- ฮีทคลิฟฟ์ เด็กกำพร้าผิวคล้ำจากเมืองลิเวอร์พูล ถูกนำมาเลี้ยงดูเป็นลูกบุญธรรมร่วมกับลูกแท้ๆ เอิร์นชอว์ ที่คฤหาสน์วุธเธอริงไฮตส์ แต่เพราะไม่สมหวังในความรักทำให้เขาเริ่มต้นที่จะแก้แค้นด้วยเล่ห์กลต่างๆ
- เราไม่อาจเพิกเฉยกับภาวะหน้าไหว้หลังหลอกและแสแสร้งที่แทรกซึมอยู่ในสนามพลังเหล่านี้และในตัวเราเอง ด้วย แม้ม่านมายาจะค่อยๆ ถูกปลดออกไปทีละชั้น เมื่อแต่ละวงจรการเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์
- บางทีเราก็ปล่อยให้ความแค้นลากเลือดจากอดีตมากร่อนใจ กระทั่งเราเองกำลังพ่นพิษใส่ความสัมพันธ์ตรงหน้า
“Your task is not to seek for love, but merely to seek and find all the barriers within yourself that you have built against it.” ― Rumi
1.
ผมชื่อ ฮีทคลิฟฟ์ เคยเป็นเด็กกำพร้าผิวคล้ำที่ตุรัดตุเหร่อยู่ในเมืองลิเวอร์พูล (ในช่วงศตวรรษที่ 19 ถึง 20 เมืองดังกล่าวมีผู้อพยพมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาโดยใช้เป็นประตูสู่อังกฤษหรือประเทศอื่น ลิเวอร์พูลยังเป็นศูนย์ค้าทาสกระทั่งถูกล้มเลิกไปในปีค.ศ. 1807 ดังนั้น ก็พอให้ผู้อ่านคาดเดาได้ว่าฮีทคลิฟฟ์ในบริบทเช่นนี้จะรู้สึกมีปมด้อยอะไรได้บ้าง) ประมาณสามสิบปีก่อนเข้าศตวรรษที่ 19 คุณเอิร์นชอว์พาผมกลับมายังคฤหาสน์วุธเธอริงไฮตส์ ณ ดินแดนทางตอนเหนือของอังกฤษ เขารักและเลี้ยงดูผมเป็นลูก ร่วมกับลูกสาวและลูกชายของเขา แคเธอรีน และ ฮินด์ลีย์
แคเธอรีน ชอบออกไปเล่นกับผมในท้องทุ่งกว้างซึ่งมีลมกระโชกแรงดุจดังหัวใจอิสระของเธอ แต่ฮินด์ลีย์กลับรู้สึกว่าถูกผมแย่งความรัก เขาคอยกลั่นแกล้งผมจนพ่อไล่ให้เขาออกจากบ้านไปเรียนหนังสือที่อื่น และเมื่อพ่อเสียชีวิตแล้ว ฮินด์ลีย์ก็กลับมาครองวุธเธอริงไฮตส์พร้อมกับภรรยาและจงใจทำให้ผมเป็นกรรมกรขาดการศึกษา
แต่ผมกับแคเธอรีนยังคงเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน กระทั่งวันที่เธอเริ่มปันใจให้ เอดการ์ ชายหนุ่มตระกูลลินตันที่มีหน้าตาทางสังคม ซึ่งอาศัยอยู่กับน้องสาว อิสเบลลา ลินตัน ณ คฤหาสน์เกรนจ์ในละแวกใกล้เคียงบ้านของเรา และแม้แคเธอรีนจะรักผมแต่ก็กลับหลุดปากเรื่องสถานะของผมที่ดูต่ำต้อย
ผมหนีออกจากวุธเธอริงไฮตส์ไปด้วยดวงใจที่ขื่นขมตรมช้ำ
สามปีผ่านไป ผมกลับมาอย่างชายผู้มั่งคั่งและจะไม่ถูกเหยียบย่ำอีกต่อไป ฮินด์ลีย์กำลังเป็นหนี้เป็นสินหลังจากสูญเสียภรรยา ผมจึงถือโอกาสเป็นเจ้าหนี้เขาและด้วยเล่ห์กลของผม ในไม่ช้าผมก็ได้ครอบครองวุธเธอริงไฮตส์ นอกจากนั้น ผมยังจงใจแต่งงานกับ อิสเบลลา ลินตัน ที่ผมไม่ได้รักเพียงเพื่อจะครอบครองคฤหาสน์เกรนจ์ที่มีพวกขี้เหยียด ผมทารุณกรรมภรรยาเชื้อสายลินตัน กระทั่งอีผู้ดีมันต้องหนีไปอยู่กรุงลอนดอนและเลี้ยงลูกชายของเราที่นั่น
แคเธอรีนแต่งงานกับ เอดการ์ ลินตัน และหลังจากคลอดลูกสาวที่หน้าตาเหมือนเธอเหลือเกิน เธอก็เสียชีวิต ต่อมาฮินด์ลีย์ พี่ชายของเธอก็ลาจากโลกนี้ไปเช่นกัน ผมจึงถือโอกาสเอาแฮร์ตัน ลูกชายของมันมาเลี้ยง ผมบีบให้ลูกชายของฮินลีย์ซึ่งควรจะต้องโตไปเป็นสุภาพบุรุษเจ้าของที่ดินตกลงไปในความต่ำต้อย ไร้การศึกษา ทำงานกรรมกรและดูดิบๆ เหมือนที่ผมเคยถูกกระทำ ดูสิว่าจะจบสวยกว่าผมได้ไหม? ผมสะใจที่แม้จะทำอะไรแย่ๆ กับเด็ก แต่มันก็ยังเคารพผม
ผมใช้ชีวิตที่เหลือกดขี่เด็กทุกคนที่มีเลือดเนื้อของคนที่ผมแค้น ผมผู้เคยอยู่ชายขอบและถูกรังแก บัดนี้รู้สึกชอบธรรมที่จะเอาคืนอย่างเลือดเย็นขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าภายหลังจะมั่งคั่งเพียงไหน หัวใจผมก็ยังขาดพร่อง ยิ่งล้างแค้นก็ยิ่งขยี้แผล และแคเธอรีนก็ยิ่งดูห่างไกลออกไปทุกที และลึกลงไปกว่านั้น ส่วนหนึ่งของการแก้แค้นก็เป็นเพียงการจำลองการแต่งงานของแคเธอรีนที่ทำให้ผมร้าวรานขึ้นมาอีกครั้ง
ผมบังคับให้ลูกชายของผมซึ่งมีเชื้อสายลินตัน(จึงเป็นเสมือนตัวแทนของ เอดการ์ ลินตัน) แต่งงานกับลูกสาวของแคเธอรีน (ภาพแทนแคเธอรีน)
กระนั้น ลูกสาวของแคเธอรีนกลับมีใจให้ แฮร์ตัน ที่ผมเลี้ยงให้เป็นเหมือนผม มันอาจเป็นตอนจบอันสมหวังที่ผมปรารถนามานาน เหมือนได้มองเรื่องราวแห่งบาดแผลเก่า ในมุมมองใหม่ที่เป็นบวกกว่าเดิม
ผมเพียงปรารถนาจะอยู่กับแคเธอรีน
วิญญาณเธอมารับผม และมีคนฝังศพของผมไว้ใกล้กันกับร่างของเธอ
2.
หากคนกระแสหลักไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ แล้วเราบริสุทธิ์ขนาดนั้นเลย?
ความรุนแรงอันเป็นระบบระเบียบเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในท้องที่ต่างๆ ซึ่งยังคงดำเนินต่อไปเพื่อที่ความสุขสบายบางรูปแบบจะยังคงอยู่ ในระดับการเคลื่อนไหวทางสังคม เราจึงควรเข้าข้างกลุ่มที่ถูกกดทับและถูกทำให้เป็นชายขอบในประเด็นใดๆ การสร้างความตระหนักรู้โครงสร้างที่ทำให้ใครได้เปรียบเสียเปรียบกว่า การรู้เท่าทันความรุนแรงที่แทรกซึมอยู่ในอุดมการณ์ต่างๆ ฯลฯ ควรได้รับการสนับสนุน
กระนั้น เราไม่อาจเพิกเฉยกับภาวะหน้าไหว้หลังหลอกและแสแสร้งที่แทรกซึมอยู่ในสนามพลังเหล่านี้และในตัวเราเอง ด้วย แม้ม่านมายาจะค่อยๆ ถูกปลดออกไปทีละชั้น เมื่อแต่ละวงจรการเปลี่ยนแปลงสมบูรณ์
เวลาที่เราก่อกรรมทำเข็ญกับคนอื่นในนามแห่งความยุติธรรม เราเกลียดตัวกินไข่อยู่หรือไม่ หรือเรากำลังไม่รักด้านที่ถูกทำให้รู้สึกต่ำต้อยและไร้อำนาจของตนเองหรือไม่? หากเราอยากทำให้ใครสักคนรู้สึกไร้ค่าบ้าง ใช่หรือไม่ว่าเรากำลังไม่อยากรับรู้ว่าตนเองรู้สึกว่าตนไร้ค่าเพียงใด? ฉันเคยโกรธคนอื่นเพราะโกรธตัวเองที่ไม่ว่าเฆี่ยนตีตัวเองมากมายเพียงไหนก็ยังรู้สึกไม่ ‘ดีพอ’ จนกระทั่งวันหนึ่งก็ต้องเรียนรู้(แม้ไม่ง่ายนัก)ที่จะเปลี่ยนการลงโทษตัวเองเป็นการให้รางวัลตัวเองบ้าง มากกว่าที่จะรอคอยให้คนในครอบครัวมาให้กำลังใจ
3.
เราไม่จำเป็นต้องแตกสลายและทำให้คนอื่นพังทลาย เพียงเพื่อจะพบแสงและเปลี่ยนชีวิต
จิตวิญญาณที่รู้สึกถูกกระทำ เปรียบเหมือนคนนอนตายตาไม่หลับ และโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม มันก็ได้เรียกหาบุคคลแบบเดิม หรือสร้างเหตุการณ์แบบเดิมๆ ขึ้นมา ครั้งแล้วครั้งเล่า
ความรักที่อยากหลอมรวมอาจกลายเป็นความหลงตน(Narcissistic) หรือลืมตน(forget its own being)โดยสิ้นเชิงราวกับอัตตาที่ถูกพลังงานอีกขั้วกลืนกิน หลายครั้ง หัวใจที่สั่นไหวผิดจังหวะอันคุ้นชินซึ่งได้อาจหาญกระโจนเข้าเปลวเพลิงอันน่าหวาดกลัวก็ทำให้เราได้พบอีกชั้นแห่งความจริง นั่นเอง มันไม่ได้ทำเพื่อรักมากกว่าการแสวงหาความจริงแท้ แต่การเติบโตเปลี่ยนผ่านนั้นไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องเรียกร้องบทเรียนดิบโหดที่จะตัดทะลวงภาพหลงผ่านการบดขยี้อัตตาเราให้พังทลายเพียงเพื่อจะเปิดช่องแผลให้แสงลอดส่องเข้ามา เราได้ทำความรู้จักเงามืดแต่ก็ไม่จำเป็นต้องแตกสลายเพียงเพื่อจะโผหาอ้อมกอดแห่งแสงสว่างอีกแล้ว เราแค่ขอบคุณที่สรรพสิ่งได้ให้เราและขอบคุณตัวเองที่เราได้ให้ อีกทั้งเราไม่จำเป็นต้องกดระเบิดพลีชีพทำร้ายตัวเองเพื่อที่จะทำร้ายหรือไม่ทำร้ายคนอื่น และไม่ต้องทำร้ายคนอื่นแบบที่เราถูกกระทำเพียงเพื่อจะหาตอนจบที่ดีกว่า การตายแล้วเกิดใหม่ในชีวิตอันมีปัญญากว่าเกิดได้ในความธรรมดาประจำวันด้วย และไม่จำเป็นต้องผุดขึ้นจากเถ้าถ่านแห่งวิกฤตอันตึงเครียดเท่านั้น จิตวิญญาณที่รู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรมมักสร้างหรือดึงดูดสถานการณ์เดิมๆ เข้ามาโดยอาจซุกซ่อนแก่นสารเก่าในเปลือกหุ้มใหม่ๆ แต่แล้วเสี้ยวเวลาอันเป็นจุดเปลี่ยนก็มาถึง ทำให้เราไม่ต้องกลับไปเยี่ยมมันอีกแล้ว และด้วยเหตุนั้นก็อนุญาติให้ร่องน้ำแห่งชีวิตเปลี่ยนไป
เหตุเดียวกันอาจสร้างผลที่แตกต่าง แต่เหตุที่ต่างกันก็อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์อย่างเดียวกันด้วย (The Individual as a Channel of Group Process โดย Claire Nance) ปฏิสัมพันธ์แสนสามัญต่อคนรอบข้างก็ทำให้ลอกคราบเปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งที่มีสุขภาวะกว่าและส่งผลกระเพื่อมเชิงบวกไปในระบบร่วมได้
แต่บางที เราปล่อยให้ความแค้นลากเลือดจากอดีตมากร่อนใจ กระทั่งเราเองกำลังพ่นพิษใส่ความสัมพันธ์ตรงหน้าหรือไม่?
ความสัมพันธ์แบบที่จริงๆ แล้วเราเองก็โหยหาอย่างมาก
รวมถึงความสัมพันธ์กับตนเอง ซึ่งเปี่ยมด้วยรัก
อ้างอิง
Wuthering Heights โดย Emily Brontë (1847) *อิงโดยบิดมุมเล่า
“Nelly, I am Heathcliff!”: The Intersection of Class, Race, and Narration in Emily Brontë’s Wuthering Heights โดย Hannah Caywood
Sitting in the Fire: Large Group Transformation Using Conflict and Diversity (ภาษาไทย นั่งกลางไฟ แปลโดย ณฐ ด่านนนทธรรม) โดย อาร์โนล มินเดล
The Individual as a Channel of Group Process: Case Studies in Group Process Work โดย Claire Nance
Violence โดย Slavoj Zizek
บทกวีหลายบทของท่าน Rumi สนใจดูเพิ่มเติม อาจอ่านบทกวีแนวซูฟี (Sufi) อันเป็นรหัสนัยแห่งอิสลาม The Masnavi of Rumi, Book One: A New English Translation with Explanatory Notes โดย Jalaloddin Rumi แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Alan Williams
ขอบคุณพลังงานราศีพิจิกและเรือน 8 อ่านพื้นฐานเพิ่มเติมที่ คัมภีร์สูตรเรือนชะตา โดย พลตรี ประยูร พลอารีย์