- The Good Bad Mother ซีรีส์เกาหลีที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่าง ‘ยองซุน’ แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เข้มงวด กับ ‘คังโฮ’ ลูกชายที่ถูกแม่ขีดเส้นทางชีวิตให้เป็นอัยการ จนต้องแลกด้วยชีวิตวัยเด็กที่ไร้ความสุขเพราะถูกบีบคั้นอย่างหนัก
- จุดพลิกผันเกิดขึ้นเพื่อคังโฮประสบอุบัติเหตุ เขากลับไปมีสมองเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ยองชุนจึงต้องทำหน้าที่แม่อีกครั้ง และแม้เธอจะดูอ่อนโยนมากขึ้น แต่ก็ยังคงพยายามบงการชีวิตลูก กระทั่งวาระสุดท้ายมาถึง เธอจึงตระหนักว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว
- ในชีวิตจริง ไม่ใช่ทุกครอบครัวจะมีเหตุการณ์พลิกผันมาสะกิดให้พ่อแม่หันกลับมาทบทวนตัวเอง ความจริงที่ลูกหลายคนต้องยอมรับคือ ไม่มีคำขอโทษ และไม่มีปาฏิหาริย์ใดที่จะลบล้างบาดแผลได้ นอกจากความเข้าใจที่ใช้ปลอบประโลมตัวเองว่า พ่อแม่ก็คือมนุษย์คนหนึ่งที่ผิดพลาดได้
ตอนเป็นเด็ก เราต่างถูกปลูกฝังให้รู้จักกตัญญูต่อพ่อแม่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าพ่อแม่คือคนที่รักและหวังดีกับลูกมากที่สุด แต่เมื่อโตขึ้น ผมกลับพบว่า ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่จะเป็นเซฟโซนให้ลูกได้ ซ้ำร้ายยังอาจแสดงออกในทางตรงกันข้ามด้วยซ้ำ
พ่อแม่ของผมก็เช่นกัน พวกท่านรักผมที่สุด แต่ความรักก็ปะปนด้วยความผิดพลาดแบบที่มนุษย์ทุกคนมี อาจจะพิเศษหน่อยตรงที่มนุษย์พ่อแม่กลับมีพลังอำนาจราว ‘พระเจ้า’ ที่สามารถกำหนดเส้นทางชีวิตวัยเด็กของลูกได้เกือบทั้งหมด จนเผลอทำสิ่งที่เป็นการทำร้ายผมในบางครั้ง โดยเฉพาะการใช้ความรุนแรงทั้งต่อร่างกายและจิตใจที่ผมไม่ชอบเลย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็รู้ว่าท่านรักผมสุดหัวใจ
ประสบการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้ผมอินกับ The Good Bad Mother (나쁜 엄마 แปลว่า แม่ที่ไม่ดี) ซีรีส์ที่บอกเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ ‘ยองซุน’ แม่เลี้ยงเดี่ยวผู้เข้มงวด และ ‘คังโฮ’ ลูกชายที่ถูกแม่ขีดเส้นทางชีวิตให้เป็นอัยการ ด้วยความหวังว่าจะมีอนาคตที่ดีกว่าตัวเอง ความสำเร็จของเขาจึงแลกมากับวัยเด็กที่ถูกบีบคั้นจนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ
กระทั่งอุบัติเหตุร้ายแรงทำให้คังโฮสูญเสียความจำ และกลับไปมีสมองเหมือนเด็กเจ็ดขวบ โชคชะตาจึงพาสองแม่ลูกกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหลังห่างเหินกันมานาน
ซีรีส์ค่อยๆ เปิดเผยว่า ก่อนจะเป็นแม่ใจร้าย ยองซุนเคยเป็นผู้หญิงอ่อนโยน สดใส มองโลกในแง่ดี และอยากเลี้ยงลูกให้เป็นศิลปินด้วยซ้ำ
“จะเป็นลูกสาวหรือลูกชายแล้วยังไงล่ะคะ ฉันแค่อยากคลอดลูกออกมาให้แข็งแรง แล้วจะเลี้ยงลูกให้เป็นจิตรกรค่ะ จริงๆ ฉันฝันอยากเป็นจิตรกรค่ะ พ่อแม่ฉันเสียไประหว่างที่ฉันเตรียมตัวสอบเข้าโรงเรียนศิลปะ ฉันเลยล้มเลิกความฝันไป แต่ฉันรู้สึกว่าลูกของฉันจะวาดรูปเก่งเหมือนฉันยังไงไม่รู้ค่ะ”
แต่ชีวิตก็ไม่ง่ายดั่งฝัน การสูญเสียสามีอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ยองซุนต้องหอบลูกในท้องหนีไปยังชนบทห่างไกลเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทั้งยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หญิงสาวใจดี ค่อยๆ ถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นคุณแม่ใจร้ายที่ใช้ความเจ็บปวดของตัวเองเป็นกรอบบังคับอนาคตของลูก
คังโฮถูกกดดันให้เรียนเก่งที่สุด โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่แม่วางไว้ คือการเป็นอัยการที่ร่ำรวยและมีอำนาจ เขาไม่เคยออกไปทัศนศึกษาหรือสังสรรค์กับเพื่อนๆ แม้แต่การกินข้าวอิ่มก็เป็นความผิด เพราะแม่เชื่อว่าถ้ากินอิ่มจะทำให้ง่วงและไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ
ที่บีบหัวใจคือคังโฮมีพรสวรรค์ด้านศิลปะเหมือนกับแม่ ทั้งยังเคยประกวดได้รางวัลจากการประกวดศิลปะเยาวชนระดับประเทศ แต่แม่ไม่เพียงไม่ยินดี แต่ยังเอาผลงาน รวมถึงประกาศนียบัตรไปเผาทิ้งด้วยความโกรธ
แน่นอนว่าคังโฮก็เคยถามแม่ของเขาตรงๆ ถึงภาระที่ต้องแบก แต่น่าเสียดายที่ยองซุนไม่ฟังและไม่คิดจะประคับประคองความรู้สึกลูก เธอบอกเพียงสั้นๆ ว่า ถ้าอยากหลุดพ้นจากแม่จอมบงการ เขาก็ต้องไปเป็นอัยการให้ได้ก่อน
“มันเป็นชีวิตของแม่ต่างหาก ผมเบื่อและรำคาญเต็มทนแล้ว ผมอึดอัดจนหายใจไม่ออกเลยครับ ทำไมแม่ถึงกำหนดชีวิตของผม แล้วทำให้ผมทุกข์ด้วยครับ มันเป็นความผิดของผมเหรอครับที่พ่อตายอย่างไม่เป็นธรรม
…ใช่แล้ว แม่น่ะร้ายจริงๆ ครับ ทำไมผมต้องทำชีวิตตัวเองพัง เพราะคนอื่นเหรอครับ ก็แม่บอกให้ผมใช้ชีวิตแบบนั้นไงครับ ให้ผมโตเป็นคนมีอำนาจและความสามารถ แล้วช่วยเหลือคนเดือดร้อนและไม่มีอำนาจ แต่มันไม่ใช่เลย แม่ก็แค่รู้สึกไม่ยุติธรรมที่ตัวเองโดนกระทำเพราะไม่มีอำนาจ และต้องการใช้ผมเพื่อที่จะมีอำนาจนั้น แม่ต้องการเลี้ยงผมให้เป็นคนเอาแต่ได้ ไม่ต่างอะไรจากคนที่ทำให้พ่อต้องตาย ผมเข้าใจแล้ว ผมจะทำแบบนั้นให้เองครับ”
ในฐานะของลูกที่เคยถูกกำหนดเส้นทางชีวิต ผมเข้าใจดีว่าพ่อแม่ไม่ได้อยากใจร้ายหรือกดดันบังคับลูก พวกท่านเพียงทำในสิ่งที่คิดว่า ‘ดีที่สุด’ และมักทำตามแบบแผนที่ตัวเองเคยได้รับ แม้ว่าวิธีนั้นจะเต็มไปด้วยบาดแผลก็ตาม
พอมนุษย์พ่อแม่เชื่อว่าตัวเอง ‘รักและหวังดีกับลูกที่สุด’ เหตุผลนี้จึงเป็นใบอนุญาตอันชอบธรรมให้ทำทุกอย่างได้ ตั้งแต่การสร้างกฎระเบียบ การเข้มงวดกวดขัน การตี การดุด่า หรือแม้แต่การขู่ เพื่อสร้างความอดทนให้ลูก ราวกับความลำบากในวันนี้…จะนำลูกไปสู่ความสุขสบายในวันหน้า ซึ่งอาจจะจริงสำหรับเด็กบางคน แต่ต้องไม่ลืมว่าเด็กแต่ละคนต่างมีพื้นฐานจิตใจที่ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่แม่อย่างยองซุน และแม้แต่พ่อแม่ของผม มักมองข้ามคือ ‘การจัดการอารมณ์’ ของตัวเอง เมื่อพ่อแม่ไม่รู้วิธีดูแลความเหนื่อย ความเครียด ความกลัว ความโกรธ และบาดแผลเก่าๆ ที่ไม่เคยได้รับการเยียวยา อารมณ์เหล่านั้นจึงรั่วไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว และค่อยๆ ผสมลงในความรักต่อลูกทีละน้อย จนในที่สุด ความรักที่ควรจะโอบอุ้มก็ถูกเคลือบด้วยยาพิษบางๆ และเป็นยาพิษหยดเล็กๆ เหล่านั้นเองที่ค่อยๆ ซึมลงในใจใจลูกวันแล้ววันเล่า จนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ฝังลึก…โดยที่ทั้งสองฝ่ายอาจไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ทว่า ซีรีส์ได้สร้างจุดเปลี่ยนที่ทำให้แม่ได้กลับมาทบทวนตัวเอง เมื่อคังโฮมีสถานะเหมือนเด็กเจ็ดขวบ ยองซุนต้องเริ่มบทบาทแม่ใหม่อีกครั้ง ก่อนเธอจะได้รับรู้ว่า ลูกชายเคยเป็นอัยการที่รับสินบน ซึ่งในตอนแรกยองชุนโยนความผิดทั้งหมดให้ลูกชาย ราวกับความบิดเบี้ยวที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเขาเพียงลำพัง ทั้งที่ความจริงแล้ว ตัวเธอคือส่วนสำคัญที่หล่อหลอมคังโฮให้กลายเป็น ‘ปีศาจ’ แบบที่เธอรังเกียจ
“ฉันขังแกไว้ในเล้าหมูและบังคับให้แกหายใจไม่ออก เอาแต่สั่งให้แกเรียน เรียน เรียน แล้วก็เรียน ฉันตั้งใจให้แกรวยและเป็นคนมีอำนาจ แต่กลับทำให้เป็นปีศาจไร้หัวใจแทน”
ในโอกาสครั้งที่สอง ภาพยองซุนถูกนำเสนอให้ดูอ่อนลงจนดูเหมือนเธอเป็นแม่ที่มีเหตุผลมากขึ้น แต่ความจริงแล้ว เธอยังคงเป็นแม่จอมบงการในแบบที่เคยเป็น เธอบังคับให้คังโฮเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการฟาร์มหมูเพื่อสืบทอดกิจการ ฝึกกายภาพบำบัดด้วยวิธีการสุดโต่ง…ถึงขั้นโยนเขาลงน้ำเพื่อให้เอาตัวรอดเอง และพยายามคลุมถุงชนกับหญิงสาวแปลกหน้า โดยไม่สนใจว่าเขามีความชอบอะไร รู้สึกอย่างไร หรือกำลังแอบรักใครอยู่
“ผมทำตามที่แม่สั่งทุกอย่างแล้วไงครับ ทั้งกินข้าวเยอะๆ ตั้งใจออกกำลังกาย ขยับมือ ขยับขาได้แล้วนะครับ ทั้งกินยา ทั้งฝังเข็ม ที่ผ่านมาผมทั้งเจ็บปวดและเหนื่อยมากๆ ตอนที่แม่โยนผมลงไปในน้ำ ผมกลัวมากจริงๆ แต่ผมก็อดทนไว้ครับแม่ เพราะแม่มีความสุข ผมอยากให้แม่มีความสุข แต่ทำไมแม่ไม่ให้ผมทำในสิ่งที่ชอบล่ะครับ ทำไมทำตามใจแม่ตลอด เพราะในสายตาแม่ ก็เห็นผมเป็นคนบื้อเหรอครับ”
ขณะเดียวกัน สิ่งที่บีบหัวใจที่สุดก็เกิดขึ้น นั่นคือความจริงที่ว่า พ่อแม่จำนวนมากมัก ‘คิดได้’ ในวาระสุดท้ายของชีวิต เหมือนกับอีพีสุดท้ายที่ยองซุนเขียนจดหมายสั่งเสียถึงลูก ซึ่งทำให้ผมร้องไห้ เพราะมันคือความจริงอันเจ็บปวดของหลายครอบครัว
“ถึงคังโฮ ลูกที่รักของแม่
จำจดหมายฉบับแรกที่ลูกเขียนให้แม่ได้ไหม “ถึงแม้กายเราจะอยู่ห่างไกลกัน แต่หัวใจของผมยังคงอยู่ในความทรงจำที่ผมมีร่วมกับคุณพ่อคุณแม่เสมอ” ตอนที่ลูกอ่านจดหมายฉบับนี้ แม่เองก็คงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน คังโฮ ตัวอักษรจีนที่แปลว่า ‘สายใย’ ในคำว่า โชคชะตา ลูกรู้ไหมว่ามันประกอบไปด้วยคำว่า เส้นด้าย และ หัวหมู สายใยของคนมันยากพอๆ กับการใช้เส้นด้ายผูกคอหมูแล้วจูงมันเดินยังไงล่ะ และแม่กับลูกก็ได้มาเป็นแม่ลูกกันด้วยสายใยนั้น
โชคชะตาที่ล้ำค่าแบบนี้ แม่ก็อยากเป็นแม่ที่ดีกว่าใคร แต่ชีวิตมีเพียงหนเดียว และแม่ก็เพิ่งเคยเป็นแม่คนครั้งแรก แม่ขอโทษที่ยังบกพร่องและทำได้ไม่ดีนะ
เมื่อกี้แม่ขอพรตอนเป่าเทียนด้วยล่ะ ขอให้แม่ได้เกิดมาเป็นแม่ของลูกอีกครั้ง ถ้าเป็นจริงได้ แม่ก็จะทำให้ดีกว่านี้ แม่จะไม่ห้ามไม่ให้ลูกเศร้าที่ไม่มีพ่อ แม่จะไม่หลอกลูกว่า ผลการเรียนคือทุกอย่างของชีวิต แม่จะไม่เพิกเฉยที่ลูกมีพรสวรรค์ในการวาดรูป แม่จะไม่เสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาของลูกที่อยากกินข้าวอีกคำ แม่จะไม่ฝืนกลั้นน้ำตาเมื่อเห็นลูกเจ็บ ถ้าลูกล้ม แม่จะคอยช่วยพยุงขึ้นมาเอง ถ้าลูกกลัว แม่จะกอดลูกเอง จะบอกว่า ลูกเก่งมาก ขอบใจ และแม่รักลูก กับลูกทุกๆ วันเอง และแม่จะไม่รีบจากไปแบบนี้ แม่รักลูกนะ ลูกชายของแม่…แล้วมาเจอกันใหม่ ในวันที่คำอธิษฐานของแม่เป็นจริงนะ
จากแม่ร้ายๆ ”
หลังได้ฟังข้อความจากจดหมายฉบับนั้น ผมได้แต่นั่งเงียบและสะอื้นในใจ เพราะไม่ว่าพ่อแม่จะรักลูกอย่างไร้ทักษะ รักลูกโดยที่แบกบาดแผลเดิมมาผลิตซ้ำเป็นบาดแผลใหม่ หรือรักลูกด้วยความเชื่อว่าความรุนแรงคือความหวังดี…เหมือนยาขมที่ช่วยให้ลูกแข็งแรง แต่ทั้งหมดนี้กลับทำร้ายและกัดเซาะความสัมพันธ์ในครอบครัวครั้งแล้วครั้งเล่า
ยิ่งในชีวิตจริง ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะได้ ‘โอกาสครั้งที่สอง’ แบบแม่ของคังโฮ และไม่ใช่ทุกครอบครัวจะมีเหตุการณ์พลิกผันบางอย่างมาสะกิดให้พ่อแม่หันกลับมาทบทวนตัวเอง ความจริงที่หลายคนต้องยอมรับคือ ไม่มีคำขอโทษ ไม่มีฉากสำนึกผิด และไม่มีปาฏิหาริย์ใดที่จะลบล้างบาดแผลได้ในชั่วข้ามคืน
แม้มันจะเจ็บปวดและดูไม่ยุติธรรมที่ผู้ถูกทำร้ายต้องเป็นคนเยียวยาตัวเอง แต่ในท้ายที่สุด เราในฐานะลูกคือคนที่ต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยพ่อแม่และรับมือกับบาดแผลนั้นด้วยตัวเอง เพราะพ่อแม่ทำดีที่สุดเท่าที่ท่านจะทำได้แล้ว การให้อภัยจึงไม่ใช่เพื่อปลอบใจใคร หากเป็นการปลดปล่อยตัวเราเองให้หลุดออกจากวงจรเดิมๆ โดยไม่ยอมให้บาดแผลเก่ากลายเป็นตัวกำหนดชีวิตที่เหลือ พร้อมลุกขึ้นก้าวข้ามมันด้วยหัวใจที่รักและเห็นคุณค่าในตัวเอง เหมือนที่พระไพศาลกล่าวไว้ว่า
“การให้อภัยมิได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เจ็บปวด แต่หมายถึงการไม่ยอมให้เหตุการณ์เหล่านั้นมาทำร้ายเรา ผู้ที่รู้จักให้อภัยคือผู้ที่ยังจดจำอดีตอันไม่น่าพิสมัยได้ แต่แทนที่จะปล่อยให้อดีตนั้นมากระทำย่ำยี กลับเอาชนะมันได้และสามารถนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อเป็นบทเรียน…แต่บทเรียนนั้นควรมีไว้ เพื่อการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง มิใช่ชวนให้หวนคิดถึงเรื่องราวข้างหลังด้วยความเจ็บปวด”