Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้

Month: January 2018

ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก
Dear Parents
29 January 2018

ความในใจ 5 อย่าง ของเด็กสอบตก

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • ระบบการศึกษาที่มุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ทางการศึกษานั้นไม่เหมาะสมกับผู้เรียน เนื่องจากกลายเป็นการสร้างระบบชนชั้นในโรงเรียนและความคิดผิดๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
  • ผู้ใหญ่ต้องปรับเปลี่ยนมุมมองว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน การออกแบบห้องเรียนสำเร็จรูปโดยมีปลายทางอยู่ที่คะแนนหรือเกรด จึงไม่ตอบโจทย์เด็กทุกคนเสมอไป
  • การเรียนการสอนที่เหมาะสมกับเด็กจึงเป็นการเรียนการสอนที่ออกแบบให้เหมาะสมกับการพัฒนาศักยภาพและประสิทธิภาพของระบบสมอง อารมณ์และสังคมที่มุ่งเน้นตัวรายบุคคล

แม้ทุกวันนี้ผู้ใหญ่มักจะพูดว่า ‘เกรดจะไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต’ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากมองลงไปในระบบการศึกษาดีๆ จะเห็นว่าผู้ใหญ่หลายคนยังให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามากที่สุด โดยเฉพาะในโรงเรียน เมื่อเกรดกลายเป็นเครื่องมือแสดงระบบชนชั้นในโรงเรียนและสร้างค่านิยมแบบผิดๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจว่า

เด็กเรียนเก่ง = เด็กดี
เด็กเรียนไม่เก่ง = เด็กไม่ดี

ความคิดที่มองว่า ‘เกรดคือภาพสะท้อนความเป็นตัวฉัน’ ใครเรียนดี เดินตามเป้าที่โรงเรียนตั้งไว้ได้ จะได้รับคำชื่นชมและรางวัลจากโรงเรียน ขณะที่เด็กอีกกลุ่มที่เรียนไม่ดี ไม่เป็นที่น่าพึงพอใจหรือไม่ถึงเกณฑ์ที่โรงเรียนขีดเส้นเอาไว้ พวกเขาจะถูกเหมารวมและถูกจัดให้อยู่ชนชั้นล่างสุดของโรงเรียน หนักกว่านั้น ครูบางคนอาจละเลยและไม่สนใจพวกเขาไปเลย

จากบทความเรื่อง ‘อะไรคือสิ่งที่นักเรียนที่สอบตก ต้องการให้เราใส่ใจ’ (What Failing Students Want Us to Remember) โดยรีเบคกา อัลเบอร์ (Rebecca Alber) อาจารย์ปริญญาโทคณะครุศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส (UCLA’s Graduate School of Education) ชี้ว่า ระบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญที่เกรด ไม่ได้ส่งผลดีต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่จะช่วยส่งเสริมให้ทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนพัฒนาคือ การได้รับข้อเสนอแนะจากการประเมินผลอย่างต่อเนื่องในกระบวนการเรียนรู้อยู่เป็นประจำโดยมุ่งเน้นไปที่ตัวบุคคล

ในสายตาผู้ใหญ่บางคน เด็กที่เรียนไม่เก่งคือเด็กไม่ดี แต่ก่อนจะแปะป้ายจัดหมวดหมู่ให้พวกเขาอยู่ในกลุ่มนั้น ผู้ใหญ่เคยย้อนถามตัวเองหรือยังว่า เพราะอะไรพวกเขาถึงมีผลการเรียนไม่ดี และทำไมพวกเขาถึงแสดงท่าทีลักษณะเชิงลบออกมา

5 ความในใจของเด็กเรียนไม่ดี

สำหรับผู้ใหญ่แล้ว อย่างแรกคือทำความเข้าใจในตัวเด็ก โดยเริ่มจากมองข้ามพฤติกรรมแย่ๆ ของพวกเขาและไม่ยึดติดกับผลการเรียนที่เป็นตัวเลข เพราะไม่ว่าจะเด็ก 7 ขวบหรือ 17 ปี ความในใจ 5 อย่างต่อจากนี้ของพวกเขาก็ไม่ได้ห่างไกลกันมาก

เกรดไม่ได้บอกว่า ‘ฉันคือใคร’

สำหรับเด็กกลุ่มนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้คำตอบที่ครูถาม บางข้อพวกเขาก็รู้แต่ที่ไม่ตอบเพราะไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็สู้คนที่รู้ทุกคำตอบไม่ได้อยู่ดี พวกเขาต้องการหนทางอื่นเพื่อแสดงความเป็นตัวตนของพวกเขา ที่ไม่ใช่คะแนนหรือเกรดแบบนี้

ฉันอยากมีส่วนร่วม อย่างแท้จริง 

ในความเป็นจริงแล้ว เด็กทุกคนอยากช่วยเหลือหรือมีส่วนร่วมกับกิจกรรมของโรงเรียน แต่สาเหตุที่บางครั้งพวกเขาต้องแสดงพฤติกรรมไม่เห็นด้วย ไม่สนใจหรือต่อต้าน ทั้งหมดนั้นเพื่อปกป้องตนเอง เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะถูกครูเลือกให้ไปทำหน้าที่เหล่านั้นก็เป็นนักเรียนที่เรียนดีเสมอ

ฉันไม่ได้ชื่อ ‘ด.ช. น่าผิดหวัง’ 

พวกเขารู้ตัวเสมอเวลาทำให้ครูหรือเพื่อนในกลุ่มไม่พอใจและนั่นก็ทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเองเช่นกัน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือใครสักคนที่เห็นว่าพวกเขามีดีอะไร

ได้โปรด ทำความรู้จักฉัน ที่เป็นฉันจริงๆ

งานบางอย่าง การบ้านบางอย่าง ก็ซับซ้อนและยากเกินไปสำหรับเด็กบางคน ครูจึงจำเป็นต้องรู้ว่าเด็กแต่ละคนเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ออกแบบงานหรือการบ้านให้เหมาะสมกับพวกเขา เช่น ให้เวลาในการทำเพิ่มขึ้น เลื่อนกำหนดส่งงานหรือทำความเข้าใจกับพวกเขาว่า ไม่เข้าใจโจทย์อย่างไร

อย่าหมดหวังในตัวฉัน

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากทำงานที่ครูสั่ง แม้บางครั้งเด็กๆ จะแสดงท่าทีต่อต้านหรือไม่พอใจก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังหวังว่าจะมีผู้ใหญ่สักคนไม่หมดหวังในตัวพวกเขา สู้เพื่อพวกเขา และบอกว่าเขาต้องเดินไปทางไหน

วิธีการออกแบบห้องเรียนที่ขึ้นอยู่กับครูเอง

เพราะไม่มีใครเกิดมาเหมือนกัน วิธีการเรียนการสอนสำเร็จรูปที่ปลายทางคือคะแนนและเกรดเป็นหลัก จึงไม่ได้เหมาะสมกับนักเรียนทุกคน อัลเบอร์เสนอว่า การจะดึงให้เด็กกลุ่มดังกล่าวหันมาใฝ่เรียนรู้ได้นั้น ประการแรก ผู้ใหญ่ต้องเข้าใจพวกเขาและมองทะลุพฤติกรรมเชิงลบของพวกเขา ตรวจสอบและค้นหาว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงมีท่าทีและแสดงออกมาลักษณะนั้น กล่าวคือ เป็นการเรียนรู้ระหว่างกันและกัน เพื่อค้นหาจุดแข็งของเด็กแต่ละคน จากนั้นจึงทำรายการว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีจุดแข็งอะไรบ้าง เช่น ทักษะ ความสนใจ หรือ ความสามารถพิเศษ แล้วนำจุดแข็งเหล่านั้นมาประยุกต์และออกแบบให้เข้ากับรูปแบบการเรียนการสอนที่เหมาะสมต่อพวกเขาทั้งด้านสติปัญญา สังคมและอารมณ์ เพราะสิ่งสำคัญของการเรียนรู้คือการพัฒนาจุดแข็งของผู้เรียนให้มีศักยภาพและประสิทธิภาพ

โดยเธอยังเสนอต่ออีกว่าเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ปกครองและครู ลดการหมกมุ่นกับผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา นักเรียน  ทั้งครูและผู้ปกครองจำเป็นต้องยอมรับว่าวิธีการออกแบบห้องเรียนดังกล่าวอาจฉีกขนบประเพณีระบบการศึกษาดั้งเดิมบ้าง อย่ายึดติดกับการผลักเด็กให้วิ่งสู่ลู่ที่มีเพียงเส้นชัยเดียวคือระดับอุดมศึกษา ที่บางครั้งเด็กบางคนอาจยอมวิ่งไปแต่ไม่รู้ว่าหลังจากถึงเส้นชัยแล้วต้องทำอย่างไรต่อ หรือเด็กบางคนต้องหยุดวิ่งเพราะรู้สึกว่า (ยังไงก็) วิ่งตามเพื่อนไม่ทัน

วิธีการออกแบบห้องเรียนด้วยตนเองที่ไม่ได้สนใจแค่เรื่องคะแนนหรือเกรดเพียงอย่างเดียวแบบนี้ อัลเบอร์อธิบายว่าจะช่วยเสริมสร้างให้เด็กรู้สึกมั่นใจและรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น สุดท้ายแล้วความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้จะทำให้พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่ดีขึ้นตามมาด้วยตัวพวกเขาเอง

อ้างอิง: edutopia.org

Tags:

ซึมเศร้าระบบการศึกษาจิตวิทยาปม(trauma)การสอบ

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Healing the traumaMovie
    HONEY BOY: ใครๆ ก็อยากเป็นพ่อที่ดี แต่พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ยังเจ็บปวดเหมือนกัน

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • Social Issues
    ฟังเสียงเด็ก TCAS: อยากให้ครูแนะแนวเป็นแบบไหน?

    เรื่อง The Potential

  • Dear Parents
    สงครามกลางบ้าน: อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ทะเลาะกัน

    เรื่อง The Potential

  • Social Issues
    พี่ลาเต้ DEK-D: มหัศจรรย์การสอบสุดจะเครียด 10 ปี ไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • Education trend
    สอบแบบไหนให้ได้ดี VS สอบแบบไหนยังไงก็ไม่ดี

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

จะทำอย่างไรเมื่อลูกวัยรุ่นของคุณ ‘กลอกตา’ ใส่?
How to get along with teenager
29 January 2018

จะทำอย่างไรเมื่อลูกวัยรุ่นของคุณ ‘กลอกตา’ ใส่?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • วัยรุ่นรู้เสมอว่าทำอะไรแล้วคุณจะหงุดหงิด และเขาไม่ลังเลหรอกที่จะทำมัน
  • ‘ความโกรธโลก’ ของวัยรุ่น นั่นเพราะเขากำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งฮอร์โมน เคมีในสมอง ต้องการอัตลักษณ์ และกะเทาะตัวเองออกจากเงาของพ่อแม่
  • แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะความไม่เข้าใจกันในวันนี้ อาจสร้างแผลรอยใหม่ที่อาจกลัดหนองไปตลอดชีวิต
  • รวบรวมเทคนิคง่ายๆ รับมือกับวัยรุ่นแสนโกรธโลก

จะทำอย่างไรเมื่อลูกวัยรุ่นของคุณ ‘กลอกตา’ ใส่? นี่คือชื่อภาษาไทยที่แปลอย่างตรงไปตรงมาจากบทความ What to Do About Your Teenager’s ‘Eye-roll’ ในวารสารวิชาการ Psychology Today โดยจูดี วิลลิส (Judy Willis) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านประสาทวิทยา และพัฒนาการของสมองด้านการเรียนรู้ ขณะเดียวกันก็เป็นครูโรงเรียนประถมด้วย

ไม่เท่านั้น เธอยังปล่อยหมัดฮุคถามต่ออย่างไม่ยอมให้ผู้อ่านพ่อแม่ที่กำลังประมือกับลูกๆ ‘วัยรุ่น’ ว่า “รู้สึกไหมว่าพวกเขาจะรู้ลึกรู้จริง ว่าจะทำให้คุณหงุดหงิดได้อย่างไร และพวกเขาก็จะทำอย่างไม่ลังเลเลย”

เช่น ถ้าคุณอยากให้เขาพับผ้าห่ม เธอจะทำเป็นไม่ได้ยิน ถ้าคุณอยากให้เขาแต่งตัวสุภาพกว่านี้ พวกเขาจะถอนหายใจใส่ ถ้าคุณอยากกินมื้อค่ำที่เงียบสงบ พวกเธอจะทำหน้าเหม็นบูดและเริ่มบ่นว่าอาหารมันรสชาติไม่ได้เรื่องอย่างไร กระทั่งคุณอยากจะเอาใจเด็กๆ ด้วยการทำนายว่าพวกเขากำลังรู้สึกอะไร เด็กๆ จะเปลี่ยนอารมณ์ทันทีพร้อมตั้งแง่ว่า คุณกำลังรุกล้ำความเป็นส่วนตัว

ถ้าและถ้า… ที่อาจทำให้คุณหงุดหงิดและน้อยใจจนอยากจะถามว่า ‘พ่อ/แม่ ทำอะไรผิด?’

คำตอบคือ ไม่ผิด พวกเขาแค่กำลังเป็น ‘วัยรุ่น’

อย่าเพิ่งถอนหายใจเพราะรู้สึกว่าคำตอบที่ได้ไม่ชุบชูใจเลย มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพียงแต่วิลลิสอธิบายการเป็นวัยรุ่นในแง่การเปลี่ยนแปลงภายในว่า พวกเขากำลังเปลี่ยนผ่านทั้งจากภายในร่างกาย พัฒนาการทางสมอง ฮอร์โมน และประสบการณ์ในแง่จิตวิทยา

วิลลิสอ้างงานของ แอนนา ฟรอยด์ (Anna Freud) นักจิตวิทยาและบุตรีของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Schlomo Freud) แพทย์และนักจิตวิทยาชาวออสเตรีย และบิดาแห่งทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ว่า…

วัยรุ่นคือช่วงวัยที่กำลังพัฒนา ค้นหา และปลดตัวเองออกจากเกราะกำบังหรือเงาของพ่อแม่ เริ่มต้นสร้างตัวตนใหม่ คือวัยที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเด็กไปเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งขณะที่กำลังเปลี่ยนนั้น แน่นอนว่าย่อมเจอการปะทะกับตัวตนเดิม และคนรอบข้างอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างงานเขียนของฟรอยด์ในปี 1958 ว่า

“เป็นเรื่องปกติสำหรับวัยรุ่นที่จะมีพฤติกรรมอันคาดเดาไม่ได้ ไม่มั่นคง เขาจะเป็นคนที่ฉลาด อ่อนไหว ใจกว้าง คิดถึงคนอื่น แต่คนคนเดียวกันนั้น ก็มีมุมที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มีอีโก้ และเอารัดเอาเปรียบ ได้เช่นกัน”

เหมือนจะเป็นเรื่องขำขัน และเห็นว่าการปะทะกันระหว่างพ่อแม่ และลูกในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่มันจะไม่ธรรมดาเลย ถ้าการปะทะกันในวัยนี้ สร้างบาดแผลใหญ่หลวงในหัวใจของพวกเขา เพราะชีวิตวัยรุ่นวันนี้ จะถูกบันทึก จดจำ และประกอบขึ้นเป็นตัวตนของเขาในวันต่อๆ ไป

ซึ่งคำแนะนำจากวิลลิสก็คือ “อย่าปล่อยให้การกระทำ คำพูด ของเขา (ลูก) บั่นทอน จนคุณ (พ่อ/แม่) ยอมถอดใจและถอยห่างออกไป”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านประสาทวิทยา และคุณครูของเด็กๆ วัย 9-13 ปี วิลลิสให้คำแนะนำง่ายๆ ดังนี้

1. ไม่พอใจได้ แต่อย่าหายไป

อดทนต่อความไม่สงบ เคารพความโดดเดี่ยว ยอมรับความไม่พอใจบางอย่าง และเข้าใจต่อความโหวกเหวกโวยวายของวัยรุ่น ทั้งหมดนี้คือความปกติส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านกลายเป็นวัยรุ่น แต่เมื่อวัยรุ่นทำทั้งหมดนี้แล้ว เป็นธรรมดาที่คุณจะไม่พอใจ ไม่อยากอดทน งานหนักอยู่ที่ คุณต้องเป็นใครสักคนที่อดทนอยู่ตรงนั้น เป็นเสาหลักที่ปลอดภัย และยืนยันที่จะเคารพทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น

2. แค่ฟัง ไม่ต้องช่วยแก้ปัญหา

นี่จะเป็นช่วงที่คุณรู้สึกหมดความสำคัญ เพราะเขาจะหยุดถามความเห็นของพ่อแม่ แม้คุณจะอยากสร้างบทสนทนาด้วยการถามว่า “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” แต่พวกเขาก็อาจจะตอบแค่คำสองคำแล้วก็หายไป

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเล่าให้ฟัง แต่พวกเขามีเซนส์แรงกล้า รับรู้ได้ว่า ‘คุณไม่ได้ฟังจริงๆ’ อีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาไม่อยากให้คุณไม่สบายใจ และสุดท้ายจะลงเอยด้วยคำสั่งห้ามทำนั่นทำนี่ เพื่อชีวิตที่ง่ายกว่า พวกเขาก็แค่ไม่เล่าอะไรให้ฟังเลย

วิธีแก้เบื้องต้นง่ายๆ คุณแค่ต้องรับฟัง ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่ท่าทางก็ต้องให้เห็นว่า ‘ฟังอยู่นะ’ ที่สำคัญ คือห้ามวิจารณ์ และห้ามพูดว่า “เรารู้ว่าลูกรู้สึกยังไง จริงๆ นะ ตอนที่เราอายุเท่าลูก เราก็เจออะไรแบบนี้เหมือนกัน” เพราะเด็กๆ จะได้แต่คิดในใจว่า “โนว… มันไม่มีทางเหมือนกัน พ่อ/แม่ไม่ได้เข้าใจเราจริงๆ หรอก”

เทคนิคง่ายๆ คุณแค่พูดว่า “แป๊บนึงนะ พ่อ/แม่คิดว่าลูกกำลังคิดแบบนี้ใช่ไหม…” แล้วก็เติมคำในช่องว่างด้วยการย้ำประโยคที่เด็กๆ เพิ่งพูด จะช่วยให้เขารู้สึกว่า คุณฟังเขาจริงๆ และทบทวน พร้อมถามความเห็น ซึ่งเขาก็จะสบโอกาสเล่าเรื่องต่อไป

พอเขาได้เล่าจนเต็มที่แล้ว คุณอาจแสดงความเห็นส่วนตัว หรือถ้าไม่เห็นด้วยจริงๆ ให้ถามต่อไปว่า ลูกรู้สึกแบบนี้ เพราะเรื่องนี้จริงๆ ใช่ไหม เทคนิคการสะท้อนอารมณ์กลับจะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกว่าคุณสนใจในตัวพวกเขา ช่วยให้เขาทบทวนความรู้สึกนึกคิด และคุณค่าของตัวเอง

ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ พวกเขาจะฟัง

3. สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา แต่ห้ามสั่งการ

ยกตัวอย่างเช่น คุณบอกให้เขาล้างรถ ซึ่งเขาก็ล้างแล้วแต่ไม่สะอาด คุณแค่เดินไปบอกเขาว่า “เรารู้ว่าลูกล้างแล้วนะ ล้างอย่างดีเลยแหละ แต่มันมีจุดหนึ่งยังไม่ค่อยสะอาดตรงด้านบนและข้างๆ นะ อย่าลืมดูอีกครั้งนะลูก”

วิธีการระบุจุดที่ต้องแก้ไขอย่างตรงไปตรงมา ช่วยลดความวุ่นวายและฟุ่มเฟือยทางอารมณ์ลงไปได้

4. ถ้าต้องทะเลาะ ก็ต้องวางแผนการต่อสู้

หัวข้อฟังดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วคือ ถ้าถึงเวลาที่ต้องสื่อสาร ต้องยืนยันความต้องการของคุณจริงๆ ให้ใช้วิธี ‘มอบทางเลือก’ และเงื่อนไขให้ชัดว่าอะไรรับได้ อะไรรับไม่ได้ แสดงเจตนารมณ์ให้ชัดว่าคุณเคารพ (respect) แต่นี่คือสิ่งที่คุณคาดหวัง (expect)

ระหว่างนั้น คุณจะเจอกับการต่อรอง แต่ให้ท่องไว้เสมอว่ามาตรฐานของเงื่อนไขที่ยอมรับได้คืออะไร ข้อระวังคือ อย่าห้าม แค่กำหนดข้อแม้และคำขอสูงสุดเอาไว้เท่านั้น ส่วนวิธีการเป็นเรื่องของเด็กๆ

เช่น ถ้าหน้าที่ของพวกเขาคือการล้างจาน ให้คุณตั้งเงื่อนไขว่า จานต้องถูกล้างภายในสองทุ่ม ซึ่งถ้าเด็กๆ จะล้างก่อนหน้านั้น หรือล้างเอาช่วงสองทุ่มเป๊ะๆ คุณก็ห้ามว่าอะไรเด็ดขาด เทคนิคแบบนี้ดูเล็กน้อยขี้ปะติ๋ว แต่วิลลิสอธิบายว่า ยิ่งคุณออกแบบกฎที่เปิดโอกาสให้พวกเขาควบคุมวิธีการได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นเท่านั้น

5. บางทีก็ปล่อยๆ ไปบ้าง

เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ไม่ถึงกับต้องเจ็บปวด หรือเสี่ยงอันตรายอะไรต่อชีวิต ก็ปล่อยๆ วัยรุ่นไปบ้าง เพราะการเป็นผู้ใหญ่มันต้องผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวด สิ่งที่คุณควรทำคือรับฟังอย่างจริงใจ ชวนเขาพูดคุยแต่ไม่ใช่การซักไซ้ ยึดว่า ให้เขาได้พูด ได้ระบาย เพื่อให้เขาได้ทบทวนความรู้สึกของตัวเอง ทบทวนบทบาทและความสำคัญของตัวเองในกรณีต่างๆ ก็พอ

Tags:

จิตวิทยาพัฒนาการทางอารมณ์พ่อแม่วัยรุ่น

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • How to get along with teenager
    หน้าที่ของวัยรุ่นคือ ไม่ฟัง

    เรื่อง The Potential ภาพ KHAE

  • Voice of New Gen
    9 เด็กจาก TED TALK กับ 9 เรื่องเล่าที่ผู้ใหญ่ไม่เคยฟัง

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา

  • Family Psychology
    ถ้าไม่เวิร์ค เลิกก็ได้นะลูก – ประโยคที่เด็กอยากได้ยินมากที่สุด

    เรื่อง ทิพย์พิมล เกียรติวาทีรัตนะ

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    สมองสุขภาพดีของวัยรุ่น ผู้ใหญ่สร้างได้

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • How to get along with teenagerAdolescent Brain
    วัยรุ่นจะตื่นเช้าทั้งที…ทำไมมันยากนัก (ฮึ)?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

คู่มือเลี้ยงเด็กในศตวรรษที่ 21 จะปรับตัวอย่างไรให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รอด!
21st Century skills
26 January 2018

คู่มือเลี้ยงเด็กในศตวรรษที่ 21 จะปรับตัวอย่างไรให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่รอด!

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • ความห่างระหว่างพ่อแม่และเด็กที่เกิดในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่แค่อายุ แต่คือ ‘ทักษะ’ และ ‘วิธีมองโลก’ อันเกิดจากความคุ้นชินในเทคโนโลยี
  • พ่อแม่ ครู และนักการศึกษาจะห่วงว่าเด็กยุคนี้ติดเทคโนโลยีเกินไป ใช้ไม่ได้แล้ว แต่ผู้ใหญ่ยุคนี้ต้องปรับตัวเพื่อสนับสนุนให้พวกเขาใช้เทคโนโลยีอย่างคุ้นชินและเป็นประโยชน์ เพราะนี่คืออาวุธทำมาหากินของพวกเขาในอนาคตอันใกล้
  • การเรียนรู้ของเด็กในยุคนี้ จึงไม่ใช่แค่ทักษะวิชาการ แต่คือทักษะทางอารมณ์ และสกิลในการประมวลข้อมูลที่มากล้น พิจารณาเข้าไปในแก่นกลางและย่อยข้อมูลนั้นออกมาให้ได้
  • บทความนี้รวบรวม ‘คำทำนาย’ และ ‘คำแนะนำ’ จากเครือข่ายและนักการศึกษาโลก วิเคราะห์ว่า ทักษะที่เด็กและครูควรมีในศตวรรษที่ 21 คืออะไร?!

เด็กที่กำลังจะเข้าอนุบาล หรืออายุราว 3 ขวบในวันนี้ จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอีก 20 ปีข้างหน้า คือราวปี 2038 คิดดูว่าโลกของพวกเราในมือของเด็กๆ ในศตวรรษที่ 21 จะเปลี่ยนไปสักแค่ไหน?

ในยุคดิจิตอล ยุคที่คนสมัยนี้มีตัวเลขประจำตัวจากรัฐ และมีบัญชีออนไลน์ในเฟซบุ๊ค ไลน์ อินสตาแกรม ชะตาชีวิตของพวกเรา ‘ส่วนหนึ่ง’ ถูกบอกว่าจะเป็น จะเห็น หรือควรจะเห็นอะไรบ้าง จากนโยบายเฟซบุ๊คเรื่องการปรับอัลกอริธึมของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

นี่ไม่ใช่แค่ความกังวลจาก ‘ผู้ใหญ่ในวันนี้’ ว่าคนรุ่นใหม่จะอยู่ในโลกออนไลน์มากเกินไป ทำให้ขี้เกียจ มีสายตาสั้น อ้วนเพราะไม่ได้ขยับตัว ไม่อดทน หรือมีบุคลิกบางอย่างที่ไม่ถูกใจผู้ใหญ่ ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน แต่นี่คือ ‘ดีเอ็นเอ’ ‘ทักษะ’ และ ‘อาวุธ’ ของคนรุ่นใหม่ พวกเขาเติบโตมากับเทคโนโลยี และมันจะเป็นอาชีพของพวกเขาในอนาคตอย่างไม่มีทางเป็นอื่น

21st Century Skill หรือ ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 จึงเป็นที่พูดถึงในขณะนี้ ไม่ใช่แค่ทำนายว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไร แต่งานวิจัย นักการศึกษา หรือนโยบายด้านการศึกษาของหลายๆ ประเทศต่างปรับการเรียนการสอนเพื่อ เปลี่ยนทัศนคติของครู เปลี่ยนวิธีเรียน เพื่อพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี

พูดให้ชัดกว่านั้น ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการสร้างเทคโนโลยี อาชีพ และโลกใหม่ที่คนในยุคปัจจุบันมองเห็นได้ในภาพยนตร์ไซไฟจากฮอลลีวูด

ด้วยความคิดตั้งต้นว่า

ทักษะของเด็กในศตวรรษที่ 21 จำต้องมี อาจไม่ใช่การท่องจำดังที่เคยเป็นมา แต่คือความเท่าทัน รู้ว่าจะจัดการกับข้อมูลมากล้นตรงหน้า จะพุ่งเข้าสู่แก่นกลางของเรื่อง และประมวลมันออกมาได้อย่างไร

นี่เป็นแค่ทักษะตั้งต้น ยิ่งเริ่มในเด็กเล็กเท่าไรก็ยิ่งดี

แต่เอาเข้าจริงแล้ว ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 มีอะไรบ้าง

คำถามนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณถามเอากับใคร เพราะงานวิจัยหลายชิ้นยังคงให้คำตอบที่ไม่ตรงกัน แต่คำอธิบายหลายชิ้นตั้งแต่ กลุ่ม P21 เครือข่ายทำงานด้านความรู้ในศตวรรษที่ 21, Tony Wagner อาจารย์และผู้ร่วมก่อตั้ง Change Leadership Group แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และจากนโยบายด้านการศึกษาจากรัฐไอโอวา สหรัฐ ชี้คล้ายกันว่า…

ทักษะของคนในศตวรรษที่ 21 คือ ‘ทักษะทางด้านอารมณ์’ (soft skills) เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การควบคุมอารมณ์ แต่ทักษะทั้งหมด และเขียนอย่างเป็นทางการในภาษาวิชาการ คือสูตร 3R x 7C

3R หรือ ทักษะด้านความรู้ (hard skills)

  • Reading (อ่านออก)
  • (W) Riting (เขียนได้)
  • (A) Rithmetics (คิดเลขเป็น)

7C หรือ ทักษะทางอารมณ์ (soft skills)

  • Critical thinking & Problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา)
  • Creativity & Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม)
  • Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์)
  • Collaboration, Teamwork & Leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ)
  • Communications, Information & Media literacy (ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ)
  • Computing & ICT literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)
  • Career & Learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้)

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ ‘ครู’ ควรสอนในห้องเรียน จึงควรเป็นอะไรบ้าง

เจอปัญหาโลกแตกอีกแล้ว เพราะถ้าเราบอกว่า เราควรพัฒนาทักษะด้านอารมณ์ควบคู่กับทักษะพื้นฐานทางความรู้ แต่การเรียนการสอนไม่ได้เป็นสิ่งตายตัว แต่เคล็ดลับ หรือแนวการสอนสมัยใหม่โลก แนะนำไว้ดังนี้

การเรียนแบบ Sustained Shared Thinking (SST) หรือการที่ครูให้ความสำคัญกับ ‘บทสนทนา’ ของนักเรียน และขึ้นกับ ‘ความสัมพันธ์’ ของเด็กและครู ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี แนวคิดนี้เป็นวิธีคิดง่ายๆ ไม่จำเป็นต้องอิงกับหลักสูตรในห้อง และไม่ต้องแบ่งออกเป็นคลาสๆ เพราะการเร่ง กระตุ้น ตั้งคำถามด้วยการใช้คำศัพท์ใหม่ๆ กับนักเรียน เป็นเรื่องที่ทั้งครู พ่อแม่ กระทั่งแม่บ้านในโรงเรียน เจ้าหน้าที่ขับรถรับส่ง ทำไปพร้อมๆ กันได้

และ SST ไม่ใช่แค่การชวนคุย แต่คือการชวนคุยในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อแก้ปัญหา อธิบายคอนเซ็ปท์ของเรื่องที่กำลังคุยกันอยู่ ร่วมกันประเมินหรือวางแผนว่าวันนี้จะเรียนอะไร จะทำอะไร หรือชวนกันแต่งเรื่องนิทาน แต่งเรื่องจากคำทีละคำ

ซิสซานา พาลเมอร์ (Tsisana Palmer) ครู และเจ้าของเว็บไซต์ techteachercenter.com เล่าประสบการณ์การสอนของเธอใน Edutopia มูลนิธิที่ทำงานเพื่อการศึกษา อธิบายการปรับตัว และทักษะที่ครูต้องมีเพื่อสอนเด็กในศตวรรษที่ 21 ไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

1. จุดศูนย์กลางอยู่ที่นักเรียน ไม่ใช่ครู

เพราะข้อมูลทั้งหมดอยู่ใต้นิ้วและจอสมาร์ทโฟนของนักเรียน การเข้าถึงข้อมูลของเด็กๆ ไม่ได้รวมศูนย์อยู่ที่ครูอีกต่อไป และนี่ไม่ใช่ศตวรรษของห้องเรียน ‘สำเร็จรูป’ ครูต้องเคารพในความหลากหลาย การบอกว่านักเรียนต้องทำตามกฎใดหนึ่ง จึงไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องเด็ดขาดอีกต่อไป แต่การเรียนการสอนต้องขึ้นอยู่กับข้อตกลงร่วมกันในห้องเรียน เด็กๆ เป็นส่วนหนึ่งที่จะกำหนดว่า ‘วันนี้พวกเขาอยากรู้อะไร’

และนี่ยังเป็นโอกาสดีให้ครูสร้างการเรียนรู้อย่าง ‘Project-based Learning’ หรือการเรียนการสอน การบ้านที่มาจาก ‘สิ่งที่นักเรียนสงสัย’ ไม่ใช่สิ่งที่ครูบอกให้สงสัย

2. สมาร์ทโฟน โทรศัพท์ ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามในห้องอีกต่อไป

ครูต้องเลิกอคติเห็นว่าสมาร์ทโฟนหรือเทคโนโลยีคือตัวร้าย บ่อนทำลายสมองของเด็ก เพราะอย่าลืมว่าพวกเขาคือ ‘มนุษย์สายพันธุ์ดิจิตอล’ ต้องเลิกมองว่านักเรียนคือนักเรียน แต่ให้คิดว่าพวกเขาคือ ‘Producer’ ที่สร้างสรรค์งาน ทำการบ้าน หรือออกแบบวิธีเล่าเรื่องผ่านเครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เขียนบล็อก ทำคลิปวิดีโอ พรีเซนต์งานผ่านเครื่องมือดิจิตอลต่างๆ

การสอนด้วยเทคโนโลยี และสร้างกติกาที่เคารพความคิด และตระหนักว่าจะไม่เข้าขัดขวางจินตนาการของเด็ก คุณครูอาจเห็นงานสุดล้ำ ที่มาจากไอเดียแจ่มๆ ของเด็กก็ได้

3. จะทำข้อ 2 ได้ ครูต้องตามให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้วย

การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ครูก็ด้วยเช่นกัน พาลเมอร์เห็นว่าเพื่อที่จะช่วยคิดและเสนอไอเดีย ครูจำต้องให้คำแนะนำไอเดียใหม่ๆ แก่เด็กได้ด้วย และนี่ไม่ใช่การแข่งขันระหว่างศิษย์และครู แต่คือการร่วมกันพัฒนา

4. ใช้เทคโนโลยีในมือ ออกเดินทางไปทั่วโลก

เทคโนโลยีคือการเปิดโลกกว้าง คงจะดีไม่น้อยที่ครูและศิษย์จะใช้มันเพื่อการเรียนการสอน ออกเดินทางและค้นหาวัฒนธรรมรอบโลก

5. เขียนเล่าประสบการณ์ครู ในบล็อก

พาลเมอร์เสนอว่า ครูควรเขียนเรื่อง อธิบายประสบการณ์ สิ่งที่เจอแต่ละวันในพื้นที่ออนไลน์ส่วนตัว ไม่ใช่แค่การเล่าเรื่อง แต่มันคือการพัฒนาทักษะการเขียน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียบเรียงและจัดลำดับข้อมูล

6. สร้างพื้นที่ทำงานออนไลน์ร่วมกันระหว่างครูและศิษย์

การทำงานสมัยใหม่ ใครๆ ก็มีกรุ๊ปแชท กรุ๊ปไลน์ ซึ่งเราไม่ได้ใช้มันแค่เป็นพื้นที่พูดคุย แต่คือพื้นที่ทำงาน แล้วทำไมครูกับศิษย์จะมีไม่ได้ ก็ในเมื่อมันคือการทำงานร่วมกัน นอกจากจะได้ติดตาม คอยให้คำแนะนำนักเรียนเรื่องการบ้าน ยังเป็นพื้นที่สื่อสารระหว่างครูและศิษย์ด้วย

7. ให้เด็กๆ เขียน Code ด้วยตัวเอง

การเรียนด้วยปากกา ดินสอ สมุด เป็นอาวุธของนักเรียนเรื่อยมา แต่ถ้าเรากำลังมองถึงทักษะของเด็กๆ ที่เกิดมาก็อยู่กับคอมพิวเตอร์แล้ว การสื่อสาร การสร้างคอนเทนต์ของพวกเขาจึงไม่ใช่แค่การพูด ฟัง อ่าน เขียนหนังสือ แต่คือการสร้างพื้นที่สื่อสารใหม่ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์เลย

เช่น การสอนให้ทำเว็บเพจ การเขียนโค้ด HTML และอื่นๆ

8. อย่าหมดไฟกับการเรียนรู้

เป็นครูในยุคเปลี่ยนผ่าน จากการเรียนการสอนในหนังสือไปสอนด้วยการใช้เทคโนโลยีเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ง่าย เพราะต้องผ่านการต่อสู้กับศีลธรรม และกฎระเบียบในห้องเรียนที่ครูปัจจุบันเคยถูกสอนมา แต่อย่าหมดไฟกับการเรียนรู้ และจงสนุก เพราะมันสนุก พาลเมอร์ย้ำเช่นกัน

Tags:

พ่อแม่ครูระบบการศึกษาโรงเรียน21st Century skills

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Character building
    ฝันให้ ‘โรงเรียน’ เปลี่ยนจากโรงงานปลากระป๋อง สู่โรงสอนคิดและสร้างคาแรคเตอร์

    เรื่อง The Potential ภาพ PHAR

  • 21st Century skills
    เพราะความรู้ปัจจุบันไม่เพียงพอ ‘โรงเรียนอนาคต’ จะทำให้เด็กอยู่รอดและไปต่อในโลกที่เปลี่ยนแปลง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Grit
    5 วิธี สร้างอุปนิสัยความเพียร (GRIT) สู้เพื่อความฝันอันยิ่งใหญ่ให้กับเด็ก

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

  • Grit
    WHAT IS GRIT?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

เกิดเป็นครูไทย ต้องทำอะไรบ้าง?
Social Issues
16 January 2018

เกิดเป็นครูไทย ต้องทำอะไรบ้าง?

เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

ใครๆ ก็บอกว่าหน้าที่ ‘ครู’ คือสอนหนังสือ แต่หลายครั้ง เราได้ยินเสียงบ่นจากครูหลายท่านและจากหลากรั้วการศึกษาว่า หน้าที่ครูไทย ใช่มีแต่การสอนหนังสือ

16 มกราคม คือวันครูแห่งชาติ The Potential แอบส่งคำถามหาครูหลายโรงเรียน ทั้งไกลและใกล้ศูนย์กลางที่ทำการด้านนโยบายการศึกษา ด้วยคำถามเดียวกันว่า ‘นอกจากสอนหนังสือ ครูไทยทำอะไรบ้าง’

ความตั้งใจเพียงอยากฟังและเปิดพื้นที่ให้ครูได้อธิบาย พวกเขาทำอะไร หนักใจเรื่องอะไร น้ำหนักของสิ่งที่อยากทำกับสิ่งที่ต้องทำ อะไรมีมากกว่า ทั้งหมดนี้เพื่อกลับไปตั้งคำถามตัวใหญ่ๆ ว่า ถ้าจะเริ่มแก้ปัญหาการศึกษา หน่วยที่เล็กที่สุดแต่เป็นฝ่ายปฏิบัติการหน้าห้องเรียน เขากำลังเจอกับอะไร

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงเสียงของครูเพียงหนึ่งหยิบมือ ในกระบวนการวิจัยไม่อาจตีขลุมว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ แต่หลังอ่านจบ ในหัวต้องฮัมเพลง ‘เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว แม้ว่าเธอไม่เคยเป็นอะไรกับฉันเลย’ ของ Room39 ให้ลำตัวได้โยกคลอนตัดความขมขื่นเบาๆ

ไม่ต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ ชวนอ่านเรื่องราวของครูไทยจำนวนหนึ่ง ในวาระ #วันครูแห่งชาติ ค่ะ 🙂

ศุภณัฐ กาหยี โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

เพราะเป็นครูในโรงเรียนที่ห่างไกลจากชุมชน และนักเรียนมีความหลากหลายมาก ที่ต้องทำแน่ๆ คือการเตรียมการก่อน บางครั้งสื่อและอุปกรณ์การสอนที่ควรจะมีก็ไม่พร้อม ครูก็ต้องลงทุนเองหลายรายการ เช่นสารเคมีที่ (ต้องใช้สอนวิชาวิทยาศาสตร์) ก็ต้องซื้อเองไปก่อน เพราะถ้าสั่งซื้อตามระบบอาจต้องใช้เวลานานเกินกว่าจะคอยได้

นอกจากนี้การเสริมองค์ความรู้นอกห้องเรียนก็สำคัญ ยิ่งโรงเรียนอยู่ห่างไกลจากชุมชน โอกาสที่เด็กๆ จะได้เรียนรู้ (ในงานวิชาการ) จึงเกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก ตัวครูเองก็ได้มีการจัดทริปเสริมความรู้ให้กับนักเรียน เช่นพาไปพิพิธภัณฑ์ต่างๆ พาไปสวนสัตว์ พาไปลงพื้นที่แหล่งเรียนรู้ ซึ่งการไปลักษณะนั้น ก็ต้องไปนอกเวลาราชการ โดยใช้เวลาว่างของพวกเราเอง อีกเรื่องที่สำคัญ คือการดูแลนักเรียนในฐานะครู

เราดูแลนักเรียนเป็นลูกเป็นหลานกระทั่งนอกห้องเรียน โดยเฉพาะเวลาที่เด็กๆ มีปัญหา เช่น พ่อแม่ติดต่อลูกไม่ได้ก็โทรมาร้อนใจกับคุณครู เที่ยงคืนตีหนึ่ง เราก็ต้องออกไปตามหา ออกไปอยู่กับผู้ปกครอง ไปเป็นกำลังใจให้กัน

สำคัญคือการเข้าใจ และเข้าถึงนักเรียน เช่น การดูแลกัน ขับรถรับส่ง เข้า-ออกโรงเรียน โดยทางโรงเรียนจะมีครูตุ้ย วีรพล ธรรมรักษ์ ทำหน้าที่สารถี โดยขับรถอีแต๋นพ่วงของโรงเรียน เพราะทางเข้าโรงเรียนห่างจากถนนประมาณ 900 เมตร นักเรียนเดินค่อนข้างไกล

หรือตัวเราครูศุภณัฐ กาหยี (ครูท๊อฟฟี่) ก็มีการตั้งชุมนุมเกม ROV และมีการเล่นเกมต่างๆ กับนักเรียนด้วย ส่วนหนึ่งเพื่อการติดตามดูแลในช่วงที่ผู้ปกครองอาจจะติดตามไม่ได้ คุณครูก็ปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้เพิ่มเติม เพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลนักเรียนด้วยค่ะ

การเป็นครู เราต้องเป็นตลอด 24 ชม. งานอื่นเข้างาน 9 โมง เลิก 5 โมง กลับบ้านแล้วปาร์ตี้ได้ แต่พอเรามาเป็นครูปุ๊บ ตลอดเวลาของเราคือนักเรียน เลิกงานกลับบ้านต้องเตรียมงานสอน มีงานเอกสารอื่นๆ ที่ต้องช่วยทำ ยิ่งโรงเรียนที่มีบุคลากรน้อย ครูทุกคนยิ่งต้องช่วยเหลือกัน เพราะมันคือการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าไปต่อได้ โดยที่ไม่ได้มีค่าตอบแทนอื่นใดเพิ่มเติมเลย นอกจากความสุขในการทำงาน ในการที่ได้เห็นนักเรียนหมดกังวลเรื่องอื่นๆ เพื่อให้พวกเขาได้มุ่งมั่นเฉพาะการเรียนได้อย่างสบายใจค่ะ

สราวุฒิ ตุ้ยมูล ครูประจำชั้นประถมศึกษา โรงเรียนเพียงหลวง 11 (สล่าเจียงตอง) แม่ฮ่องสอน

เนื่องจากโรงเรียนที่ผมอยู่ ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงเรียนทุรกันดารครับ ความจริงเราไม่ได้อยากเรียกร้องหรือต้องการบอกถึงเรื่องราวต่างๆ ของหน้าที่ครูที่นี่ เพราะเราใช้คำนำหน้าว่าครู จึงไม่มีเหตุผลอื่นใดจะมาอธิบายว่าครูต้องสอนนักเรียนอย่างเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามีใครถามถึงปัญหา มันมีแน่นอนครับ

นอกจากการสอนหนังสือในห้องเรียนแล้ว นอกจากเราอยากให้เขามีความรู้มีวิชาแล้ว นอกจากเราอยากให้เขาเป็นคนดีแล้ว เราก็อยากจะให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีด้วย มีความสุขในช่วงชีวิตหนึ่ง เท่าเทียมหรือไม่เท่าเทียมกับเด็กทั่วไป เราจึงจำเป็นต้องทำทุกวิถีทางที่เราทำได้ โดยมีเป้าหมายของอุดมการณ์นั้นคือ ลูกศิษย์

การใช้ชีวิตในหนึ่งวัน เราทำกับข้าวเพื่อให้เขาได้กินดี เราสร้างและซ่อมแซมที่พักพิง ให้เขาได้นอนดี เราปรับปรุงและหาผู้ใจบุญปรับปรุงโรงเรียนให้เขาได้อยู่ดี เราต้องเป็นผู้ดูแลเขายามเจ็บป่วยให้ถึงมือหมอให้ได้ ป้องกันไม่ให้ใครหน้าไหน ที่ไม่หวังดี ทั้งยาเสพติดหรือใดๆ ก็ตาม – เพื่อเขา

เรานำเงินจากส่วนกลางมาใช้จ่ายอย่างถูกต้องและเหมาะสม ถึงแม้ส่วนกลางมาเพื่อคอยตรวจสอบแค่นั้น ไม่ทำ…ไรเลย บางทีก็ต้องหาเงินเพิ่มนะครับ สำหรับเด็กนะ

ในส่วนของงานทั่วไป เราต้องทำหนักกว่าครูในเมืองนะ ทั้งเอกสารหรือการเดินทาง เราคือครูเหมือนกัน เราต้องส่งเสริมเขายามเขาจบการศึกษาชั้นต้น ต้องส่งเสริมมากกว่าเด็กคนอื่นนะครับ เพราะต้นทุนชีวิตไม่เหมือนกัน

หากถามผมว่า ผมเป็นครูที่นี่ ผมทำอะไรบ้าง ผมบอกได้เลยครับ ผมทำกับเขาเหมือนกับพ่อแม่ทำให้ลูกคนหนึ่ง เพราะ 1 เดือน เขาใช้ชีวิตอยู่กับผม 20 กว่าวัน

ชีวิตจริงๆ เรื่องราวจริงๆ ความรู้สึกจริงๆ เรารู้ถึงตัวเด็กมากกว่าส่วนกลางนะครับ หน้าที่คือหน้าที่ ผมก็กำลังทำหน้าที่ที่หนักอึ้ง ดั่งเช่นคำว่าครู ที่แปลว่าหนัก

ครู ต. (นามสมมุติ) โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครแห่งหนึ่ง

ก่อนอื่น อยากเชิญชวนให้เข้ามาสัมผัสกับ ‘โลกที่แท้ทรู’ ของอาชีพครูไทยกันค่ะว่าที่การศึกษาไทยไม่พัฒนา เพราะครูไม่สอน ไม่พัฒนาตนเอง ไม่ดูแลนักเรียนกันเลย หรือมัวทำอะไรกันอยู่นะ

อธิบายอย่างนี้ค่ะ ภาระงานของครูมีตั้งแต่ “ไม้จิ้มฟันยันจานดาวเทียม” งานเล็กระดับมดไปจนถึงงานใหญ่ระดับช้าง คุณครูจึงต้องเป็นผู้ที่มีทักษะรอบด้าน ตั้งแต่หมวดหมู่งานวิชาการ งานศิลปหัตถกรรม ลามไปถึงงานช่าง งานด้านจิตวิทยา และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อสนองนโยบายทั้งจากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ผู้ปกครอง

เริ่มจากภาระงานหลัก อันได้แก่ แผนการสอน วิจัยในชั้นเรียน ออกข้อสอบ วิเคราะห์ข้อสอบ สื่อการเรียนการสอน อยู่เวรประจำวัน (คุณครูผู้หญิงอยู่เวรกลางวัน ส่วนคุณครูผู้ชายอยู่เวรกลางคืน) การเข้าร่วมอบรมพัฒนาด้านต่างๆ อย่างน้อยเทอมละ 1-2 ครั้ง ส่วนคุณครูคนไหนที่โดนแจ๊คพ็อตรางวัลที่ 1 ก็จะได้ตำแหน่งคุณครูประจำชั้นไปด้วย นั่นหมายความว่างานหลักก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ตั้งแต่การเป็นที่ปรึกษาดูแลนักเรียน

ทั้งเรื่องผลการเรียน พฤติกรรม สุขภาพกาย สุขภาพจิต ตามมาด้วยภาระงานเอกสารต่างๆ ทั้งสมุดพก บัญชีเรียกชื่อ ระเบียนสะสม บันทึกภาวะโภชนาการ ยังไม่รวมตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ หัวหน้าสายชั้น ผู้รับผิดชอบชมรม และโครงการพิเศษที่ชุกชุมยิ่งกว่าดอกเห็ด ใครที่ได้รับหน้าที่ มีบทบาทสวมหัวโขนหลายหัว ก็จะต้องสลับสับเปลี่ยนกันขาขวิดเพื่อปิดงานให้ได้ตรงตามเป้าหมายและสัมฤทธิ์ผลตามตัวชี้วัด

ต่อมาคือภาระงานรองที่ยิ่งกว่างานหลัก ใครว่าเป็นคุณครูสบาย วันๆ สอนนักเรียนแล้วก็กลับบ้าน วันหยุดราชการก็ได้หยุด เสาร์-อาทิตย์ก็ได้หยุด แถมยังมีปิดเทอมอีก แต่ทั้งหมดมันดันเป็นวันหยุดที่ไม่ได้หยุดนี่สิคะ จากคุณครูต้องกลายร่างมาเป็น Event Planer จัดงานตามวันสำคัญต่างๆ ทั้งวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา วันสำคัญของไทย และวันสำคัญของสากล เช่น วันวิสาขบูชา วันลอยกระทง วันคริสต์มาส วันขึ้นปีใหม่ ร่ายยาวไปถึงวันวาเลนไทน์ วันตรุษจีน วันประชาธิปไตย วันเอดส์โลก ฯลฯ และวันอื่นๆ อีกมากมายตามแต่นโยบายโรงเรียน

ยังมีอีกสารพัดค่าย ทั้งค่ายลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด วันกีฬาสี วันเด็ก ค่ายภาษาอังกฤษ ค่ายวิทยาศาสตร์ ค่ายภาษาไทย คุณครูแต่ละคนเหมาหมดทั้งบทพิธีกร พิธีการ สันทนาการ สถานที่ เครื่องเสียง จัดผ้า ตกแต่งเวที จัดดอกไม้ ซ้อมการแสดง แต่งหน้าทำผม ฯลฯ

ถ้าเกษียณอายุราชการแล้ว เรี่ยวแรงยังมีคงรับจัดอีเวนท์ได้สบายๆ

นอกจากนี้คุณครูบางคนยังได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการต่างๆ ตามนโยบายที่รับมาจากรัฐ หรือได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน เช่น โครงการแปลงผักการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน มีเพาะเห็ด ปลูกผักไฮโดรโปรนิกส์ เลี้ยงกบ เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ไข่ ฯลฯ นี่ก็เพิ่งกลับมาจากรดน้ำแปลงเห็ดนะ

ชื่อเสียงโรงเรียนก็ทิ้งไม่ได้ค่ะ ต้องจัดคิวทำตารางส่งนักเรียนไปแข่งขันทักษะทางวิชาการ กีฬา ศิลปะ และแขนงต่างๆ ซึ่งมีตลอดทั้งปี และเราต้องพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดประจำวันเสมอๆ อยากให้ลองนึกภาพว่าตัวเองกำลังเล่นโรลเลอร์โคสเตอร์อยู่ในสวนสนุกซักแห่งค่ะ

ขณะที่คุณครูนั่งรับประทานอาหารกลางวัน จู่ๆ เด็กก็วิ่งตื๋อมาบอกว่า เพื่อนทะเลาะต่อยตีกันในห้องน้ำหลังโรงเรียน ทำไงดี คุณครูก็ต้องรีบทิ้งช้อนทิ้งส้อม แล้วสี่คูณร้อยไปดูเหตุการณ์ทันที จากนั้นครูต้องกลายมาเป็นพยาบาลเบื้องต้น ก่อนจะสวมบทคนขับรถพานักเรียนไปโรงพยาบาล

เป็นนักไกล่เกลี่ย และนักสืบไปพร้อมๆ กัน จากนั้นก็ต้องโทรแจ้งผู้ปกครอง – เป็นอันหมดวัน ข้าวกลางวันไปกินโน่น 4 ทุ่ม

จนถึงบรรทัดนี้ อย่าเพิ่งกดปุ่ม ‘โกรธ’ กันนะคะ ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ได้อยากจะเรียกร้องว่าครูคืออาชีพที่ต้องทำงานแบกรับภาระของประเทศชาติหนักหนากว่าอาชีพอื่นๆ หรือป่าวประกาศปกป้องตัวเอง ว่าที่การศึกษาไทยยังไม่พัฒนานั้น มีสาเหตุจากภาระงานรองที่ถาโถม

สิ่งที่อยากจะบอกจริงๆ ก็คือ การพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยในระบบการศึกษานั้น คงจะฝากความหวังหรือมอบหมายให้ ‘ครู’ โรงเรียนหรือสถานศึกษาฝ่ายเดียวคงไม่ได้ ทุกคนสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาการศึกษาไทยได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม เพราะการพัฒนาเด็กเยาวชนอนาคตของชาติ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ตั้งแต่ครอบครัว โรงเรียน ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เชื่อเถอะค่ะ!

Happy Teacher’s Day สุขสันต์วันครูค่ะ

สินีนาฎ คะมะคต ครูวิทยาศาสตร์ โรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร โครงการ Teach for Thailand 4

ครูเป็นมากกว่าคนคอยสอนหนังสือและคอนโทรลห้องเรียน ครูเป็นทุกอย่างให้เด็ก เป็นทุกอย่างในโรงเรียนจริง ครูบางท่านต้องควบทำธุรการหรือการเงิน ขณะเดียวกันยังต้องสอนหนังสือ 6 คาบต่อวัน บางโรงเรียนขาดแคลนครู ครูคนหนึ่งต้องสอนมากกว่า 1 วิชา ไม่ก็สอนกระโดดข้ามช่วงชั้น ที่สำคัญคือ สอนในวิชาที่ตนไม่ได้จบเอกนั้นๆ มาก็มี

นี่คือภาระหน้าที่ของครูไทยที่เราได้เจอ การมองปัญหาการศึกษาไทย โดยพุ่งปัญหาไปที่ครูอย่างเดียว คงไม่ถูกทั้งหมด ในเมื่อระบบมันค่อนข้างพังและมีความย้อนแย้งสูงแบบนี้ การจะเป็นครู ‘ที่ดี’ จึงค่อนข้างยาก

การสอนเด็กเป็นเรื่องง่าย แต่จะสอนให้เด็กห้องหนึ่ง (ที่มีมากกว่า 30 คน และแต่ละคนก็มีสไตล์การเรียนรู้ที่แตกต่างกัน) ให้ได้รับประโยชน์จากคาบๆ หนึ่งให้ได้มากที่สุดจึงเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใช่ว่าทำไม่ได้

ยิ่งมาเจอเด็กที่มีปัญหา ดื้อๆ แสบๆ แถมระบบยังไม่ซัพพอร์ตอีก เราจึงไม่แปลกใจเลยที่เห็นครูหลายท่านหมดไฟในการให้ ยิ่งมีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ยิ่งลดทอนพลังที่ตั้งใจจะสอนตามแผนการสอนที่ออกแบบไว้ ความสนุกในการสอนเด็กๆ ก็ลดลงตามไปด้วย นานๆ ไปก็จะกลายเป็นความชินชาจนถูกกลืนเข้าระบบ สอนไปวันๆ เพราะเหนื่อย ปัญหาก็จะวนลูปแบบนี้ต่อไปเรื่อย

แต่ถ้าถามว่ามีครูที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครูแต่ไม่ได้ทำหน้าที่ครู เหมือนคำข้างต้นไหม ก็ขอตอบว่ามี ถามว่าทำไมล่ะ คำตอบมันก็ย้อนกลับมาเรื่องระบบพวกนี้อีกอยู่ดี (เช่น ระบบราชการ)

ไซราม ประกายกิจ ครูประจำวิชาภาษาอังกฤษ โรงเรียนชุมชนหมู่บ้านพัฒนา เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร โครงการ Teach for Thailand 4

ภาระงานที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอ จากการสอนที่โรงเรียนขยายโอกาส ในสังกัดของกรุงเทพมหานคร โครงการ ‘ครูผู้นำการเปลี่ยนแปลง Teach For Thailand’ คือภาระที่ต้องทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่งนะครับ

วันหนึ่งในคาบเรียนที่ 5  มีนักเรียนชั้น ม.3 ทำเศียรครูในห้องดนตรีไทยตกและชำรุด นักเรียนคนนั้นกลัวมากว่าจะต้องจ่ายค่าเสียหาย เขาร้องไห้ออกมา เวลาผ่านไปซัก 5 นาที เขาเริ่มลุกขึ้นมารำ ฟ้อนท่าต่างๆ และเริ่มพูดจาเสียงดังด้วยคำหยาบคาย

ครูและนักเรียนส่วนมากที่ยืนมองเหตุการณ์ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า “ผีเข้า” จากนั้น ความกลัวลามไปสู่นักเรียนชั้น ป.4 ที่รอเรียนวิชาดนตรีอยู่แถวนั้น เด็กๆ ทั้งกลัวและไม่เข้าใจเมื่อเห็นพี่ร้องไห้ โวยวาย ก็กลัวและร้องไห้ตาม ประกอบกับเพื่อนๆ ของนักเรียนคนนั้น เห็นเพื่อนเป็นอะไรไม่รู้ ท่าไม่ดี ก็ร้องไห้ตามกันไปด้วย ไปๆ มาๆ ร้องไห้กันระงมเกือบ 20 คน

ตัวผมเองและครูก็เข้าไปพูดคุยและเรียกสตินักเรียนกลับมา โชคดีมากๆ ที่วันนั้นมีนักจิตวิทยาปฏิบัติการท่านหนึ่งมาที่โรงเรียนพอดี พี่หมอท่านนั้นพูดว่า เดี๋ยวไปฉีดยาคลายเส้นเข็มเดียวก็หาย เท่านั้นเอง ผีทั้งหลายก็เริ่มออกจากตัวนักเรียนทีละคนๆ จนสุดท้ายพอจะปล่อยกลับบ้านเหล่าผีๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง

ผมคิดว่าเหตุการณ์นี้นักเรียนปิดทุกอย่าง ไม่รับอะไรเลย เพราะเขากลัวจริงๆ กลัวสถานการณ์ และกลัวว่าถ้าตัวเองทำอย่างนี้ เพื่อนจะว่ายังไง

ถ้าถามว่าครูต้องทำอะไรอีกบ้าง ที่ไม่เฉพาะงานสอน หลักๆ คือทำอย่างไรก็ได้ให้พวกเขารู้สึกว่าการเรียนสำคัญ นอกจากนั้นก็คือ

พยาบาล: ดูแลอุปกรณ์พยาบาล ทำแผล ล้างแผล จ่ายยา เนื่องจากว่าห้องพยาบาลของโรงเรียนตั้งอยู่ในตึกที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว โรงเรียนจึงปรับให้ห้องพยาบาล (ม.ต้น) มาอยู่ที่ห้องภาษาอังกฤษ โดยมีผมเป็นผู้ดูแล ทำเเผล ล้างแผล จ่ายยาสามัญ ให้กับนักเรียน

ที่ปรึกษา: ไปเยี่ยมบ้านนักเรียน พูดคุยกับผู้ปกครองนักเรียน เพื่อสังเกตและเรียนรู้สภาพแวดล้อม ชุมชน ทำให้เข้าใจและไม่ตัดสินนักเรียนจากพฤติกรรมที่แสดงออก การได้ไปพูดคุยอย่างจริงใจกับผู้ปกครองนักเรียน ทำให้เห็นความใส่ใจและไม่ใส่ใจของผู้ปกครองเด็กที่สะท้อนมายังตัวเด็กด้วย

เป็นผู้ฟัง: นักเรียนในโรงเรียนผมส่วนมาก เติบโตมากับสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ความก้าวร้าว ความเด็ดขาด น้อยคนจะรู้ว่าชีวิตเขามีตัวเลือกอื่นอีกเยอะมากๆ นักเรียนเหล่านี้มีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจมากๆ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในแต่ละวัน คำพูด คำดูถูกต่างๆ ทำให้พวกเขาแกร่งและกล้ามากๆ

แต่ปัญหาคือ ทุกคนอัดทุกอย่างใส่พวกเขา บีบพวกเขาเข้าไปในกล่อง เพื่อให้เขาเป็นคนในแบบที่เขาไม่เคยเห็น ไม่ต้องการเป็น

ดังนั้น ผมจึงต้องฟังเรื่องราวของพวกเขา เรียนรู้ความต้องการของพวกเขา และพาพวกเขาไปเห็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็น ไม่เคยนึกถึง เพื่อให้เขาตระหนักว่ามีทางเลือกเหล่านี้อยู่ด้วย

ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่โรงเรียนนี้มา ผมรับรู้ได้ว่าเด็กนักเรียนแต่ละคน ครูแต่ละคนมีเรื่องราว ที่มา และความสนใจต่างกันมากๆ ในความหลากหลายนั้นเอง หากเราจะไปยัดเยียดให้ไปในชุดความคิดเดียวเหมือนกันหมด ก็คงจะยากและไม่มีรสชาติใดๆ หากแต่เราสามารถส่งเสริมสิ่งที่เป็นความถนัด ชื่นชมความสนใจ ของแต่ละคนได้ โดยไม่สนใจเพียงว่าตัวเอง (ครู) จะมามอบอะไรให้ “นักเรียนที่มาเรียน และครูที่ไปสอนคงมีความสุขร่วมกันขึ้นอีกเยอะ”

ภาณุ ตรัยเวช คณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย คงตอบแทนอาจารย์ และคุณครูท่านอื่นไม่ได้หรอกครับ ว่าคนอื่นใช้เวลาว่าง นอกจากสอนหนังสือเพื่อทำงานอะไร ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นอาจารย์ประถม มัธยม เข้าใจว่าภาระหน้าที่อื่นๆ นอกจากการสอนก็ล้นมือ จนแทบไม่มีเวลาว่างแล้ว ส่วนอาจารย์มหาวิทยาลัย อาจจะดีหน่อย ตรงที่มีเวลาว่างมากกว่า แต่ก็ต้องใช้เวลาเหล่านั้นกับการทำวิจัย เขียนเปเปอร์น่ะครับ

และที่ครูทุกระดับในเมืองไทยต้องเจอคืองานเอกสารครับ ซึ่งฟังดูเหมือนเรื่องง่ายๆ แต่พอมาทำจริงนี่กินเวลาไม่น้อยเลย

ข้างบนนี่ตอบแบบทั่วๆ ไปนะครับ แต่ถ้าถามถึงตัวผมเอง เวลาว่างก็คงเขียนหนังสือ อ่านหนังสือที่ตัวเองสนใจนอกเหนือจากงานสอนครับ และถ้าเป็นไปได้ ก็พยายามปรับเอาเรื่องนอกเหนือจากงานสอนเหล่านั้น เข้ามาใช้ในงานสอน ทำงานอดิเรกกับงานประจำให้มันใกล้เคียงกันที่สุดครับ

กิตติกาญจน์ หาญกุล มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย

เมื่อก่อนเคยคิดว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยคงมีแค่งานสอนนักศึกษา คิดค้น ออกแบบกระบวนการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และการทำงานวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ แต่พอได้เข้ามาในบทบาทนี้พบว่า การเป็นอาจารย์ต้องทำงานได้แทบทุกอย่าง ซึ่งในเอกสารที่ระบุภาระงานขั้นต่ำของอาจารย์ตามประกาศของมหาวิทยาลัยระบุว่า

ต้องทำงานด้านวิชาการ คืองานสอน งานวิชาการ เขียนบทความหรือทำงานวิจัย ต้องทำงานบริการวิชาการคือการให้บริการทางวิชาการกับสาธารณะทั่วไป จัดอบรม จัดเวทีเพื่อเผยแพร่ข้อมูล ความรู้ต่างๆ ให้กับสังคม แล้วยังมีงานอื่นๆ ที่ต้องทำอีกคือ งานพัฒนานักศึกษา จัดกระบวนการเรียนรู้ให้กับนักศึกษา งานทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม งานส่วนรวมต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายจากองค์กร และยิ่งถ้ามีตำแหน่งผู้บริหารหรือกรรมการในชุดต่างๆ ของหน่วยงานก็ต้องมีการประชุมเพื่อติดตามการทำงานของฝ่ายต่างๆ

นอกจากงานเหล่านี้แล้วยังมีระบบการประเมินคุณภาพตามภาระงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งต้องทำตามตัวชี้วัดต่างๆ ของทั้งหน่วยงานตนเอง ตัวชี้วัดของมหาวิทยาลัย หรือของหน่วยงานควบคุมคุณภาพการศึกษาต่างๆ แล้วยังมีการทำตำแหน่งทางวิชาการ (ผศ. รศ.) เมื่อครบกำหนด ซึ่งหากไม่ดำเนินการก็จะมีผลกับการต่อสัญญาจ้างอีก

อาทิตย์ ศรีจันทร์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

อาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเอาเข้าจริงๆ ก็ดูค่อนข้างอัตคัดพอสมควรเลยนะหากเทียบกับอาจารย์มหาวิทยาลัยในประเทศอื่นๆ เพราะนอกจากสอน ทำวิจัย บริการวิชาการแก่สังคมแล้ว อาจารย์มหาวิทยาลัยยังต้องทำงานแอดมินจำพวกเอกสารต่างๆ มากมาย ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ได้นำไปสู่การเรียนการสอนที่ดีหรือแม้กระทั่งได้องค์ความรู้ใหม่ๆ ในทางวิชาการเลย

ทำเอกสารงบประมาณ เบิกจ่าย ทำโครงการให้ดูเว่อร์วังอลังการเพื่อให้ได้งบประมาณมากพอที่จะจัดกิจกรรม โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เนี่ย การทำโครงการต่างๆ ของอาจารย์มันยากขึ้นเพราะระเบียบราชการมันรกรุงรัง เพื่อนผมที่อยู่ในมหาวิทยาลัยอื่นๆ (ซึ่งออกนอกระบบไปแล้วด้วยซ้ำ) การเบิกกระดาษสักรีมนึงยังต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย เนี่ย ไอ้งานพวกนี้มันช่วยพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการได้อย่างไร ใครมีคำตอบได้บ้าง

การบริหารหลักสูตร การทำประกันคุณภาพ ผมเข้าใจว่าในประเทศที่ศิวิไลซ์เขาก็มีนะครับ แต่ที่ผมไม่ทราบคือพวกเขาต้องผจญภัยกับเอกสารจำนวนมหาศาลหรือไม่ ผมควรจะใช้พื้นที่นี้บอกกล่าวให้สังคมได้เข้าใจนะครับว่า งานประกันคุณภาพทางการศึกษามันคือการตรวจงานเอกสาร ถ้าเอกสารมันว่าจริง มันก็จริงตามนั้น ดังนั้นความจริงก็คือสิ่งที่รายงานนั่นแหละครับ แล้วคนที่ทำก็คืออาจารย์นี่แหละครับ และไอ้การทำเอกสารต่างๆ เหล่านี้ก็ย่อมมีการอบรมครับ อบรมทุกอย่างเลย สัมมนาทุกอย่างเลย แต่การอบรมที่เกี่ยวกับการพัฒนาการเรียนการสอนก็มีนะครับ แต่มันเหมือนจัดไปให้มันครบๆ องค์ประกอบของการประกันคุณภาพน่ะครับว่ามหาวิทยาลัยมีการอบรมเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอน อาจารย์ก็ต้องงดสอนเพื่อมาอบรมน่ะครับ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมของมหาวิทยาลัยที่ผมมักจะเรียกว่า “กิจกรรมโป๊งๆ ฉึ่ง” คือบรรดากิจกรรมวันพ่อวันแม่กิจกรรมเปิดตึก กิจกรรมเปิดโครงการ กิจกรรมที่ต้องมีการแสดงสารพัด

อันนี้เป็นหนึ่งในภาระงานของอาจารย์มหาวิทยาลัยครับ เขาเรียกกันว่า “การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม” งานพวกนี้มีไว้ถ่ายรูปครับ เอาไว้ประเมินผลงานตัวเองในแต่ละปีว่าได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรบ้าง

เอาล่ะ ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ ในเชิงปริมาณแล้วมันกินเวลาชีวิตมากกว่าการเตรียมการสอน การอ่านหนังสือ การทำวิจัยและการทำผลงานทางวิชาการอีกนะครับ ถ้าต้องทำให้ครบทุกอย่าง

Tags:

ครูระบบการศึกษาโรงเรียนเทคนิคการสอนสินีนาฎ คะมะคต

Author:

illustrator

The Potential

กองบรรณาธิการ The Potential

Illustrator:

illustrator

บัว คำดี

เติบโตมากับเพลงป็อปแดนซ์ยุค 2000 เริ่มเป็นติ่งวงการ k-pop ในวัยมัธยม มีเพลงการ์ตูนดิสนีย์เป็นพลังใจในทุกช่วงวัยของชีวิต

Related Posts

  • Character building
    ENTREPRENEURSHIP: ไม่ใช่พ่อรวยสอนลูก แต่คือหลักสูตรผู้ประกอบการที่สอนให้ทำได้ ทำเป็น

    เรื่อง บุญชนก ธรรมวงศา

  • Creative learning
    โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง เปลี่ยนเด็กด้วยลานกว้างและดนตรี

    เรื่อง The Potential

  • Creative learning
    ‘โรงเรียนเล็กในทุ่งกว้าง’ ดินคือกระดาษ จอบคือปากกา วิชาอยู่กลางทุ่ง

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

การเติบโตของเด็กบ้า: ปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์
Life classroom
11 January 2018

การเติบโตของเด็กบ้า: ปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดีชลิตา สุนันทาภรณ์

  • “ใจเย็นๆ! หยุด… หยุด” คือประโยคที่ปันปันวันนี้ อยากจะกลับไปบอกปันปันวันนั้น วันที่ขนาดคนในวงการยังเรียกเธอว่า ‘เด็กบ้า’
  • ครั้งหนึ่งเคยเป็น geek อนาโตมีควบชีววิทยาและฝันถึงอาชีพนักบินอวกาศ แต่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในวงการนานกว่า 15 ปีแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวและข่าวฉาวเกินหน้ารุ่นพี่ค่อนวงการ แต่เธอก็ยังยืนยันว่าวันนี้ในวัย 20 ปี มีความรับผิดชอบ ไม่งอแง และจะไม่ยอมเสียตัวตนให้กับคนที่ไม่ชอบเธอ
  • เพราะเธอเชื่อมั่นสุดใจว่า  “ถ้าใครรู้จักหนู ก็คงไม่เกลียดหนู”

ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล

จะเรียกว่าเป็นโชคดีของนักแสดงวัยรุ่นสมัยนี้หรือไม่ ค่าที่โลกเราก้าวมาไกล ความคาดหวังต่อนักแสดงให้เป็นบุคคลต้นแบบของสังคมลดระดับลง นักแสดงไม่ต้องงดงามราวผ้าพับไว้ ทำผิดได้ ทำพลาดเป็น และแม้ฟังก์ชั่นการสื่อสาร 2 ทางจากโซเชียลมีเดียจะทำให้เวลานักแสดงถูก ‘คุ้ย’ จากคนในสังคม แต่ก็เป็นกระดานเดียวกันที่จะมีคนเห็นต่างเข้ามาแสดงความเห็นและแลกมุมมอง

หมายความว่า แม้นักแสดงจะโดนจวกยับจากความพลาดพลั้ง (ที่สังคมเห็นว่าผิด) แต่จะคงมีพื้นที่กลางๆ ไว้ให้ -ไม่ว่าใครก็ตาม- ได้ลองพิสูจน์ตัวเอง

ถ้าพูดถึงนักแสดงวัยรุ่นที่มีภาพลักษณ์แก่น เซี้ยว เปรี้ยว ซ่า เผชิญมรสุมข่าวทั้งร้ายและดี แต่ยังคงมีผลงานอย่างต่อเนื่องและทำงานตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน ชื่อของ ปันปัน-สุทัตตา อุดมศิลป์ อาจติดอยู่ในลิสต์รายชื่อนั้น

ผลงานชิ้นแรกของเธอในวัย 4 ขวบคือโฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก จากนั้นชีวิตก็ถูกฝึกให้เคยชินกับการรอคิวเข้าไปแคสต์งาน เพื่อนวัยเด็กกลุ่มหนึ่งคือพี่ๆ ในกองถ่าย ยังคงแซวจนถึงทุกวันนี้กับเรื่องที่เธอฉีกสร้อยคอกลางกองเพราะอึดอัดกับมัน

งานหน้าจอที่ทำให้เธอเป็นที่คุ้นตาคือโฆษณาคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง
และหลังจากนั้นก็ดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์วัยรุ่นยอดฮิต ฮอร์โมน เดอะซีรีส์ มีรางวัลการันตีคุณภาพการแสดง อาทิ

  • รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 21 สาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ลัดดาแลนด์
  • คมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 9 สาขาผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ลัดดาแลนด์
  • รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 23 สาขาผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง ฤดูร้อนนั้น ฉันตาย
  • รางวัลรองชนะเลิศของสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ครั้งที่ 6 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง เมย์ไหน…ไฟแรงเฟร่อ

หลายผลงานหลากรางวัล ปันปันคว้ามาได้ก่อนอายุจะถึง 20 ปีด้วยซ้ำ เธอผ่านวันทำงานมานักต่อนัก หนักเกินหน้าเพื่อนร่วมวัยไปหลายช่วงตัว แต่ทำไมเวลาพูดถึงนักแสดงวัยรุ่นคนนี้ ข่าว(ฉาว)มักจะดังกลบงานเสมอ

ในวัย 20 ปี เธอมองตัวเองในวัยเด็กอย่างไร? ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอมีอะไรจะบอกกับเด็กผู้หญิงคนนั้น

ขณะที่หลายคนอาจกังวลกับแรงเสียดทานในวงการมายาที่ประเดประดังทั้งจากคนทำงานด้วยกันจนถึงท่านผู้ชมทางบ้านที่มีทั้งคนรักและผู้คนที่ไม่ถนัดในการทะนุถนอมดารา ทำไมเธอจึงกล้าๆ พูดว่า “ไม่เสียใจ (regret) อะไรเลยจากการเข้ามาในวงการนี้”

ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง

หลักๆ ตอนนี้ปันปันเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ (นานาชาติ) ชั้นปีที่ 3 กำลังเวิร์คช็อปเตรียมถ่ายซีรีส์เรื่องใหม่ในปีนี้ ชื่อ รูปทอง ทางช่อง GMM 25 ค่ะ

เข้าวงการนี้ตั้งแต่ 4 ขวบจนถึงตอนนี้ก็ 20 ปีแล้ว มันเริ่มต้นอย่างไร

ตั้งแต่เด็กๆ จะถ่ายโฆษณา จำได้ว่าตอนอยู่อนุบาล พี่ที่เขาคอยมองหาเด็กๆ มาบอกพ่อแม่ว่าลองเอาน้องไปถ่ายงานดูไหม เราก็ลองไป โฆษณาชิ้นแรกน่าจะเป็นแป้งหรือยาสีฟันเด็กนี่แหละ จำไม่ได้ชัดๆ แต่พอมีโอกาสได้งานโฆษณาเราก็เข้าโมเดลลิ่ง จำได้ว่าตอนเด็กๆ ไปแคสต์งานเยอะมาก (เน้นเสียง) ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็ยังแคสต์ไปเรื่อยๆ จนอายุประมาณ 13 ปี ก็มีโฆษณาตัวหนึ่งเกี่ยวกับคลินิกเสริมความงาม ซึ่งเป็นตัวที่คนเริ่มจำเราได้ หลังจากนั้นมาเราก็เริ่มได้เล่นภาพยนตร์

‘ปันปัน’ ในวัยเด็กเป็นอย่างไร มีวีรกรรมอะไรที่เซี้ยวๆ บ้าง

ตอนเด็กๆ ปันได้โฆษณาค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้าคนในกองรู้ว่าปันปันเป็นคนเล่น เขาจะแบบ… โอ้ มายก็อด! เขาเรียกปันปันว่า ‘เด็กบ้า’ (หัวเราะ) เพราะมีประวัติกับพี่สไตลิสต์เยอะมาก อย่างพี่ผู้กำกับที่สนิทกันตอนนี้ ก็มาเล่าให้ฟังตอนเราโตแล้วว่า ตอนนั้นพี่ในกองเอาสร้อยไข่มุกมาให้ใส่ แต่หนูอึดอัด หนูฉีกเลย (หัวเราะ) คือเป็นเด็กขนาดนั้นเลยอะ แต่ตอนที่แอ็คชั่นเราเล่นนะ ไม่งอแง แต่ถ้าคัทเมื่อไหร่ก็จะบ่นๆๆ งอแง

อย่างละครก็เหมือนกัน ครูสอนแอ็คติ้งคนหนึ่งที่สนิทกันมาก เขาเล่าว่าหนูขี้บ่น บ่นตลอดว่าไม่เล่นๆๆ แต่ถ้าแอ็คชั่นปุ๊บก็คือเล่น แต่ตอนนั้นคือเด็กนะ พอโตขึ้น รู้เรื่องแล้วก็โอเคขึ้น

ช่วงเด็กที่ต้องแคสต์งานหนักมาก จำความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม ชอบหรือไม่ อึดอัดหรือเปล่า

จริงๆ ช่วงนั้นไม่ค่อยชอบ รู้สึกว่าทำไมต้องมาด้วย ไปแคสต์ทีก็ต้องนั่งรอ บางทีต้องรอทั้งวัน มาตั้งแต่เก้าโมงเช้ากว่าจะได้เข้าไปถ่ายก็ห้าโมงเย็น ด้วยความเป็นเด็กก็จะคิดว่ามาทำไม ทำไมต้องเสียเวลามานั่งรอ เลิกเรียนแล้วทำไมไม่ได้กลับบ้าน ทำไมต้องมาบังคับให้ปันทำนู่นทำนี่

ส่วนจุดที่ทำให้ยังไปกองถ่ายอยู่ น่าจะเป็นความรู้สึกว่า ‘เราต้องทำ’ รู้สึกว่าที่พี่ๆ เขายังให้ลองมาถ่ายงานอยู่เพราะเห็นว่าเราโอเค ไม่งอแงตอนที่ต้องเข้าฉาก คือรู้ว่าถ้าเรารับงาน รับหน้าที่มาแล้วก็ต้องทำให้เสร็จ

ความคิดที่ว่า ‘รับงานมาแล้วต้องทำ ห้ามงอแง’ เกิดขึ้นตอนไหน

ตั้งแต่เด็กๆ เลยนะ ไม่งั้นเราคงงอแงขอกลับบ้านเลย

จุดไหนที่เริ่มรู้สึกว่า เราชอบทำงานนี้

เด็กๆ ไม่ชอบ โตขึ้นมาตอนเล่นหนังเรื่องแรกก็ยังไม่ชอบเลย ง่วง เบื่อ ทำไมต้องตื่นตี 5 แต่พอผลงานออกมาแล้วมีคนชอบ เราเริ่มรู้สึกว่า เออ… เราทำงานนี้ได้ดีนะ เด็กที่อายุแค่นั้น ไม่ค่อยมีใครที่จะหา profession หรือสิ่งที่ตัวเองทำได้ดีเจอ

ชีวิตหนูไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง ทำอาหารก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรดีเลย แต่หนูทำเรื่องนี้ได้ดี เลยรู้สึกว่า เออ… มันเป็นจุดที่เราควรจะ pursue ตัวเองต่อไปนะ

อาชีพนักแสดงเป็นสิ่งที่เด็กๆ หลายคนใฝ่ฝัน ซึ่งคุณก็เป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก จริงๆ แล้วนี่คืออาชีพในฝันของเด็กหญิงปันปันหรือเปล่า

อุ้ย ไม่เลย ห่างไกล หนูอยากเป็นนักบินอวกาศ อยากไปนาซ่า อยากเป็นหมอผิวหนัง เพี้ยนๆ หน่อย คืออยากเป็นอะไรไปเรื่อย ตอนเด็กหนูชอบอ่านหนังสือ Anatomy หรืออะไรที่เกี่ยวกับ Human Body พ่อก็คิดว่าเราต้องเรียนสายวิทย์แน่ๆ แต่พอเราเริ่มมีงาน ก็เริ่มห่างหายไป

มันเลยเป็นจุดเปลี่ยน เพราะเด็กๆ เราจะมา interfere งานกับการเรียนเยอะไม่ได้ หนูแบ่งไม่ไหว เลยเลือกสิ่งที่ต้องทำ ตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครบังคับให้ปันต้องเรียนแบบนั้น แต่งานบังคับให้ปันต้องทำ เลยเลือกมาทางฝั่งนี้มากกว่า

ถ้าไม่ต้องทำงานบันเทิง มีอิสระที่จะเลือกเรียน คุณจะเลือกอะไร

ตอนเด็กๆ ชอบ Biology สอบได้ A แต่ชีววิทยาต้องเรียนคู่กับเคมี และฟิสิกส์ ซึ่ง หนูวาดอิออนไม่ได้อะ ตารางนิวตรอนอะไรเนี่ย ยาก คือเราชอบ แต่วิชาพวกนี้มันต้องไปคู่กันไง เรื่องจบที่ว่า… ‘ช่างมันเถอะพ่อป็อบ (คุณพ่อปันปัน) เคมีมันไม่ได้จริงๆ อะ’ ง่ายๆ แค่นั้นแหละ เท…

ฟังดูแล้วเหมือนคุณจะเป็นเด็ก geek ที่รักการเรียนหน่อยๆ

ไม่ชอบ อ่านหนังสือสอบนี่เกลียดมาก แต่ก็ต้องเรียนอะ คือเราอาจจะไม่ได้ใช้ context ที่เขาสอน แต่การไปเรียน คุยกับคน คุยกับอาจารย์ ด้วยการทำงานทั้งหมดมันจะ shape เรา ให้เราได้อะไรมากกว่าหนังสือที่อ่านในห้องเรียน

ถามว่าหนูจำได้ไหมว่าปี 1 ถึงปี 3 หนูเรียนอะไร หนูจำไม่ได้นะ ออกจากห้องสอบก็ลืมหมด แต่ถามว่าหนูโตขึ้นไหม หนูโตขึ้นมาก

เป้าหมายของหนูตอนนี้ คือต้องเรียนให้จบ 4 ปี ต้องได้เกรดที่ไม่น่าเกลียด สิ่งที่ทำตอนนี้ก็พยายามจะ maintain ระหว่างการเรียนและการทำงานให้ได้

ลูกฮึดแบบนี้ เป็นเพราะอยากจะลบคำสบประมาทว่านักแสดงมักเรียนไม่จบรึเปล่า

คนจะชอบพูดว่ามีงานแล้ว ไม่ต้องเรียนก็ได้ แต่มันคือโพรไฟล์ของตัวเอง ปันไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นนักแสดงไปตลอดชีวิตเพราะมันเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง แต่ถ้าเรามีความรู้ เราไปต่อยอดได้ และหนูไม่อยากแค่แสดงไปอย่างเดียว อยากเป็นนักแสดงที่มีความรู้ นี่เป็นเหตุผลที่พยายามทำให้ตัวเองได้เรียนรู้อะไรอื่นๆ ให้มาก

หลายรางวัลการแสดงที่ได้รับ คุณมีวิธีการทำงาน ทำการบ้านอย่างไร หา reference จากไหนบ้าง

ไม่ดูนะ คือเราจะอ่านบทและก็ทำการบ้านเลย เพราะมีความเชื่อเลยว่าเราไม่สามารถจะเล่นเป็นคนอีกคนหนึ่งได้อย่าง completely สุดท้ายบทมันก็ออกมาจากตัวเรา ปากเรา เสียงเรา มันต้องมีเอกลักษณ์หรือ identity ที่ไม่สามารถจะก๊อปแบบอย่าง หรือ reference ใครได้แบบเต็มๆ ขึ้นอยู่กับบทว่าตัวละครนี้เขาเขียนและอ้างอิงจากใคร

ส่วนใหญ่บทที่ผู้กำกับเขียนมา เขาจะมีภาพตัวละครในหัวอยู่แล้วว่าต้องการตัวละครแบบไหน อย่างล่าสุดเรื่องรูปทอง เราเล่นเป็นตัวละครชื่อเรียวข้าว ผู้หญิงสมัยใหม่ เปรี้ยว แก่น ตรงไปตรงมา เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งเขาน่าจะเห็นภาพเราในข่าวว่าเราน่าจะเป็นแบบนี้นะ เราก็ refer ตัวเองมาเลยว่าถ้าเราเป็นดีไซเนอร์ที่มีความคิดแบบนี้ๆ จะออกมาเป็นยังไง เสียงหรือวิธีการพูดอาจจะคล้ายๆ ปันปันก็ได้ แต่ก็จะไม่ได้เหมือนทั้งหมด อาจจะไม่ได้งอแงง้องแง้งเท่าเรา แต่สุดท้ายแล้วคือตัวเอง คือจะ base ตัวเองเป็นหลัก ว่าถ้าเป็นเรา เล่นเป็นแบบนี้แล้วจะเป็นยังไง

ด้วยวิธีที่ต้องกลับไปทำความเข้าใจตัวละครแบบนี้ เคยมีครั้งไหนมั้ยที่ตัวละครนั้นเปลี่ยนชีวิตของเรา ทำให้เข้าใจโลกอีกใบ หรือเข้าใจตัวละครอื่นที่ใช้ชีวิตแบบอื่นมากขึ้น

อาจจะยังไม่เจอถึงขั้นเปลี่ยนชีวิต แต่อย่างเรียวข้าวก็ใช่ มองตัวละครนี้ครั้งแรกก็คิดว่าคล้ายๆ ตัวเอง แต่เราไม่เข้าใจความคิดของเขา ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำสิ่งนี้ ก็ต้องไปเวิร์คช็อป ทำความเข้าใจตัวละครใหม่ ทำไมถึงทำแบบนี้ เพราะถ้าในตรรกะของปันปันจะไม่ทำ แต่ในลอจิคของเรียวข้าวเขาคิดแบบนี้ไง เพราะพื้นหลัง เพราะครอบครัวเขา ทำให้เขาทำอย่างนี้

โอเคว่าเราอาจจะนิสัยคล้ายกัน แต่พื้นหลังครอบครัวเราไม่เหมือนกัน เรียวข้าวอยู่ในครอบครัวคนจีนที่ไม่สนใจลูกสาว แต่ครอบครัวหนูไม่ใช่แบบนั้น ฉะนั้นเราเอาตัวเองไป base ไม่ได้ ต้องทำความเข้าใจไปเรื่อยๆ นี่คือการเวิร์คช็อปที่ตัวเองกำลังทำอยู่

เรากำลังคบกับผู้ชายคนนี้อยู่นะ เขาเป็นคนแบบนี้ ทำไมถึงรัก ทำไมถึงไม่รัก แม่เขาเป็นยังไง เพื่อนเขาเป็นยังไง ต้องหลับตาแล้ววาดทุกอย่างขึ้นมาในหัว สร้าง scenery ขึ้นมาร่วมกับนักแสดงคนอื่นๆ สมมุติว่าเรากำลังเถียงกัน เราจะเถียงกันว่าอะไร ถ้าเป็นเขา เขาจะพูดยังไง คุยกันให้มากถึงจะค่อยๆ เข้าใจตัวละครนั้นๆ มากขึ้น นี่คือการบ้านที่นักแสดงทุกคนต้องทำ ซึ่งจะทำให้เราค่อยๆ เข้าใจตัวละครนี้มากขึ้น

การทำงานตั้งแต่เด็กขนาดนี้ เคยรู้สึกว่าชีวิตวัยเด็กถูกพราก เพราะต้องรับผิดชอบหน้าที่เกินกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันไหม

ถามว่ามีชีวิตวัยเด็กไหม? มี (ลากเสียง) แต่อาจจะน้อยกว่าคนอื่น คือเราทำงาน แต่ไม่ได้เอางานมากันเราไม่ให้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไป เอาจริงๆ ปันเป็นคนมีเพื่อนเยอะมากเลยนะ ติดต่อกับเพื่อนตลอด ไม่ใช่คนที่ทำแต่งาน บ้างาน ไม่ไปเรียน ไม่เข้าสังคม ปันมีชีวิตวัยเด็ก แต่อาจจะมีลิมิตเรื่องเวลา

แต่คิดว่าเราก็ใช้ชีวิตเต็มที่ในระดับหนึ่ง ตามปกติวัยรุ่นกับเพื่อนมากๆ ถ้าคนเห็นหนูในชีวิตประจำวันจริงๆ จะเห็นเลยว่าหนูไม่ได้ทำตัวเป็นดาราแบบ… ใส่แว่น ใส่นู่นใส่นี่ปิดบังหน้าตา เป็นคนปกติและก็คิดด้วยซ้ำว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าดาราก็เป็นคน

แต่วัยรุ่นทั่วไป จะไม่โดนวิจารณ์ ถูกจับตามอง และถูกว่าเพียงเพราะเผลอพูดอะไรตลกๆ อย่างปันปัน?

เวลาที่คนเห็นหนูตามข่าว จะเห็นว่าเราเป็นคนที่ชอบ make joke แบบไม่ค่อยคิด ทำให้บางคนรู้สึก offended หรือขุ่นเคืองกับคำพูดของเราได้ อย่างข่าว ‘ยิ้มตลอดได้ไง เมื่อยปาก’ เงี้ย… หนูก็พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ (ออกเสียงให้ฟัง) ตลกๆ ใช่ไหม แต่พอเป็นภาษาเขียนมันจะอ่านได้อีกแบบหนึ่ง

จากข่าว จากสิ่งที่หนูเคยพูด เคยทำ บางครั้งมัน shape เราออกมาแบบหนึ่ง ซึ่งเขาอาจจะไม่ได้รู้จักเรา เราก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เชื่อว่าถ้าใครรู้จักหนู ก็คงไม่เกลียดหนูนะ (หัวเราะ) คือหนูเป็นคนชิลล์อะ

ตอนที่ข่าว ‘ยิ้มตลอดได้ไง เมื่อยปาก’ กลายเป็นไวรัล ถูกทำเป็นมีม หรือไปไกลขนาดเข้านิยามของการถูก bully ความรู้สึกตอนที่คุณอ่านข่าวเป็นอย่างไร

มันเซ็งอะ แต่เซ็งตัวเองนะ เซ็งที่พูดอะไรไม่คิด ทำไมต้องไป make joke แบบนี้ ถ้าเราพูดกับพี่ๆ พี่จะเข้าใจบริบทที่หนูพูดใช่ปะ? (ถามกองบรรณาธิการ) เราก็จะขำๆ กัน แต่พอมันออกไปในวงกว้าง สื่อสารกับทุกคนมันอาจจะไม่โอเค ซึ่งหนูก็ไม่ได้หมายความว่าหนูเมื่อยปากจริงๆ หนูพูดอย่างเป็นมุกตลกเฉยๆ แต่พอเขียนเป็นตัวหนังสือออกมาแล้วมันไม่เก็ตไง ก็เป็นบทเรียนว่าถ้า make joke อะไรที่มันก้ำกึ่ง อะไรที่มันคลุมเครือก็ต้องระวัง คือต้องไม่ทำให้คนขุ่นเคือง จะพูดอะไรต้องพูดให้มันเคลียร์ ก็ให้เป็นบทเรียนไป

เคยคิดไหมว่า ‘เฮ้ย… มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เป็นเรื่องทั่วไปที่ใครๆ ก็พูดกัน’

พูดได้ๆ แต่พูดกับเพื่อนไง แต่เมื่อไหร่ที่มีไมค์จ่อปาก สื่อสารกับทุกคนก็ต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง

หมายความว่าคุณยอมรับเงื่อนไขจากการเป็นนักแสดงที่ต้องถูกวิจารณ์?

ยอมรับๆ ยอมรับสิ บางคนอาจจะเห็นว่าสิ่งที่เราพูดไม่เห็นผิดเลย เป็นวัยรุ่นพูดได้ดิ แต่ไม่ใช่จุดนั้น ไม่ใช่ตอนที่ยืนสัมภาษณ์อยู่ แต่ถ้าพูดกันเอง กับพี่นักข่าวตลกๆ ก็พูดได้ๆ

พูดแบบนี้ได้ไหมว่า คุณไม่ค่อยรู้สึกกดดันจากการเป็นนักแสดง เป็น ‘ปันปัน สุทัตตา’ เท่าไร เช่น ยังคงไปกินข้าวกับเพื่อน การลงรูปในอินสตาแกรม ทำกิจกรรมต่างๆ ตามปกติ

ไม่เลย ใช้ชีวิตปกติ ลงรูปปกติ เพียงแต่จะไม่ลงรูปอะไรที่คิดว่าคนจะจับจ้อง เป็นเรื่องไม่ดี ซึ่งทุกคนก็เป็นใช่ไหม เวลาที่จะลงรูปก็ต้องดู image ดูภาพลักษณ์ของตัวเอง สร้าง image ของตัวเองขึ้นมา ปันก็ต้องมี ไม่ใช่ว่าเราจะลงทุกรูป ก็ต้องดูปกติ ชิลล์ (ยิ้ม)

แต่คุณมักจะเจอคอมเมนต์แรงๆ จากในโซเชียล

มันก็มีแรงๆ แต่ปันไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อน หรือถูก effect โดยคอมเมนต์หนึ่งคอมเมนต์อะ คือมันเป็น random comment เราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ตอนนี้เราสร้างแอคเคาท์ปลอมขึ้นเพื่อจะด่าคนอื่นได้ด้วยซ้ำถ้าเราอยากจะทำ แต่แล้วยังไงต่อ? ยกเว้นว่าเป็นคนที่เรารู้จัก โอเคหนูรับความคิดนั้นไว้ แต่กับคนที่ไม่รู้จักคือ… (หยุดคิด) เราก็เลื่อนทิ้งอะ

หนูแค่รู้สึกว่า หนูจะไม่ยอมเสียตัวตนของตัวเองให้กับคนที่ไม่ชอบหนู ปันมีคนที่โอเคกับการเป็นปัน ปันมีเพื่อน มีคนรอบตัวที่เขาโอเคกับความเป็นเรา ถ้ามีคนที่ไม่ชอบเราก็ไม่เป็นอะไร เพราะคงไม่ได้ไปยุ่งกับเขาอยู่แล้ว เขาไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับเรา เราก็ไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขา

นักแสดงสมัยใหม่ ไม่ค่อยถูกคาดหวังให้เป็นคนต้นแบบ เป็นตัวอย่างที่ดีของคนในสังคมอย่างนักแสดงรุ่นเก่า แต่ถ้าตามจากคอมเมนต์คอมเมนต์ในโลกโซเชียล เราจะยังเห็นความคาดหวังจากนักแสดงวัยรุ่นอย่างคุณ ว่าขอให้เรียบร้อยกว่านี้

เอาจริงๆ คนไทยยังชอบคนเรียบร้อยอยู่นะ เราจะไม่ modernist ขนาดนั้น เรายัง conservative เด็กๆ ทุกคนต้องมีภาพลักษณ์ของตัวเอง

ซึ่งปันพยายามนะ ปันพยายามทำตัวให้ถูกกาลเทศะ พูดจาดี จะแก่นจะอะไรก็พยายามไม่ล้ำเส้นผู้ใหญ่ จะมีกรอบที่ตั้งไว้สำหรับตัวเองว่า พอแล้วนะ แค่นี้พอ (หัวเราะ)

คือจะไม่ล้ำเส้นผู้ใหญ่ หรือล้ำเส้นคนอื่น หนูเป็นคนตลก เฮฮา ก็ตลกของเราไป แต่ไม่ตลกจนล้ำเส้นคนอื่น

เวลาเกิดเรื่องร้าย หรือข่าวไม่ดี คนแรกที่จะคิดถึงคือใคร

พ่อป็อป! (ตอบเร็ว) หนูขอโทษ (หัวเราะ) คือถ้ามีข่าวไม่ดี พ่อป็อปจะเป็นคนแรกที่โผล่ขึ้นมา แล้วพ่อก็จะแบบ ‘ไฟไหม้อีกแล้ว’

ต้องทำความเข้าใจ หรือสื่อสารกับพ่อไหม

ไม่เลย เดี๋ยวนี้พ่อป็อปเข้าใจเรามากขึ้นมากๆ เขาเก็ตทุกอย่างเลย เดี๋ยวนี้ เขาช่วยเถียงแม่ให้หนูด้วยนะ (หัวเราะ)

คือเขาเก็ตสิ่งที่เราทำ และเก็ตว่าทำไมคนถึงไม่โอเคกับสิ่งที่เราทำ เขามองโลกหลากหลายมุม เขามีมุมที่เด็กมากๆ และโตมากๆ อยู่ในตัว เขาเลยเข้าใจทั้งมุมของเราและโลกข้างนอกด้วย เวลาเขาสอนเราเขาก็จะบอกว่า ‘เข้าใจว่าเราคิดแบบนี้ๆ นะ แต่โลกข้างนอก มันก็ไม่ได้อยู่ดี’

แล้ววัยรุ่นอย่างเราๆ มีวิธีจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไร

เราก็จะ ‘โอ้ มายก็อด’ อยู่ช่วงหนึ่งแล้วก็เก็บเป็นบทเรียน จำไว้ว่าไม่ควรพูดหรือทำอะไรแบบนั้นอีก ต้อง move on มันไม่ได้ทำให้ชีวิตหนูพังขนาดนั้น คือเรายอมรับคำวิจารณ์ที่คนส่งเข้ามาได้

การที่ต้อง ‘move on’ ดูเป็นคำพูดหรือความคิดที่ผู้ใหญ่มักชอบพูดกัน

ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นความคิดของผู้ใหญ่นะ เพราะทุกๆ ปี ทุกๆ วัน เราจะเรียนรู้อะไรมากขึ้นอยู่แล้ว คือไม่มีใครที่โตเป็นผู้ใหญ่จนถึงขีดสุด

ปันปันในวัย 20 บอกว่าโลกตัวเองเปลี่ยนไปเยอะมาก จากการเรียน การทำงาน การเข้ามหาวิทยาลัย และจากประสบการณ์ทั้งหมดทั้งชีวิตจริงและในวงการบันเทิง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ปันปันในวันนี้ จะบอกอะไรกับตัวเองวัยเด็กบ้าง

อ่า… (หัวเราะ) หนูคงบอกให้ตัวเองระมัดระวังตัวมากกว่านี้ ไป hint ตัวเองให้ระวังตรงนี้ๆ นะ ปู path ตัวเองให้สวยๆ หน่วย แต่ก็คงให้มาอยู่ในจุดนี้นะ เพราะเป็นโอกาสที่น้อยคนนักจะมี โอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรมากกว่าคนในรุ่นเดียวกันในบางเรื่อง (เน้นเสียง) เช่น หนูเรียนนิเทศฯ เราก็จะรู้ขั้นตอนการทำงานในกองมากกว่าเพื่อนๆ ในคลาส โอกาสตรงนี้ทำให้เราได้พบปะผู้คน ได้ใช้ชีวิตนอกห้องเรียน มีภูมิคุ้มกันจากทุกสิ่งที่ shape เรามากกว่าหนังสือ มันเป็นผลดีที่ได้เข้ามายืนตรงนี้และหนูไม่ได้ regret อะไรเลยจากการเข้ามาในวงการนี้

แต่ทุกความผิดพลาดของชีวิตก็ประกอบให้เป็นคุณในวันนี้รึเปล่า หมายความว่าต่อให้อย่างไร คุณก็จะกลับไป hint ตัวเองไม่ให้เจอกับบทเรียนวันนั้นใช่มั้ย

คงไม่มีใครอยากผิดพลาด ไม่มีใครอยากล้ม หนูคง hint ตัวเองแหละ

เฉพาะตัวเองที่งอแงฉีกสร้อย คุณจะบอกอะไรกับเด็กน้อยคนนั้น

ใจเย็นๆ! หยุด… หยุด XXX (เอานิ้วไขว้เป็นตัวเอ็กซ์… หัวเราะ) เด็กบ้า คือเป็นสมญานามอย่างหนึ่งที่เขาเรียกหนู คือหนูซ่ามาก ดื้อมาก คนในกองทุกคนจะเวียนหัว ต้องบอกให้หยุด

อันนั้นคือเรื่องอดีต แต่ถ้าถามถึงคนในอนาคต คนที่คุณชอบและอยากจะเป็นเหมือน คือใคร

จริงๆ ดาราไทยหนูชอบหลายคน หนูชอบพี่อั้ม (พัชราภา ไชยเชื้อ) ชอบพี่ปู (ไปรยา ลุนด์เบิร์ก) พี่อั้มเป็นคนวางตัวดี เฮฮา สนุก พูดอะไรคนก็รัก ไม่มีฟอร์ม ไม่เก๊ก แต่ดูดี ส่วนพี่ปู คือชีวิตเขาเคยมีข่าวเหมือนหนูตอนเด็กๆ แต่พอโตขึ้นก็ตัดภาพทุกอย่างทิ้งหมด กลายเป็นผู้หญิงสวย สมบูรณ์

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ข้อจำกัดในชีวิตของคุณคืออะไร อะไรที่ทำให้รู้สึกว่า ‘ถ้าเป็นแบบนี้ จะไม่เอาแล้วนะ เทแน่นอน’

(นิ่งคิด) หนูไม่เคยคิดเลยอะ คงเป็นอะไรก็ได้ที่ทำให้เราไม่มีความสุขกับชีวิต ถ้าเป็นจุดที่ไม่โอเค ลืมตาตื่นมาแล้วรู้สึกว่า เฮ้ย… ต้องทำอย่างนี้อีกแล้วเหรอ ไม่มีความสุข ทุกอย่างดีหมดแต่ยังบ่นแต่เรื่องนี้ หนูเลิกเลย แต่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับการถ่ายละครหรือการทำงาน แต่ถ้าวันหนึ่งถึงจุดที่เราไม่มีความสุขกับมันแล้ว ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร ก็คงหยุด

แต่ถ้าเรื่องอยู่ดีๆ จะเลิกเลย ไม่ได้นะ คือรับอะไรมาก็ต้องทำให้สำเร็จ คือหนูเป็นคนขี้เกียจแต่ก็รับผิดชอบนะ

เช่น ถ้ามีการบ้าน หนูก็จะดองไว้จนวินาทีสุดท้าย แต่ก็จะลุกขึ้นมาทำจนเสร็จอยู่ดี หรือถ้าต้องอ่านหนังสือสอบก็จะดองไว้ก่อน ใกล้ๆ ค่อยอ่าน เรื่องงาน แม้จะขี้เกียจแต่เราไปทำงาน ไม่เคยทิ้ง ไม่เคยเท

คือขี้เกียจ แต่ก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่ต้องทำ เพราะว่าหนูไม่ชอบให้คนมาตั้งคำถามว่า ทำไมไม่มา ทำไมไม่ส่งงาน มันรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง

เป็นคำตอบแทนใจวัยรุ่นเลย ‘คือขี้เกียจ แต่ก็รับผิดชอบนะ’ ซึ่งเป็นคำเดียวกับที่ผู้ใหญ่ชอบว่า ว่าวัยรุ่นทุกวันนี้เป็น ‘เจนเนอเรชั่น ME’ เอาแต่เล่นโทรศัพท์ ขี้เกียจ ไม่มีความรับผิดชอบ

คือหนูรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีที่เข้ามาแล้วมันแตกต่างจากเจนเนอเรชั่นก่อนๆ มันมีเกม มีนู่นนั่นนี่ให้เราติด มันไม่แปลก แต่หนูไม่ได้คิดว่าทุกคนขี้เกียจ โลกเราพัฒนาไกลมาก และที่มันพัฒนาก็เพราะว่าเด็กๆ ในเจนเนอเรชั่นใหม่ เขาแค่ทำทุกอย่างให้มันสนุก

Tags:

ปันปัน สุทัตตา อุดมศิลป์ศิลปินอาชีพการเติบโต

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

illustrator

ชลิตา สุนันทาภรณ์

นักเขียนที่ปรากฎตัวพร้อมกระเป๋าเล็กสะพายข้างเป็นหลักหนึ่งใบคู่กระเป๋าผ้าใบใหญ่ไว้ใส่ของจริงๆ อาจเพราะจบรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงเป็นเหตุให้ไปเกาหลีกับญี่ปุ่นบ่อยราวเป็นบ้านหลังที่สอง ตัวแทนคนรุ่นใหม่ที่พร้อมจะอธิบายทุกแฮชแทกในทวิตเตอร์ในประเด็นการเมืองระหว่างประเทศและวัฒนธรรมประชาชนสมัยนิยมได้

Related Posts

  • Everyone can be an Educator
    PUPPETOMIME: ศิลปะง่ายกว่าที่คิด หยิบสิ่งของในบ้านนำมาเล่านิทานหรือสร้างงานละครได้

    เรื่อง ขวัญชนก พีระปกรณ์

  • Life classroom
    ทรอย ซีวาน: เพราะผมรักในเสียงเพลง ดนตรี และการเป็นเกย์

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

  • Grit
    ‘เสียงซอของคำไทด์’ พรแสวงที่ไม่หยุดแค่พรสวรรค์

    เรื่อง

  • Voice of New Gen
    ความสำเร็จแชมป์บีบอยพระสุเมรุ ‘แพ้มันเข้าไป ไฟห้ามหมด’

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
    รักที่จะรักหลากหลาย: นักเขียนรางวัลซีไรต์กับนิยายYของเธอ

    เรื่อง ชลิตา สุนันทาภรณ์

ถึงเวลาเอาคะแนน ‘ยกมือตอบในห้อง’ ออกได้หรือยัง?
Education trend
5 January 2018

ถึงเวลาเอาคะแนน ‘ยกมือตอบในห้อง’ ออกได้หรือยัง?

เรื่อง ณิชากร ศรีเพชรดี

  • แม้กระทั่งในสหรัฐฯ ก็วัดความร่วมมือในห้องเรียนจากคะแนน ‘ยกมือตอบคำถาม’ นักเรียนที่ ‘กล้าแสดงออก’ ก็กวาดคะแนนไปรัวๆ แต่นักเรียนบุคลิก ‘นิ่ง’ ก็ต้องซดยาขม นั่งกลืนความรู้สึกแปลกแยกของตัวเองลงไป
  • Quiet Revolution คือห้องเรียนครูที่ต้องการปรับวิธีคิดและการสอน เพื่อนักเรียนบุคลิก ‘Introvert’ หรือเด็กที่ ‘นิ่งเงียบ แต่ไม่ใช่ว่าไม่ตั้งใจเรียน’
  • คะแนนจากการ ‘ยกมือตอบ’ ด้านหนึ่งคือความไม่ยุติธรรม เพราะครูจะโฟกัสและให้คุณค่าเฉพาะนักเรียนที่กล้าแสดงออก แต่ ‘มนุษย์’ คือความหลากหลาย ห้องเรียนควรเป็นพื้นที่ๆ อนุญาตและส่งเสริมให้เกิดความหลากหลายนั้น

จำความรู้สึกที่ต้องแย่งกันตอบคำถาม เพื่อเอาคะแนนการมีส่วนร่วมในห้องเรียนได้มั้ย จำได้มั้ยว่ารู้สึกอย่างไร คำตอบที่ออกไปผ่านการคิดวิเคราะห์แค่ไหน หรือตอบๆ ไปเพื่อให้ได้คะแนน

แล้วถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ ‘ไม่ชอบพูดมาก ไม่ชอบมีตัวตน ไม่รู้สึกว่าต้องแสดงออก’ มันจะกล้ำกลืนฝืนทนแค่ไหนกัน

เพื่อปลดล็อคความไม่ยุติธรรมจากการเก็บคะแนนที่ขึ้นกับ ‘บุคลิกของแต่ละคนซึ่งมีความหลากหลาย’ และการไม่ชอบตอบคำถาม ไม่ได้แปลว่าไม่ตั้งใจเรียนและไม่อยากมีส่วนร่วมในห้องเรียน ครูกลุ่มหนึ่งจึงลุกขึ้นมาตั้งโครงการ ‘Quiet Revolution’ จัดอบรมเพื่อเปลี่ยนความคิดและวิธีการสอนของครู ในการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนที่มีบุคลิกแบบ Introvert หรือ บุคคลที่เก็บเนื้อเก็บตัว มักนิ่งเงียบอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่คนเก็บกด เพียงแต่มีบุคลิกแบบ ‘นิ่งๆ’ เฉยๆ

  • บุคลิกแบบ Extrovert คือคนที่มีบุคลิกร่าเริง กล้าแสดงออก มีภาวะความเป็นผู้นำ เข้าหาคนอื่นมากกว่า
  • บุคลิกแบบ Introvert คือผู้ที่มีบุคลิกนิ่งๆ มักเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ถูกให้ค่าว่า ‘ด้อยกว่า’ กลุ่ม Extrovert และอาจต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า ผู้ที่มีบุคลิก Introvert ไม่ได้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือพัฒนาการ เพียงแต่เป็นลักษณะส่วนตัว
  • โตมร ศุขปรีชา เคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้ลงในนิตยสาร WAY ชื่อ ‘หยิ่ง ขี้อาย หรือผิดทุกข้อ’ หรืออ่านจบแล้วยังไม่จุใจ ตามไปฟัง โตมร ศุขปรีชา และ ทีปกร วุฒิพิทยามงคล ชวนคุยเรื่อง Introvert / Extrovert ใน Omnivore ตอนที่ 3

Quiet Revolution: คอร์สอบอบรมเพื่อเปลี่ยนความคิดครู ไม่ใช่นักเรียน

ไฮดี คาเซวิช (Heidi Kasevich) ครูประจำวิชาประวัติศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมกว่า 25 ปี หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ Quiet Revolution กล่าวว่า หนึ่งในปัญหาการศึกษาของอเมริกา คือมักประเมินผลด้วยคะแนนตอบคำถามในห้องเรียนถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของเกรดเฉลี่ย ทั้งหมดนี้ทำให้ครูส่วนใหญ่ให้คุณค่าแก่เด็กที่กล้าแสดงออก หรือมีบุคลิกแบบ Extrovert

เช่นเดียวกับความเห็นของ ซูซาน เคน (Susan Cain) – เจ้าของหนังสือ Quiet: the Power of Introverts in a World that Can’t Stop Talking (ความเงียบ: พลังของคนอินโทรเวิร์ต ในโลกที่ผู้คนไม่อาจหยุดพูดได้) หนึ่งในผู้พูดรายการ TED Talks ที่มีผู้คนเข้าไปดูกว่า 18 ล้านวิว – จึงรวบรวมทีมสร้าง ‘ห้องเรียนครู’ เพื่อปรับวิธีคิด วิธีสอน และชี้ว่า ผลลัพธ์จากการให้คุณค่าเฉพาะเด็กที่กล้าแสดงออก ทำให้มองข้ามการพัฒนาศักยภาพของเด็กบางคนไปมากแค่ไหน

วิธีการปรับห้องเรียน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ‘One-Size-Fits-All’

อันที่จริงแล้ว วิธีการดึงศักยภาพ หรือมีสายตาที่มองเห็นว่า “เด็กที่ไม่ยกมือตอบคำถามในห้อง เขาก็มีส่วนร่วมเหมือนกัน” ทำได้หลายวิธี และวิธีการหนึ่งคือ ให้นักเรียนเขียนความคิดของตัวเองในกระดาษคำตอบ ท้าทายให้พวกเขาเขียนด้วยการดีเบตกับความคิดของตัวเอง หากต้องมีชั่วโมงโต้วาทีหรือทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อน ก็ให้พวกเขาลอง ‘ซ้อมมือ’ ในกระดาษ แล้วส่งต่อให้เพื่อนในกลุ่มช่วยกันดูก่อน นี่เป็นแค่หนึ่งในวิธีการออกแบบห้องเรียน เพื่อให้ได้ความเห็นจากนักเรียนทุกคน

เอริน พาวลัค (Erin Pawlak) คุณครูประจำชั้น ป.2 จากโรงเรียนในเครือ P.S. 11 สาขามหานครนิวยอร์ค หนึ่งในครูที่ถูกส่งเข้าห้องเรียน ‘การปฏิวัติความเงียบ’ เล่าว่า เธอชอบวิธีคิดที่ให้ครูวัดการมีส่วนร่วมของนักเรียนผ่าน ‘ภาษากาย’ เช่น การสบตากับครูแม้ขณะที่ครูเดินสอนไปรอบๆ ห้อง หรือลักษณะทางร่างกายที่อธิบายว่านักเรียนสนใจเรียนอยู่

สิ่งที่พาวลัคใช้บ่อยๆ คือ ‘การ์ดทายใจ’ วิธีการคือ เพื่อทำความรู้จักนักเรียนใหม่ เธอจะให้นักเรียนเลือกการ์ดภาพ โดยจะมีภาพเด็กๆ เล่นกับเพื่อน และเด็กที่นั่งเล่นอยู่คนเดียว หรือสลับๆ กัน เพื่อที่เธอจะอนุมานเด็กในชั้นต้นได้ว่า พวกเขามีบุคลิกพื้นฐานอย่างไร

แต่การแบ่งนักเรียนเป็น Introvert กับ Extrovert คือวิธีการแก้ปัญหาจริงๆ หรือ?

“แต่การแปะป้ายว่าเด็กคนนี้เป็น Introvert ใช่วิธีการแก้ปัญหาหรือไม่ หรือจะเป็นการทำให้พวกเขาซ่อนตัวมากขึ้นกว่าเดิม สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจมากกว่า คือการเคารพว่าพวกเขาอาจแสดงออกถึงวิธีคิดที่ไม่เหมือนกัน”

คือความเห็นของ เคธี ชูลต์ซ (Kathy Schultz) คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคโรลาโด และผู้เขียนหนังสือ Rethinking Classroom Participation: Listening to Silent Voices (ทบทวนเรื่องการมีส่วนร่วมในห้องเรียน: ลองฟังเสียงของความเงียบ)

ชูลต์ซเห็นด้วยกับการให้ความสำคัญกับการเรียนด้วยวิธีการอื่นๆ แต่เธอตั้งข้อสงสัยว่า แท้จริงแล้วความพยายามของ Quiet Revolution นั้นต้องการเปลี่ยนบุคลิกของนักเรียนจาก ‘Introvert’ เป็น ‘Extrovert’ หรือเปล่า เพราะคงไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้องแน่ๆ เธอเรียกร้องให้ครูเคารพในความเงียบของเด็กจริงๆ และแม้ว่าเด็กจะไม่สบตา ไม่ได้ผงกหัวตามบทเรียน หรือไม่ได้แสดงอาการทางกายภาพใดๆ ออกไป ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่ตั้งใจเรียนหรือไม่มีส่วนร่วม

อย่างไรก็ตาม คงเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียง หารือ และพัฒนากระบวนการเรียนการสอนต่อไป เพราะไม่มีวิธีไหนที่ดีและเหมาะสมที่สุด แต่หลังเข้าอบรมและรับความคิดมาปรับใช้ในงานครูของเด็กๆ ชั้น ป.2  พาวลัคแชร์ประสบการณ์ว่า เธอเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กในห้อง จากเด็กที่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆ ก็เริ่มเข้ากลุ่มด้วยวิธีการอื่นๆ อาจจะไม่ได้พูดมากเท่าเด็กๆ ที่มีบุคลิก Extrovert แต่ก็แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมในแบบอื่นๆ เช่นการยืนยันกับเพื่อนคนอื่นๆ ว่า พวกเขาเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับมติของกลุ่มตัวเอง

อ้างอิง: mobile.edweek.org

Tags:

ครูโรงเรียนเทคนิคการสอนจิตวิทยาปม(trauma)BBL(Brain-based Learning)

Author:

illustrator

ณิชากร ศรีเพชรดี

แอดมิชชันเข้าคณะการเขียนและสิ่งพิมพ์เพราะคิดว่าเขาจะสอนให้เขียนนิยาย แทนที่จะได้เขียนจากจินตนาการ อาจารย์และทุกอย่างที่นั่นเคี่ยวกรำให้ทำ-คิด-เขียน-รู้สึกกับประเด็นสังคม ยังคงสนุก(มาก)กับงานสื่อสาร ฝันสูงสุดคือยังเข้มแข็งเขียนงานได้อย่างมีคุณภาพและฐานะดี

Related Posts

  • Education trend
    ครูก็คือครู อย่าเอาหน้าที่ของพ่อแม่มาแบกไว้บนไหล่

    เรื่อง กนกอร แซ่เบ๊

  • Adolescent Brain
    ห้องเรียนเพื่อพัฒนาการสมอง: เมื่อความรู้นอกห้องสนุกกว่า ห้องเรียนสี่เหลี่ยมจะอยู่อย่างไร?

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Education trend
    มหกรรมสอบในเด็ก: ความเครียดและความล้มเหลวก่อนวัยอันควร

    เรื่อง The Potential

  • Unique Teacher
    ‘ครูภาคิน’ ครูไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดได้ และเป็นมนุษย์แบบพวกเอ็งนั่นแหละ

    เรื่องและภาพ ณัฐชานันท์ กล้าหาญ

  • Social Issues
    เกิดเป็นครูไทย ต้องทำอะไรบ้าง?

    เรื่อง The Potential ภาพ บัว คำดี

Recent Posts

  • คนตัวจิ๋ว: หัวใจที่อ่อนโยน การสื่อสารโดยไม่ตัดสิน คือสะพานที่พาเราก้าวข้ามความแตกต่างไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง
  • การไร้ตัวตน-ไม่ถูกมองเห็น-ไม่ถูกยอมรับ คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของวัยรุ่น
  • Eighth Grade: เมื่อเด็กมองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ความรักจากพ่อแม่คือแสงสว่างท่ามกลางความพร่ามัวและจอมปลอม
  • ‘ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน’ …แล้วนิสัย(เสีย)ของเด็กมาจากใครกันนะ?
  • เติบโตไปด้วยกัน Alpha Generation EP.6  ‘ล้มแล้วลุก’ หัวใจที่แข็งแรงยืดหยุ่นพอ จึงไม่แหลกสลายระหว่างทาง

Recent Comments

  • Existential crisis: วิกฤตชีวิตที่มาพร้อมกับคำถาม “แล้วฉันอยู่เพื่ออะไร” – EducationNet on Midlife Crisis: เมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำไมใจถึงวิกฤต
  • The Psychological Wounds of Winnie the Pooh and His Friends: Exploring Characters from a Classic Literary Work - World Today News on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • Exploring the Psychological Wounds of Winnie the Pooh and Friends: A Fascinating Analysis - Archyde on วินนีเดอะพูห์ : ด้วยหัวใจอันแหว่งวิ่น และความลับในป่าลึก
  • 6 วิธีฝึกสอนให้ลูกเป็นเด็กมี Critical Thinking ทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในอนาคต – โรงเรียนมารีวิทยา ป on CRITICAL THINKING: สอนเด็กให้รู้คิด ผิดหรือถูกก็ใช้วิจารณญาณเป็น
  • Best รูป พลเมือง ดี Update New – Haiduongcompany.com on สอนและสร้างพลเมืองประชาธิปไตย เรื่องไม่ง่ายที่ครูทำได้

Archives

  • June 2025
  • May 2025
  • April 2025
  • March 2025
  • February 2025
  • January 2025
  • December 2024
  • November 2024
  • October 2024
  • September 2024
  • August 2024
  • July 2024
  • June 2024
  • May 2024
  • April 2024
  • March 2024
  • February 2024
  • January 2024
  • December 2023
  • November 2023
  • October 2023
  • September 2023
  • August 2023
  • July 2023
  • June 2023
  • May 2023
  • April 2023
  • March 2023
  • February 2023
  • January 2023
  • December 2022
  • November 2022
  • October 2022
  • September 2022
  • August 2022
  • July 2022
  • June 2022
  • May 2022
  • April 2022
  • March 2022
  • February 2022
  • January 2022
  • December 2021
  • November 2021
  • October 2021
  • September 2021
  • August 2021
  • July 2021
  • June 2021
  • May 2021
  • April 2021
  • March 2021
  • February 2021
  • January 2021
  • December 2020
  • November 2020
  • October 2020
  • September 2020
  • August 2020
  • July 2020
  • June 2020
  • May 2020
  • April 2020
  • March 2020
  • February 2020
  • January 2020
  • December 2019
  • November 2019
  • October 2019
  • September 2019
  • August 2019
  • July 2019
  • June 2019
  • May 2019
  • April 2019
  • March 2019
  • February 2019
  • January 2019
  • December 2018
  • November 2018
  • October 2018
  • September 2018
  • August 2018
  • July 2018
  • June 2018
  • May 2018
  • April 2018
  • March 2018
  • February 2018
  • January 2018
  • December 2017
  • November 2017

Categories

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Uncategorized
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel