- หนังสือ ‘เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง’ เขียนโดย ทานากะ โยชิโกะ ผู้ฝึกอบรมการพัฒนาจิตใจชาวญี่ปุ่น แปลไทยโดย กีรติ ชินโด สำนักพิมพ์ Be(ing)
- โยชิโกะ เปรียบเปรยภาวะที่ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองว่าไม่ต่างจากการจมอยู่ในบึงโคลนแห่งอารมณ์ ที่ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดูดให้เราจมลึกลงไป
- การหลุดพ้นจากบึงโคลนแห่งความเศร้า ต้องอาศัยความตระหนักรู้และเท่าทันตัวเอง โยชิโกะแนะนำเทคนิคง่ายๆ ที่ทุกคนทำตามได้โดยเริ่มต้นจากรับฟังสัญญาณของร่างกาย
ทั้งที่อยากยินดีกับข่าวดีของเพื่อน แต่กลับโมโห
ทั้งที่ควรจะดีใจที่การงานผ่านไปได้ด้วยดี แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า
ทั้งที่อยากสนิทกับครอบครัว แต่ก็เกลียดตัวเองที่เหวี่ยงวีน
ทั้งที่อยากเป็นคนนิสัยดี แต่กลับหงุดหงุดกับเรื่องเล็กๆ น้อย
บทนำของหนังสือ ‘เธอก็ออกมาได้นะจากบึงโคลนแห่งความเศร้าและไม่เข้าใจตนเอง’ เขียนโดย ทานากะ โยชิโกะ ผู้ฝึกอบรมการพัฒนาจิตใจชาวญี่ปุ่น น่าจะสะท้อนภาพความย้อนแย้งในใจของใครหลายคน โดยเฉพาะคนที่พยายามใช้ชีวิตให้ดี แต่อารมณ์ความรู้สึกข้างในกลับไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เราควรจะรู้สึก จนพาลโทษตัวเองว่า “เราเป็นคนไม่ดี” และติดอยู่กับอารมณ์ที่เราไม่อยากมี…ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ดีกับเราสักนิด
โยชิโกะ เปรียบเปรยภาวะที่ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองว่าไม่ต่างจากการจมอยู่ในบึงโคลนแห่งอารมณ์ ที่ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดูดให้เราจมลึกลงไป ซึ่งการจะหลุดพ้นจากบึงโคลนนี้ไปได้จะต้องอาศัยความกล้าหาญที่จะหันมาเผชิญหน้ากับตัวเองอย่างซื่อสัตย์ และตั้งใจฟังอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอย่างแท้จริง
หนึ่งในต้นเหตุสำคัญของการจมอยู่ในบึงโคลนแห่งความเศร้าและความสับสน คือการพยายามเป็นคนที่ดีพอสำหรับคนอื่นตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้ที่มีแนวโน้มของการเป็น Perfectionist (ผู้ที่ยึดติดความสมบูรณ์แบบ) ที่นิยามตัวเองผ่านสายตาของคนอื่นว่าเราควรประพฤติตัวแบบไหนถึงจะดูมีคุณค่า…กระทั่งหลงลืมและละเลยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง
เมื่อเราละเลยความรู้สึกของตัวเองอย่างต่อเนื่องจนมันกลายเป็น ‘นิสัย’ เราก็จะค่อยๆ สูญเสียตัวตนที่แท้จริง และใช้ชีวิตอย่างเหน็ดเหนื่อยผ่านการเป็นใครสักคนที่พยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อเอาใจคนอื่นอยู่เสมอ จนสุดท้ายอาจรู้สึกว่างเปล่าแม้ในวันที่ควรจะมีความสุข
ดังนั้นคำถามสำคัญคือ เราจะหันมาใส่ใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นเพื่อหลุดพ้นจากวงจรหรือบึงโคลนนี้ได้อย่างไร โยชิโกะแนะนำให้เริ่มต้นจากการรับฟังสัญญาณของร่างกาย เพราะร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนเราถึงความผิดปกติอยู่เสมอ
“แม้ยากที่จะเข้าใจความรู้สึกตัวเอง แต่อย่างไรก็ต้องรู้สึกถึงสัญญาณจากร่างกายแน่นอน เรามาเริ่มจากการใส่ใจร่างกายของตัวเองกัน หายใจไม่สะดวก ร่างกายหนักอึ้ง รู้สึกอึดอัด ไม่สบายใจ หากรู้ตัวว่ารู้สึกแบบนี้ละก็ เรามาตรวจสอบก่อนว่าตอนนี้ตัวคุณเองคิดอะไรและรู้สึกอย่างไร จะเป็นความคิดหรือความรู้สึกอะไรก็ได้ ประเด็นสำคัญคือต้องหาให้พบว่าตัวเองกำลังกังวลเรื่องอะไร ตรวจสอบแล้วพบว่า พยายามคิดแล้ว แต่กลับรู้สึกว่ามันยุ่งยาก แบบนี้ก็ได้เช่นกัน”
ต่อมาคือการ ‘ปลดปล่อยอารมณ์ของตัวเอง’ อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่จำเป็นว่าต้องเข้มแข็ง หรือสร้างภาพว่าฉันโอเคอยู่ตลอดเวลา โยชิโกะบอกว่าการตระหนักรู้เท่าทันตัวเองเป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาใจอย่างเงียบๆ เพราะการรับรู้และยอมรับนั้น เพียงพอที่จะช่วยให้เรามองเห็นตัวเองใหม่อีกครั้ง
“ช่วงเวลานั้นไม่จำเป็นต้องมีแต่รอยยิ้มหรือทำแต่เรื่องสนุกสนาน ทั้งไม่ต้องอดทนกับอารมณ์ด้านลบหรือความรู้สึกเป็นทุกข์ ขอเพียงตรวจสอบอารมณ์ของคุณด้วยความรู้สึก “อยากรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่” แล้วใช้เวลาปลดปล่อยมันอย่างจริงจัง “เราฝืนตัวเองอยู่เรื่อยเลยสินะ” “เรากดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้โดยที่ไม่รู้ตัวสินะ” น่าแปลกที่เพียงแค่เราค้นพบความรู้สึกแบบที่ว่ามาเรื่อยๆ ก็สบายใจขึ้นมาได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาคุณเพิกเฉยต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น ถึงได้มองข้ามตัวเองไปก็เท่านั้นเอง”
อย่างไรก็ตาม ถ้าพบว่าตัวเรามีสัญญาณของความหดหู่ติดต่อกันหรือมีความเครียดสะสมจนนอนไม่หลับ โยชิโกะไม่ได้บอกให้เราต้องค้นหาเหตุผลและที่มาของมัน แต่ให้เริ่มจากการผ่อนคลายร่างกายที่เกร็งด้วยความเครียดและฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ ผ่านเทคนิคง่ายๆ ที่สามารถทำได้ทุกวัน
“หากร่างกายของคุณกำลังเกร็ง คุณจะหายใจได้สั้นลง ฉันอยากให้คุณฝึกการหายใจที่ทำให้ปอดพองโตจนเป็นนิสัย วิธีการหายใจเข้าลึกๆ นั้นง่ายมาก
- ดื่มน้ำ 1 แก้ว
- นั่งริมหน้าต่างที่แสงส่องถึงแล้วหลับตา
- สูดลมหายใจเข้า 3 วินาที จากนั้นปล่อยลมหายใจออก 7 วินาที
ให้คุณลองทำแบบนี้จำนวน 5 เซตหลังตื่นนอนและก่อนนอน ร่างกายจะผ่อนคลายในช่วงที่คุณหลับอย่างแน่นอน”
ในฐานะของคนที่ติดอยู่ในกับดักของความเป็น Perfectionist ผมพบว่าเมื่อได้ลองอยู่กับลมหายใจเข้าออกตามคำแนะนำที่เรียบง่ายของโยชิโกะ แม้จะยังไม่เข้าใจทุกอย่าง แต่การได้กลับมารับฟังความรู้สึกของตัวเองทีละน้อยก็ทำให้ใจเบาลงอย่างน่าประหลาด และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการออกจากบึงโคลนโดยไม่รู้ตัว
ผมรู้สึกว่าเมื่อเราเริ่มยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น เราก็จะค่อยๆ ปล่อยวางความคาดหวังหรือสิ่งที่กดความรู้สึกเราไว้จนแน่น และสามารถอยู่กับตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่เพียบพร้อม
เพราะที่สุดแล้วการเติบโตไม่ได้เกิดจากการพยายามเป็นคนที่ดีพร้อม แต่เกิดจากการกล้ายอมรับตัวเองในแบบที่เป็น และก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยคุณค่าในแบบที่เรากำหนด