- ‘เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ’ ผลงานนวนิยายเล่มแรกของ แซม ซาเวจ (Sam Savage) นักเขียนและกวีชาวอเมริกัน ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีไปทั่วโลก เนื้อหาที่เต็มไปด้วยตลกร้าย ความขบขันที่แสนขมขื่น คือนิยายหม่นเศร้าที่ถูกฉาบทับด้วยโฉมหน้าของนิทานแฟนตาซี
- เฟอร์มิน คือหนูปัญญาชนผู้รักวรรณกรรม ที่ชอบอ่านวรรณกรรมดีๆ ช่างจดช่างจำถ้อยคำดีๆ หรือวรรคทองจากหนังสือ แต่กลับไม่มีใครมองเห็นคุณค่า เพราะรูปลักษณ์ภายนอกที่เป็นแค่หนู สะท้อนความเจ็บปวดของการอยู่ผิดที่ผิดทางในสังคมที่ตัดสินคนจากภายนอก
- ความสุข คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในที่ที่มีคนเห็นคุณค่า แม้ว่าในสายตาของคนอื่น เราจะเป็นแค่หนูสกปรกตัวหนึ่ง ที่สำคัญที่สุด ตัวเราเอง จะต้องเป็นคนแรกที่มองเห็นและเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง เพราะหากเรายังมองไม่เห็นคุณค่านั้น แล้วจะหวังให้ใครมามองเห็นได้
เมื่อพูดถึง ‘หนู’ คุณคิดถึงอะไรครับ
คำตอบของคนส่วนใหญ่ เมื่อนึกถึงหนู ก็คือ สัตว์ตัวรังควาน สร้างความเสียหายให้แก่ข้าวของในบ้าน ตัวแทนของความสกปรก และพาหะนำพาเชื้อโรคมาสู่คน หรือพูดอีกอย่างว่า หนู คือสิ่งที่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ของสิ่งที่เป็นโทษต่อคนอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าหนูจะสมควรถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ไหน และไม่ว่าการจัดหมวดหมู่นั้น จะถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งหมดหรือไม่ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลย ก็คือ หนูเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์ นับตั้งแต่เราเริ่มเข้าสู่ยุคของสังคมการเกษตรและอาศัยอยู่รวมกลุ่มในเมือง
เมื่อคนพบเจอหนูเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ปรากฎในสมอง ก็คือ หนูเป็นตัวแทนของสิ่งสกปรก จัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่เป็นโทษต่อมนุษย์ หลังจากนั้น สมองจะเริ่มคิดหาวิธีขับไล่ หรือกำจัดหนูตัวนั้น ไม่ว่าจะด้วยการวางกับดัก หรือการใช้ยาเบื่อหนู และแน่นอน คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกผิดกับการกำจัดหนู ที่เป็นสัตว์นำเชื้อโรคและความเสียหายมาสู่คน
แต่สมมติว่า หนูตัวนั้นเป็น ‘ปัญญาชน’ เป็นหนูที่อ่านหนังสือออก ชอบอ่านวรรณกรรม มีความคิดความอ่าน ดีไม่ดี อาจจะมากกว่าเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว คุณจะยังคิดกำจัดมันไหม
และทั้งหมดที่ว่ามา คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือชื่อ ‘เฟอร์มิน หนู / รัก / หนังสือ’ ผลงานนวนิยายเล่มแรกของ แซม ซาเวจ (Sam Savage) นักเขียนและกวีชาวอเมริกัน ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดีไปทั่วโลก ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่าสิบภาษา
หลายคนเรียกผลงานของซาเวจว่า เป็นวรรณกรรมเด็กที่เขียนให้ผู้ใหญ่อ่าน เนื้อหาที่เต็มไปด้วยตลกร้าย ความขบขันที่แสนขมขื่น คือนิยายหม่นเศร้าที่ถูกฉาบทับด้วยโฉมหน้าของนิทานแฟนตาซี ที่มีสัตว์เป็นตัวละครเอก คือโศกนาฏกรรมของการอยู่ผิดที่ผิดทาง และคือความพยายามที่ไร้ผลของการรักษาอัตลักษณ์ ในโลกที่ไม่มีใครให้คุณค่าอัตลักษณ์นั้น
เฟอร์มิน เป็นหนูตัวน้องสุดท้ายในจำนวนหนูสิบสามตัว ที่เกิดจากท้องแม่หนูขี้เมา ในห้องใต้ดินของร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ในย่านจัตุรัสสกัลลีย์ (สะกดตามในหนังสือฉบับแปลไทย) ของนครบอสตัน
จัตุรัสสกัลลีย์ นอกจากจะเป็นที่ตั้งของร้านหนังสือเพมบรูก ร้านหนังสือขนาด 4 คูหาในเรื่องแล้ว ยังเป็นที่ตั้งของโรงละคร โรงภาพยนตร์ โบสถ์ ซึ่งแต่ละแห่งล้วนแต่มีอายุยาวนานหลายสิบปี จนถึงนับร้อยปี พูดง่ายๆ ว่า ที่นี่คือย่านเก่าที่เต็มไปด้วยอาคารที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ ขณะที่กลิ่นอายของเรื่องราวในอดีต ลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วจัตุรัส
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้กลิ่นหอมหวลของวันวาน สำหรับหน่วยงานบริหารของนครบอสตัน ย่านจัตุรัสสกัลลีย์ มีแต่กลิ่นอับชื้นสกปรก ไม่ต่างจากหนู ที่เป็นตัวแทนของความเสื่อมโทรม และนำพาเชื้อโรคมาสู่เมือง
ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นพระเอกหรือผู้ร้ายหรอกครับ ทุกคนต่างแค่ทำหน้าที่ของตน ทุกคนต่างก็มีโลกของตน และทุกคนต่างก็มีทัศนคติ หรือแว่นที่ใช้สวมเพื่อมองโลกที่ย้อมสีเลนส์แตกต่างกัน จนกระทั่งวันใดวันหนึ่งที่โลกของคนสองกลุ่มเกิดเคลื่อนที่มาปะทะกัน ความขัดแย้งจึงบังเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ข้าราชการและฝ่ายบริหารของเมือง ต้องการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับเมือง นักธุรกิจและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต้องการผลักดันโครงการก่อสร้าง เพื่อนำมาซึ่งงานและเม็ดเงินกำไร คนสองกลุ่มนี้ ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับย่านจัตุรัสสกัลลีย์
แต่สำหรับ นอร์แมน ชายน์ เจ้าของร้านหนังสือเพรมบรูก, เจอร์รี่ มาร์กูน นักเขียนนิยายที่ขายผลงานไม่ออก แต่ก็เชื่อมั่นว่า ตัวเองคือศิลปินที่ฉลาดที่สุดและร่ำรวยความสุขที่สุดในโลก รวมทั้งมนุษย์อีกหลายคนในย่านสกัลลีย์ ที่เต็มเปี่ยมด้วยทีท่าของปัญญาชนและศิลปินอิสระ พวกเขาไม่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย สำหรับพวกเขา ‘สิ่งที่เป็นอยู่..มันดีอยู่แล้ว’
เช่นเดียวกัน สำหรับเจ้าหนูเฟอร์มิน สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ในย่านจัตุรัสสกัลลีย์ มันดีอยู่แล้ว มีเศษอาหารให้มันเก็บกิน มีโรงหนัง (ที่ฉายหนังเก่าตอนกลางวัน และฉายหนังโป๊ในตอนกลางคืน) ให้มันแอบเข้าไปดู และที่วิเศษที่สุด มีร้านหนังสือที่เต็มไปด้วยวรรณกรรมดีๆ ให้มันได้อ่าน
อ้อ ผมเกือบลืมเล่าไปแล้วสินะครับ เฟอร์มิน ตัวเอกของเรื่อง เป็นหนูที่อ่านหนังสือได้ ชอบอ่านวรรณกรรมดีๆ ช่างจดช่างจำถ้อยคำดีๆ หรือวรรคทองจากหนังสือ ไม่ว่าจะเป็น “ครอบครัวที่เปี่ยมสุขนั้นเหมือนกันหมด แต่ครอบครัวไร้สุขนั้นจะไร้สุขในรูปแบบที่ต่างกันไป” (จาก Anna Karenina ของ Leo Tolstoy นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย) หรือ “โอ อวสานอันขื่นขม! พวกเขาไม่มีวันเห็น ไม่มีวันรู้ ไม่มีวันคิดถึงผม และมันก็เก่าแก่และเก่าแก่ หม่นเศร้าและเก่าแก่ เศร้าหม่นและอ่อนโรย” (จาก Finnegans Wake ของ James Joyce)
และทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามา ทำให้เฟอร์มิน เชื่อว่า ตัวเองก็เป็นปัญญาชนคนหนึ่ง ไม่ใช่หนูตัวหนึ่ง แต่เป็นมนุษย์ที่อยู่ในคราบของหนู
แม้ว่าเฟอร์มินจะมีความสุขกับการได้อ่านหนังสือดีๆ ได้พูดคุยเจรจาพาทีกับตัวละครในวรรณกรรม แต่สิ่งที่มันโหยหาอย่างแท้จริง ก็คือ การได้ผูกมิตรกับมนุษย์ตัวเป็นๆ สักคน
น่าเศร้าที่เฟอร์มินเป็นแค่หนู ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คน แม้ว่าลึกๆ ในใจ เฟอร์มิน จะเป็นทั้งปัญญาชน นักปราชญ์ นักอ่าน และศิลปิน
และที่น่าเศร้ากว่านั้น มนุษย์ คือสิ่งมีชีวิตที่ชอบตัดสินและจัดกลุ่มสิ่งต่างๆ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก มากกว่าจิตใจ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ในการพบเจอหน้ากันครั้งแรกระหว่างเฟอร์มิน กับ นอร์แมน ชายน์ เจ้าของร้านหนังสือ จึงไม่เป็นดังที่เฟอร์มินคาดหวัง
ค่ำคืนนั้น เจ้าของร้านหนังสือเพรมบรูก นั่งร้องไห้อยู่เงียบๆ ในร้าน เพราะสถานการณ์ทุกอย่างย่ำแย่ลง เทศบาลนครบอสตัน ต้องการเวนคืนที่ เพื่อบูรณะปรับปรุงย่านจัตุรัสสกัลลีย์ ขณะที่จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านหนังสือ ก็ลดน้อยถอยลงทุกที
นอร์แมน ชายน์ คือมนุษย์คนแรกที่เฟอร์มินหลงรักและอยากผูกมิตรด้วย ความเศร้าของเขา ทำให้เจ้าหนูอยากวิ่งเข้าไปปลอบ แต่น่าเศร้าที่ชายน์ไม่คิดเช่นนั้น ทันทีที่เขามองเห็นเฟอร์มิน หัวสมองบอกกับเขาว่า นั่นคือสัตว์รังควานที่ก่อให้เกิดโทษแก่มนุษย์ และวิธีเดียวที่คนควรใช้รับมือกับสิ่งนั้น ก็คือ กำจัดมันทิ้งเสีย
แม้ว่าเฟอร์มิน จะรอดชีวิตอย่างฉิวเฉียดจากขนมใส่ยาเบื่อหนูที่ชายน์จัดวางไว้ แต่มันสูญเสียโอกาสที่จะได้ผูกมิตรกับมนุษย์คนแรกที่มันรักไปแล้ว ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เฟอร์มินก็พอทำใจกับเรื่องนี้ได้ อาจจะเพราะมันชินชากับการอยู่โดยที่ไม่มีใครเห็นคุณค่ามาตั้งแต่เกิด
คงไม่ผิดถ้าจะใช้คำว่า เฟอร์มิน อยู่ผิดที่ผิดทางมาตั้งแต่เกิด มันคือน้องตัวสุดท้ายในจำนวนหนู 13 ตัว ที่เกิดจากแม่ที่เต้านมแค่ 12 เต้า นั่นหมายความว่า เจ้าตัวที่เล็กที่สุด จะมีโอกาสได้กินนมน้อยที่สุด
ด้วยความหิวโหยแทบจะตลอดเวลา เฟอร์มินเริ่มกัดกินหน้ากระดาษของหนังสือ ต่อจากนั้น มันค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการกินหนังสือ เป็นการอ่านหนังสือ และท้ายที่สุด เฟอร์มิน ก็กลายเป็นหนูที่พิลึกพิลั่นในสายตาของหนูตัวอื่นๆ
ถึงแม้รูปลักษณ์เหมือนหนู แต่ในสายตาของหนูตัวอื่น เฟอร์มินไม่ใช่หนู มันสอบตกในหัวข้อคุณค่าของความเป็นหนูอย่างเห็นได้ชัด แต่ขณะเดียวกัน ถึงแม้จิตใจจะเหมือนคน แต่ในสายตาของคนทั่วไป เฟอร์มินก็ไม่ใช่คน มันสอบตกในหัวข้อคุณค่าของความเป็นคนเช่นกัน
ชีวิตของเฟอร์มิน ก็ไม่ต่างจากชีวิตของจัตุรัสสกัลลีย์ ที่ถูกมองเป็นย่านแห่งความโสโครก ไม่ถูกให้คุณค่าในสายตาของผู้บริหารเทศบาลนครบอสตัน
เมื่ออยู่ในที่ที่ไม่มีใครให้คุณค่า ชีวิตก็คือโศกนาฏกรรม ที่ไม่ต่างจากวรรณกรรมเปื้อนน้ำตาของเชคสเปียร์ หรือนิยายระทมทุกข์ของดอสโตเยฟสกี้
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่า เรื่องราวของเฟอร์มิน คงเต็มไปด้วยความหดหู่ แต่จริงๆ แล้ว ไม่เลยครับ แซม ซาเวจ ผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ เลือกถ่ายทอดมันผ่านทางอารมณ์ขัน ที่แฝงด้วยความเย่อหยิ่ง ไว้ตัว เยี่ยงปัญญาชน ที่เต็มไปด้วยอัตตาจนน่าหมั่นไส้
ว่ากันว่า งานเขียนเล่มแรกของนักเขียนทุกคน มักจะมีตัวตนของนักเขียนอยู่ในนั้น ไม่มากก็น้อย เรื่องราวชีวิตที่อยู่ผิดที่ผิดทางจนไม่มีใครเห็นคุณค่าของเฟอร์มิน ก็อาจเป็นภาพสะท้อนชีวิตช่วงหนึ่งของซาเวจ โดยหลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเยล ซาเวจได้เป็นอาจารย์สอนที่นั่นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งเจ้าตัวบอกในภายหลังว่า เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่แสนเศร้าหมอง
หลังจากลาออกจากแวดวงปัญญาชนแล้ว ซาเวจได้ทดลองใช้ชีวิตที่หลากหลาย ทั้งเป็นช่างซ่อมจักรยาน ช่างไม้ หรือกระทั่งเป็นชาวเรือประมงจับปู ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นนักเขียนในที่สุด
ย้อนกลับไปที่เรื่องราวของเฟอร์มิน ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของหนูผู้รักหนังสือ เกิดขึ้นเมื่อมันพบเจอกับเจอร์รี่ มากูน นักเขียนอิสระ ผู้กลายเป็นมนุษย์คนที่สองที่เฟอร์มินหลงรัก และเป็นมนุษย์คนแรกที่มองเห็นคุณค่าในตัวเฟอร์มิน
เจอร์รี่ พบเจอเฟอร์มินที่สวนสาธารณะ หลังจากเจ้าหนูถูกคนใช้ไม้ตีจนขาเจ็บ หลังจากนั้น เขาพามันกลับห้องพัก เลี้ยงดูด้วยอาหารดีๆ และความรักล้นเหลือ เจอร์รี่ตั้งชื่อเฟอร์มินว่า เออร์นี่ ตามชื่อของเออร์เนสต์ เฮมมิงเวย์ นักเขียนชาวอเมริกันที่เขาชื่นชอบ
เจอร์รี่ เคยเห็นเฟอร์มินกำลังอ่านหนังสืออย่างตั้งอกตั้งใจ เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าหนูอ่านหนังสือได้จริงหรือเปล่า แต่เขาก็มีความสุขกับภาพที่เห็น และไม่เคยห้ามปรามเวลาที่เฟอร์มินอ่านหนังสือ เช่นเดียวกัน ทุกครั้งที่เฟอร์มิน พยายามเล่นเปียโนเด็กเล่น (ซึ่งเจอร์รี่พบจากถังขยะและนำกลับมาซ่อมจนใช้ได้) เจอร์รี่ จะหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างมีความสุข เฟอร์มินเองก็มีความสุข ห้องเช่าเล็กๆของเจอร์รี่ อบอวลไปด้วยความสุข
ความสุข คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ในที่ที่มีคนเห็นคุณค่า แม้ว่าในสายตาของคนอื่น เราจะเป็นแค่หนูสกปรกตัวหนึ่ง
ที่สำคัญที่สุด ตัวเราเอง จะต้องเป็นคนแรกที่มองเห็นและเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง เพราะหากเรายังมองไม่เห็นคุณค่านั้น แล้วจะหวังให้ใครมามองเห็นได้