถานการณ์ลูกอาจไม่ต้องการมากไปกว่าการที่พ่อแม่ตอบสนองเขาอย่างเฉพาะหน้า เช่น พยักหน้าเวลาเขาเล่า สบตาเขาเพื่อสื่อว่ากำลังฟังอยู่นะ ไม่เล่นมือถือไปด้วยพูดกับเขาไปด้วย แต่ขอให้ระวังว่าในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน เช่น ตอนเขากำลังผิดหวังเสียใจ หรือโมโห การสื่อสารเฉพาะหน้าโดยไม่เข้าใจว่าในตอนนั้น จริงๆ แล้วลูกกำลังรู้สึกอย่างไร แล้วตอบสนองไปโดยไม่ได้สอดคล้องกับความรู้สึกเขา ก็อาจกลับกลายเป็นการทำร้ายจิตใจได้เช่นกัน

ในงานเขียนหรือบทความแนว Parenting ทุกชิ้นไม่มีชิ้นไหนไม่กล่าวถึงการสร้างสายสัมพันธ์หรือความผูกพัน (connection) ให้เกิดขึ้นในครอบครัว และใจความสำคัญอันดับหนึ่งคือไม่มีทฤษฎีหรือหลักการสร้างคนใดจะทัดเทียมเท่าความรักความผูกพันอันเป็นสายสัมพันธ์ในครอบครัวไปได้เลย

พึงระลึกอยู่เสมอว่าความผูกพันที่ลูกจะมีกับพ่อแม่และครอบครัวได้ ก่อนอื่นเขาต้องรับรู้ว่าผู้ใหญ่ในบ้านเข้าใจและใช้เวลากับเขาอย่างมีคุณภาพเพียงพอ สร้างพื้นที่ที่เขารู้สึกสบายใจและให้เรียนรู้ธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันซึ่งอาจมีกระทบกระทั่ง ไม่ลงรอยกันบ้าง พร้อมกับเปิดโอกาสให้เขาแสดงความรู้สึกและรับฟังอย่างจริงใจ

สายสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในใจเด็กที่ได้รับความรักความเข้าใจเต็มเปี่ยม เป็นพื้นฐานอันมั่นคงของการตระหนักถึงคุณค่าในตนเองซึ่งพัฒนาตั้งต้นมาจากความเข้าใจในตัวเอง (self-knowledge) และการเลี้ยงดูของพ่อแม่ว่าฟูมฟักเขามาในบริบทใด หากพ่อแม่ไม่ใกล้ชิดลูกเพียงพอจะสร้างความผูกพัน หรือสื่อสารแค่เฉพาะหน้าแต่กลับไม่เคยเข้าใจและตอบสนองความต้องการที่แท้จริงเลย การเรียนรู้ตัวตนของเขาย่อมเป็นไปโดยไม่สามารถเชื่อมโยงต่อติดกับพ่อแม่ได้

เปลี่ยนจากปฏิเสธเป็นตอบสนองอย่างเกื้อกูล สอดคล้องกับความรู้สึกลูก

คุณพ่อคุณแม่ที่อ่านอยู่คงจะคิดว่า ทุกวันนี้ลำพังพูดกับลูกให้จบประโยคยังยาก เรื่องการจะสื่อสาร ‘ตอบสนองอย่างสอดคล้อง’ น่าจะเป็นเรื่องท้าทายมากพอดู บ่อยครั้ง พ่อแม่อดไม่ได้ที่จะใช้สายตาและประสบการณ์ของผู้ใหญ่เข้าไปห้ามปราม หรือตัดสินสิ่งที่เขาคิด

ยกตัวอย่าง อาการ ‘อกหัก’ ของวัยรุ่นวุ่นรัก เห็นลูกกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เป็นอาทิตย์ ข้าวปลาไม่กิน ครั้นพอลูกบอกว่า “ผมรักเขา” พ่อแม่ฟังแล้วหัวเราะใส่ยังไม่พอ ยังปฏิเสธเขาอีกว่า “โธ่เอ๊ย! นี่ไม่ใช่ความรัก นี่เรียกว่าหลง! ลูกแค่หลงเขาแบบเด็กๆ” ประโยคทำนองนี้ฟังดูคุ้นๆ ใช่ไหม

หรือบางครั้งใช้การปฏิเสธความรู้สึกลูกเพียงเพื่อปลอบโยนหรือเบี่ยงเบนความสนใจ อย่างเช่น เวลาลูกหกล้มร้องไห้ก็ปลอบว่า “ไม่เจ็บนะๆ ไม่ต้องร้อง” หรือเมื่อเขางอแงชี้ไปที่ของเล่นที่อยากได้แล้วเราบอกว่า “ไม่เอานะ หนูมีอันนี้แล้ว หนูไม่อยากได้อีกหรอก”

นายแพทย์ซีเกล และอาจารย์ฮาร์ทเซลล์ กล่าวว่า ความรู้สึกต้องการที่พึ่งของลูกมักถูกตีกลับด้วยการปฏิเสธความสำคัญ เพราะพ่อแม่ส่วนใหญ่คิดว่าตนเองอาบน้ำร้อนมาก่อนจึงมองความไร้เดียงสาของเขาว่าไร้สาระ หรือการปฏิเสธว่าความรู้สึกของเขานั้น ‘ไม่จริง’ โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการสุมไฟอารมณ์โมโหให้ลุกโชนขึ้น บางคนอาจเรียกร้องความสนใจโดยการทำเรื่องเลวร้ายหรือบางคนเรียนรู้ที่จะปิดใจไม่เล่าปัญหาหรือความรู้สึกให้พ่อแม่ที่ ‘ไม่เข้าใจ’ เขาฟังอีกต่อไป

ทางที่ดีที่สุดที่พ่อแม่ควรทำเมื่อลูกบอกความรู้สึกหรือความต้องการคือ ใช้ การสื่อสารแบบเกื้อกูล (Pathway to Collaboration) คือ

1) รับฟังความต้องการของลูกอย่างตั้งใจ (explore) ให้ความสำคัญแม้กับปัญหาที่เราอาจไม่อินด้วย ไม่ฟังไปแกนๆ และทำอย่างอื่นไปด้วย

2) พยายามเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของลูก (understand) ปากบอกว่าโอเค แล้วสีหน้าแววตาท่าทางโอเคจริงรึเปล่า อย่าละเลยภาษากายที่บ่งบอกว่าเขากำลังเป็นทุกข์

3) เป็นพวกเดียวกับเขา (join) โดยการรับฟังและเข้าใจความรู้สึกจากในมุมของเขาโดยไม่หักหาญน้ำใจ ตัดสินชี้นำ หรือตั้งแง่ปฏิเสธ

ลองเปลี่ยนคำปฏิเสธเป็นการตอบสนองที่เกื้อกูลและสอดคล้องกับความรู้สึกลูก สื่อสารอย่างไรให้เขาก้าวผ่านและเติบโตจากมัน เมื่อเขาอกหักปลอบเขาใหม่ว่า “อกหักเป็นเรื่องธรรมชาติ! ลองให้เวลาตัวเองทบทวนดูว่าความเสียใจครั้งนี้เปลี่ยนความคิดและตัวตนของลูกยังไง แล้วถ้าอยากเล่า พ่อเองก็อยากฟังนะว่าลูกเรียนรู้อะไรจากมันบ้าง” หรือปลอบโยนลูกที่หกล้มว่า “เมื่อกี้หนูสะดุดขาโต๊ะตัวนี้เข้าน่ะ เลยล้มเข่ากระแทกพื้น คงตกใจสินะ ตอนนี้เจ็บเข่าใช่ไหมจ๊ะ” และในสถานการณ์ของเล่นชิ้นใหม่ซึ่งเหมือนชิ้นที่มีอยู่แล้ว แทนที่จะปฏิเสธ ลองถามเขาดูก่อน “ของเล่นชิ้นนี้หน้าตาคล้ายที่บ้านจัง สงสัยหนูคงชอบมันมาก บอกแม่หน่อยสิจ๊ะว่าหนูชอบมันตรงไหน” (แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ทำบันทึกของขวัญที่อยากได้เอาไว้ และให้สิทธิเขาเลือกชิ้นใดชิ้นหนึ่งที่อยากได้มากที่สุดในวันสำคัญและในงบที่เหมาะสม)

ถ้าตอบสนองด้วยความเข้าใจ ให้เด็กกล้าที่จะรู้สึกและเปิดเผยสิ่งที่ตนคิดฝันหรือต้องการจริงๆ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิ ตัดสินหรือปฏิเสธตั้งแง่ และพ่อแม่ก็มีลิมิตเพียงพอว่าจะไม่ลงเอยที่สปอยล์ตามใจ ครอบครัวจะสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ขึ้นได้เพราะลูกจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่ได้เล่าความจริง และอุ่นใจว่าอย่างน้อยแม้ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเสมอทุกครั้งไปก็ตาม ผู้ใหญ่ในบ้านก็พร้อมที่จะรับฟังเขาอย่างเปิดใจเสมอ

อย่าโกหกสมองซีกขวา

เราอาจผ่านตาเรื่องการทำงานของสมองทั้งสองซีกมาบ้างว่าฝั่งซ้ายดูแลการคิด ใช้เหตุผลตรรกะ และฝั่งขวาดูแลส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก การสื่อสารเกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานของสมองทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะอากัปกิริยาหรือภาษากายซึ่งเป็นการสื่อสารในระดับจิตใต้สำนึกสามารถสร้าง impact ต่อความรู้สึกได้มากกว่าคำพูด

สมมุติลูกเห็นแม่ที่กำลังร้องไห้แล้วถามว่า “แม่เป็นอะไรคะ ร้องไห้ทำไม” แต่แม่กลับฝืนยิ้มตอบลูกทั้งน้ำตาว่า “ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี” อากัปกิริยาสวนทางกับคำพูดแบบนี้อาจไม่เพียงสร้างความสับสน คับข้องใจ เพราะน้ำตาของแม่โกหกสมองซีกขวาไม่ได้ มันรับรู้ได้ทันทีว่าแม่กำลังทุกข์หนัก ด้วยวิธีสื่อสารแบบไม่ตรงไปตรงมานี้ มันคล้ายจะบอกว่าแม่ไม่ต้องการบอกเรื่องสำคัญบางอย่างกับเขาเพราะเขาไม่มีค่าพอ

ภาษากายหรืออากัปกิริยาคือรหัสภาษาที่ถูกตีความโดยสมองซีกขวาซึ่งเชื่อมต่อกับลิมบิกหรือพื้นที่รับความรู้สึกโดยตรง สมองของเราจึงสามารถแปลความรู้สึกของอีกฝ่ายจากกิริยาท่าทางได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้คำพูดอธิบาย ในขณะที่คำพูดคือรหัสสัญญาณที่ถูกส่งและตีความโดยสมองซีกซ้าย ถ้าคำพูดและอากัปกิริยาถูกส่งมาอย่างสอดคล้องกัน สมองทั้งสองซีกก็จะเข้าใจและตีความสัญญาณนั้นว่าปกติ แต่ถ้ามาแบบขัดแย้งกันอย่างข้างต้น สมองก็จะทักท้วงทันทีว่ามีบางอย่างไม่โอเค

การปิดบังความรู้สึกแย่ๆ ด้วยคำพูดตรงกันข้ามรังแต่จะสร้างกำแพงที่มองไม่เห็น หากอยากสร้างความรู้สึกผูกพันไว้เนื้อเชื่อใจกับลูก ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าพ่อแม่เปิดเผยความรู้สึกอย่างซื่อตรงจริงใจ ให้เขามีส่วนร่วมทั้งความรู้สึกด้านบวกเมื่อตื่นเต้น ภูมิใจ ดีใจ เวลารู้สึกโกรธ เสียใจ กลัวหรือผิดหวังก็แบ่งปันความรู้สึก และเล่าที่มาที่ไปให้เขารับรู้ไปตามตรงอย่างจริงใจด้วยจะดีกว่า คุณค่าในตนเองของเขาจะเบ่งบานขึ้นได้จากการถูกยอมรับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

Our sense of ‘I’ is profoundly influenced by how we belong to a ‘we’

ตัวตนของความเป็น ‘ฉัน’ คือผลลัพธ์อันลึกซึ้งจากการเป็นส่วนหนึ่งของการเป็น ‘เรา’

นายแพทย์ซีเกล ชี้ว่าในเด็กเล็กสมองซีกขวาจะยิ่งไวต่อการสื่อสารด้านอารมณ์และมีพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด การสื่อสารด้วยท่าทางและอากัปกิริยาจึงมีผลต่ออารมณ์และจิตใจตั้งแต่ยังแบเบาะ สมองของเขาสามารถรับรู้การสัมผัส สายตา เสียงหัวเราะของพ่อและแม่ได้ทันที

ทั้งนี้ขอสรุปพัฒนาการในช่วงปฐมวัยอันน่าสนใจของสมองฝั่งนี้ให้พ่อแม่หรือคุณครูที่ดูแลเด็กช่วงปฐมวัยได้ทราบดังนี้

  • ขวบปีแรกและปีที่สอง ทารกจะใช้งานและมีพัฒนาการของสมองซีกขวาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการสื่อสารที่ควรเน้นหนักคือการ ‘แสดงออกถึงท่าทางและอากัปกิริยา’ ของความรักความใกล้ชิดผูกพัน เช่น กอดหอม สัมผัส การใช้เวลากับเขาให้มากๆ เอาใจใส่ใกล้ชิด
  • วัยก่อนเข้าเรียน สมองซีกซ้ายและขวายังเชื่อมประสานกันได้ไม่เต็มที่ เด็กในวัยนี้จะยังไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้ชัดเจน ประกอบกับสมองซีกขวาทำงานมากกว่าซีกซ้าย สภาวะอารมณ์และการแสดงออกทางพฤติกรรมจึงเข้มข้นรุนแรงเหมือนเด็กเจ้าอารมณ์งอแงเอาแต่ใจ การอบรมสั่งสอนด้วยวาจาจะยังไม่เกิดประสิทธิผลเต็มที่กับเด็กในวัยนี้ การดุหรือห้ามปรามไม่ให้แสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาอาจกลายเป็นการปิดกั้นการแสดงความรู้สึกและเหมือนบอกเขากลายๆ ว่า เขาเป็นสิ่ง ‘เลวร้าย’ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือปลอบโยนอารมณ์เขาให้เบาลงด้วยภาษากาย เช่น สัมผัส ลูบหัวลูบหลัง มองสบตา พยักหน้าอย่างเข้าใจ
  • การศึกษาในโรงเรียน มักโฟกัสที่การใช้งานสมองซีกซ้ายเป็นหลัก ผู้ใหญ่อย่างเราจึงถูกขัดเกลาให้กลายเป็นคนที่คุ้นชินแต่กับความสำคัญของหลักเหตุผลและคำพูด แล้วละเลยความสำคัญของสมองซีกขวาที่กุมบังเหียนความยับยั้งชั่งใจ การรู้จักตัวเอง และความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พ่อแม่ควรหาพื้นที่สมดุลในการส่งเสริมทักษะการคิดที่ช่วยพัฒนาสมองซีกซ้ายพร้อมกับบ่มเพาะพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจ ด้วยการให้ความอบอุ่นใกล้ชิดและความเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึกของเขา

การสื่อสารที่บั่นทอนความสัมพันธ์กับลูก

ข้างต้นเราเกริ่นถึงวิธีสร้างความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันไปแล้ว มาดูการสื่อสารที่ตรงกันข้าม ซึ่งเป็นการสื่อสารที่บั่นทอนความสัมพันธ์

รูปแบบของการสื่อสารที่บั่นทอนคือ

ตัวอย่างหนึ่งในหนังสือ Parenting from the Inside Out คุณครูประจำชั้นรายงานคุณแม่ที่เพิ่งพาลูกสาววัยสิบขวบย้ายมาโรงเรียนใหม่ได้เดือนกว่าว่าลูกยังไม่มีเพื่อนใหม่เลยสักคน เมื่อแม่ไปรับหลังจากกิจกรรมช่วงบ่าย ลูกขึ้นรถมาด้วยผมเปียเนี้ยบเหมือนเมื่อเช้าในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเดินเหงื่อโซมหัวหูยุ่งกันออกมา แม่รู้สึกกังวลและนึกอยากช่วยให้ลูกเปิดใจกับเพื่อนและสิ่งแวดล้อมใหม่จึงกระทุ้งถามไปว่า “ลูกได้เล่นกับเพื่อนบ้างไหมเนี่ย” “วันๆ ได้คุยกับคนอื่นบ้างรึเปล่า”

คำถามแนวนี้คือการถามแบบสอบสวนคาดคั้น ซึ่งเอาจริงๆ ไม่ได้ต้องการคำตอบจากลูกหรอกว่าเขาเล่นหรือไม่ได้เล่นกับเพื่อน มันแฝงนัยยะของการสั่งให้เขาพยายามหาเพื่อนใหม่บ้างต่างหาก แม้ความเป็นผู้ใหญ่อาจบอกให้เราเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงด้วยการเดินหน้าให้เร็วที่สุด แต่การสื่อสารแบบนี้กับลูกยิ่งเป็นการผลักไสให้เขาไปยืนบนชายขอบของเหวลึกด้วยความไม่มั่นใจ

กับเด็กแล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ยังไม่ทันปรับตัวบวกกับความรู้สึกสงสัยว่าทำไมต้องย้ายโรงเรียน การลาจากเพื่อนสนิท พ่อแม่ต้องมองในมุมเขาแล้วแบ่งปันความรู้สึกเหล่านั้น ควรเลือกคำถามที่ช่วยกระตุ้นความคิดใหม่ๆ แง่มุมที่เขาอาจยังไม่ได้สำรวจถี่ถ้วนเช่น “วันนี้เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เจอสิ่งที่ชอบบ้างรึยัง เห็นว่ากิจกรรมเยอะน่าดู บรรยากาศต่างกับที่เก่ามากไหม เพื่อนๆ เป็นยังไงบ้าง เล่าให้แม่ฟังหน่อย”

ที่สำคัญคือระวังอย่าใช้การตัดสินหรือเปรียบเทียบลูกในทำนองว่าคงดีกว่านี้ถ้า…หรือดูอย่างคนนั้นสิ… “ถ้าลูกยิ้มแย้มกว่านี้ แม่ว่าเพื่อนๆ เขาคงอยากเล่นกับลูกบ้างแหละ นี่เล่นทำตัวแบบนี้ใครจะอยากเป็นเพื่อนด้วย” หรือ “ดูอย่างน้องน้ำมนต์สิ ยิ้มง่าย เข้าง่ายกับคนอื่น ทำไมลูกไม่เป็นอย่างเขาบ้าง” การตัดสินหรือเปรียบเทียบเป็นการบอกเขาทางอ้อมว่าแม่กำลังผิดหวังในตัวเขาเพราะเขาไม่ดีพอ

อีกข้อที่ต้องชั่งใจให้ดีคือทำอย่างไรจึงช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองโดยพ่อแม่ไม่ออกไปรับหน้าหรือลงมือแทนเขาเสียเอง การปกป้องลูกจนเกินไปยังผลได้สองทางคือลูกขาดความเชื่อมั่นในตนเอง กลายเป็นคนกลัวทำผิดเมื่อเจอปัญหาเพราะรู้สึกไม่ได้รับความไว้วางใจ กับสุดโต่งอีกแบบไปเลยคือทำผิดแล้วไร้สำนึกรับผิดชอบเพราะพ่อแม่คอยปกป้องอยู่เสมอ

ในตัวอย่างของลูกสาวที่ยังไม่กล้าเข้าสังคมกับเพื่อนใหม่ การยื่นมือเข้าไปแก้ปัญหาของพ่อแม่โดยการจับมือลูกเดินดุ่มๆ เข้าไปในวงเพื่อนที่เล่นกันอยู่พลางเอ่ยปากขอเล่นด้วยแทนลูก หรือ ชวนเพื่อนๆ มาที่บ้านโดยเขาไม่ต้องการ นอกจากเป็นการไม่เคารพความรู้สึกนึกคิดของเขา ยังเป็นการล่วงล้ำความรู้สึกไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วซ้ำเดิมไปอีก

ความช่วยเหลือในขอบเขตที่ควรทำคือยอมรับฟังความรู้สึกที่แท้จริงของเขาและให้เวลาเขาได้ปรับตัว เทอมแรกอาจเป็นฝันร้าย แต่เวลาจะนำพาความตื่นเต้น เรื่องราวแปลกใหม่เข้ามาเอง ขอจงเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างเพื่อรับฟังทุกข์สุขของเขาอย่างเข้าใจ

วันวานในวัยเด็กของเราเคยต้องการความรักความเข้าใจจากผู้ใหญ่อย่างไร วันนี้วัยเด็กของลูกก็ยังต้องการความรักความเข้าใจเหมือนเดิมอย่างนั้น เมื่อบริบทสังคมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย สิ่งที่เพิ่มเติมคือพ่อแม่ต้องรู้จักปรับจูนการสื่อสารให้หมุนตามไลฟ์สไตล์ของเด็กรุ่นใหม่ ก้าวให้ทันยุคสมัยและเข้าไปอยู่ในโลกใบเดียวกับเขาด้วยความเข้าใจ ให้พื้นที่อิสรภาพบนพื้นฐานของสายสัมพันธ์ในครอบครัวที่มั่นคง เพราะเขาอาจต้องสู้กับสิ่งล่อตาล่อใจซึ่งไปไกลกว่าจุดที่พ่อแม่หลายคนเคยรู้จักและเข้าใจมากมายนัก

สายสัมพันธ์และความรักความอบอุ่นที่สื่อสารถึงกันและกันในครอบครัว คือสิ่งยึดเหนี่ยวอันทรงพลังหนึ่งเดียวที่จะสร้างภูมิคุ้มกันจิตใจของลูกให้แข็งแรง และสามารถต้านทานความป่วยไข้ที่แฝงมากับโลกยุคใหม่นี้ได้

Tags:

พ่อแม่แบบแผนทางความสัมพันธ์Parenting from the Inside OutEFพัฒนาการทางอารมณ์The Twelve Senses

Author:

illustrator

บุญชนก ธรรมวงศา

จบภาษาและการสื่อสาร เคยผ่านงานบริษัทออแกไนซ์ เปิดคลินิก ไปจนเป็นเลขาซีอีโอ หลังค้นพบและติดใจโลกนอกระบบตอกบัตร จึงแปลงร่างเป็นนักเขียน นักแปลและนักพยากรณ์ไพ่ ขี้โวยวายเป็นนิสัยที่อยากแก้ไขแต่ทำยังไงก็ไม่หาย ปัจจุบันกำลังเข้าใกล้ Midlife Crisis และหวังจะข้ามผ่านได้ด้วยวิถี “ช่างแม่ง”

Illustrator:

illustrator

antizeptic

Related Posts

  • Family Psychology
    พ่อแม่รักลูกไม่เท่ากัน เพราะความรักเป็นเรื่องไม่อาจฝืน

    เรื่อง เมริษา ยอดมณฑป ภาพ ninaiscat

  • Family Psychology
    พ่อแม่ห้ามด้วยความเป็นห่วงแต่ลูกตีความว่าถูกตำหนิ และอีกหลายความขัดแย้งในบ้าน อ่านวิธีคลี่คลายที่นี่

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ เพชรลัดดา แก้วจีน

  • Healing the traumaFamily Psychology
    เปิดลิ้นชักความทรงจำพ่อแม่ สะสางปมเลวร้าย เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่เป็นมนุษย์

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา ภาพ บัว คำดี

  • Family Psychology
    มั่นคง วิตกกังวล เพิกเฉย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นแม่แบบไหนกัน ?

    เรื่อง The Potential ภาพ BONALISA SMILE

  • How to get along with teenager
    หน้าที่ของวัยรุ่นคือ ไม่ฟัง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์
Character building
1 October 2019

ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

ขอต้อนรับสู่โรงเรียนสอนคิด และ สร้างนักเรียนที่มีคาแรคเตอร์ …คาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันด้วย!

วันที่กระทั่งความรู้ก็มีอายุสั้นลง คุณครูหลายคนเห็นตรงกันว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะ (อัด) สอนความรู้แบบท่องจำ แต่ต่างเชื่อและอยากเห็นเด็กรุ่นใหม่มีทักษะที่จะคิด ตั้งคำถาม ลงมือทำโดยไม่ถูกใครจ้ำจี้จำไช หรือพูดอีกอย่าง…

เราอยากเห็นเด็กๆ ‘รู้ได้เองว่าอยากเรียนรู้อะไร และรู้ว่าจะหาวิธีเรียนรู้ได้อย่างไร’ (learn how to learn) – น่าสนใจว่านี่ไม่ใช่แค่ทักษะของเด็กในอนาคต เพราะเอาเข้าจริงพวกเราทุกคนควรมีทักษะแห่งการเรียนรู้เช่นนี้

ไม่ใช่เรื่องที่พูดกันแค่ในประเทศ แต่วงการศึกษาโลกพูดไปในทางเดียวกันว่าถึงเวลาที่โรงเรียนต้องลุกเป็นแกนนำในการปรับแนวทาง กำหนดเป้าหมายและคุณค่าเรื่องการเรียนรู้ใหม่ จากโรงเรียนที่ผลิตทรัพยากรมนุษย์ให้คิด ทำ และมีความรู้ชุดเดียวกันราวกับโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงเรียนสอนคิด ที่เด็กๆ เข้าใจคอนเซ็ปต์ของ ‘การเรียนรู้’ และผลักดันคาแรคเตอร์อันแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ให้แฝงฝังในเนื้อตัวของพวกเขาต่อไป

และคงจะดีไม่น้อยถ้าต่อไปเราจะเรียกคุณครูสอนคิดเหล่านี้ว่า ‘ดีไซเนอร์ผู้ออกแบบการเรียนรู้’ และเรียกผู้อำนวยการว่าเป็น ‘วิศวกร’ ที่เข้าใจโครงสร้างแห่งการเปลี่ยนแปลง

ทั้งหมดที่กล่าวไป เราเชื่อว่าคุณครูทุกคนหวังใจอยากให้เป็นเช่นนั้น เห็นภาพร่วมกัน และตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อเป็นส่วนหนึ่งแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มกำลังอยู่แล้ว The Potential ขอเป็นกำลังใจให้คุณครูทุกท่านสู้ๆ (เสียงหนักแน่น) กันต่อไป และขอร่วมฝันไปด้วยคนนะคะ ^^

สร้างสรรค์ภาพ โดย PHAR

Tags:

ครูระบบการศึกษาโรงเรียนคาแรกเตอร์(character building)21st Century skills

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

PHAR

ชื่อจริงคือ พัชชา ชัยมงคลทรัพย์ เป็นนักวาดรูปเล่น มีงานประจำคือเอ็นจีโอ ส่วนงานอดิเรกชอบทำกับข้าว

Related Posts

  • Creative learning
    มีชัย วีระไวทยะ: “เราสร้างการเรียนที่ไม่รู้มามากพอแล้ว”

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะรชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Education trend
    การศึกษาไม่ได้ล้มเหลวแค่ล้าหลัง: PASSION และ PURPOSE หัวใจสำคัญของการศึกษาใน INNOVATION ERA

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Creative learningCharacter building
    ‘แผนที่ความสุขแห่งบ้านไทลื้อ’ รื้อฟื้นและวาดใหม่ด้วยเด็กๆ ในชุมชน

    เรื่องและภาพ The Potential

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

Posts navigation

Newer posts

Recent Posts

  • The Edge of Seventeen: เราต่างต้องการเป็นที่รักและมีค่าเสมอสำหรับใครบางคน
  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel