- หนังสือ ‘คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด การผจญภัยทางจิตวิทยา’ เขียนโดย Robert de Board แปลเป็นภาษาไทยโดย อรดา ลีลานุช (สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์) บอกเล่าเรื่องราวของคุณคางคกที่เกิดอาการซึมเศร้าและหมดแพสชันในการใช้ชีวิต ทำให้เพื่อนๆ ตัดสินใจพาเขาไปพบกับคุณนกกระสาซึ่งเป็นนักจิตบำบัด
- ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้คือการพาผู้อ่านเข้าไปในเหตุการณ์การบำบัดของคุณคางคก เพื่อเสาะหาต้นเหตุของปัญหาสุขภาพจิตซึ่งหลายสิ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์และวิถีชีวิตของเขาอย่างคาดไม่ถึง
มีใครบางคนบอกผมว่า “ตอนคุยกัน ทำไมถึงต้องพูดคำว่าขอโทษบ่อยๆ ด้วย”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมได้ยินประโยคนี้จากคนใกล้ตัว และเกือบทุกครั้งที่ถูกทักด้วยประโยคข้างต้น ผมก็มักพูดประโยคถัดไปแบบอัตโนมัติ “อ้าวเหรอ งั้นขอโทษด้วยนะ”
ถ้าให้ผมวิเคราะห์พฤติกรรมของตัวเอง ผมคงมองว่า ‘ขอโทษ’ น่าจะเป็นคำพูดติดปากอย่างหนึ่งของผมเพื่อแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในระหว่างการสนทนา
แม้จะวิเคราะห์ตัวเองแบบนี้ แต่ลึกๆ ผมเองก็ไม่มั่นใจสักนิดว่าสิ่งนี้จะสามารถอธิบายพฤติกรรมของผมได้จริงๆ จนกระทั่งผมได้อ่านหนังสือเรื่อง คุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด ซึ่งบังเอิญเหลือเกินว่าตัวเอกของเรื่องอย่างคุณคางคกก็ชอบพูดคำว่าคำขอโทษทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
หนังสือคุณคางคกไปพบนักจิตบำบัด บอกเล่าเรื่องราวของคุณคางคกที่ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าจนเพื่อนๆ ต้องบังคับให้เขาไปพบนกกระสาที่เป็นนักจิตบำบัดเพื่อดูแลสุขภาพใจให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ซึ่งวิธีการบำบัดส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่การตั้งคำถามของนกกระสา เพื่อให้คุณคางคกค่อยๆ ย้อนกลับไปสำรวจอารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงภูมิหลัง เพื่อค้นหาสาเหตุของความทุกข์ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ก่อนที่เพื่อนจะมาพบคุณคางคกในสภาพที่เหี่ยวเฉาไร้พลัง คุณคางคกยอมรับว่าเคยคิดอยากฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาบอกกับนกกระสาว่าเขารู้สึกตัวเองไร้ค่าและเป็นสัตว์ที่แสนงี่เง่าในสายตาของเพื่อน แถมเพื่อนยังดูไม่ค่อยสนใจอยากรู้เรื่องราวของเขาเวลาที่เขาเริ่มจะเปิดปากเล่าพร้อมกับกล่าวหาว่าคุณคางคกเป็นแค่พวกคุยโวไปเรื่อย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับคุณคางคกเป็นประจำ จนเขารู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไร้ค่าอย่างที่เพื่อนว่าจริงๆ เขาจึงพยายามทำตัวเองให้เป็นที่ ‘ยอมรับ’ ของเพื่อนๆ แม้สิ่งนั้นจะขัดใจตัวเองแค่ไหนก็ตาม
“ผมทำอย่างที่เคยทำมาตลอด ผมจะไม่สบายใจถ้าคนอื่นไม่พอใจผม เพราะอย่างนั้นผมจึงพยายามทำให้พวกเขาสงบลงและคลายความโมโห ผมสัญญาว่าจะทำแทบทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขากลับมาชอบผมอีกครั้ง ผมก็เลยยอมรับว่าผมงี่เง่ามากและสัญญาว่าจะปรับปรุงความประพฤติของตัวเอง”
ในบรรดาเพื่อนของคุณคางคก ผมรู้สึกว่า ‘แบดเจอร์’ ดูจะมีอิทธิพลกับเขามากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นสัตว์ตัวโตที่ดูน่ากลัวแล้ว การพบแบดเจอร์มักทำให้คุณคางคกนึกถึงพ่อผู้ล่วงลับ เพราะนอกจากเขาจะเป็นเพื่อนของพ่อแล้ว แบดเจอร์ยังมีพฤติกรรมคล้ายกับพ่อคือการชอบหาเรื่องมาต่อว่าคุณคางคกให้เสียน้ำตาเป็นประจำ
“แบดเจอร์ดุด่าผมเต็มที่ทีเดียวตามที่คาดไว้ ผมยังจำคำพูดของเขาได้แม่น ‘คางคก เจ้าสัตว์ตัวเล็กที่ร้ายกาจ สร้างแต่ปัญหา แกไม่ละอายใจบ้างหรือไง พ่อของแกจะว่ายังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น!’ ผมเสียใจมากที่เขาไม่พอใจจนผมร้องไห้ออกมาและพูดอะไรไม่ออกเลย จากนั้นแบดเจอร์ก็บอกว่าปล่อยอดีตให้เป็นเรื่องของอดีตไป”
สำหรับผม ประโยคนี้คือกุญแจสำคัญที่ช่วยไขความสงสัยว่าแท้จริงแล้ว การกระทำของเพื่อนเป็นเพียงปัจจัยที่กระตุ้นถึงความทรงจำเลวร้ายในอดีตระหว่างคุณคางคกกับพ่อให้กลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
“ปัจจัยสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ พวกเขามีผลกระทบต่อจิตสำนึกของเด็กตั้งแต่แรกเริ่ม แทบทุกสิ่งที่เด็กทารกทำเป็นเหตุให้เกิดการตอบสนองบางอย่างจากแม่หรือพ่อ และการตอบสนองเหล่านั้นก็มีอิทธิพลต่อตัวเด็กอย่างเต็มที่…
พ่อแม่ส่วนใหญ่พยายามทำให้ดีที่สุด และน้อยคนนักจะต้องการอย่างอื่นนอกเหนือจากสิ่งดีๆ สำหรับลูกของตน แต่พ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น นอกจากจะถ่ายทอดพันธุกรรมของตัวเองแล้ว พวกเขายังส่งต่อความเชื่อและพฤติกรรมให้ลูกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย ส่วนเด็กก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับมือและป้องกันตัวเองจากผลที่ตามมา” นกกระสากล่าว
ประเด็นถัดมาคือผมรู้สึกว่าพ่อของผมกับพ่อของคุณคางคกมีลักษณะนิสัยเหมือนกันทุกประการ ทั้งการเป็นจอมเผด็จการในบ้านที่ดุ เข้มงวด และขี้โมโห ทำให้คุณคางคกในวัยเด็กต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงจนเป็นที่มาของการพูดคำว่าขอโทษในทุกครั้งก่อนที่จะคุยกับพ่อเพราะพ่อมักหาเรื่องมาต่อว่าเขาเสมอ
“ผมจำได้ว่าพ่อมักดุผมเสมอ พ่อส่งสายตาไม่พอใจและพูดว่า ‘ทีโอฟิลัส ฉันต้องบอกแกอีกกี่ครั้ง อย่างทำอย่างนั้น!’ พ่อตำหนิและวิพากษ์วิจารณ์ผมเป็นประจำ ผมค่อยๆ เริ่มยอมรับว่าพ่อถูกเสมอ ส่วนผมก็ผิดเสมอ ดังนั้นจึงดูมีเหตุผลที่พ่อจะดุด่าผม
ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยและชวนเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน พ่อมักหาเรื่องตำหนิผม ขณะที่แม่ทำให้ผมอับอายขายหน้าซ้ำอีก ครั้งหนึ่งแม่ถามผมต่อหน้าเพื่อนๆ ว่าวันนั้นผมใส่กางเกงในที่สะอาดหรือเปล่า! ตอนนี้ผมก็หัวเราะได้อยู่หรอก แต่ผมรับประกันกับคุณได้เลยว่าตอนนั้นมันไม่ตลกสักนิด
เมื่อนึกถึงวันเก่าๆ เหล่านั้น ผมจะนึกถึงความโกรธของพ่อแม่ ไม่ใช่ความโกรธของตัวเอง ผมถูกบอกให้ทำนั่นนี่อยู่เสมอ พ่อมักโกรธเวลาที่ผมประพฤติตัวไม่ดี” คางคกกล่าว
ผมรู้สึกสงสารคุณคางคกเพราะผมตระหนักดีว่าเด็กทุกคนล้วนอยากเป็นที่รักและทำให้พ่อแม่ภูมิใจ แต่น่าเสียใจที่พ่อของคุณคางคกอาจไม่เข้าใจในความจริงข้อนี้ ทำให้เขาสร้างบาดแผลในใจลูกโดยไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งแผลนั้นจะลามไปสู่ปัญหาสุขภาพจิตในอนาคต
“สิ่งที่น่าประหลาดใจคือการตระหนักว่าพฤติกรรมของเราในวัยผู้ใหญ่นั้นถูกเรียนรู้จากวัยเด็กมากแค่ไหน แต่เมื่อคุณไตร่ตรองดู มันก็ชัดเจนพอควร ความรู้สึกที่รุนแรงที่สุดที่เรามีตอนเป็นเด็กจะกลายเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นประจำในวัยผู้ใหญ่อย่างเลี่ยงไม่ได้ บางทีมันอาจเป็นความหมายของประโยคที่กวีเขียนไว้ว่า ‘เด็กน้อยคือบิดาของชายหนุ่ม’” นกกระสากล่าว
สิ่งที่ผมสนใจคือเมื่อคุณคางคกทราบอย่างแน่ชัดว่าอาการซึมเศร้าของตัวเองมาจากความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดที่พ่อสร้างไว้ในวัยเด็ก เขากลับรู้สึกดีขึ้นที่อย่างน้อยตัวเองก็ทราบที่มาของความทุกข์ระทมในจิตใจ
“ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อแม่มีอำนาจเหนือลูกๆ มากขนาดนี้ พวกเขาควบคุมทุกอย่างได้ จะรักหรือจะปฏิเสธลูกก็ได้ จะกอดหรือทำร้ายก็ได้ การที่คุณจะมีพ่อแม่แบบไหนก็เหมือนกับการซื้อลอตเตอรี่ดีๆ นี่เอง” คางคกกล่าว
อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความจริงข้อนี้ทำให้คุณคางคกรู้สึก ‘โกรธ’ พ่อที่ล่วงลับไปแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้จะจัดการกับไฟแห่งความโกรธหรือหาวิธีเอาคืนพ่อแม่ยังไงให้สาสมกับความผิดที่ทำ ในที่สุดเขาก็ขอคำชี้แนะจากนกกระสา ซึ่งคำตอบของนกกระสานั้นทั้งสั้นและสั่นสะเทือนความรู้สึกของผมอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้นก็มีสิ่งเดียวที่คุณทำได้ ยกโทษให้พวกเขา”
สำหรับผมการให้อภัยถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุด โดยเฉพาะหากสิ่งนั้นมีอิทธิพลไปในทางที่เลวร้ายและส่งผลกระทบมาถึงความเป็นตัวผมในปัจจุบัน
ในกรณีของผม แน่นอนว่าผมรักพ่อและผมรู้ว่าเขาก็รักผมเช่นกัน แต่จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมรู้ว่านิสัยติดขอโทษนั้นไม่ได้เกิดจากการที่ผมอ่อนแอมาแต่แรก แต่มาจากการที่พ่อสร้างบาดแผลให้ผมรู้สึกผิดอยู่เสมอซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมค่อยๆ หมดความมั่นใจในตัวเอง
ผมลองโทรศัพท์ไปหาใครบางคนที่พร้อมรับฟังและให้คำปรึกษาผมอย่างเป็นกลาง เธอบอกผมว่าแทนที่ผมจะแบกความรู้สึกหนักอึ้งไว้เพื่อรอให้พ่อมาขอโทษหรือเอาคืนในสิ่งที่พ่อเคยทำไว้ในอดีตเหมือนที่ผ่านมา สิ่งที่ผมทำได้เลยคือการกลับมาเก็บกวาดขยะในใจตัวเอง
“จิตใจมันก็เหมือนห้องๆ หนึ่งของเราที่ถูกพ่อเอาขยะเข้ามาทิ้งเต็มไปหมด เราอาจจะบ่นก็ได้ว่าพ่อผิดที่มาทำให้ห้องของเรารก แต่คำถามคือพ่อจะมาช่วยเราเก็บขยะจริงๆ เหรอ เพราะถ้าช่วยเขาคงเก็บไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นสิ่งที่เราในฐานะผู้ที่ต้องอาศัยอยู่ในห้องนี้จะเลือกได้ก็คือการอยู่กับขยะนั้นต่อไป หรือจะลงมือเก็บกวาดขยะเหล่านั้นด้วยตัวเอง” เธอกล่าว
แม้คำตอบจากเสียงปลายสายจะฟังแล้วเจ็บปวดเพราะไม่ว่าผมจะเลือกทางไหนสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนที่น่าสงสารอยู่ดี แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกดีใจที่มีใครคนหนึ่งที่ให้คำแนะนำผมอย่างตั้งใจ ปลอบประโลมอย่างรู้จังหวะ และพร้อมส่งเสียงเชียร์ให้ผมใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขไม่ว่าผมจะเลือกอยู่กับขยะเหล่านั้นต่อไปหรือไม่ก็ตาม