- The Edge of Seventeen เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนว Coming Of Age ในปี 2016 บอกเล่าเรื่องราวของเนดีน นักเรียนชั้นม.5 ที่มีนิสัยแข็งกระด้าง และไม่มีใครอยากคบ
- เนดีนกำลังเผชิญหน้ากับความรู้สึกเคว้งคว้าง ว่างเปล่า และไร้ที่พึ่ง เธอรู้สึกว่าไม่มีใครในครอบครัวที่เป็นพื้นที่ปลอดภัย ส่วนเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวก็ไปคบกับพี่ชายที่เธออิจฉามาตลอดชีวิต
- ภาพยนตร์เรื่องนี้บอกผมว่า การเติบโตจึงไม่ใช่แค่การฝ่าฟันเพื่อให้ผ่านพ้นเรื่องร้าย แต่ยังเป็นการได้หันกลับมาทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างซื่อสัตย์ เพื่อจะได้เยียวยาบาดแผลให้ถูกที่ และให้โอกาสตัวเองก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งกว่าเดิม
“ตอนประมาณ ป.2 ฉันตระหนักได้ว่าในโลกนี้มีคนอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตโดยธรรมชาติ และประเภทที่หวังว่าคนเหล่านั้นจะตายในระเบิดครั้งใหญ่”
คำพูดของ ‘เนดีน’ นางเอกวัย 17 ปีใน The Edge of Seventeen เปิดเผยตั้งแต่ต้นเรื่องให้ผมเห็นตัวตนของเธอในฐานะวัยรุ่นที่เปราะบาง เต็มไปด้วยการประชดประชัน และความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในสังคมที่เต็มไปด้วยการเปรียบเทียบ
ตั้งแต่เด็ก เนดีนต้องอยู่ใต้เงาของ ‘เดเรี่ยน’ ผู้เป็นพี่ชายมาตลอด เธอมักถูกเปรียบเปรยว่า “พี่ชายคือคนที่ได้รับส่วนที่ดีที่สุดจากพ่อแม่ ต่างกับเธอที่ได้แค่เศษเหลือ” และไม่ว่าจะอยู่บ้านหรือที่โรงเรียน พี่ชายของเธอดูจะเป็นศูนย์กลางความใส่ใจของทุกคน ดังนั้นการที่เนดีนจะรู้สึกอิจฉาเขาจึงไม่แปลกอะไร
ความเปราะบางของเนดีนยิ่งถูกตอกย้ำ เมื่อเธอต้องเผชิญกับการกลั่นแกล้งรังแกจากเพื่อนๆ ตั้งแต่เรียนประถม ทำให้เธอค่อยๆ ถอยห่างจากสังคม แต่โชคยังดีที่เธอมี พ่อ และ คริสต้า เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่อยู่เคียงข้างเธอมาตลอด
ในฐานะภาพยนตร์ Coming of Age เนดีนต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อหลักใจที่บ้านอย่างพ่อจากไปตอนเธออายุ 13 ปี เหตุการณ์นั้นนำเธอเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าจนต้องพึ่งยารักษาเรื่อยมา และหลังจากนั้น 4 ปี คริสต้าก็ดันไปคบกับเดเรี่ยน ทำให้เนดีนในวัย 17 ปี รู้สึกเคว้างคว้าง ว่างเปล่า และไร้ที่พึ่ง
สำหรับวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่เคยผ่านวัยนั้นมา ย่อมตระหนักว่านี่คือช่วงชีวิตที่เราต่างโหยหาการยอมรับและให้ความสำคัญกับเพื่อนที่สุด ดังนั้นเนดีนที่มีเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวจึงเสียศูนย์ได้ง่าย ซึ่งในมุมนี้อาจมีคนที่มองว่าเนดีนนั่นแหละคือตัวปัญหา เพราะเธอทำตัวเป็นพวกชอบบงการราวกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคริสต้า ทั้งที่คริสต้าเองก็ต้องเติบโตขึ้นและมีสังคมใหม่ๆ เพื่อเปิดประสบการณ์ให้กับชีวิต
แต่หากมองลึกลงไป เราจะเห็นว่ามันคือวิธีการที่เนดีนยึดโยงตัวเองเข้ากับความสัมพันธ์เพื่อยืนยันว่าตนเองยังมีคุณค่าบางอย่างหรือเป็นที่รักของใครสักคนอยู่
เมื่อมองผ่านสายตาของเนดีน มันก็พอเข้าใจได้ว่าคนเรามักผูกใจไว้กับสิ่งที่เราทุ่มเทลงไป โดยเฉพาะเนดีนที่คิดว่าเธอได้ทุ่มเทความจริงใจทั้งหมดให้กับคริสต้า เธอจึงคาดหวังว่าเพื่อนจะซื่อสัตย์และตอบแทนเธอในแบบเดียวกัน ซึ่งประสบการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะตัวผมเองก็เคยมีประสบการณ์คล้ายกัน คือการทำดีต่อเพื่อนทุกอย่างด้วยความจริงใจ แต่สุดท้ายกลับถูกนินทาลับหลังราวกับผมเป็นตัวร้ายอันดับหนึ่ง
สิ่งสำคัญในกรณีนี้ ไม่ใช่การค้นหาความจริงว่าใครถูก-ใครผิด เพราะสารหลักที่ผู้กำกับต้องการสื่อผ่านภาพยนตร์ นั่นคือบทเรียนชีวิตที่พี่ชายและแม่มักบอกกับเนดีนว่า “แกต้องผ่านเหตุการณ์นี้ไปด้วยตัวเอง” แน่นอนว่าคำพูดเรียบง่ายนี้ อาจฟังดูแล้วโหดร้าย ไร้ความรับผิดชอบ และงี่เง่าสิ้นดี เพราะมันเหมือนกับการบอกว่าแม้โลกจะไม่ยุติธรรมและคนอื่นอาจทำร้ายเราได้ทุกเมื่อ แต่สุดท้ายเราต่างมีหน้าที่ที่ต้องดูแลและเยียวยาตัวเองอยู่ดี
ในความเป็นจริง หัวใจสำคัญของการเติบโตคือการเยียวยาบาดแผลในใจด้วยตัวเอง ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำให้เกิดขึ้น
การเยียวยาแผลใจนี้อาจเริ่มต้นด้วยการยอมรับว่ามันมีอยู่จริงและเราต้องอยู่กับมันให้ได้ ไม่ใช่กลบทับหรือซุกมันไว้ และถ้าเราไม่สามารถพาตัวเองก้าวผ่านความเจ็บปวดนั้นได้ การหาใครสักคนที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยของเรา หรือแม้แต่การพบจิตแพทย์ นักจิตบำบัด ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง
ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยยังไม่พร้อมสำหรับกระบวนการเยียวยาเหล่านี้ และมักเลือกทางออกชั่วคราวที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและสะใจกว่า เช่น การรวมกลุ่มเป็นอันธพาลบนท้องถนนเพื่อเรียกร้องความสนใจ การเสพยาเสพติด หรือแม้แต่ในกรณีของเนดีนคือการหาแบดบอยสักคนมามีความสัมพันธ์ด้วย ซึ่งทั้งหมดมักจะสร้างปัญหาใหม่มากกว่าที่จะมุ่งแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา
ผมยังจำฉากที่เนดีนหนีออกจากบ้านกลางดึกเพื่อไปหาหนุ่มแบดบอยตามนัด จนแม่เป็นกังวลแทบตาย รวมถึงพี่ชายที่ต้องขับรถออกตามหาเธอทั้งคืน ซึ่งผู้กำกับก็ไม่ได้ใจร้ายเกินไป เพราะเขายังเปิดพื้นที่ให้เนดีนค้นพบว่า แม้โลกใบนี้จะไม่ยุติธรรม หรือครอบครัวของเธอจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาก็ยังรักและห่วงใยเธอที่สุด และมันทรงพลังยิ่งขึ้น เมื่อพี่ชายเผยความในใจหลังถูกเนดีนก่นด่าว่าเขาตามหาเธอเพราะอยากสร้างภาพเป็นฮีโร่ของครอบครัว
“ใช่ แกพูดถูกทุกอย่าง ฉันไม่ได้สนใจอะไรแกเลย ฉันมาที่นี่เพื่อตัวฉัน และชีวิตฉันมันก็โคตรเหลือเชื่อ ฉันชอบมาก ไม่สิ ฉันชอบที่ได้ใช้เวลาคืนอื่นๆ คุยกับแม่ถึงเรื่องเจ๋งๆ ฉันชอบที่ได้สมัครอยู่โรงเรียนใกล้ๆ เพราะว่าใครจะรู้ล่ะว่าอะไรจะเกิดขึ้นในบ้าน ถ้าฉันไม่อยู่ใกล้ๆ แล้วแก้ไขมัน และฉันชอบที่มีคนๆ นึงทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฉันได้หายใจบ้าง ฉันก็มีไม่ได้โดยที่ไม่ได้ทำลายแกอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นแกพูดถูก มันคือระเบิด และฉันเป็นผู้ชนะ”
หลังจากเนดีนได้ยินความในใจของพี่ชาย เธอก็เริ่มสำนึกผิดถึงการกระทำที่ผ่านมา พร้อมกับตัดสินใจขอโทษพี่ชายในคืนเดียวกัน ซึ่งพี่ชายไม่ได้ทำอะไรนอกจากตั้งใจรับฟังและดึงน้องเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
“ฉันแค่อยากจะบอกว่า ฉันขอโทษที่ทำตัวเป็นอีบ้าคืนนี้ ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และก็ 17 ปีก่อนหน้านั้น ฉันว่ารู้นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพี่ ฉันรู้แล้ว ฉันคิดว่ามันเป็นความบ้าของฉันที่ชอบคิดว่า ฉันเป็นคนเดียวที่มีปัญหาจริงๆ เหมือนว่านั่นทำให้ฉันพิเศษ
รู้ไหมตั้งแต่เรายังเด็ก ฉันจะมีความรู้สึกเหมือนว่า ฉันลอยอยู่นอกร่างของฉัน กำลังมองตัวเองอยู่ และฉันเกลียดสิ่งที่ฉันเห็น ฉันแสดงออกแบบที่ฉันเห็นได้ยังไง และฉันไม่รู้วิธีที่จะเปลี่ยนแปลง และฉันก็กลัวมากที่ความรู้สึกนั้นไม่เคยหายไป ฉันขอโทษจริงๆ”
เมื่อชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ผมรู้สึกว่าทั้งเนดีน คริสต้า หรือแม้แต่ตัวผมเอง ต่างก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีความทุกข์ พร้อมกับพยายามประคับประคองชีวิตและหัวใจในโลกที่ดูไม่ยุติธรรมและสู้กลับอยู่เสมอ ดังนั้นการเติบโตจึงไม่ใช่แค่การฝ่าฟันเพื่อให้ผ่านพ้นเรื่องร้าย แต่ยังเป็นการได้หันกลับมาทบทวนสิ่งต่างๆ อย่างซื่อสัตย์ เพื่อจะได้เยียวยาบาดแผลให้ถูกที่ และให้โอกาสตัวเองก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งกว่าเดิม