- Sorry, Baby (ยิ้มไว้…ในวันที่โลกไม่สวย) เป็นภาพยนตร์อเมริกันดรามาจากค่ายสตูดิโอ A24 ที่กำกับ เขียนบท และแสดงนำโดยนางเอกยิ้มหวาน ‘เอวา วิคเตอร์’
- ภาพยนตร์ถ่ายทอดช่วงเวลาอันหนักหน่วงในชีวิตของแอกเนสหลังถูกทำร้ายโดยคนที่เคารพและไว้ใจ ผ่านการดำเนินชีวิตทั่วๆ ไป ทว่ากลับทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสับสนและเจ็บปวดที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ในใจ
- แม้จะผูกปมเรื่องไว้ที่ Sexual Harassment แต่ภาพยนตร์ไม่ได้เน้นดรามาหนักหน่วง กลับใช้การเล่าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมีมิตรภาพที่หนักแน่นระหว่างแอกเนสและลิดี้คอยประคับประคองให้เธอผ่านพ้นความรู้สึกอันเลวร้ายไปได้
[บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์]
“ถ้าวันหนึ่งหนูรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะด้วยดินสอ มีด หรืออะไรก็ตาม หนูบอกน้าได้เลยนะ น้าจะไม่บอกว่าหนูทำให้น้ากลัว น้าจะพูดว่า อืม…น้าเข้าใจ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ บางทีน้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
คำพูดที่แสดงความเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกของคนที่กำลังอยู่ในภาวะจิตตก จากภาพยนตร์อเมริกันดรามาเรื่อง Sorry, Baby (ยิ้มไว้…ในวันที่โลกไม่สวย) ที่กำกับ เขียนบท และแสดงนำโดยนางเอกยิ้มหวาน เอวา วิคเตอร์ ในบท ‘แอกเนส’ สาววัย 29 ปี เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนต้องพบเจอ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นความสูญเสีย ผิดหวัง หรือเรื่องเลวร้ายใดๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ การพยายามหลีกเลี่ยง กลบเกลื่อน และปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง
ภาพยนตร์ถ่ายทอดช่วงเวลาอันหนักหน่วงในชีวิตของแอกเนส หลังถูกอาจารย์ที่ปรึกษาที่เธอเคารพละเมิดความเชื่อใจ และยังขยี้ความเจ็บปวดนั้นด้วยการลาออกในวันรุ่งขึ้น ทิ้งไว้แต่แผลใจขนาดใหญ่ที่ตามหลอกหลอนเธอจนเกิดอาการแพนิค
สิ่งที่ทำให้ Sorry, Baby น่าสนใจ คือการดำเนินเรื่องที่พาผู้ชมเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์แต่ละช่วงชีวิตของตัวละครหลักโดยไม่ชี้นำความคิด ปล่อยให้ผู้ชมค่อยๆ เติบโตไปพร้อมกับตัวละครที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา
ทว่าสิ่งที่กินใจผมคือ การขีดเส้นใต้คำว่า ‘มิตรภาพ’ ด้วยบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยของ ‘ลิดี้’ เพื่อนสาวและรูมเมทที่อยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ ต่างจากพวกผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยที่ปากเอาแต่พูดว่า “ฉันเข้าใจเธอ” หรือ “เรามันหัวอกผู้หญิงเหมือนกัน” แต่กลับปฏิเสธความช่วยเหลืออย่างมักง่าย
ลิดี้ไม่เพียงคอยรับฟังแอกเนสโดยไม่ตัดสิน ปลอบใจด้วยความอ่อนโยน เธอยังคอยกางปีกปกป้องแอกเนสจากเรื่องละเอียดอ่อนที่ผู้คนอาจมองข้าม เช่น การเตือนให้หมอใช้คำพูดและน้ำเสียงที่ให้เกียรติเพื่อนของเธอระหว่างการตรวจร่างกายหาร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ
รวมไปถึงฉากที่แอกเนสเตรียมถังน้ำมันพร้อมกับไฟแช็กเพื่อไปเผาสำนักงานของอดีตอาจารย์ที่ปรึกษา ลิดี้ไม่เพียงไม่ห้ามหรือต่อว่าเพื่อน เธอยังอาสาขอเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้ผมรู้สึกอยากกอดลิดี้และมอบรางวัลเพื่อนดีเด่นให้กับเธอ เพราะเธอเข้าใจในความเปราะบางของเพื่อน ว่าในเวลานั้น (ที่กำลังจิตตกและหลงทาง) สิ่งที่เราต้องการที่สุดไม่ใช่เหตุผลหรือความถูกต้อง หากแต่เป็นใครสักคนที่พร้อมแสดงออกอย่างสุดตัวว่าเข้าใจเรา อยู่ทีมเดียวกับเรา และทำให้เรารู้สึกปลอดภัย
เวลานั้น หากชีวิตแอกเนสถูกโอบล้อมด้วยความมืดมน ความจริงใจของลิดี้ ก็คือแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด
แต่ความอบอุ่นปลอดภัยนั้นก็ไม่ได้คงอยู่ตลอดไป เมื่อแอกเนสต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวและไม่มั่นคงหลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบ ลิดี้ต้องย้ายไปนิวยอร์ก ส่วนแอกเนสก็ถูกบังคับให้ตื่นจากโลกที่เคยมีลิดี้อยู่ด้วยกัน และเมื่อมูฟออนไม่ได้เธอจึงมีชีวิตเหมือนกับวัยรุ่นตอนปลายที่ก้าวไม่ถึงคำว่าผู้ใหญ่เสียที แม้ว่าความเป็นจริงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นย่อมมีอันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขของเวลา ความห่างไกล ภาระหน้าที่ หรือจะเป็นลำดับความสำคัญในชีวิตที่ค่อยๆ ขยับลดลงไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อลิดี้พบรักและมีลูกหนึ่งคน
ถึงอย่างนั้น แอกเนสก็พยายามตั้งใจมีชีวิตต่อไปตามที่ให้สัญญาไว้กับลิดี้ แม้หลายครั้งอดีตอันเลวร้ายจะตามกลับมาหลอกหลอน แต่โลกก็ยังส่งผู้คนและสิ่งเล็กๆ เข้ามาช่วยเยียวยา ไม่ว่าจะเป็น ชายแปลกหน้าที่เข้ามาช่วยเธอจากอาการแพนิคด้วยการแนะนำเทคนิคการหายใจเพื่อผ่อนคลายจิตใจ หรือเจ้าแมวน้อยขี้อ้อนข้างถนนที่เข้ามาฮีลใจและเพิ่มชีวิตชีวาให้แก่บ้านอันเปลี่ยวเหงาของเธอ
และแล้วในซีนสุดท้ายที่ลิดี้พาคนรักกับลูกมาเยี่ยมแอกเนส ภาพยนตร์ก็นำผู้ชมมาสู่ยอดพีระมิดของเรื่องผ่านการชี้ให้เห็นว่า ท้ายที่สุด แอกเนสก็เรียนรู้ที่จะรับมือกับความเจ็บปวดและเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง หลังจากที่เธออาสาดูแลทารกน้อยชั่วคราวเพื่อเปิดโอกาสให้ลิดี้กับคนรักได้ออกไปเที่ยว โดยในช่วงที่อยู่กับเด็กน้อยสองต่อสอง แอกเนสได้ให้สัญญาว่าจะมอบความรักความเข้าใจในแบบที่เธอเคยได้จากลิดี้
“เมื่อหนูโตขึ้น หนูสามารถเล่าอะไรให้น้าฟังก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความคิดแบบไหนก็ตาม แม้แต่ความคิดที่หนูคิดว่า ‘อันนี้แย่มากเลย’ เพราะน้าเองก็อาจจะเคยมีความคิดนั้นเหมือนกัน แถมอาจจะแย่กว่านั้นสิบเท่าด้วย เพราะงั้น หนูเล่าได้เลย น้าจะไม่กลัว
ถ้ามีใครทำไม่ดีกับหนู ถ้ามีใครพูดอะไรที่น่ากลัว หรือถ้าวันหนึ่งหนูรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย ไม่ว่าจะด้วยดินสอ มีด หรืออะไรก็ตาม หนูบอกน้าได้เลยนะ น้าจะไม่บอกว่าหนูทำให้น้ากลัว น้าจะพูดว่า อืม…น้าเข้าใจ มันก็เป็นแบบนั้นแหละ บางทีน้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน
น้าเสียใจด้วยนะที่ชีวิตหนูจะต้องเจอเรื่องแย่ๆ หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้น และน้าหยุดมันไม่ได้ อย่างน้อยหนูบอกน้าได้นะ บางทีเรื่องแย่ๆ มันก็เกิดขึ้นเองโดยที่เราหยุดไม่ได้ นั่นแหละที่ทำให้น้ารู้สึกเศร้าแทนหนู เพราะหนูยังเด็ก และยังไม่รู้ว่าชีวิตมันเป็นแบบนั้น แต่ว่า…น้ารับฟังได้นะ แล้วก็จะไม่กลัวเลย นั่นก็น่าจะดีอยู่ หรืออย่างน้อยก็เป็นอะไรบางอย่างแหละ”
ผมเองก็เคยคิดจะพูดประโยคเหล่านี้กับหลาน เพราะตัวผมก็เคยผ่านช่วงเวลาที่รู้สึกแย่ ไม่มีคนเข้าใจ ซึ่งสิ่งที่ผมต้องการก็แค่ใครสักคนที่รับฟังโดยไม่ตัดสิน และผมอยากเป็นคนๆ นั้นให้กับหลาน …คนที่บอกว่าความเจ็บปวดเป็นเรื่องปกติของชีวิต เราไม่ควรหลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธ หากแต่เลือกตอบสนองมันอย่างมีสติ
ซึ่งการเยียวยาตัวเองไม่ได้หมายถึงการลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่คือการค่อยๆ เผชิญหน้ากับความทรงจำที่เจ็บปวด เพื่อยอมรับ เข้าใจ และปล่อยวาง…ให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็น ‘บทเรียน’ ไม่ใช่ ‘คุก’ ที่คุมขังเราให้จมอยู่กับความทุกข์
หรือหากความหนักหน่วงนั้นเกินกว่าที่เราจะรับมือไหว การขอความช่วยเหลือจากใครสักคนที่เข้าใจและพร้อมยืนเคียงข้างเราโดยไม่ตัดสินก็ไม่ใช่เรื่องอ่อนแอน่าอาย แถมยังช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์และเปิดทางให้เราก้าวเดินต่อไป เหมือนกับแอกเนสที่เรียนรู้การเผชิญหน้า แบ่งปันและยอมรับความเจ็บปวด จนที่สุดแล้วเธอสามารถพาตัวเองกลับมาเข้มแข็ง และพร้อมส่งต่อความเข้าอกเข้าใจนั้นไปยังผู้คนที่เธอรักต่อไป