- โชว์เคสรวมผลิตภัณฑ์งานคราฟท์ ผลงานนักเรียนจากเครือข่ายโรงเรียนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนนานาชาติ จากโครงการนวัตกรรมเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity Partnership’s School Network)
- รูปแบบของโครงการเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนจากโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ ระดมความคิดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรในท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าและคุณภาพตอบโจทย์ลูกค้า โดยมีพี่ๆ จาก Sea (ประเทศไทย) และ Shopee ช่วยสอนทักษะการตลาดออนไลน์และ E-Commerce และจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม Shopee
- มากกว่าความสำเร็จของผลิตภัณฑ์งานคราฟท์ของนักเรียนทั้งไทยและนานาชาติ คือการได้เรียนรู้และเติมเต็มทักษะจากการทำงานร่วมกัน ทั้งการสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ การใช้เทคโนโลยี เพื่อนำสิ่งที่มีมาต่อยอดเพิ่มมูลค่า รวมไปถึงได้มิตรภาพดีๆ กลับมาด้วย
‘ให้โอกาส เป็นของขวัญ’ Equity Partnership’s School Network
นี่คือแคมเปญของร้านเล็กๆ ใน Shopee ที่รวมผลิตภัณฑ์งานคราฟท์ ผลงานนักเรียนจากเครือข่ายโรงเรียนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ร่วมกับเครือข่ายโรงเรียนนานาชาติ โดยการสนับสนุนของ Sea (ประเทศไทย) และ Shopee ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างยั่งยืนของ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดยโครงการนวัตกรรมเครือข่ายสถานศึกษาเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (Equity Partnership’s School Network) ได้ดำเนินการมาถึงซีซั่นที่ 6 แล้ว มีโรงเรียนไทยเข้าร่วม 69 แห่ง สร้างสรรค์สินค้ากว่า 3,700 ผลงาน ยอดขายรวม 1.9 ล้านบาท
ล่าสุด Equity Partnership’s School Network Season 6 ได้จัดงานโชว์เคสความสำเร็จไปเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมีทีมนักเรียนไทยและนักเรียนนานาชาติเข้าร่วมทั้งหมด 10 ทีม 10 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่
1.ถุงหอมผ้าบาติก แบรนด์ ‘BATIKET’ โรงเรียนหงษ์หยกบำรุง จ.ภูเก็ต x Rugby School Thailand
2.กระเป๋าสานจากเตยป่า แบรนด์ ‘Between Us & Trees’ โรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร จ.พัทลุง x Satit Prasarnmit International
3.กาแฟดริปสำเร็จรูป แบรนด์ ‘Bonnery’ โรงเรียนหนองบอนวิทยาคม จ.ตราด x Denla British School
4.กระถางต้นไม้เปลือกหอยนางรม แบรนด์ ‘Saming Craft’ โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม ‘จงจินต์รุจิรวงศ์อุปถัมภ์’ จ.ตราด x Denla British School
5.แก้วเรซิ่นจากไม้มะขาม แบรนด์ ‘รัก(ษ์)จันท์’ โรงเรียนบ้านคลองครก x Ascot International School
6.น้ำยาขัดเครื่องหนังจากเปลือกกล้วยและมะม่วง แบรนด์ ‘REVAX’ โรงเรียนบ้านหลวงวิทยา จ.นครปฐม x Ascot International School
7.เซ็ตเครื่องประดับ แบรนด์ ‘KTBURY’ โรงเรียนแก่นทองอุปถัมภ์ กทม. x Shrewsbury International School
8.สบู่สมุนไพรออแกนิก กลิ่นดอกไม้ แบรนด์ ‘พราว’ โรงเรียนแก่นทองอุปถัมภ์ กทม. x Rugby International School
9.เครื่องประดับ โบว์ผูกผมย้อมครั่ง+เรซิ่น แบรนด์ ‘ฮักษ์-มั่น-ก๋ง’ โรงเรียนแม่ก๋งวิทยา จ.ลำปาง x มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง
10.ถุงหอมมะหมากมาศ ราชาแห่งสมุนไพรล้านนา แบรนด์ ‘เมาะ มาศ เมี่ยน’ โรงเรียนแม่เมาะวิทยา จ.ลำปาง x มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลำปาง
รูปแบบของโครงการเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนจากโรงเรียนพื้นที่ห่างไกล ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติ ในระยะเวลากว่า 8 เดือน ระดมความคิดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรในท้องถิ่น เพิ่มมูลค่าและคุณภาพตอบโจทย์ลูกค้า โดยมีพี่ๆ จาก Sea (ประเทศไทย) และ Shopee ช่วยสอนทักษะการตลาดออนไลน์และ E-Commerce จากนั้นจึงจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม Shopee
สำหรับปีนี้ ทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์กระเป๋าสานใบเตยป่า ‘Between Us and Trees’ จากโรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร จังหวัดพัทลุง ที่จับคู่กับ Satit Prasarnmit International School (SPIP)

“ไอเดียเกิดจากการที่เราไปเจอผลงานของพี่ๆ ชาวมันนิ ที่มีความชำนาญในการสานของจากในป่า เลยได้นำผลงานและฝีมือการสานของพี่ๆ ชาวมันนิมาออกแบบรูปแบบและรูปทรงต่างๆ ครับ” อานัส แก้วหนูนวล โรงเรียนบ้านโหล๊ะหาร เล่าถึงที่มาของการนำวัตถุดิบและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์
แต่กว่าจะมาลงตัวในรูปแบบกระเป๋า แก้วกัญญา บุศราวงศ์ จากโรงเรียนนานาชาติ SPIP บอกว่ามีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เหมาะสมกับคุณสมบัติของใบเตยป่า
“โปรดักส์เริ่มแรกเราอยากทำเป็นซองใส่ไอแพดเล็กๆ ที่สามารถใส่ปากกาและของเล็กๆ น้อยๆ ได้ด้วย แต่พอไปทำไปจริงๆ ก็ค้นพบว่าวัสดุมันไม่เหมาะสมค่ะ เราเลยปรับเปลี่ยนโดยกลับไปดูว่าโปรดักส์แรกของชาวมันนิคืออะไร เราเห็นว่าเขาทำเป็นกระเป๋า เลยหยิบจากตรงนั้นมาทำให้ดูมีความโมเดิร์นขึ้น ปรับให้เป็นลักษณะของ Tote Bag แทน ซึ่งคนทั่วไปน่าจะใช้เยอะกว่าค่ะ”
หลังจากได้ใช้เวลาทำงานร่วมกันมากว่า 8 เดือน นอกจากผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจะได้รับการตอบรับดีเกินคาด อานัสบอกว่า ตัวเองได้เรียนรู้มากมายจากพี่ๆ “อย่างการออกแบบโลโก้ พี่ๆ เขาเก่งเรื่องของอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี ผมก็ได้เรียนรู้จากเขา แล้วจากงานนี้ผมได้ทักษะอะไรหลายอย่างครับ อย่างเช่นกล้าแสดงออกมากขึ้น พูดเก่งขึ้นบ้าง และการทำงานครั้งนี้ก็สนุกมากครับ”
ที่สำคัญคือมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างสองโรงเรียน มาร์โก ถนัดสร้าง SPIP พูดถึงความประทับใจว่า “ถึงแม้ว่าเราจะมีความแตกต่างกัน แต่เราก็สามารถสร้างมิตรภาพ รวมทั้งได้เรียนรู้ที่จะมองโลกจากมุมมองของพวกเขา ในขณะที่ก็ยังคงหาจุดที่เราสามารถสนุกและมีเวลาที่ดีร่วมกับน้องๆ ได้ครับ”
ถัดมากับทีมที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ผลิตภัณฑ์กระถางต้นไม้เปลือกหอยนางรม ‘Densamingthara’ ของ โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม ‘จงจินต์รุจิรวงศ์อุปถัมภ์’ จับคู่กับ Denla British School (DBS)

“ผลงานชิ้นนี้ทำจากเปลือกหอยนางรมที่มาจากจังหวัดตราด เพราะคนเราจะกินแต่เนื้อ เปลือกหอยนางรมจึงถูกทิ้งไป เราเลยมองว่าน่าจะดีถ้านำเปลือกหอยนางรมมาเพิ่มมูลค่า เลยเลือกที่จะนำไปโม่ ซึ่งพอโม่เสร็จก็จะออกมาลักษณะเหมือนเม็ดทราย เราเลยเอาไปผสมกับปูนซีเมนต์และน้ำ จากนั้นก็น้ำมาเทใส่แม่พิมพ์ ก็จะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์กระถางต้นไม้” อุสสิตา สมหวัง จากโรงเรียนนานาชาติเด่นหล้า เล่าถึงที่มา ขณะที่ มณีวรรณ ห่างภัย โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม เสริมว่า
“หลังจากมีการเสนอไอเดียกันว่าจะทำเป็นกระถาง ก็มีการคุยกันว่าเราจะทำเป็นรูปทรงอะไร ก็ได้มาเป็นหมาหลังอาน เพราะเป็นสัตว์ประจำจังหวัดตราด เราก็เลยเอามาใช้เพื่อเป็นตัวแทนของจังหวัดด้วย”
แน่นอนว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนอกจากความมุ่งมั่นตั้งใจแล้ว ยังมาจากการแบ่งงานกันทำตามความถนัดและมีการสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ
“น้องๆ ก็จะชำนาญเกี่ยวกับพื้นที่ ว่าคนท้องถิ่นเขาทำมาหากินอะไร มีของดีอะไร ส่วนฝั่งพวกหนูจะถนัดเรื่องเทคโนโลยี ก็เลยจะดูแลเรื่องออกแบบแพกเกจจิ้งและทำมาร์เก็ตติ้ง ส่วนน้องๆ เขาจะโฟกัสเรื่องผลิตภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งพอเราแบ่งงานกันชัดเจน ก็ทำให้ทีมเวิร์กดีขึ้นมากๆ เวลาเราคุยแลกเปลี่ยนกันว่าจะทำยังไงให้ดีขึ้น พอเราเปิดใจรับฟังมันเลยออกมาได้ดีค่ะ” มุก กล่าว
มากไปกว่านั้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยังทำให้แต่ละคนได้ ทักษะที่เพิ่มขึ้น นภัสสร อยู่ยืน โรงเรียนเขาสมิงวิทยาคม บอกว่าเธอได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ หลายอย่าง เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ การเขียน story และยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับทักษะการสื่อสารด้วย
สุดท้ายกับทีมที่ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับสอง ผลิตภัณฑ์กาแฟดริปสำเร็จรูป ‘Den Bon Cofee’ จากโรงเรียนบ้านหนองบอน จังหวัดตราด จับคู่กับ Denla British School (DBS)

“ทางโรงเรียนหนองบอนวิทยาคม เรามีไร่กาแฟของตัวเอง จากเดิมโรงเรียนมีผลิตภัณฑ์ชื่อเก่า หนองบอน อีซี่คอฟฟี่ ก็เลยพัฒนาต่อยอดมาเป็น Bonnery กาแฟดริปในปัจจุบัน” กมลพร สินสมุทร โรงเรียนบ้านหนองบอน กล่าวถึงจุดเริ่มต้น ก่อนที่ อรินย์ เลียวกิจสิริ เล่าถึงการมีส่วนร่วมของโรงเรียนนานาชาติเด่นหล้าว่า ได้เข้ามาช่วยในเรื่องความคิดสร้างสรรค์และการรีแบรนด์ให้ตัวผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจและสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น
ในการทำงานร่วมกัน แม้จะมีความแตกต่างอยู่บ้าง แต่ทั้งสองโรงเรียนก็ได้เก็บเกี่ยวข้อดีของอีกฝ่ายนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาตัวเอง
“ได้ทักษะการทำงานเป็นทีมค่ะ โดยทางเราและนานาชาติจะมีการประชุมออนไลน์ทุกสัปดาห์ เพื่อจะมารายงานผลและสรุปผลการทำงานของแต่ละคนในแต่ละหน้าที่ของทุกคนค่ะ
นอกจากนี้ก็ได้เรียนรู้หลากหลายมุมมอง ทางอินเตอร์จะเป็นแนวเปิดกว้าง ส่วนทางโรงเรียนไทยก็อาจจะแบบยังไม่มีความคิดสร้างสรรค์ นานาชาติก็จะเข้ามาเติมเต็มในส่วนนี้ เราก็อ๋อ…มีแบบนี้ด้วยเหรอ” กมลพร กล่าว
ขณะที่ อรินย์บอกว่า “ได้เห็นถึงความสม่ำเสมอของการสื่อสารของโรงเรียนไทย สะท้อนว่าเป็นสิ่งที่เราควรจะพัฒนาและประยุกต์ใช้กับตัวเองในอนาคต”
สำหรับรายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ กมลพรบอกว่าจะนำไปใช้เพื่อขยายโอกาสนักเรียนโรงเรียนหนองบอนให้มากขึ้น
“โรงเรียนหนองบอนวิทยาคมเป็นโรงเรียนเล็กๆ ในจังหวัดตาก ทุกคนยังไม่ค่อยรู้จัก ก็เลยอยากให้ทุกคนได้มองเห็นว่า โรงเรียนเล็กๆ โรงเรียนนึงก็มีความสามารถในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนำรายได้เข้าโรงเรียน ซึ่งอนาคตโรงเรียนก็จะมีการเปิดคาเฟ่เล็กๆ แล้วในอนาคตจะมีการทำผลิตภัณฑ์ เช่น สครับ และสบู่จากกากกาแฟด้วยค่ะ”
สำหรับใครที่สนใจอุดหนุนผลิตภัณฑ์ของน้องๆ เข้าไปชมและเลือกซื้อได้ที่ https://shopee.co.th/m/EquityPartnerships รายได้ทั้งหมดของโครงการจะนำไปใช้สนับสนุนเด็กและเยาวชนของโรงเรียนเครือข่ายในพื้นที่ห่างไกล