Skip to content
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherUnique SchoolCreative learningLife Long Learning
  • Family
    Dear ParentsEarly childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily Psychology
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacy
Movie
21 November 2025

Beyond the Bar: ห่วงใยเกินขอบเขต ผูกพันจนกลายเป็นผูกติด ความรักที่อาจทำร้ายลูกโดยไม่ตั้งใจ

เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ พิมพ์พาพ์

  • ซีรีส์เกาหลีน้ำดี Beyond the Bar ถ่ายทอดเรื่องราวของ ‘ฮโยมิน’ ทนายความสาวที่ต้องรับมือกับคดีท้าทายในแต่ละตอน โดยใน EP3 เล่าถึงเด็กคนหนึ่งที่คิดว่าตนเองบาดเจ็บเพราะถูกรถชนทั้งที่ร่างกายของเขาไม่ได้รับความกระทบกระเทือนใดๆ
  • ซีรีส์ค่อยๆ คลี่ปมความเจ็บป่วยของเด็ก ซึ่งเป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของแม่ที่ผูกพันจนเกินขอบเขต ซึ่งความรู้สึกนึกคิดของแม่ไม่เพียงชี้นำความคิดความเชื่อ ยังส่งผลต่ออาการทางร่างกายของเด็กด้วย
  • แน่นอนว่า ‘ความรัก’ และ ‘ความหวังดี’ ของพ่อแม่ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งผลดีเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อมันปนเปื้อนด้วยอคติ ความกลัว หรือความคาดหวังที่แอบซ่อนอยู่ในใจของพ่อแม่เอง

… ณ บริเวณสนามเด็กเล่นแห่งหนึ่ง คุณลุงขับรถส่งของเกิดอาการหลับในเวลานั้นเองเด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งตัดหน้ารถพอดี แม้คุณลุงจะคืนสติและเหยียบเบรกสุดแรง แต่เด็กน้อยก็ล้มลงบนพื้นถนนแล้วร้องไห้…ท่ามกลางความตกใจสุดขีดของแม่ ที่กรีดร้องด้วยความเชื่อว่าลูกบาดเจ็บสาหัส

แต่แล้วเมื่อพาเด็กชายไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล รวมถึงตรวจภาพจากกล้องวงจรปิด เรื่องกลับซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม เพราะรถไม่ได้ชนเด็กเลย แต่เขากลับมีอาการเหมือนคนถูกรถชน…

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีรีส์เกาหลี Beyond the Bar EP3 ซึ่ง ถ่ายทอดเรื่องราวของ ‘ฮโยมิน’ ทนายความสาวรุ่นใหม่ที่ต้องรับมือกับคดีท้าทายในแต่ละตอน และในคดีนี้ เธอต้องรับหน้าที่ว่าความให้กับคุณลุงขับรถส่งของ

ผมเชื่อว่าถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว ผมเองก็คงปักใจเชื่อว่า เด็กเจ็บจริงและลุงเป็นฝ่ายผิด แต่ในฐานะทนาย ฮโยมินสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบไปขอความเห็นจากจิตแพทย์

“ดูเหมือนเด็กจะเชื่อผิดๆ ไปว่าตัวเองถูกรถชน ความเชื่ออันแรงกล้าของเด็กส่งผลต่ออาการทางกาย เมื่อปฏิกิริยาทางจิตที่รุนแรงสำแดงเป็นอาการทางกาย เราเรียกว่าร่างกายผิดปกติจากจิตใจ ปฏิกิริยาเชิงลบจากการรักษาก็มีส่วนด้วย 

คนส่วนใหญ่รู้จักผลของยาหลอกที่มีคนหายจากโรคแม้กินยาที่ไม่ออกฤทธิ์ แต่ปฏิกิริยาตรงข้ามก็มีเหมือนกัน ปฏิกิริยาเชิงลบจากการรักษาเกิดจากความกลัวหรือความเชื่อทางจิต จนส่งผลเสียทางกายจริงๆ” จิตแพทย์อธิบาย

ฮโยมินขอภาพจากกล้องวงจรปิดและลงพื้นที่สอบถามพยานเพื่อคลี่คลายความสงสัย และเธอก็พบประเด็นที่น่าสนใจคือ ทุกคนล้วนพูดตรงกันถึง ‘ปฏิกิริยาเกินกว่าเหตุ’ ของแม่ ที่แผดเสียงกรีดร้องราวกับโลกทั้งใบกำลังพังทลาย

“ถ้าเราดูกล้องวงจรปิดตรงจุดเกิดเหตุ แม่ของมินกุก(ลูกชาย) เชื่อว่ารถบรรทุกชนลูก เสียงเบรกดังลั่น มินกุกนอนอยู่บนพื้นหน้ารถบรรทุก เธอวิ่งมาด้วยความตกใจ คิดว่าลูกถูกชนจนบาดเจ็บสาหัส ซึ่งมินกุกสนใจปฏิกิริยาของแม่ด้วย แม่ของมินกุกตกใจสุดขีดเพราะคิดว่าลูกถูกรถบรรทุกชน เมื่อเด็กเห็นแม่มีปฏิกิริยาแบบนั้น เขาเลยเข้าใจผิดว่าตัวเองถูกรถชน นั่นคือต้นเหตุของอาการทางกายของเขา 

จิตใจของมนุษย์เป็นเรื่องลึกลับ เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุของการตอบสนองทางกายแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นภัยจากการเกือบถูกรถชน หรือเป็นที่แม่ของเขามีปฏิกิริยาเกินกว่าเหตุกันแน่” ฮโยมินกล่าวกับทีมทนาย

ประโยคนี้ ทำให้ผมนึกถึงบทความหนึ่งเกี่ยวกับ ‘โรคพ่อแม่ทำ’ ซึ่งอธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า ความรู้สึกและการแสดงออกของพ่อแม่มีอิทธิพลต่อจิตใจของลูกอย่างมหาศาล เพราะนอกจากจะสามารถชี้นำความคิด ทัศนคติ บางครั้งมันยังส่งผลต่อความเจ็บปวดทางร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคภายนอก แต่เป็นผลจาก ‘เชื้อโรคในใจ’ ที่ติดต่อจากพ่อแม่เอง 

ดังนั้นความเครียด ความกลัว ความวิตกกังวล หรือแม้กระทั่งความรุนแรงที่เกิดกับพ่อแม่มักส่งต่อพลังงานลบไปยังลูกผ่านการสัมผัส (Sense of Touch) หรือการสื่อสารโดยไม่รู้ตัว เด็กบางคนจึงหายใจไม่เต็มปอด…กลายเป็นโรคภูมิแพ้ บางคนกินอาหารแล้วท้องเกร็ง…อาหารไม่ย่อย หรือบางรายอาจบานปลายกลายเป็นโรคทางจิตเวชเลยก็ได้  

ในวันพิจารณาคดี ทีมของฮโยมินพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่า อาการของเด็กไม่ได้เกิดจากการเกือบถูกรถชน แต่เกิดจาก ‘ปฏิกิริยาเกินกว่าเหตุของแม่’ ในที่เกิดเหตุ พร้อมขอให้จิตแพทย์ประเมินสภาพจิตใจของเด็ก 

“เขามีอีคิวต่ำ และเป็นโรควิตกกังวลการพลัดพราก เพราะเขาผูกพันกับแม่มาก ฉันเชื่อว่าอาการลุกลามเป็น ‘ความผูกพันทางจิตเกินขอบเขต’ กับแม่ พูดง่ายๆ คือเด็กไม่สามารถตัดสินใจอย่างอิสระในทางที่ขัดแย้งกับคำพูดและการกระทำของแม่”

ส่วนการประเมินสภาพจิตใจของแม่ยิ่งน่าสนใจ จิตแพทย์พบว่าตอนเกิดเหตุการณ์เธออยู่ในสภาวะช็อกอย่างหนัก และเด็กที่ผูกพันทางจิตเกินขอบเขตกับแม่…ก็รับแรงกระแทกทางอารมณ์นั้นไปเต็มๆ 

“มีการทดสอบอันหนึ่งที่สามารถพิสูจน์ความผูกพันเกินขอบเขตได้ดีที่สุด เมื่อตั้งคำถามตามระดับสติปัญญาของเด็ก เราจะให้มารดาตั้งใจตอบผิด ก่อนที่เด็กจะตอบเอง สำหรับการทดสอบนี้ เราวาดเส้นหกเส้นและใส่หมายเลขกำกับไว้บนกระดาษ หมายเลขสามคือเส้นที่ยาวที่สุด หมายเลขห้าคือเส้นที่ยาวเป็นอันดับสอง 

เมื่อเราถามเด็กว่าเส้นไหนยาวที่สุด ก่อนที่เด็กจะตอบ มารดาจะจงใจตอบผิด เด็กส่วนใหญ่ในวัยมินกุกจะตอบสิ่งที่เชื่อว่าถูกด้วยตัวเองทั้งทางตรงและทางอ้อม มีเด็กไม่กี่คนที่ตอบเหมือนกับแม่ของตนเอง แต่สารภาพในภายหลังว่าโกหกตอนแม่ไม่อยู่ด้วย อย่างไรก็ตามมินกุกต่างออกไป เมื่อแม่มินกุกบอกว่าหมายเลขห้ายาวที่สุด เขาจึงตอบเหมือนกัน เราจับโกหกไม่ได้ แม้เป็นคำถามที่เขาสามารถตอบเองได้ เขายอมรับคำตอบที่ผิดของแม่ว่าเป็นคำตอบที่ถูกค่ะ” 

ไม่เพียงเท่านั้น ซีรีส์ยังพาผู้ชมมองลึกไปกว่าเหตุการณ์ ผ่านการสำรวจปมในใจของแม่ที่เล่าว่า ตั้งแต่ตั้งครรภ์เธอก็ลาออกจากงาน แยกตัวจากเพื่อน ครอบครัว และอยู่ลำพัง เพราะสามีไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ต่างประเทศ 

“ฉันเคยเป็นนักบัญชี งานของฉันเครียดเกินไปจนแบ่งเวลามาเลี้ยงลูกไม่ได้ ครอบครัวของฉันอยู่แคนาดา ฉันไม่เจอเพื่อนเลยตั้งแต่ท้องมินกุก”

เมื่อต้องอยู่ตามลำพังเป็นเวลานาน ลูกชายจึงกลายเป็นโลกทั้งใบของเธอ และความผูกพันนั้นก็เริ่มกลายเป็นพันธนาการระหว่างสองแม่ลูก แม้เด็กจะอายุห้าขวบ แต่ก็ยังไม่หย่านม และถูกแม่พาไปลาออกจากโรงเรียนอนุบาลหลังเรียนได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ โดยเธออ้างว่าลูกมีปัญหาในการปรับตัว ที่แปลกกว่านั้นคือเด็กมีประวัติการไปโรงพยาบาลทุกสัปดาห์แต่กลับไม่เคยได้รับยาใดๆ 

ในฉากว่าความในศาล คำกล่าวของหัวหน้าทีมทนายช่วยไขปริศนาอาการเจ็บป่วยของมินกุก เขาปะติดปะต่อคำให้การของพยานทั้งที่โรงเรียนและโรงพยาบาลว่า ที่มินกุกต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ โดยไม่มีการจ่ายยา มีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคือเขาเป็น ‘โรคมันเชาเซน’ และสองคือ ‘โรคคิดไปเองว่าป่วย’ หรือพูดอีกแง่หนึ่งมินกุกมีสภาวะจิตที่เปราะบางอยู่แล้วอันเป็นผลจากการเลี้ยงดูของแม่

ที่น่าสนใจคือ การที่มินกุกเลิกเรียนโดยไม่แจ้งล่วงหน้า ทั้งที่เขาเริ่มปรับตัวได้แล้ว น่าจะมีสาเหตุมาจากแม่เช่นกัน

“คุณกลัวว่าโจทก์(ลูกชาย)จะเติบโตเป็นอิสระใช่ไหม ถ้าเป็นแบบนั้นคุณจะไม่มีตัวตนอีกต่อไป” หัวหน้าทีมทนาย ตั้งคำถาม

ถึงตรงนี้ แม่ของเด็กชายร้องไห้พร้อมตัดพ้อ “ฉันแค่ยอมทุ่มทุกอย่างเพื่อเลี้ยงมินกุกให้ดี ฉันแค่รักและปกป้องลูกเท่านั้น” 

สำหรับผม คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรจากเกราะกำบังที่พ่อแม่หลายคนใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับความจริงที่ว่า “ฉันทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว” 

“ใช่ ผมแน่ใจว่าคุณพยายามเต็มที่ เพื่อเติมเต็มช่องว่างในใจคุณ นี่คือความเห็นแก่ตัวที่นำไปสู่พฤติกรรมหมกมุ่นและห่วงใยมากไป ก่อนที่มันจะเป็นพิษร้ายที่ทำร้ายลูกของคุณแบบนี้ใช่ไหม ทำร้ายลูกตัวเองยังไม่พอ นี่คุณคิดจะโทษคนอื่นอีกหรือ คุณยังสมควรเป็นแม่คนอีกไหม หลังเกิดเรื่องพวกนี้ โจทก์อาจกลายเป็นผู้พิการไปชั่วชีวิต และนั่นเป็นเพราะคุณหมกมุ่นและห่วงใยลูกมากเกินไป ไม่ใช่เพราะจำเลย”

หลังฉากในศาล ผมเห็นด้วยกับคำพูดของหัวหน้าทนาย แม้มันอาจฟังดูเชือดเฉือน แต่ก็ตรงไปตรงมา เพราะแม่คนนี้กำลังหลงอยู่ใน ‘ภาพลวงตา’ ของแม่ที่ดี ผู้เสียสละ และอุทิศตัวเพื่อลูกด้วยความรักความหวังดี ทั้งที่จริง เธอเพียงแค่ใช้ลูกเติมเต็มช่องว่างในใจตัวเอง

“อย่าเพิ่งแน่ใจว่าแม่ทุกคนจะทุ่มเทให้ลูกแบบนั้น และรักลูกแบบไม่เห็นแก่ตัวมากกว่าตัวเอง พวกแม่ๆ ก็เป็นคนเหมือนกัน และคนอาจเห็นแก่ตัวจนถึงจุดที่โหดร้าย

ในโลกนี้มีคนที่ไม่อยากเป็นแม่ และคนที่ไม่ควรได้เป็นแม่ แม่เป็นผู้หญิงและเป็นคนคนหนึ่งด้วย พวกเขาจึงตัดสินใจในทางที่เห็นแก่ตัวได้”

เมื่อซีรีส์จบลง ผมนั่งนิ่งอยู่พักใหญ่ และครุ่นคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง ผมมองว่า ‘ความรัก’ และ ‘ความหวังดี’ ของพ่อแม่ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะส่งผลดีเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อมันปนเปื้อนด้วยอคติ ความกลัว หรือความคาดหวังที่แอบซ่อนอยู่ในใจของพ่อแม่เอง 

เหมือนกับช่วงหนึ่งที่ซีรีส์พยายามฉายภาพของดักแด้ที่รอวันกลายเป็นผีเสื้อ เมื่อถึงเวลามันจะพยายามฉีกเปลือกที่ห่อหุ้มออกด้วยแรงทั้งหมดที่มี ช่วงแรกอาจอ่อนแรง ต้องหยุดพักเป็นระยะ เพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ แต่ทุกครั้งที่มันพยายามเล็กน้อย ร่างกายก็จะแข็งแกร่งขึ้น และเมื่อสายลมพัดผ่านช่องเล็กๆ  ปีกของมันก็จะค่อยๆ แห้งและแข็งแรงขึ้น จนในที่สุด ผีเสื้อจะสามารถสยายปีกฉีกเปลือกดักแด้ออกได้อย่างสมบูรณ์ และพร้อมโบยบินอย่างงดงาม

กลับกัน หากมีใครสักคนยื่นมือเข้าไปช่วยกรีดเปลือกดักแด้ โดยพูดว่า “ฉันรักและหวังดีนะ” สิ่งที่ดูเหมือนความเมตตาอาจกลับกลายเป็นการทำร้ายโดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่อดักแด้ไม่ได้ผ่านกระบวนการดิ้นรนด้วยตัวเอง ปีกของมันก็จะไม่แข็งแรงพอจะบินได้ไกล สุดท้าย…ผีเสื้อที่ออกมาเร็วกว่ากำหนดจะหมดแรง และร่วงลงสู่พื้นในเวลาไม่นาน

เพราะฉะนั้น ความรักและความหวังดีของพ่อแม่จึงไม่ใช่การกันลูกให้พ้นจากความเจ็บปวด แต่คือการอยู่เคียงข้างเขาอย่างเข้าใจ ในขณะที่เขาเรียนรู้ที่จะบินด้วยปีกของตัวเอง

Tags:

โรคพ่อแม่ทำครอบครัวแม่Beyond the Bar

Author:

illustrator

อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์

เจ้าของเพจ The Last Bogie ผู้ตัดสินใจขึ้นรถไฟขบวนสุดท้าย โดยมีปลายทางอยู่ที่สถานี 'ยูโทเปีย'

Illustrator:

illustrator

พิมพ์พาพ์

เป็นลูกคนเดียวจากแม่เลี้ยงเดี่ยว เรียกตัวเองว่านักวาดภาพประกอบที่ชอบวาดคนหน้าแมว เผลอเสียน้ำตาให้กับหนังครอบครัวอยู่บ่อยๆ

Related Posts

  • Movie
    Modern love Tokyo (2022): แม่ต้องปล่อยวางหลายเรื่อง แต่วันหนึ่งลูกจะภูมิใจในเราเองแหละ

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Dear Parents
    แทนที่พ่อจะสอนผมเรื่องความกตัญญู ช่วยทำให้ดูก่อนดีไหม?

    เรื่อง อัฒภาค ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Dear ParentsBook
    โปรดโอบกอดมนุษย์ลูก: โลกร้ายกาจอาจไม่ทำลายคน ความเดียวดายต่างหาก

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Movie
    Lady Bird : ด้วยรักและเอาชนะ ระหว่างมนุษย์ลูกผู้อยากโผบินกับมนุษย์แม่ขี้โมโห

    เรื่อง อภิบาล ว่องวงษ์รักษ์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Movie
    Turning Red : หนูชอบเพลงเสียงดัง ชอบเด็กผู้ชาย ชอบเต้นส่ายก้น หนูอายุ 13 แล้ว แม่ทำใจเถอะ!

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel