- Dear Evan Hansen ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราววันเปิดเทอมชีวิตมัธยมปลายปีสุดท้ายของ ‘เอเว่น แฮนเซน’ วัยรุ่นผู้รู้สึกว่าตัวเองเป็น Nobody ไร้ตัวตนในสังคม แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนชีวิตเขาไป ด้วยจดหมายปลุกใจถึงตัวเอง แต่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นของ ‘คอนเนอร์’
- คนที่ไม่เคยอยู่ในแสง กลับมีสปอร์ตไลท์สาดมาอยู่ที่ ‘เอเว่น’ เพราะจดหมายฉบับนั้นทำให้คนคิดว่าเอวานเป็นเพื่อนสนิทกับคอนเนอร์ เด็กหนุ่มที่จากไปด้วยการฆ่าตัวตาย
- เราเคยคิดว่าตัวเองอาจเป็นคนเดียวบนโลกที่รู้สึกแบบนี้ แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ เหมือนมันเข้ามาช่วยปลอบโยนส่วนหนึ่งในตัวเรา ทำให้พบว่าความจริงมีคนอีกมากมายที่เข้าใจความโดดเดี่ยวและกังวลแบบเดียวกันนี้อยู่
“เคยรู้สึกเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ตัวบ้างมั้ย? เคยรู้สึกบ้างมั้ยว่าเหมือนถูกลืมทิ้งไว้ในที่เปลี่ยวร้าง? เคยรู้สึกเหมือนเธอหายตัวได้รึเปล่า? เหมือนเธอล้มลง แล้วไม่มีใครได้ยิน”
เนื้อร้องส่วนหนึ่งจากหนัง Musical เรื่อง Dear Evan Hansen ที่เราเลือกหยิบมาเขียนเพราะรู้สึกมันเล่าภาพรวมของเรื่องนี้ได้อย่างดี
เรื่องราวมันเริ่มขึ้นจากวันเปิดเทอมชีวิตมัธยมปลายปีสุดท้ายของ ‘เอเว่น แฮนเซน’ วัยรุ่นผู้มีโรควิตกกังวลอย่างหนัก เขารู้สึกว่าตัวเองเป็น Nobody ไร้ตัวตนในสังคม เขาต้องเขียนจดหมายปลุกใจถึงตัวเองเป็นการบ้านสำหรับใช้ในการเข้าพบจิตแพทย์ แต่จดหมายที่เขาเขียนกลับทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตและเปลี่ยนชีวิตของเขาไปแบบไม่มีทางเหมือนเดิม
ด้วยจังหวะหรือเหตุบังเอิญของชีวิตที่จับพลัดจับผลูทำให้จดหมายฉบับนั้นถูกเข้าใจผิดว่าเป็นของ ‘คอนเนอร์’ เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ก็รู้สึกว่าตัวเองก็ไร้ตัวตน ไม่มีเพื่อน เคยมีประวัติใช้ยาและมีอารมณ์ที่รุนแรง ซึ่งต่อมาเขาได้ฆ่าตัวตาย
ย้อนกลับไปช่วงปิดเทอม เอเว่นไปทำงานในอุทยานแห่งหนึ่ง เขามีความทรงจำที่สวยงามและเจ็บปวดในที่แห่งนั้น เขาปีนต้นไม้และตกลงมาจนแขนหัก แม่ของเขาแนะนำว่าเปิดเทอมใหม่แล้ว ลองหาเพื่อนโดยการชวนใครซักคนมาเซ็นเฝือกให้สิ
พอเปิดเทอมวันแรกเอเว่นเผลอหัวเราะแหะๆ ให้คอนเนอร์ตอนที่เขาถูกล้อเลียนอยู่ อาจเพราะรู้สึกว่าต่างเผชิญชะตากรรมที่คล้ายกันในการเข้าสังคม แต่คอนเนอร์ไม่ได้คิดแบบนั้น เขาคิดว่าเอเว่นหัวเราะเยาะ เขาโกรธและตะโกนใส่หน้าเอเว่นเสียงดังเพื่อระบายอารมณ์
สักพักเมื่อเขาอารมณ์เย็นลงก็เลยชวนเอเว่นคุยพร้อมกับเซ็นเฝือกที่แขนให้ และพูดว่า “เท่านี้ พวกเราก็จะดูเหมือนมีเพื่อนแล้ว”
แต่หลังจากนั้นคอนเนอร์ดันบังเอิญไปเห็นชื่อน้องสาวของตัวเองในจดหมายที่เอเว่นกำลังปริ้นท์ออกมาแล้วคิดว่าเอเว่นตั้งใจเขียนจดหมายนี้ยั่วโมโหเขา เขาจึงปึงปังจากไปโดยไม่ฟังเหตุผลพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น
ความจริงคือเอเว่นแอบชอบ “โซอี้” น้องสาวของคอนเนอร์ และเมื่อโซอี้เข้ามาทักเขาก็ไม่สามารถตอบกลับไปได้อย่างที่ตัวเองต้องการ นั่นทำให้เขาผิดหวังในตัวเองมากจนต้องเขียนระบายลงไปในจดหมาย
สามวันต่อมา พ่อแม่ของคอนเนอร์ขอเจอเอเว่นเพื่อมาแจ้งข่าวการเสียชีวิตและมอบจดหมายที่พวกเขาคิดว่าคอนเนอร์เขียนให้เอเว่น
ทั้งครอบครัวคิดว่าคอนเนอร์ไม่มีเพื่อน แต่พอเห็นจดหมายนี้ พวกเขาก็มีความหวัง
ในตอนแรกเอเว่นพยามปฏิเสธแล้วว่าคอนเนอร์ไม่ได้เขียนจดหมายนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จ พ่อแม่ของคอนเนอร์ยังไม่ได้เปิดใจรับสิ่งที่เอเว่นพยามยามบอก พวกเขากำลังรู้สึกตื้นตันที่ลูกชายของตัวเองมีเพื่อนสนิท ตัวของเอเว่นเองก็คงรู้สึกว่าอย่างน้อยให้พ่อแม่ที่น่าสงสารของคอนเนอร์เชื่อว่าคอนเนอร์ที่ตายไปแล้วมีเพื่อนน่าจะดีกว่า
แล้วยิ่งแม่บังเอิญเห็นชื่อคอนเนอร์ที่ถูกเขียนไว้บนเฝือกของเอเว่น เลยยิ่งเชื่อจริง ๆ ว่า เอเว่นคือเพื่อนสนิทของลูกชาย
จากการโกหกเพียงนิดเดียวกลายเป็นการโกหกที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบครัวของคอนเนอร์ชวนให้เอเว่นไปกินข้าวเย็นที่บ้านเพราะอยากรับรู้เรื่องของลูกชายตัวเองให้มากขึ้นจากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิท เอเว่นตั้งใจจะไปบอกความจริง แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่ไหลไปตามน้ำ
หลังจากนั้นซินเทีย (แม่ของคอนเนอร์และโซอี้) ก็ขอให้เอเว่นช่วยขึ้นไปพูดกล่าวคำอาลัยในงานรำลึกถึงคอนเนอร์ที่จัดขึ้นที่โรงเรียน ซึ่งนี่คือเรื่องใหญ่มากสำหรับเอเว่น ด้วยความเป็นโรควิตกกังวลและมันไม่ใช่แค่การพูดต่อหน้าสาธารณชนแต่มันคือการโกหกต่อหน้าทุกคน เขาตัวสั่นมือสั่นทำบทพูดตกกระจายไปหมด ทุกอย่างเกือบจะพัง แต่สุดท้ายเขาก็สามารถพูดออกมาได้เพราะหันไปเห็นรอยยิ้มของซินเทีย แม่ผู้ใจดี เชื่อมั่นและเหมือนเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา การขึ้นไปพูดในครั้งนั้นดังจนเป็นไวรัลในอินเตอร์เน็ต ทุกคนต่างพากันสนใจและตระหนักเรื่องสุขภาพจิตในวัยรุ่น
จากคนที่ไม่เคยอยู่ในแสง กลับมีสปอร์ตไลท์สาดมาอยู่ที่เอเว่น เพราะจดหมายฉบับนั้นทำให้คนคิดว่าเอวานเป็นเพื่อนสนิทกับคอนเนอร์ เด็กหนุ่มที่จากไปด้วยการฆ่าตัวตาย
ความเศร้าอย่างนึงคือเรารู้สึกว่าเรื่องโกหกที่เอเว่นสร้างขึ้นมาเล่าให้ทุกคนฟังว่าเขากับคอนเนอร์มีความทรงจำที่ดีร่วมกันยังไงบ้าง มันเป็นเหมือนเรื่องราวที่เขาอยากให้มันเกิดขึ้นจริงแต่มันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
ที่เราสนใจอีกเรื่องนอกจากการพูดถึงความโดดเดี่ยวได้อย่างลึกซึ้งคือ มีตอนนึงที่เรื่องราวการโกหกมันบานปลายจนเริ่มทำร้ายครอบครัวของคอนเนอร์ เอเว่นเลยต้องสารภาพความจริงกับครอบครัวคอนเนอร์ทุกอย่าง ทุกคนช็อค ซินเทียบอกให้เอเว่นกลับไปเถอะ โดยไม่ว่าอะไรเขาซักคำ
และเมื่อเขาไปโรงเรียนกลับพบว่าไม่มีใครก่นด่ารังเกียจเขาอย่างที่คิด เมื่อเขาเจอโซอี้ โซอี้พูดว่าครอบครัวของเธอจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป เพราะแม่ของเธอบอกว่า “แม่เสียลูกชายไปคนนึงแล้ว” แม่ ไม่อยากทำลายเอเว่น กลัวว่าเอเว่นจะทำแบบเดียวกับที่คอนเนอร์ทำ
ตอนโซอี้พูดประโยคนี้ออกมามันเจ็บหัวใจมาก เธอคือคนที่ถูกแม่มองข้ามความรู้สึกอยู่เสมอ เธอเป็นอีกคนที่ยอมเสียสละ ยอมถูกคนทั้งโรงเรียนนินทา แม้กระทั่งเหตุการณ์นี้แม่ก็ยังปกป้องเอเว่นแทนที่จะเป็นโซอี้
ตอนที่คอนเนอร์จากไปไม่นาน แม่ก็พยายามปลุกความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับคอนเนอร์ขึ้นมา และอยากให้โซอี้ทำแบบเดียวกัน แต่โซอี้บอกว่าเธอจำได้แต่พี่ชายที่ใจร้ายเหมือนปีศาจเพราะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ แม่ปฏิเสธที่จะรับฟังต่อ เธอไม่อยากยอมรับความจริงข้อนั้น เธอแก้ตัวให้คอนเนอร์ว่า “พี่เขากำลังพยายามอยู่”
ในมุมนึงเราก็เก็ทว่าการเสียลูกคนนึงไปมันแย่จริงๆ และคงไม่ง่ายที่จะยอมรับ แต่สิ่งที่แม่ทำกับโซอี้ที่ยังคงหายใจอยู่ ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ เพราะถ้าวันนึงโซอี้รับไม่ไหวแล้ว เธออาจเลือกปลดชีวิตของตัวเองไปอีกคนก็ได้
ส่วนตัวเราเคยรู้สึกเหงาแม้จะนั่งอยู่กับเพื่อนๆ เพราะไม่รู้จะร่วมในวงสนทนานั้นยังไง เราเคยกังวลเรื่องเข้าสังคมจนนอนไม่หลับ เคยรู้สึกกลัวที่จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของอะไรเลย และเคยตัวสั่นหงึกๆ เวลาต้องพูดต่อหน้าสาธารณะ
เราเคยคิดว่าตัวเองอาจเป็นคนเดียวบนโลกที่รู้สึกแบบนี้ แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ เหมือนมันเข้ามาช่วยปลอบโยนส่วนหนึ่งในตัวเรา ทำให้พบว่าความจริงมีคนอีกมากมายที่เข้าใจความโดดเดี่ยวและกังวลแบบเดียวกันนี้อยู่ ขอแค่เราลองหันมามองและลองเอ่ยปากถามเขาดู