- การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ (Adventures of Tom Sawyer) เป็นผลงานเขียนของ มาร์ก ทเวน (Mark Twain) นักเขียนชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง และเป็นหนึ่งในวรรณกรรมเยาวชน ที่กลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของโลก
- หนังสือเล่าเรื่องราวของ ‘ทอม ซอว์เยอร์’ เด็กชายแสนซนผู้รักการผจญภัย จนได้เรียนรู้คุณค่าของมิตรภาพ ครอบครัว ความกล้าหาญ และความรับผิดชอบ ซึ่งหล่อหลอมให้เขาเติบโตจากเด็กธรรมดาไปสู่การเป็นวีรบุรุษในที่สุด
- การเลียนแบบวีรบุรุษในตำนานของทอม ซอว์เยอร์ และผองเพื่อน ไม่ได้เป็นแค่การเล่นสนุกไร้สาระ หากแต่เป็นการค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ให้กับตัวเอง ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องการใช้จินตนาการ และที่สำคัญ ยังทำให้เด็กๆ รู้จักเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา หรือผ่านพ้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการผจญภัย
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เคยได้ยินประโยคนี้มาจากที่ไหน แต่ก็ดูเหมือนว่า หลายๆ อารยธรรมทั่วโลก มีทัศนคติร่วมกันว่า ‘การผจญภัย คือการสร้างวีรบุรุษ’
ดังจะเห็นได้จากวรรณกรรมเก่าแก่แต่โบราณกาล รวมไปถึงมหากาพย์ดึกดำบรรพ์ของหลายเชื้อชาติ ที่เล่าขานเรื่องการผจญภัยของตัวละคร (ซึ่งอาจจะมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์) ที่ต้องผ่านพ้นอุปสรรค ภยันอันตราย เพื่อทำภารกิจอันยิ่งใหญ่บางอย่าง และเมื่อการผจญภัยนั้นจบลง ตัวละครนั้นจะก้าวผ่านจากการเป็นคนธรรมดา กลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันไปชั่วกาลนาน
ไม่ว่าจะเป็น การผจญภัยของโอดิสซี ในมหากาพย์ ‘โอดิสซุส’ วรรณกรรมเก่าแก่ของกรีกโบราณ หรือ การผจญภัยของโฟรโด ฮอบบิตตัวน้อย ผู้กลายเป็นวีรบรุษผู้ยิ่งใหญ่ ในวรรณกรรม The Lord of the Rings ของเจ.อาร์.อาร์. โทลคีน (J.R.R. Tolkien) หรือแม้กระทั่งหนังไซไฟสงครามอวกาศอย่าง Star Wars ของจอร์จ ลูคัส ก็ดำเนินรอยตามขนบของการผจญภัย ที่เปลี่ยนชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ให้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งห้วงจักรวาลอันไกลโพ้น
และนั่นอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เด็กๆ ในซีกโลกตะวันตก ชื่นชอบและคุ้นเคยกับคำว่า ‘การผจญภัย’ (adventure) อีกทั้งยังดูจะได้รับการสนับสนุน หรืออย่างน้อยก็ไม่ถึงกับถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากผู้ใหญ่ เพราะเชื่อว่า การผจญภัย ที่เป็นส่วนหนึ่งในการหล่อหลอมทำให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นวีรบุรุษ ก็อาจทำให้เด็กคนหนึ่งได้แง่คิดที่จะช่วยให้เขาเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ดี ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างบน เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผม และเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มเล็กๆ ที่มีชื่อว่า ‘การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์’
การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ (Adventures of Tom Sawyer) เป็นหนึ่งในวรรณกรรมเยาวชน ที่กลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของโลกไปแล้ว หนังสือเล่มนี้ เป็นผลงานเขียนของ มาร์ก ทเวน (Mark Twain) นักเขียนชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง
หนังสือเล่มเล็กๆ และอ่านง่ายเล่มนี้ เป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อ ทอม ซอว์เยอร์ (ซึ่งจริงๆ ก็คือ ตัวตนในวัยเด็กของ มาร์ก ทเวน ผสมปนเปกับเพื่อนจอมซนอีกหลายคนของเขา) เด็กชายผู้ชาญฉลาดแต่แสนซน พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน ได้ร่วมกันออกผจญภัยหลายครั้งหลายคราว ตั้งแต่การหนีออกจากบ้านเพื่อไปเป็นโจรสลัด ไปจนถึงการตามล่าขุมทรัพย์ปริศนาของฆาตกรจอมโหด
แน่นอนครับ วรรณกรรมเด็กเล่มนี้ จบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ทอมและเพื่อนรัก คือ ฮักเกิลเบอร์รี ฟินน์ กลายเป็นวีรบุรุษ แถมยังร่ำรวยอู้ฟู่จากขุมทรัพย์ปริศนา ส่วนตัวร้ายก็ถูกกรรมตามสนองตามระเบียบ
หากเล่ามาแบบนี้ หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่า เรื่องราวที่แสนธรรมดาแบบนี้ กลายเป็นวรรณกรรมขึ้นหิ้งของโลกไปได้อย่างไร
ใช่ครับ ตัวผมเองก็เคยคิดแบบนั้น ในตอนที่อ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ แต่พอได้มีโอกาสกลับมาอ่านซ้ำในตอนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงค้นพบว่า ภายใต้ความสนุกสนาน เรียบง่าย และดูธรรมดาของหนังสือเล่มนี้ เต็มไปด้วยสาระที่ชวนให้ขบคิดมากมาย ตั้งแต่ประเด็นทางจิตวิทยา ว่าด้วยพัฒนาการของเด็ก และความเข้มงวดในการเลี้ยงดูเด็ก ไปจนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในยุคสมัยนั้น (เรื่องราวของทอม ซอว์เยอร์ เกิดในช่วงยุคตื่นทองของอเมริกา ก่อนจะเกิดสงครามกลางเมือง) โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำระหว่างคนผิวขาวและผิวดำ
อย่างไรก็ดี บทความชิ้นนี้ ไม่ได้กล่าวถึงทุกๆ ประเด็นที่ค้นพบในหนังสือเล่มนี้ แต่จะมุ่งเน้นไปที่เรื่องพัฒนาการของเด็กคนหนึ่ง ผ่านทางกิจกรรมที่เรียกกันว่า ‘การผจญภัย’
อย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้นว่า การผจญภัย คือการทำภารกิจที่เต็มไปด้วยอุปสรรคและอันตรายมากมาย ซึ่งผู้ที่สามารถทำภารกิจที่แสนยากนี้ให้สำเร็จลงได้ จึงได้รับการยอมรับและยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ หรือผู้ที่มีความเก่งกล้ากว่าคนทั่วไป
ขณะเดียวกัน เด็กๆ มักจะมีการละเล่นที่เลียนแบบกิจกรรมของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นขายของ เล่นทำครัว หรืออื่นๆ การผจญภัย จึงกลายเป็นหนึ่งในการละเล่นที่เป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กๆ ชาวตะวันตก ที่ดูจะให้คุณค่ากับการผจญภัยอย่างชัดเจน
ทอม ซอว์เยอร์ เป็นหนึ่งในเด็กที่ชื่นชอบการผจญภัย เขามักจะชวนเพื่อนสนิท โดยเฉพาะฮักเกิลเบอร์รี ฟินน์ และโจ ฮาร์เปอร์ เล่นเลียนแบบการผจญภัยของวีรบุรุษในตำนานอยู่เสมอ อาทิ การผจญภัยของโรบิน ฮู้ด วีรบุรุษจอมโจร ผู้ปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าปรำปราของอังกฤษ
การเลียนแบบวีรบุรุษในตำนานของทอม ซอว์เยอร์ และผองเพื่อน ไม่ได้เป็นแค่การเล่นสนุกไร้สาระ หากแต่เป็นการค้นหาและสร้างอัตลักษณ์ให้กับตัวเอง รวมถึงช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้เรื่องการใช้จินตนาการ และที่สำคัญ ยังทำให้เด็กๆ รู้จักเรียนรู้ที่จะแก้ไขปัญหา หรือผ่านพ้นอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการผจญภัยอีกด้วย
ครั้งหนึ่ง ทอม ซึ่งถูกป้าพอลลีผู้เข้มงวด ดุจนน้อยใจ บวกกับการที่ เบกกี เด็กหญิงร่วมชั้นเรียน แสดงอาการเมินเฉยต่อเขา ทำให้เขาทึกทักเอาว่า ตัวเองไม่ได้เป็นที่ต้องการของใครในโลกนี้อีกแล้ว จึงชวนเพื่อนๆ ที่รักการผจญภัย ให้หนีออกจากบ้าน เพื่อไปใช้ชีวิตเป็นโจรสลัด
ทอม โจ และฮัก อออกเดินทางมุ่งตรงไปยังเกาะแจ็กสัน ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งกลางแม่น้ำมิสซิสซิปปี พลพรรคโจรสลัด ภายใต้การนำของทอม หมายมั่นจะใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ก่ออาชญากรรมอันยิ่งใหญ่สะเทือนขวัญ (ซึ่งจริงๆ ก็แค่ลักขโมยอาหารตามบ้านคน) โดยเชื่อว่า ภายในระยะเวลาอันสั้น ชาวเมืองจะต้องแตกตื่นกับข่าวโจรสลัดกลุ่มใหม่ และที่สำคัญ บรรดาแม่ๆ และป้าๆ ที่ชอบเข้มงวดกับพวกเขา จะต้องสำนึกเสียใจอย่างแน่นอน
ทว่า ผ่านไปแค่วันเดียว เหล่าโจรสลัด ยกเว้นฮัก ซึ่งเป็นเด็กจรจัด ผู้ใช้ชีวิตเสรีไร้บ้านช่องอยู่แต่แรกแล้ว ก็เริ่มคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงป้า ที่เคยดุว่าพวกเขามาตลอด
“ทอม” โจอึกอัก “บางครั้งบางคราว มันก็กลับบ้านเหมือนกันไม่ใช่เรอะ”
ทอม ในฐานะหัวโจก ตำหนิความอ่อนแอของโจ จนเจ้าตัวเสียงอ่อยว่าไม่ได้คิดถึงบ้านก็ได้ แต่พอทุกคนหลับ ทอม กลับแอบพายเรือกลับไปที่บ้าน เพื่อดูว่า ป้าพอลลี จะคิดถึงเขาบ้างไหม ครั้นพอได้เห็นว่า ป้าผู้แสนเข้มงวด ร้องห่มร้องไห้เจียนจะขาดใจ เจ้าตัวก็แอบร้องไห้ตามไปด้วย
ผ่านไปไม่กี่วัน การผจญภัยในฐานะโจรสลัดของทอมและผองเพื่อน ก็ปิดฉากลงด้วยดี ทุกคนกลับบ้านเยี่ยงวีรบุรุษ (ในความคิดของพวกเด็กๆ) อีกทั้งยังกลับมาเป็นที่รักของครอบครัวและผองเพื่อนอีกครั้ง
การผจญภัยครั้งนี้ ให้อะไรกับทอม ซอว์เยอร์ และคนอ่านอย่างเราๆ บ้าง
อย่างแรกสุดเลย การได้จำลอง หรือเลียนแบบวิถีชีวิตโจรสลัด ที่ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ทำให้เด็กๆ ได้รู้ว่า ถึงแม้จะไม่มีพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง คอยตั้งกฎระเบียบให้ทำตาม แต่พวกเขาก็ค่อยๆ เรียนรู้ว่า ถึงอย่างไร การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ ก็จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์เพื่อให้การรวมกลุ่มดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ว่า บางครั้งสิ่งที่คิดไว้ในจินตนาการ กับสิ่งที่พบเจอในชีวิตจริง อาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ชีวิตของโจรสลัด ไม่ได้ดูเท่อย่างที่พวกเขาคิด ตรงกันข้าม ชีวิตของเสรีชน ผู้อยู่นอกกรอบกฎเกณฑ์ของสังคม จำเป็นต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก
และที่สำคัญ ทอมและผองเพื่อนได้เรียนรู้ว่า ถึงแม้พ่อแม่ ป้า หรือผู้ปกครอง อาจจะมีความเข้มงวดเกินไปบ้าง จนนำไปสู่ความไม่เข้าใจกัน แต่ถึงอย่างไร โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนทำไปเพราะความรักและความหวังดี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ความเป็นครอบครัวดำรงอยู่ได้
นอกเหนือจากการผจญภัยในบทบาทของโจรสลัดแล้ว ในช่วงท้ายของเรื่อง ทอม ซอว์เยอร์ ได้พบกับการผจญภัยที่จริงจังและน่ากลัวที่สุดในชีวิต เมื่อเขาและเบกกี ชวนกันเล่นเป็นนักสำรวจถ้ำ ทว่า การผจญภัยครั้งนี้ กลับพาทั้งคู่พลัดหลงลึกเข้าไปในถ้ำอันคดเคี้ยว จนหาทางออกไม่ได้
การผจญภัยครั้งนี้ ไม่ได้เป็นแค่การละเล่นเหมือนที่ผ่านมา แต่มันคือภารกิจที่จริงจังและอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
ทอม ได้เรียนรู้ว่า ในฐานะที่เป็นเด็กผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งกว่า เขาจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อชีวิตและความปลอดภัยของเบกกี ทอม เสียสละขนมเพื่อให้เด็กหญิงได้คลายหิว และมีเรี่ยวแรงเดินค้นหาทางออก
ทอม ยังได้เรียนรู้อีกว่า การจะเอาชนะอุปสรรคและภยันตรายที่ไม่คาดคิด นอกจากจะใช้ความกล้าหาญแล้ว เขาจำเป็นจะต้องมีสติ เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกจนยิ่งเสียขวัญไปกันใหญ่ ความมีสตินี้เอง ทำให้ทอมเรียนรู้ที่จะใช้เชือกว่าวที่พกติดตัว ผูกปลายข้างหนึ่งมัดติดกับก้อนหินในถ้ำ ขณะที่ปลายอีกข้างถืออยู่ในมือ จากนั้นจึงค่อยเดินสำรวจไปตามเส้นทางใหม่ๆ ซึ่งหากเส้นทางนั้นนำไปสู่ทางตัน เขาก็ยังสามารถสาวเชือกย้อนรอยกลับมาที่จุดเริ่มต้นได้ใหม่อีกครั้ง
ท้ายที่สุด ความกล้าหาญและมีสติของทอม ทำให้เขาและเบกกี ค้นพบทางออกจากถ้ำมาได้อย่างปลอดภัย
การผจญภัยของ ทอม ซอว์เยอร์ จึงไม่ได้เป็นแค่การผจญภัยของเด็กผู้ชายแสนซนคนหนึ่ง หากแต่เป็นการทำภารกิจที่เต็มไปด้วยอุปสรรคนานับประการ ที่ช่วยให้เขาเรียนรู้ที่จะเติบโตอย่างเข้มแข็ง กล้าหาญ และรู้จักความรับผิดชอบ