- Where the crawdads sing เขียนโดย Delia Owens นักเขียนสารคดีธรรมชาติและพฤติกรรมสัตว์ป่า เป็นนิยายที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ขายได้มากกว่า 12 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆ 46 ภาษา รวมถึงภาษาไทยในชื่อ ‘ปมรักในบึงลึก’ รวมทั้งถูกดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์
- นิยายเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ แคเทอรีน แดเนียลล์ คลาร์ก แต่เจ้าตัวมักเรียกตัวเองว่า ‘คยา’ ขณะที่คนอื่นๆ มักเรียกเธอว่า ‘เด็กบึง’ หรือแย่กว่านั้นว่า ‘สวะริมบึง’ เพราะเธอเติบโตขึ้นมาในกระท่อมหลังเล็กๆ ที่อยู่ริมบึง
- ความแตกต่างมักทำให้เราไม่เข้าใจกัน และความไม่เข้าใจกัน ก็มักทำให้เราปิดกั้นเพื่อป้องกันตัว จนกลายเป็นอคติที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น การเลือกปฏิบัติ กลับยิ่งตอกย้ำความแตกต่าง และความแตกต่างก็นำไปสู่ความไม่เข้าใจ หมุนวนต่อไปไม่สิ้นสุด
“จงใช้ชีวิตให้เหมือนกับว่า คุณจะตายในวันพรุ่งนี้ และจงเรียนรู้ให้เหมือนกับว่า คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร์”
นั่นคือคำกล่าวของ ‘มหาตมะ คานธี’ รัฐบุรุษและผู้ก่อตั้งประเทศอินเดียยุคใหม่ ประโยคดังกล่าวมีความหมายถึง การใช้ชีวิตให้ดีที่สุด ตั้งแต่วันนี้ โดยไม่ผัดวันประกันพรุ่ง และจงอย่าละเลยการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่ว่าคุณจะเรียนมาแล้วมากแค่ไหน หรือจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน หรือมีอายุมากแค่ไหน แต่ก็ยังมีสิ่งมากมายที่คุณยังไม่เคยรู้มาก่อน
เวลาพูดถึงการเรียนรู้ หลายคนอาจนึกถึงการเรียนในโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นก็นับเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง แต่การเรียนรู้ไม่ได้จบลงแค่นั้น ต่อให้คุณได้รับปริญญาเอกแล้ว คุณก็ยังสามารถเรียนรู้ต่อไปได้ไม่รู้จบ
สำหรับการเรียนรู้ในระบบการศึกษา (ไม่ว่าจะภาครัฐหรือภาคเอกชน) เราอาจเรียกอีกอย่างว่า การศึกษา (education) ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ (learning) ซึ่งเราสามารถเรียนได้จนชั่วชีวิต
การศึกษาและการเรียนรู้ จึงไม่ใช่สองสิ่งที่แยกจากกัน แต่เป็นสองสิ่งที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน การศึกษาจะช่วยสร้างโอกาสให้ชีวิต ทั้งเรื่องงาน รายได้ และการยกระดับสถานภาพชีวิต ขณะที่การเรียนรู้จะช่วยให้เราปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงค้นพบความหมายของชีวิต
หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า การศึกษา คือการวางรากฐานให้กับชีวิต ขณะที่การเรียนรู้ คือการเติบโตของชีวิต
มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเพิ่งมีโอกาสอ่าน แม้ว่าพล็อตเรื่องจะไม่ได้กล่าวถึงการศึกษาหรือการเรียนรู้โดยตรง แต่ก็มีแง่มุมที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อดังกล่าวที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
หนังสือเล่มที่ว่า คือ Where the crawdads sing เขียนโดย Delia Owens นักเขียนสารคดีธรรมชาติและพฤติกรรมสัตว์ป่า ซึ่งหนังสือเล่มนี้คือนิยายเล่มแรกของเธอ และกลายเป็นนิยายที่ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ขายได้มากกว่า 12 ล้านเล่ม แปลเป็นภาษาต่างๆ 46 ภาษา รวมถึงภาษาไทยในชื่อ ‘ปมรักในบึงลึก’ รวมทั้งถูกดัดแปลงสร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว
นิยายเล่มนี้ บอกเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ แคเทอรีน แดเนียลล์ คลาร์ก แต่เจ้าตัวมักเรียกตัวเองว่า ‘คยา’ ขณะที่คนอื่นๆ มักเรียกเธอว่า ‘เด็กบึง’ หรือแย่กว่านั้นว่า ‘สวะริมบึง’ เพราะเธอเติบโตขึ้นมาในกระท่อมหลังเล็กๆ ที่อยู่ริมบึง
การมีบ้านอยู่ริมบึง ฟังดูก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่สำหรับชาวเมืองบาร์กลีย์โคฟ พื้นที่ริมบึงไม่เพียงเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า แต่ยังมีความหมายเท่ากับ ความป่าเถื่อน ไร้การศึกษา และไร้อารยธรรม
ดังนั้น คนที่เติบโตมาในพื้นที่ดังกล่าว จึงถูกมองว่า เป็นเหมือนคนชายขอบ หรือร้ายกว่านั้น เป็นคนป่าดีๆ นี่เอง โดยเฉพาะชาวบึงที่โตมาโดยลำพังคนเดียวตั้งแต่เด็ก ยิ่งถูกมองว่า แทบจะไม่ต่างจากสัตว์ป่าเลยทีเดียว
ใช่ครับ คยา เติบโตโดยลำพังคนเดียว ตั้งแต่อายุราว 7 ขวบ จริงๆ ก่อนหน้านั้น เธอมีทั้งพ่อ แม่ และพี่ๆ อีกสี่คน อาศัยรวมกันอย่างแออัดในกระท่อมหลังเล็กกลางดงต้นโอ๊ก ไม่ไกลจากบึงใหญ่ที่เชื่อมต่อกับชายฝั่งนอร์ทแคโรไลนา
ทว่า อารมณ์ร้าย ชอบใช้ความรุนแรง และการติดสุราเรื้อรังของพ่อ ทำให้แม่ตัดสินใจทิ้งครอบครัวไปโดยไม่บอกกล่าว คยายังตั้งความหวังลมๆ แล้งๆว่า สักวันหนึ่ง แม่จะเดินกลับมายืนตรงหน้าประตู แต่จนแล้วจนรอด แม่ก็ไม่กลับ ยิ่งไปกว่านั้น พี่ๆ ของเธอ ต่างทยอยหนีออกจากบ้าน เพราะทนความโหดร้ายของพ่อไม่ไหว จนเหลือแค่คยากับพ่อ อยู่ด้วยกันแค่สองคน
แรกเริ่มเดิมที พ่อไม่ได้เป็นคนเลวร้ายสักเท่าไหร่ แต่หลังจากไปร่วมรบในสงคราม กลับมาพร้อมสภาพพิกลพิการ พ่อกลายเป็นคนติดเหล้า แต่ก็ยังภาคภูมิใจในตัวเอง ที่ความพิการของตน ทำให้ได้รับเบี้ยเลี้ยงจากทางการมาตลอด และเบี้ยเลี้ยงอันน้อยนิดนั้น คือแหล่งรายได้เดียวที่พ่อหามาให้ครอบครัว
คยาเรียนรู้ที่จะกินเท่าที่มีให้กิน หลบซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น พยายามอยู่ให้ห่างจากพ่อ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำร้าย ทั้งหมดคือบทเรียนแรกที่เธอเริ่มเรียนรู้ โดยดูจากพฤติกรรมของสัตว์ป่าริมบึง
วันหนึ่ง ตอนที่คยาอายุได้เจ็ดขวบ หญิงสาวแปลกหน้าเข้ามาที่บ้าน พร้อมบอกว่า เธอจะต้องเข้าโรงเรียน คยาไม่อยากไป แต่พอผู้หญิงคนนั้นบอกว่า ที่นั่นมีอาหารเที่ยงให้กินฟรี เธอจึงตกลงที่จะไป
ที่โรงเรียน ครูพยายามสอนให้คยาเรียนรู้การสะกดคำ แต่คยาสะกดไม่ได้แม้กระทั่งคำง่ายๆ ทำให้เด็กคนอื่นพากันหัวเราะเธอ
วันนั้น คือวันเดียวในชีวิตที่คยาไปโรงเรียน เธอไม่กลับไปที่นั่นอีกเลย เพราะเธอได้เรียนรู้แล้วว่า บางครั้ง เราก็อาจถูกคนอื่นหัวเราะเยาะ รวมทั้งถูกปฏิบัติด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตร เพียงเพราะคนๆ นั้น แตกต่างจากคนอื่น ไม่ว่าจะโดยรูปลักษณ์ภายนอก หรือทัศนคติภายใน
คยาไม่รู้สึกเสียใจเลย เธออาจไม่ได้เรียนการสะกดคำจากโรงเรียน แต่เธอสามารถเรียนรู้จากธรรมชาติ ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสียงเรียกนกนางนวล การกลบรอยเท้าตัวเอง เพื่อไม่ให้นักล่าเห็นร่องรอย
ที่สำคัญ คยาเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดโดยลำพังคนเดียว เพราะไม่นานหลังจากเธอได้ไปโรงเรียน พ่อของเธอก็กลายเป็นคนสุดท้ายที่ในครอบครัวที่หายตัวไปจากกระท่อมและไม่กลับมาอีกเลย
คยาเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตโดยมีนกนางนวลเป็นเพื่อน เรียนรู้ที่จะเก็บของป่าเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินและข้าวของสำหรับประทังชีวิต ขณะที่ชาวเมืองส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตัวคนเดียวของคยา แต่เธอก็ได้เรียนรู้อีกว่า ผู้คนไม่ได้ใจร้ายเหมือนกันทุกคน
จั๊มปิ้นและเมเบิ้ล สามีภรรยาผิวสี ผู้เป็นเจ้าของร้านชำเล็กๆ ที่คยาเคยแวะเวียนไปซื้อน้ำมันเติมเรือ คือคนที่รับซื้อหอยแมลงภู่ และปลารมควัน ที่คยานำมาขาย
แม้ว่าจั๊มปิ้นและเมเบิ้ลจะเป็นคนดีมีน้ำใจ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า การที่สองสามีภรรยารักและคอยเป็นห่วงเป็นใยเธอ เพราะทั้งคู่เป็นคนผิวสี ที่ถูกปฏิบัติอย่างแตกต่างในยุคนั้น ไม่ต่างไปจากเด็กบึงอย่างคยา
มีแต่คนที่เป็นเหยื่อของอคติเหมือนกัน จึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถึงความรู้สึกของการถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเหมือนกัน
นอกจากนี้ คยายังได้เรียนรู้ในเรื่องความรัก
เทต คือ เด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าเธอไม่กี่ปี เขารักธรรมชาติ ชอบใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากธรรมชาติเช่นเดียวกับคยา ทั้งคู่ได้รู้จักกันและกลายเป็นมิตรกัน
เทตสอนให้คยารู้จักสะกดคำ โดยไม่หัวเราะใส่หน้าเวลาเธอสะกดผิด สอนให้เธออ่านหนังสือ เขียนหนังสือ เขียนบทกวี และสอนให้เธอรู้จักความรัก
แต่เทตอีกเช่นกัน ที่สอนให้คยารู้จักความผิดหวังจากความรัก เมื่อเขาจากไปเรียนมหาวิทยาลัย และไม่ได้กลับมาหาเธอตามคำสัญญา
คยาเรียนรู้ว่า ถึงหัวใจจะแตกสลาย แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป บาดแผลในใจ อาจทำให้เธอเจ็บปวด แต่มันก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
แต่บางครั้งชีวิตก็ดำเนินไปในเส้นทางที่บิดเบี้ยว คยาพบรักครั้งใหม่กับเชส ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ลูกชายผู้ดีของเมือง ขณะที่เทต ซึ่งหวนกลับมาคืนดีกับเธออีกครั้ง พยายามเตือนว่า เชสไม่ใช่คนที่รักและจริงใจกับเธอ แต่คยาไม่เชื่อ
และเป็นอีกครั้งที่คยาได้เรียนรู้ถึงความเลวร้ายของคน คนที่ใช้ความรักเป็นเครื่องมือหลอกลวงคนอื่น เพื่อสนองความต้องการและอัตตาของตัวเอง
หลังพบความจริงว่า เชสกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เขาคบกับเธอแค่เพราะเห็นเธอเป็นของเล่นแปลกใหม่ คยาบอกเลิกกับเชส แต่เชสยังตามรังควานเธอไม่หยุด ไม่ต่างจากสัตว์นักล่าที่สะกดรอยตามเหยื่อ เพื่อเล่นกับเหยื่อ ก่อนจะลงมือฆ่าและกินเป็นอาหาร
สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เชสตกจากหอคอยสูงเสียชีวิต ร่างของเขาถูกพบอยู่ริมบึง ไม่มีร่องรอยบุคคลอื่น ตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นอุบัติเหตุพลัดตกจากหอคอยสูง แต่ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น อัยการตัดสินใจส่งฟ้องคยา ในข้อหาฆาตกรรมเชส แม้ว่าจะไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน นอกเสียจากเสียงซุบซิบนินทา และข่าวลือที่แพร่สะพัดในเมืองว่า หญิงสาวชาวบึง ผู้แปลกแยกและแตกต่างจากคนอื่น คือฆาตกรสังหารเชส เพราะแค้นใจที่เขาทิ้งเธอไปแต่งงานกับคนอื่น
ในการแถลงปิดคดี ทอม มิลตัน ทนายความของคยา กล่าวไว้ว่า
“เราเรียกเธอว่าเด็กบึง บางคนซุบซิบว่าเธอเป็นครึ่งหมาป่า ทว่าในความเป็นจริง เธอก็เป็นแค่เด็ก พยายามเอาชีวิตรอดอยู่ในบึง หิวโหยและหนาวเหน็บ ยกเว้นจั๊มปิ้น หนึ่งในเพื่อนไม่กี่คนของเธอแล้ว ไม่มีใครหยิบยื่นอาหารหรือเสื้อผ้าให้เธอ ตรงกันข้ามเรากลับตราหน้าและปฏิเสธเธอเพราะคิดว่าเธอแตกต่าง”
คำแถลงของมิลตัน อาจฟังดูเหมือนโวหารเรียกความสงสาร แต่มันคือความจริง เพราะคดีนี้ไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน มีเพียงทฤษฎีความเป็นไปได้ และข้อสงสัยจากเสียงซุบซิบนินทา ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็มาจากอคติของชาวเมืองที่มีต่อชาวบึง คนที่แตกต่างจากพวกเขาอย่างลิบลับ
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ที่ความแตกต่างมักทำให้เราไม่เข้าใจกัน และความไม่เข้าใจกัน ก็มักทำให้เราปิดกั้นเพื่อป้องกันตัว จนกลายเป็นอคติที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ แต่ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น การเลือกปฏิบัติ กลับยิ่งตอกย้ำความแตกต่าง และความแตกต่างก็นำไปสู่ความไม่เข้าใจ หมุนวนต่อไปไม่สิ้นสุด
อย่างไรก็ดี ในเรื่องนี้ ท้ายที่สุด คยาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา คยาและเทตร่วมกันใช้ชีวิตในกระท่อมริมบึง เทตทำงานเป็นนักนิเวศวิทยาที่ศูนย์วิจัยใกล้บ้าน ส่วนคยากลายเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จากผลงานการศึกษาธรรมชาติและชีวิตสัตว์ป่า และกลายเป็นคนสำคัญของเมืองบาร์คลีย์โคฟ เมืองซึ่งเธอแทบจะไม่เคยไปเหยียบอีกเลย
เรื่องราวของคยาในหนังสือ Where the crawdads sing (ซึ่งแปลตรงๆ ว่า ที่ที่กุ้งเครย์ฟิชร้องเพลง) อันหมายถึงสถานที่ที่ยังเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ทิ้งประเด็นให้เราได้ขบคิดมากมาย แต่สิ่งที่ผมสนใจและหยิบมาเขียนถึงในบทความชิ้นนี้ ก็คือ การเรียนรู้ ซึ่งไม่มีขีดจำกัดใดๆ ขอแค่มีใจรักที่จะเรียนรู้ก็พอ
คยาไม่ได้เข้าเรียนในระบบการศึกษา โชคดีที่เธอได้เรียนหนังสือจากเทต แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่าโชค ก็คือ ‘ความใฝ่รู้ในตัวเอง’ เธอขวนขวายที่จะเรียนรู้จากทุกสิ่ง เธอเรียนรู้การเขียนบทกวีจากเทต เรียนรู้การค้าขายจากจั๊มปิ้น รวมทั้งเรียนรู้เรื่องความโหดร้ายและการอยู่รอดจากธรรมชาติ
อดคิดไม่ได้ว่า หากคยาได้เข้าเรียนในโรงเรียนต่อไป เส้นทางชีวิตของเธอน่าจะแตกต่างไปจากนี้ แน่นอน มันอาจไม่พลิกผันกลายเป็นเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบหรอก แต่อย่างน้อย ความแปลกแยกของคยาในสายตาชาวเมืองอาจลดน้อยลงกว่านี้ เพราะอย่างน้อยเธอก็จะมีสถานภาพนักเรียนร่วมโรงเรียนเดียวกับเด็กคนอื่นๆ
ในตอนต้นของบทความ ผมเขียนไว้ว่า การศึกษาช่วยสร้างโอกาส สร้างงานและรายได้ให้แก่คน ซึ่งคยาไม่มีสิ่งเหล่านี้ เพราะเธอไม่ผ่านการศึกษาตามระบบ แต่ด้วยการเรียนรู้ ทำให้เธอสามารถปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เธอสร้างโอกาส สร้างงาน สร้างรายได้ด้วยตนเอง
และด้วยการเรียนรู้ ทำให้ชีวิตของคยา เติบโตอย่างแข็งแกร่งและงดงาม ท่ามกลางธรรมชาติและผู้คน ซึ่งมีความโหดร้ายไม่แพ้กัน