- Cars บอกเล่าเรื่องราวของรถแข่งดาวรุ่งพุ่งแรงที่ชื่อ ไลท์นิง แม็คควีน ผู้เย่อหยิ่งในความสามารถแต่กลับประมาทเลินเล่อจนพลาดท่าเข้าเส้นชัยพร้อมคู่แข่ง ทำให้ทั้งหมดต้องไปตัดสินแชมป์กันอีกครั้งที่แคลิฟอร์เนีย
- ระหว่างเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย แม็คควีนเกิดพลัดหลงไปยังเมืองร้างที่ชื่อ Radiator Springs ทั้งยังทำถนนของเมืองพัง จึงถูกลงโทษให้ซ่อมถนนให้เสร็จ ระหว่างนั้นเขาค่อยๆ เรียนรู้สิ่งสำคัญของชีวิตและมิตรภาพดีๆ ที่ทำให้จิตใจที่แข็งกระด้างของเขาอ่อนลงและกลายเป็นรถแข่งที่ดีกว่าเดิม
- Cars เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นของค่ายดิสนีย์ – พิกซาร์ ในปี 2006 ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และคว้ารางวัลต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลแอนนี่อวอร์ดส์ ประจำปี 2006
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับรถและความเร็ว หลายคนอาจนึกถึงลุคเท่ๆ ของโดมินิก ทอเร็ตโต (วิน ดีเซล) จากภาพยนตร์แฟรนไชส์ชื่อดัง THE FAST AND THE FURIOUS แต่เชื่อว่าบางคนอาจนึกถึง ‘ไลท์นิง แม็คควีน’ รถแข่งสีแดงสุดเท่ที่มีชีวิตจาก Cars หรือ ‘4 ล้อซิ่ง…ซ่าท้าโลก’ ภาพยนตร์แอนิเมชันของค่ายดิสนีย์ – พิกซาร์
ฉากที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของแฟนๆ คือลีลาการโลดแล่นในสนามแข่งรถ รวมถึงลิ้นยาวๆ ของแม็คควีนที่มักจะแลบออกมาเวลาเจออุปสรรคในสนามหรือตอนเข้าเส้นชัย (เหมือนนักวิ่งที่ชอบยื่นหัวเข้าเส้นชัย) แต่ผมกลับนึกถึงความเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวใครของแม็คควีน คล้ายกับคนที่ขาด Emphaty (ความเข้าอกเข้าใจคนอื่น) ซึ่งมีอยู่มากมายในสังคมที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งแข่งขัน
ทว่า Disney ก็คือ Disney พวกเขาพยายามหาเหตุการณ์สำคัญมากดดันให้แม็คควีนพลาดพลั้ง และเรียนรู้บางอย่างจากความผิดพลาดนั้น ก่อนเปลี่ยนตัวเองให้สมกับการเป็นพระเอกของ Disney ในตอนจบ
ดาวรุ่งสุดฮอต
กาลครั้งหนึ่ง ในโลกที่ไม่มีมนุษย์ แต่กลับมีมนุษย์ในรูปแบบของรถ ไลท์นิง แม็คควีน คือรถแข่งสีแดงและดาวรุ่งพุ่งแรงที่หลายคนให้ความสนใจ เขากำลังลงแข่งขันชิงชัยในรายการ PISTON CUP …รายการแข่งรถที่เป็นสุดยอดปรารถนาของเหล่ารถแข่งทั่วโลก
ณ สนามประลองความเร็ว แม้แม็คควีนจะยังไล่ตามผู้นำ อย่าง ‘ชิก ฮิคส์’ รถแข่งรุ่นพี่ที่นิยมการเล่นสกปรกทุกรูปแบบ รวมถึง ‘เดอะคิง’ รถแข่งอันดับ 1 ของยุค แต่เขากลับไม่สะทกสะท้านและไต่อันดับแซงขึ้นมาเรื่อยๆ
ในการแข่งขัน นอกจากความเร็วและทักษะต่างๆ แล้ว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือจุด PIT STOP หรือพื้นที่สำหรับซ่อมแซมรถ (รถทุกคันจะต้องมาตรวจเช็คสภาพตามกฎการแข่งขัน) โดยเฉพาะการ ‘เปลี่ยนยาง’ ที่ทั้งร้อนทั้งย้วยจากการใช้ความเร็วและเข้าโค้งอย่างไม่ปราณี
แน่นอนว่ารถแข่งคันอื่นๆ ต่างก็เปลี่ยนยางเมื่อถึงเวลา แต่แม็คควีนกลับบอกให้ทีมช่างเติมเพียงน้ำมันเท่านั้น
เกือบแพ้แต่ไม่ชนะ
ผลจากการไม่เปลี่ยนยางทำให้แม็คควีนแซงขึ้นนำเดี่ยวในรอบสุดท้าย ดูผิวเผินเขากำลังจะคว้าถ้วยรางวัลชนิดทิ้งห่างที่สองแบบไม่เห็นฝุ่น ทว่าก่อนเข้าเส้นชัยในอีกไม่ถึง 200 เมตรข้างหน้า จู่ๆ ล้อของแม็คควีนก็ระเบิดและหลุดออกมาถึง 2 เส้น!!!
ฟากเดอะคิงและฮิตช์เมื่อเห็นแม็คควีนเพลี่ยงพล้ำ จึงเร่งสปีดกันสุดฤทธิ์เพื่อหวังขโมยแชมป์จากเจ้ารถสีแดงหน้าใหม่ ขณะที่แม็คควีนก็ไม่ยอมแพ้และพยายามกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดอย่างทุลักทุเล ซึ่งยังโชคดีที่รถแข่งทั้งสามเข้าเส้นชัยไปพร้อมกันราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้สามผู้ชนะต้องกลับมาประลองความเร็วตัดสินกันอีกครั้งที่แคลิฟอร์เนีย ในอีก 1 สัปดาห์ข้างหน้า
หลังการเสมอสุดพิสดาร นักข่าวสาวรายหนึ่งได้โผล่มาถามแม็คควีนว่าเขาเสียใจไหมที่ทีมไม่มีหัวหน้าช่าง (แม็คควีนปลดหัวหน้าช่างไปแล้ว 3 คน เพราะเขามักมีปากเสียงกับหัวหน้าช่างและไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการบำรุงซ่อมแซมสภาพรถ)
“…ผมอยากให้ผู้ชมรู้สึกซู่ซ่าหน่อยน่ะ ผมเสียใจรึเปล่าที่ไม่มีหัวหน้าช่าง ไม่เสียใจ เพราะผมชอบฉายเดี่ยว”
แม็คควีนตอบคำถามนักข่าวอย่างเย่อหยิ่ง แถมยังตวาดทีมช่างที่เหลือต่อหน้าสื่อที่อุตส่าห์เข้ามาช่วยเปลี่ยนล้อที่หลุดออกไป ทำให้ทีมช่างหมดใจและขอลาออกยกทีม
“ก็แค่คนเติมน้ำมัน จะไปหายากตรงไหน” แม็คควีนกล่าวกับนักข่าว
แม้จะชอบลีลาในสนามของไลท์นิง แม็คควีน แต่พอเห็นวิธีการปฏิบัติต่อทีมงานแล้ว ผมกลับรู้สึกหมั่นไส้ในท่าทางอวดดีและไม่เห็นอกเห็นใจใคร เพราะการแข่งรถนั้นเป็นเรื่องของ ‘ทีมเวิร์ก’ ดังนั้นในการทำงานเป็นทีม ถ้าเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วไม่ให้เกียรติคนอื่น (เอาใจเขามาใส่ใจเรา) ความอวดดีนี้ก็จะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง เหมือนที่แม็คควีนพลาดแชมป์ PISTON CUP จนต้องไปลุ้นต่ออีกหนึ่งสนาม
“เฮ้ นายเป็นนักแข่งใจถึงนะ แต่นายโง่ชะมัด นี่ไม่ใช่งานโชว์เดี่ยวไอ้หนู นายต้องฉลาด หาหัวหน้าช่าง และลูกทีมดีๆ …นายจะไม่ชนะถ้าไม่มีทีมคอยช่วยเหลือ”
เดอะคิงแนะนำนักแข่งรุ่นน้องด้วยความหวังดี ทว่าคำพูดนั้นก็คล้ายสายลมที่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของแม็คควีนอยู่ดี
นรกหลังเขา
‘นรกหลังเขา’ เป็นคำนิยามที่แม็คควีนมอบให้กับเมือง RADIATOR SPRINGS ซึ่งแม็คควีนบังเอิญพลัดหลงเข้ามาระหว่างการเดินทางไปแคลิฟอร์เนีย ทั้งยังเผลอทำถนนของเมืองพังพินาศ เขาจึงถูก ‘ด็อก ฮัดสัน’ ผู้พิพากษาศาลของเมืองลงโทษให้ซ่อมถนนให้เสร็จ แม้เขาจะขอลดโทษเนื่องจากต้องรีบไปแข่ง PISTON CUP ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ แม็คควีนจึงเร่งซ่อมถนนแบบขอไปที ปรากฏว่าถนนกลับมีสภาพขรุขระจนรถที่สัญจรผ่านไปมาแทบทรงตัวไม่ได้
“ตกลงกันว่าให้คุณซ่อมถนน ไม่ใช่ทำให้แย่ไปกว่าเดิม แซะมันออกซะแล้วเริ่มใหม่!” ด็อกยื่นคำขาด
อย่างไรก็ดี ด็อกได้ยื่นข้อเสนอให้กับแม็คควีนว่าหากแม็คควีนแข่งรถชนะเขา เขาจะอาสาซ่อมถนนแทนแม็คควีนเอง ทำให้แม็คควีนรีบตกลงรับคำท้า…เพราะถึงยังไงรถชราอย่างด็อกก็ไม่มีวันเอาชนะเขาได้แน่นอน
ทว่าแม็คควีนคิดผิดถนัด เพราะระหว่างแข่งขัน เขาดันซิ่งสุดแรงด้วยความลำพอง และทำท่าจะชนะง่ายๆ แต่พอเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย แม็คควีนกลับเข้าโค้งไม่ทันและแหกโค้งตกลงไปในดงกระบองเพชร สวนทางกับด็อกที่วิ่งไปเรื่อยๆ และเข้าเส้นชัยแบบสบายใจเฉิบ พร้อมเหน็บแนมแม็คควีนว่า “ขับรถเหมือนซ่อมถนน”
หลังปราชัยอย่างน่าอับอาย แม็คควีนจึงจำใจต้องอยู่ในเมืองร้างแห่งนี้ต่อไปจนกว่าจะซ่อมถนนเสร็จ ทำให้เขารู้ว่าเดิมทีเมือง Radiator Springs ที่เงียบเหงาแห่งนี้เคยเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่พอทางการได้สั่งตัดถนนทางหลวงเชื่อมรัฐต่อรัฐเส้นใหม่ (ซึ่งประหยัดเวลาเดินทางกว่าเดิมประมาณ 10 นาที) นับแต่นั้น ก็แทบไม่มีรถคันใดใช้ถนนเส้น ‘Route 66’ ที่แล่นผ่านเมือง Radiator Springs อีกเลย
พอได้ฟังเรื่องราวของเมืองและสัมผัสน้ำใจของชาวเมืองบ่อยเข้า จิตใจที่หยาบกระด้างของแม็คควีนก็ค่อยๆ อ่อนลง แม็คควีนก็เริ่มรู้จักเข้าอกเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นและเปิดใจให้กับมิตรภาพใหม่ๆ จนเขาสัมผัสว่าแท้จริงเมืองแห่งนี้ไม่ใช่นรกหลังเขา แต่เป็นสวรรค์บนดินที่เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับบ้านอีกครั้ง
นิวแม็คควีน
ระหว่างที่ถนนของเมืองดีขึ้นตามลำดับเหมือนความสัมพันธ์ของแม็คควีนกับชาวเมือง ด็อกเองก็ทราบว่าแม็คควีนมักใช้เวลาว่างไปกับการเอาชนะ ‘โค้งกระบองเพชร’ ที่ไม่ว่าจะฝึกกี่ครั้ง แม็คควีนก็จะจ้ำเบ้าลงไปในดงกระบองเพชรเสมอ
ด็อกจึงแนะเคล็ดลับสั้นๆ ว่า “ถ้าจะหักโค้งซ้าย นายต้องหักล้อไปทางขวา” แต่แม็คควีนยังคงแคลงใจและไม่เชื่อในความหวังดีของด็อก เพราะด็อกก็ไม่ต่างกับตาแก่ที่ชอบพูดไปเรื่อย และแม็คควีนคงคิดแบบนั้นตลอดไป ถ้าไม่บังเอิญเข้าไปในห้องเก็บของของผู้พิพากษาในวันถัดมา
ที่นั่น แม็คควีนแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เมื่อรู้ความลับที่เก็บงำมาหลายทศวรรษของด็อก เพราะเขาคือ ‘ฮัดสัน ฮอร์เน็ต’ อดีตแชมป์ PISTON CUP สามสมัย ที่รีไทร์จากวงการตั้งแต่สมัยยังรุ่ง เพราะประสบอุบัติเหตุอย่างหนักระหว่างการแข่งขัน แต่ที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าคือหลังพักฟื้นอยู่นานจนพร้อมลงสนามอีกครั้ง กลับไม่มีใครให้การต้อนรับเขา
ฮัดสัน ฮอร์เน็ตจึงหันหลังให้กับวงการความเร็วและหนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบที่เมือง RADIATOR SPRINGS
พอทราบความจริงของด็อก แม็คควีนผู้เย่อหยิ่งก็เริ่มพินอบพิเทากับด็อกมากขึ้น และพยายามจีบให้ด็อกช่วยสอนเทคนิคต่างๆ ให้ แต่ด็อกกลับปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าเคยสอนเทคนิคให้แม็คควีนไปหมดแล้ว แต่แม็คควีนนั่นแหละที่ไม่ยอมเปิดใจ
แชมป์ในใจผู้ชม
ในที่สุดแม็คควีนก็ซ่อมถนนเสร็จและกลับไปประลองความเร็วเพื่อชิงถ้วย PISTON CUP โดยระหว่างการแข่งขัน แม็คควีนกลับสติไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย เริ่มตั้งแต่การออกตัวที่ช้ากว่าคู่แข่งประมาณ 3 วินาที หรือการเหม่อลอยระหว่างทำการแข่งขัน เพราะจิตใจของเขายังคงมูฟออนจากเมือง RADIATOR SPRINGS ไม่ได้ ที่สุดแล้วเขาจึงไล่ตามหลังผู้นำอย่าง เดอะคิง และ ชิก ฮิคส์ อยู่ 1 รอบ
ในช่วงเวลาแห่งความท้อแท้สิ้นหวัง จู่ๆ เขาก็เห็นชาวเมือง RADIATOR SPRINGS มาตามเชียร์เขาถึงสนามแข่ง แถมอาสามาเป็นทีมช่างให้กับเขาที่จุด Pit Stop โดยมีด็อก หรือ ฮัดสัน ฮอร์เน็ต รับหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างท่ามกลางความสนใจของทุกคนในสนามที่ได้เห็นตำนานระดับแชมป์เปี้ยนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แม็คควีนเร่งทำความเร็วและงัดเทคนิคเข้าโค้งของด็อกมาใช้จนตามไล่บี้กับสองผู้นำในที่สุด ทั้งยังตัดสินใจเข้าจุด Pit Stop เพื่อเปลี่ยนยางแบบที่รถแข่งคันอื่นทำกัน ซึ่งทีมช่างของแม็คควีนทำการเปลี่ยนยาง 4 ล้อ ในเวลาเพียงแค่ 2 วินาที ทำเอาพวกนายช่างของทีมคู่แข่งถึงกับยืนปากอ้าตาค้างอยู่อย่างนั้น
ด้วยพลังใจที่เต็มเปี่ยม เทคนิคอันแพรวพราว และทีมช่างที่ดี ทำให้การแข่งขันในรอบสุดท้าย แม็คควีนไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้ว เขาขึ้นนำคู่แข่งทั้งสองชนิดอย่างไม่เห็นฝุ่นเช่นเคย และทำท่าจะเข้าเส้นชัยในอีกไม่ถึง 100 เมตร
!!!
!!!
!!!
ภาพตัดไปที่ชิก ฮิกส์ แม้การเป็นแชมป์อาจเป็นความใฝ่ฝัน แต่เหนือกว่านั้น ชิก ฮิกส์ คืออันดับสองผู้อยู่ใต้เงาของเดอะคิงมาตลอด พอรู้ว่าตัวเองคงไล่แม็คควีนไม่ทันแล้ว เขาจึงขอชนะเดอะคิงให้ได้สักครั้ง ด้วยการอัดกระแทกรถของเดอะคิงให้เสียหลักจนตีลังกาเกือบสิบตลบ สภาพรถยับเยินจนแทบดูไม่ได้
จังหวะนั้นแม็คควีนเหลือบตาไปเห็นภาพของเดอะคิงปรากฏบนจอขนาดยักษ์ของสนาม เขาตัดสินใจเหยียบเบรกกะทันหันหน้าเส้นชัยที่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ก่อนซิ่งย้อนกลับไปหาเดอะคิงที่นอนหมดสภาพ (คล้ายกับภาพข่าวของด็อก สมัยประสบอุบัติเหตุระหว่างการแข่ง PISTON CUP)
“นายจะทำอะไรน่ะเจ้าหนู” เดอะคิงกล่าวอย่างตกใจ
“ผมคิดว่าเดอะคิงควรจบแข่งครั้งสุดท้ายให้จบ”
“นายเพิ่งทิ้งถ้วย PISTON CUP นะ นายรู้ใช่ไหม”
“มันก็แค่ถ้วยเปล่าที่ไร้ความหมาย รถแข่งแก่ๆ ขี้โมโหคันหนึ่งเคยบอกผม”
แม็คควีนค่อยๆ เข็นเดอะคิงเข้าเส้นชัย ท่ามกลางเสียงปรบมือกรีดร้องของผู้ชมในสนาม แม็คควีนเรียนรู้ว่าน้ำใจและมิตรภาพนั้นสำคัญกว่าชัยชนะ เพราะแม็คควีนไม่ต้องการให้เดอะคิงต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดตลอดชีวิตเหมือนกับด็อก และแม้จะพลาดแชมป์ที่ใฝ่ฝัน แต่แม็คควีนก็ได้รับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น นั่นคือการเอาชนะใจตัวเองซึ่งเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
สำหรับผม แม็คควีนได้เข้าถึงสิ่งที่เรียกว่า Emphaty ด้วยตัวเอง และ Emphaty นี้ก็จุดประกายให้เขาตัดสินใจตอบแทนชาวเมือง Radiator Springs ด้วยการตั้งศูนย์บัญชาการรถแข่งขึ้น ทำให้เมืองที่เงียบเหงากลับมาคึกคักและมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
Cars เป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์จำนวน 3 ภาคของค่ายดิสนีย์ – พิกซาร์ โดยภาคแรกที่ผมเขียนถึงเป็นภาพยนตร์ในปี 2006 ซึ่งได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และคว้ารางวัลต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลแอนนี่อวอร์ดส์ ในปี 2006 |