Skip to content
โฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brain
  • Creative Learning
    Life Long LearningEveryone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learning
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
โฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brain
Playground
31 October 2025

แฟรงเกนสไตน์: บางครั้ง การถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ก็สามารถสร้างปีศาจร้ายขึ้นมาได้

เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • ‘แฟรงเกนสไตน์’ เป็นวรรณกรรมคลาสสิกแนวสยองขวัญ เขียนโดย แมรี เชลลี (Mary Shelley) นักเขียนหญิงชาวอังกฤษ เล่าเรื่อง วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ชายหนุ่มผู้หมกมุ่นในวิทยาศาสตร์จนสร้างสิ่งมีชีวิตจากซากศพขึ้นมา และจุดไฟแห่งโศกนาฏกรรมที่สะท้อนบาปจากความทะเยอทะยานของมนุษย์ที่คิดจะเล่นบทพระเจ้า
  • เบื้องหลังความสยองคือเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ผู้สร้างที่ทอดทิ้งสิ่งมีชีวิตของตนให้โดดเดี่ยว ไม่ได้รับความรักหรือการยอมรับ จนความว่างเปล่าและความเกลียดชังในใจของอสุรกายค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความแค้นและความชั่วร้าย
  • ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่าง ‘พ่อ’ และ ‘ลูก’ ทำให้ต่างฝ่ายต่างเป็น ‘ปีศาจร้าย’ ในสายตาของอีกฝ่าย และความไม่เข้าใจกันนั้น ไม่ได้นำไปสู่สิ่งใดเลย นอกเสียจากโศกนาฏกรรม

เทศกาลฮาโลวีน (Halloween) เป็นหนึ่งในเทศกาลที่มีการเฉลิมฉลองกันในหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าประเทศนั้น จะนับถือศาสนาหรือความเชื่อใดๆ ซึ่งในประเทศไทยก็เช่นกัน เราจะพบเห็นบรรยากาศของเทศกาลฮาโลวีนได้ทั่วไป โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าต่างๆ

แรกเริ่มเดิมที เทศกาลฮาโลวีน มีต้นกำเนิดมาจากเทศกาลซัมเฮน (Samhein) ของชาวเคลต์โบราณ เมื่อราว 2,000 ปีก่อน เพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยว โดยเชื่อกันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างโลกมนุษย์และโลกของวิญญาณจะเริ่มพร่าเลือน ทำให้ภูติผีวิญญาณต่างๆ เข้ามาปรากฎตัวในโลกมนุษย์

ต่อมา ชาวคริสต์ได้นำเอาเทศกาลของชาวเคลต์ เข้ามาหลอมรวมกับความเชื่อในศาสนาคริสต์ จนกลายเป็นเทศกาลฮาโลวีน ซึ่งจัดขึ้นเพื่อรำลึกถึงวิญญาณผู้จากไป รวมถึงมีการทำทานแจกจ่ายอาหารแก่ผู้ยากไร้ ซึ่งต่อมา เทศกาลฮาโลวีน ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนกลายเป็นเทศกาลรื่นเริง ที่เด็กๆ จะแต่งตัวเป็นภูติผีปีศาจ หรือสัตว์ประหลาด แล้วเดินไปเคาะประตูขอขนมตามบ้านเรือนผู้คน

และหนึ่งในชุดแต่งกายที่ได้รับความนิยมจากเด็กๆ ก็คือ ชุดอสุรกายจากวรรณกรรมคลาสสิกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรามักจะติดตาภาพจำจากภาพยนตร์ฮอลลีวูด ที่เป็นรูปลักษณ์ของปีศาจผู้ชายร่างใหญ่ มีรอยเย็บชิ้นส่วนต่างๆ บนร่างกาย รวมถึงมีน็อตตัวใหญ่ฝังอยู่ที่ขมับทั้งสองข้าง

ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงปีศาจ อสุรกาย หรืออมนุษย์ จากวรรณกรรมเรื่อง ‘แฟรงเกนสไตน์’ (Frankenstein) ของ แมรี เชลลี (Mary Shelley) นักเขียนหญิงชาวอังกฤษ ซึ่งแต่งเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อสองร้อยปีก่อน และยังคงเป็นวรรณกรรมแนวสยองขวัญที่ได้รับการยกย่องมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี หากปอกเปลือกความเป็นนิยายสยองขวัญออกไป เราจะพบว่า แฟรงเกนสไตน์ คือโศกนาฎกรรมที่แสนรันทดของความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยว ระหว่างผู้สร้าง ซึ่งเปรียบได้ดัง ‘พ่อ’ และอสุรกาย ซึ่งไม่ต่างอะไรจาก ‘ลูก’

เรื่องราวของ ‘ลูก’ ที่ไม่ได้รับความรักและการยอมรับจาก ‘พ่อ’ ถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว กลายเป็นที่เกลียดชังของทุกคนในสังคม และสุดท้าย ความโดดเดี่ยวและไม่เคยได้รับการยอมรับ ก็ผลักให้เด็กคนหนึ่ง กลายเป็นอสุรกายที่ชั่วร้ายที่สุด

สิ่งหนึ่งที่หลายคนมักเข้าใจว่า แฟรงเกนสไตน์ คือชื่อของอสุรกาย แต่จริงๆแล้ว แฟรงเกนสไตน์ คือชื่อสกุลของชายหนุ่มผู้สร้างปีศาจร้ายตัวนั้น และชายหนุ่มคนนั้น ก็คือ วิกเตอร์ จากตระกูลแฟรงเกนสไตน์ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่แห่งสาธารณรัฐเจนีวา แห่งสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์

วิกเตอร์ เกิดมาท่ามกลางความรักและความอบอุ่นจากพ่อและแม่ เติบโตมาท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลด้วยมิตรภาพและความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มิตรภาพที่ได้รับจากเฮนรี แคลร์วอล บุตรชาวพ่อค้าชาวเจนีวา เพื่อนใกล้ชิดของพ่อ ความรักที่แสนอ่อนโยนที่จาก เอลิซาเบธ ลาเวนซา เด็กหญิงที่ถูกครอบครัวแฟรงเกนสไตน์รับอุปถัมภ์ตั้งแต่เด็ก และความรักจากน้องชายอีกสองคน คือ เออร์เนสต์และวิลเลียม

เมื่อเติบใหญ่ วิกเตอร์ ได้รับการศึกษาอย่างดีที่สุดเท่าที่ครอบครัวจะจัดหาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้ในศาสตร์ปรัชญาธรรมชาติ หรือ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือ วิชาวิทยาศาสตร์นั่นเอง

ชาวหนุ่มผู้ชาญฉลาด ศรัทธามุ่งมั่นจนถึงขั้นหลงใหลในโลกแห่งวิทยาการ เขาเชื่อว่า ศาสตร์สมัยใหม่ จะทำให้มนุษย์สามารถสร้างสิ่งมีชีวิต จากเศษซากอันไร้ชีวิต ซึ่งหากทำได้จริง ก็ไม่ต่างอะไรจากพระผู้เป็นเจ้าที่สรรค์สร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นจากธุลีดิน ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์

“ชีวิตสายพันธุ์ใหม่จะต้องสรรเสริญข้าพเจ้า และในฐานะผู้สร้างและผู้ให้กำเนิด… ไม่มีบิดาคนใดจะสามารถทวงถามความซาบซึ้งขอบคุณได้มากไปกว่าที่ข้าพเจ้าคู่ควรจะได้รับ” 

ด้วยความรู้ทางด้านกายวิภาค วิกเตอร์รวบรวมชิ้นส่วนอวัยวะ รวมถึงกระดูกของมนุษย์ จากศพในห้องเก็บศพและสุสาน แน่นอนว่า ส่วนหนึ่งในจิตใจของเขา รู้สึกขยะแขยงและรังเกียจสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่รุกล้ำข้ามเส้นศีลธรรมและจริยธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อีกส่วนหนึ่งในจิตใจของวิกเตอร์ กลับรู้สึกภาคภูมิใจที่กำลังจะทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้

โครงการคืนชีพมนุษย์ของวิกเตอร์ ถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีใครล่วงรู้ระแคะระคาย ไม่ว่าจะพ่อของเขา เพื่อนสนิทอย่างเฮนรี หรือหญิงสาวคนรักอย่างเอลิซาเบธ ทุกคนรับรู้แค่เพียงว่า ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของพวกเขา กำลังคร่ำเคร่งกับการศึกษาที่มหาวิทยาลัย ในเมืองอิลก็อลชตัท

หลังจากคร่ำเคร่งอยู่นานเกือบสองปี ค่ำคืนหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ประสบความสำเร็จในการใช้พลังงานไฟฟ้า กระตุ้นให้ชีวิตถือกำเนิดขึ้นในร่างอันมหึมาที่ประกอบจากชิ้นส่วนของซากศพ

“ในตอนนั้นที่แสงจันทร์เหลืองซีดส่องผ่านเข้ามาทางระแนงหน้าต่าง ข้าพเจ้าก็เห็นเจ้าตัวอัปรีย์นั่น… อสุรกายอาเพศที่ข้าพเจ้าสร้างขึ้น มันเลิกม่านคลุมเตียง… จ้องเขม็งมองข้าพเจ้า มันอ้าปากเปล่งเสียงที่มิอาจจับใจความ รอยยิ้มทำให้ผิวหนังตรงแก้มยับย่น”

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า แมรี เชลลีย์ ผู้แต่งเรื่องนี้ ตั้งใจจะบอกอะไรกับผู้อ่าน นอกเหนือจากความสยองขวัญสั่นประสาท แต่ก็มีหลายคนที่มองว่า สาส์นที่เธอซุกซ่อนอยู่ คือ บาปจากความทะเยอทะยานของมนุษย์ ที่คิดจะเล่นบทพระเจ้า โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ซึ่งในตอนแรก ผมก็คิดเช่นนั้น แต่หลังจากได้อ่านเรื่องนี้ซ้ำอีกครั้ง ผมกลับพบเจอแง่มุมอันแสนเศร้าของสิ่งที่ถูกเรียกว่า อสุรกาย

ใครคนหนึ่ง กล่าวไว้ว่า ไม่มีใครที่เกิดมาชั่วช้าโดยกำเนิด ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาแล้วเป็นปีศาจร้าย 

แน่นอน แนวคิดนี้ไม่ได้หมายความว่า เด็กทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับความดีงามในจิตใจ น่าจะถูกต้องกว่าหากจะบอกว่า เด็กทุกคนล้วนเกิดมาโดยที่ยังไม่รู้จักทั้งความดีและความเลว และนั่นก็หมายความว่า เด็กคนนั้น สามารถจะเติบโตขึ้นเป็นคนดีหรือปีศาจ ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของผู้ให้กำเนิด และการอบรมสั่งสอนของคนรอบข้าง

ย้อนกลับไปที่คำพูดของวิกเตอร์ เมื่อตอนที่เห็นซากศพไร้ชีวิตขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวและมีชีวิตขึ้นมาได้ ผมสะดุดตากับถ้อยคำว่า “รอยยิ้มทำให้ผิวหนังตรงแก้มยับย่น”

ใช่แล้วครับ อสุรกาย หรือตัวอัปรีย์ที่เขาเรียก สิ่งยิ้มให้กับวิกเตอร์ ผู้ให้กำเนิดมันขึ้นมา ไม่ต่างอะไรจากทารกที่รู้จักยิ้มเมื่อเห็นใบหน้าของพ่อแม่

แต่น่าเศร้า ที่อมนุษย์ของวิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ คือเด็กน้อยที่ไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อ รอยยิ้มและมือที่ยื่นออกมาไขว่คว้า ทำให้วิกเตอร์ตกใจกลัวจนวิ่งหนีไป ครั้งกลับมาอีกครั้ง ก็ไม่พบเจออสุรกายตัวนั้นแล้ว

อย่างไรก็ดี ฝันร้ายยังคงหลอกหลอนจิตใจของวิกเตอร์ เขากลายเป็นคนอิดโรย หม่นเศร้า อมทุกข์อยู่ตลอดเวลา แม้จะกลับไปอยู่กับครอบครัวแล้วก็ตาม วิกเตอร์ต้องพบกับข่าวร้ายจากการจากไปของ วิลเลียม น้องชายของเขา ซึ่งวิกเตอร์เชื่อว่า เป็นฝีมือของอสุรกายที่เขาสร้างขึ้น

กระทั่งวันหนึ่ง วิกเตอร์ได้พบกับอสุรกายตัวนั้นโดยไม่คาดคิด และยิ่งทำให้เขาแปลกใจมากขึ้น เพื่อพบว่า ปีศาจร่างยักษ์นั้น สามารถพูดและสื่อสารกับเขาได้

ปีศาจที่วิกเตอร์สร้างขึ้น เล่าว่า หลังจากที่มีชีวิตขึ้นมา มันก็เริ่มต้นเรียนรู้โลก ไม่ต่างจากเด็กทารกคนหนึ่ง เรียนรู้เรื่องความมืดและความสว่าง ความหนาวและความอบอุ่น ความหิวโหยและความอิ่ม และที่สำคัญ มันได้เรียนรู้ถึงจิตใจที่ดีงามของมนุษย์

อมนุษย์ร่างยักษ์ ใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตามชายป่า ได้พบกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยพ่อผู้ตาบอด ลูกชายและลูกสาว ซึ่งทุกคนในครอบครัวล้วนแต่มีจิตใจที่ดีงาม พูดจากันด้วยน้ำเสียงที่สุภาพอ่อนโยน ปฏิบัติต่อกันด้วยท่าทีที่โอบอ้อมอารี สิ่งเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบให้ปีศาจลอกเลียนแบบ และวาดฝันว่า สักวันหนึ่ง มันจะได้รับการยอมรับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่งดงามนี้

อนิจจา เจ้าสิ่งประดิษฐ์พิกลพิการ ยังไม่ได้เรียนรู้ว่า รูปลักษณ์ภายนอก คืออคติที่อยู่ในใจทุกคน แม้กระทั่งคนที่มีจิตใจที่ดีงาม ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวและถอยห่างจากสิ่งที่มีรูปลักษณ์ดูชั่วร้าย ครอบครัวชายชราก็ไม่ต่างกัน พวกเขาตกใจและหวาดกลัวต่อรูปลักษณ์ของอมนุษย์ร่างยักษ์ รวมทั้งเกรงว่า มันจะเข้ามาทำร้ายพ่อของพวกเขา จึงช่วยกันขับไล่จนมันหนีไป

ปีศาจของแฟรงเกนสไตน์ ร่อนเร่พเนจรไปเรื่อยๆ และได้ประสบพบเจออีกหลายเหตุการณ์ที่ยืนยันว่า รูปลักษณ์คือสิ่งแรกที่มนุษย์ใช้ตัดสินผู้อื่น การกระทำหลายอย่างของมัน ที่ทำไปด้วยจิตใจงดงาม กลับถูกตีความว่า เป็นการกระทำอันชั่วร้าย เพียงเพราะรูปลักษณ์ของมันเป็นเช่นนั้น

ความโดดเดี่ยว มักนำไปสู่ความโศกเศร้า และบางครั้ง ก็นำไปสู่ความโกรธแค้นได้เช่นกัน คนที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม หลายคนกลายเป็นคนต่อต้านสังคมด้วยโทสะเกรี้ยวกราด หรืออาจพูดอีกอย่างหนึ่งว่า บางครั้ง การถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ก็สามารถสร้างปีศาจร้ายขึ้นมาได้

ในที่สุด อมนุษย์ที่ก่อกำเนิดจากซากศพ ได้พบกับวิลเลียม น้องชายของวิกเตอร์ และเกิดบันดาลโทสะเมื่อรู้ว่า เด็กน้อยคนนี้คือน้องชายของผู้ที่สร้างมันขึ้นมาโดยไร้ความรับผิดชอบ ทำให้วิลเลียมกลายเป็นเหยื่อรายแรกที่ถูกปีศาจร่างยักษ์สังหาร เพื่อสังเวยแค้นที่มีต่อวิกเตอร์

“ผู้สร้างอันชั่วช้าแสนชั่วช้า! เหตุใดข้าถึงต้องมีชีวิตขึ้นมาด้วย! ในหมู่มนุษย์มากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีใครเลยที่จะเวทนาหรือให้ความช่วยเหลือแก่ข้า แล้วข้าจะมีน้ำใจอันใดไปมอบให้แก่ศัตรูกันเล่า”

การจองล้างจองผลาญ ระหว่างปีศาจร่างยักษ์กับวิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ ปิดฉากลงด้วยโศกนาฏกรรมที่สั่นสะเทือนจิตใจอย่างรุนแรง โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะ ทุกคนล้วนพ่ายแพ้ สูญเสียและสิ้นหวัง

วิกเตอร์ สูญเสียทุกอย่าง ทั้งครอบครัว เพื่อน คนรัก และกระทั่งชีวิตตัวเอง จากการกระทำอันไร้ความรับผิดชอบในฐานะ ‘ผู้สร้าง’ หรือ ในฐานะ ‘พ่อ’ ที่ไม่ยอมรับ ‘ลูก’ ที่ตัวเองก่อกำเนิดขึ้นมา

สัตว์ประหลาดร่างยักษ์ ก็สูญเสียทุกอย่าง ทั้งความหวังที่จะได้มีชีวิตที่สงบสุข ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม และความรักที่ไม่เคยได้รับจาก ‘พ่อ’

และท้ายที่สุด ความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่าง ‘พ่อ’ และ ‘ลูก’ ทำให้ต่างฝ่ายต่างเป็น ‘ปีศาจร้าย’ ในสายตาของอีกฝ่าย และความไม่เข้าใจกันนั้น ไม่ได้นำไปสู่สิ่งใดเลย นอกเสียจากโศกนาฏกรรม

Tags:

ความสัมพันธ์วรรณกรรมครอบครัวลูกการเลี้ยงดูแฟรงเกนสไตน์Halloween

Author:

illustrator

สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

อดีตนักแปล-นักข่าว ปัจจุบันเป็นพ่อค้า พ่อบ้าน และพ่อของลูกชายวัยรุ่น รักหนังสือ ชอบเข้าร้านหนังสือ และชอบซื้อหนังสือมาดองเป็นกองโต

Related Posts

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear ParentsMovie
    Survival of the thickest – แด่ผู้รอดชีวิตจาก toxic parents

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Beef (2023) เก็บกด แบกรับ ปิดบัง ฉบับ Asian Americans

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Yes Day: ขอให้มีสักวันที่แม่จะไว้ใจและให้พื้นที่อิสระพอที่เราจะใช้ชีวิตในแบบของตนเอง

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel