- Mal di pietre หรือชื่อในฉบับแปลไทยว่า ‘จากดวงจันทร์’ เขียนโดย Milena Agus ชาวอิตาลี ถูกนิยามว่าเป็นนวนิยายสดุดีความรัก จินตนาการ และการเขียน
- หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวนิรนามคนหนึ่งที่ถูกคนทั้งหมู่บ้านเรียกขานว่า เป็นผู้หญิงที่มาจากดวงจันทร์ เพราะเธอมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากคนธรรมดาสามัญ
- การสื่อสารที่ชัดเจน คือหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใดก็ตาม
หลายคนคงรู้ว่า ดวงจันทร์ (Moon) มีความหมายถึงดาวที่เป็นดาวบริวารของดาวเคราะห์ และหลายคนอาจรู้ว่า ดวงจันทร์ของโลก มีชื่อว่า Lunar
แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือ ชาวยุโรปในสมัยโบราณเชื่อกันว่า ดวงจันทร์ โดยเฉพาะดวงจันทร์เต็มดวงสุกสว่างในคืน 15 ค่ำ สามารถส่งอิทธิพลต่อความคิดจิตใจของคนในทางลบ หรือพูดอีกอย่างหนึ่งว่า ดวงจันทร์ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนบ้าได้
และในบางครั้ง เวลาที่ใช้คำพูดว่า คนๆ นั้นมาจากดวงจันทร์ จึงหมายความว่า คนๆ นั้นสติไม่ดี หรือ ‘บ้า’ นั่นเอง
ในหนังสือเรื่อง Mal di pietre ของนักเขียนชาวอิตาเลียน Milena Agus หรือชื่อในฉบับแปลไทยว่า ‘จากดวงจันทร์’ เป็นเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกคนทั้งหมู่บ้านเรียกขานว่า เป็นผู้หญิงที่มาจากดวงจันทร์ ด้วยความเธอมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนไปจากคนธรรมดาสามัญ
พฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติธรรมดาของเธอ คือ ความโหยหา ทุ่มเท จนถึงหมกมุ่นในเรื่องความรัก ถึงขั้นที่ป่าวประกาศกับหลายๆ คนว่า เธอยินดีที่จะตายไป หากไม่ได้รู้จักความรักในชาตินี้
ความรักของย่า
หนังสือเล่มนี้ ซึ่งในคำโปรยบนปกหลังเขียนไว้ว่า เป็นนวนิยายสดุดีความรัก จินตนาการ และการเขียน บอกเล่าเรื่องราวของหญิงสาวนิรนามคนหนึ่ง ผ่านการรำลึกความทรงจำของหญิงสาวนิรนามอีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเป็นหลานของหญิงสาวนิรนามคนแรก
ย่าเป็นคนหน้าตาสะสวย เรือนร่างเปี่ยมด้วยเสน่ห์ทางเพศ แต่เธอไม่เคยสมหวังในความรัก ผู้ชายหลายคนที่แวะเวียนมาจีบย่า พากันเตลิดหนีไปหลังจากได้พบปะพูดคุยกันไม่กี่ครั้ง มีเสียงร่ำลือว่า เป็นเพราะย่าเขียนบทกวีรัก ที่เต็มไปด้วยถ้อยคำรำพันร้อนแรงถึงขั้นลามก ผู้ชายจึงกลัวและหลบหนีหน้าไปจากผู้หญิงบ้าคนนี้ ครั้งหนึ่ง ย่าทวด ผู้เป็นมารดาของย่า ทั้งอับอายและโกรธแค้น หันไปคว้าไม้เรียวมาเฆี่ยนย่า พร้อมสาปแช่งตัวเองที่ยอมให้ย่าได้เข้าโรงเรียน และหัดเขียนหนังสือ
ย่าถูกตราหน้าต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเธอเป็นปีศาจ แต่ที่บ่อยที่สุด ย่าถูกหาว่าบ้า และมาจากดวงจันทร์
แต่ขอถามเถิด ในโมงยามแห่งความรัก ใครบ้างไม่เคยมีพฤติกรรมผิดเพี้ยนจากปกติธรรมดา
ในช่วงโมงยามแห่งความรัก ใครบ้างไม่เคยเขียนบทกวี ถ้อยคำหวานๆ ให้คนรัก หรือฝากถ้อยคำพร่ำเพ้อ ผ่านลำนำเสียงเพลง หรือเพียงแค่ยืนเหม่อมองหลังคาบ้าน ก็จินตนาการเห็นภาพคนรัก
เมื่อยังร้างคู่จนล่วงเลยวัยที่ควรมีคู่ พฤติกรรมผิดเพี้ยนของย่ายิ่งรุนแรงขึ้น ถึงขั้นกล้อนผมตัวเองเหมือนหมาขี้เรื้อน และก่อนที่ปู่ทวดกับย่าทวด จะส่งย่าเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบคนหนึ่ง ก็เอ่ยปากขอแต่งงานกับย่า
ย่าจึงถูกบังคับให้แต่งงานกับปู่ ย่าพยายามบ่ายเบี่ยงขัดขืน ถึงขั้นบอกกับปู่ตรงๆ ว่า ย่าไม่ได้รักปู่ ปู่ตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร เพราะปู่ก็ไม่ได้รักย่าเหมือนกัน
ปู่กับย่าใช้ชีวิตคู่อย่างเหินห่างและเย็นชา ยกเว้นเพียงกิจกรรมทางเพศบนเตียง ซึ่งทั้งคู่เต็มใจทำอย่างแข็งขัน โดยย่าให้เหตุผลว่า ปู่จะได้มีเงินเหลือเก็บ ไม่ต้องไปใช้บริการหญิงโสเภณี
แต่นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีอะไรเลย ไม่มีการบอกรัก ไม่มีถ้อยคำหวาน ไม่มีอะไรเลย
มีเพียงครั้งเดียวที่ย่ารวบรวมความกล้า เอ่ยปากถามว่า ปู่รักย่าหรือเปล่า ปู่ไม่ตอบอะไร เอาแต่อมยิ้มกับตัวเอง แล้วตบก้นย่าเบาๆ
ย่าไม่ได้รักปู่ และปู่ก็ไม่ได้รักย่า
ความรักของปู่
ก่อนมาพบกับย่า ปู่เคยแต่งงานมาแล้ว แต่ก็สูญเสียภรรยาไปในช่วงสงครามปะทุรุนแรง ปู่เป็นคนเอ่ยปากขอย่าแต่งงาน ซึ่งปู่ทวดและย่าทวดรีบยกให้อย่างรวดเร็ว เพราะกลัวลูกสาวจะกลายเป็นสาวทึมทึก และยิ่งคลุ้มคลั่งฟั่นเฟือนมากขึ้น ท่ามกลางเสียงซุบซินนินทาจากคนในหมู่บ้านว่า ปู่จำใจขอย่าแต่งงานเพื่อปลดหนี้
ย่าพยายามปฏิเสธปู่ ด้วยการบอกกับเขาว่า ย่าไม่ได้รักเขา แต่ปู่ตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไรหรอก เพราะปู่ก็ไม่ได้รักย่าเช่นกัน
หลังแต่งงาน ทั้งคู่ก็ยังทำตัวเหมือนคนไม่ได้รักกัน พูดจากันน้อยยิ่งกว่าน้อย อยู่ใกล้กันเท่าที่จำเป็น อย่างเช่น ตอนทำกิจกรรมบนเตียง แต่นอกจากนั้น ทั้งปู่และย่าจะต่างคนต่างอยู่คนละมุมของบ้าน
ถึงกระนั้น ตอนที่ย่าป่วยเป็นโรคมาลาเรีย ไข้ขึ้นสูงถึงสี่สิบเอ็ดองศา ปู่เป็นคนนั่งเฝ้าไข้ย่าตลอดทั้งวัน คอยเอาผ้าชุดน้ำเช็ดหน้าผากย่าที่ร้อนผ่าวด้วยพิษไข้ มีคนพูดกับย่าว่า ถ้าไม่ได้ปู่คอยดูแล ย่าคงตายไปแล้ว แต่ย่ายักไหล่แทนถ้อยคำว่า “ฉันไม่สน”
ก็แน่ล่ะ ย่าไม่ได้รักปู่นี่นา และปู่เองก็ไม่ได้รักย่าเช่นกัน
ปู่กับย่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่หวานชื่นร่วมกัน บางครั้ง ย่าเผลอตัวส่งยิ้มให้ปู่ ปู่ก็จะพูดขึ้นว่า “ขำหรือ”
แม้กระทั่งตอนที่ย่าใส่ชุดสวยที่ปู่คะยั้นคะยอซื้อให้ ปู่ยังไม่ชมว่าย่าสวยเลย ปู่เพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า ชุดสวยมาก แทนที่จะชมว่า ย่าสวยมาก
ปู่ไม่ได้รักย่า ย่าก็ไม่ได้รักปู่ แล้วย่ารักใคร?
ใครคือรักที่ซ่อนเร้น
ตอนย่าอายุได้ 40 หมอแนะนำให้ย่าไปแช่น้ำแร่ เพื่อรักษาโรคนิ่วในไต ที่เป็นมานาน คำแนะนำของหมอ ทำให้ย่าต้องเดินทางจากบ้าน ห่างจากปู่ และไปพบกับชายหนุ่มคนหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
เพียงแค่สบตากันครั้งแรก ย่าก็ตกหลุมรักชายหนุ่มคนนั้น เขาเป็นทหารผ่านศึกขาพิการ รูปร่างสูง ใบหน้าหล่อเหลา หัวใจย่าเต้นแรกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ทหารหนุ่มรูปงามคนนั้น มีหลายสิ่งหลายอย่างเหมือนกับย่า เขาป่วยเป็นโรคนิ่วในไตเหมือนกัน เขารักบทกวี ชอบอ่านหนังสือ และหลงใหลในการเล่นเปียโน
ย่าค้นพบสิ่งที่ตามหามาทั้งชีวิตแล้ว นั่นคือความรักที่ย่าโหยหา หากว่าความรักนั้นจะฉุดให้ย่าต้องตกนรก ย่าก็ไม่สนใจ
เก้าเดือนหลังกลับจากการรักษาตัวด้วยการแช่น้ำแร่ไม่นาน ย่าก็ให้กำเนิดลูกชาย ซึ่งในภายภาคหน้าจะกลายเป็นนักเปียโนที่เก่งกาจ และเป็นพ่อของหญิงสาวผู้เล่าเรื่องนี้
หญิงสาวผู้เป็นหลาน ซึ่งสนิทสนมกับย่าตั้งแต่เล็ก เคยนึกสงสัยว่า จริงๆ แล้ว คนที่เป็นปู่ที่แท้จริงของเธอ คือ ปู่ที่เป็นสามีของย่า หรือทหารผ่านศึกผู้เป็นรักที่ซ่อนเร้นของย่ากันแน่
จนกระทั่งปู่และย่าเสียชีวิตไป หลานสาวได้รับบ้านเก่าของปู่และย่าเป็นสมบัติตกทอด เธอจัดแจงซ่อมแซมบ้าน และได้ค้นพบความลับที่น่าตกใจอีกอย่างหนึ่งของย่า
ที่ซอกเล็กในผนังบ้านที่ถูกฉาบปิดอย่างลวกๆ นอกจากจะเป็นที่เก็บบันทึกเรื่องราวชีวิตของย่าแล้ว ยังมีจดหมายเพียงฉบับเดียว ที่ทหารผ่านศึกคนนั้นเขียนให้ย่าด้วย
“เรียนคุณผู้หญิง ผมปลาบปลื้ม และอายอยู่เล็กน้อย ที่คุณนึกจินตนาการและเขียนเกี่ยวกับผมทั้งหมดนั้น คุณขอให้ผมพิจารณาเรื่องเล่าทั้งหมดจากมุมมองทางวรรณกรรม และขอโทษเกี่ยวกับฉากรักที่คุณแต่งขึ้น… ผมขอโทษหากจะกล่าวอย่างไม่อายว่า ขณะอ่านผมแทบรู้สึกเสียดายที่ไม่เกิดความรักนั้นขึ้นจริงๆ แต่เราก็ได้พูดคุยกันเยอะทีเดียว เราอยู่เป็นเพื่อนกัน และยังได้หัวเราะด้วย”
ข้อความในจดหมายฉบับนั้น ทำให้หลานสาวและคนอ่านอย่างผมได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ความรักระหว่างย่าและทหารผ่านศึก เป็นเพียงเรื่องเล่าจากจินตนาการของย่า ผู้รักในความรักและการเขียน
แล้วความรู้สึกที่แสนหวานชื่น เร่าร้อน และงดงาม ที่อยู่ระหว่างบรรทัดในเรื่องเล่าจากจินตนาการของย่า มันคืออะไร
หรือจริงๆ แล้ว นั่นคือ ความรักที่แท้จริง ที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้ของย่า
ผมพลิกกลับไปอ่านเรื่องราวของย่าและปู่ในหลายๆ ช่วง เพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ถูกเก็บงำไว้
ตอนที่มีคนบอกว่า ย่าคงตายไปแล้วด้วยโรคมาลาเรีย ถ้าไม่ได้ปู่คอยดูแล ย่ายักไหล่แบบไม่สนใจ ซึ่งย่าก็ยอมรับว่า นั่นเป็นสิ่งที่ใจร้ายมาก และย่าไม่เคยให้อภัยตัวเองเลย
และอีกครั้งหนึ่ง ตอนที่ปู่เอ่ยปากว่า ชุดสวยมาก ย่าเพิ่งมาคิดได้ว่า จริงๆแล้ว ปู่ต้องการพูดว่า ย่าสวยมากต่างหาก และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ย่าไม่มีวันให้อภัยตัวเอง ที่ไม่รู้จักจับถ้อยคำที่ซุกซ่อนในอากาศ
ย่าไม่เคยพูดว่ารักปู่ และปู่ก็ไม่เคยบอกรักย่า ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งคู่รักกันเหลือเกิน
รัก..แต่ไม่บอกว่ารัก ห่วง..แต่ไม่พูดว่าห่วง ชื่นชม..แต่ไม่เอ่ยปากชม ทั้งหมดล้วนเป็นพฤติกรรมที่แปลก บ้า และผิดเพี้ยนจากปกติธรรมดา แต่ไม่ใช่แค่
ปู่กับย่าเท่านั้นหรอก ในชีวิตจริง มีผู้คนมากมาย ที่พูดหรือแสดงพฤติกรรมตรงข้ามกับใจตัวเอง โดยเฉพาะกับคนที่รักและใกล้ชิดที่สุด
กับคนที่รู้จักผิวเผิน เราสามารถกล่าวชื่นชมและแสดงความรู้สึกดีๆ ออกไปอย่างง่ายดาย แต่กับคนที่เรารักและสนิทสนมที่สุด เรากลับไม่กล้าบอกรัก หรือแสดงความรู้สึกดีๆ ให้เขารับรู้
ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า การสื่อสารที่ชัดเจน คือหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ของคู่รัก เพื่อน พ่อแม่ลูก หรือแม้แต่เพื่อนร่วมงาน
แต่ก็นั่นแหละ ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก มักจะเป็นความสัมพันธ์ที่มีปัญหาในเรื่องการสื่อสารมากที่สุด อาจเพราะเป็นความสัมพันธ์ที่ก่อเกิดจากความรู้สึกและอารมณ์ล้วนๆ จึงเปราะบางและแตกหักได้ง่ายด้วยความรู้สึกและอารมณ์
หรืออาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก คือ ความสัมพันธ์ของคนที่ไม่ปกติธรรมดาสองคน
ผมถอนหายใจ-นึกกับตัวเองว่า เวลาที่คนมีความรัก ก็มักทำอะไรแปลกๆเพี้ยนๆ เช่นนี้แหละ
เพราะในโมงยามแห่งความรัก เราทุกคนล้วนบ้า..และมาจากดวงจันทร์