Skip to content
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningUnique SchoolEveryone can be an EducatorUnique Teacher
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)
How to enjoy life
28 March 2022

พลังแห่งการเขียน: ยารักษาบาดแผลทางจิตใจคือไดอารี่แห่งความรู้สึก

เรื่อง จณิสตา ธนาธรชัย

  • ปัญหาและอุปสรรคคือสิ่งที่เราต้องเผชิญหน้าอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เราต้องพบเจอสิ่งเหล่านี้เพื่อเติบโตแม้จะต้องเจ็บปวดมากก็ตาม และมักมีใครสักคนเข้ามาพูดปลอบใจหลังผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาได้ว่า “ความเจ็บปวดจะทำให้เราเติบโตขึ้น” แต่หลายครั้งการก้าวผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ ก็ได้ทิ้ง บาดแผลไว้ในหัวใจของเราให้เป็นที่ระลึก
  • เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราใช้เวลาในการรักษาจิตใจมากกว่าเวลาในการแก้ปัญหา และการหันไปพึ่งพาคนอื่นโดยหวังว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเข้าใจก็อาจทำให้เราผิดหวัง เพราะนอกจากจะไม่มีใครเข้าใจเราทั้งหมดแล้ว พวกเขายังพาลจะเบื่อหน่ายกับเรื่องราวเดิมๆ ที่รบกวนจิตใจของเราอีกด้วย
  • อาจพูดได้ว่าการระบายกับคนอื่นนั้นนอกจากจะไม่ได้เยียวยาหัวใจที่บอบช้ำแล้วยังอาจทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าเราก็ยังต้องการสื่อสารกับใครสักคนที่จะเข้าใจและทะนุถนอมจิตใจของเรา ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าผู้รับฟังคนนั้นคือตัวเราเอง

หลายครั้งชีวิตก็เล่นตลกร้ายจนทำเอาเราสูญเสียสมดุลในการดำรงชีวิตไป เราอาจถูกปัญหาซัดจนโซเซเสียศูนย์ และมันก็ยากเหลือเกินที่จะหาทางให้ตัวเองกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติดังเดิม ในช่วงชีวิตที่เรารู้สึกเหนื่อยล้าหมดแรง ท้อแท้สิ้นหวัง และเสียความมั่นใจ มองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง เป็นเรื่องง่ายที่เราจะดำดิ่งลงไปในความรู้สึกแย่ๆ และจมอยู่กับมัน 

ถ้าเราเก็บความรู้สึกนั้นไว้จนลึกสุดใจเพราะเชื่อว่าจะไม่มีใครรักษาจิตใจของเราได้ นอกจากจะไม่ทำให้ความเจ็บปวดหายไปแล้ว ยังทำให้ความรู้สึกนั้นสะสม บาดแผลในจิตใจก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น และคอยออกมาตอกย้ำเมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคอีกด้วย

แน่นอนว่าการเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่เสียหายหากจะลองเยียวยาความเจ็บปวด หากการระบายกับคนที่ไว้ใจไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น หรือไม่กล้าระบายเพราะกลัวจะถูกตัดสินจากมุมมองที่ต่างกัน ลองบอกเล่าความรู้สึกผ่านการเขียนดู อาจเป็นบันทึกความรู้สึก อาจเป็นกลอนเป็นบทกวี หรืออาจเป็นจดหมายที่ไร้ผู้รับ 

ลองอนุญาตให้ตัวเองได้เข้าไปสำรวจบาดแผลในจิตใจและรักษามันด้วยการเขียนระบายความรู้สึกดูสักหน่อย เผื่อว่าความเจ็บปวดจะบรรเทาบ้างไม่มากก็น้อย

ทำไมถึงต้องเขียน?

งานวิจัยมากมายได้ชี้ว่าการเขียนช่วยให้ผู้ที่มีบาดแผลทางจิตใจดีขึ้น ถ้าจะให้เห็นภาพ ขอยกตัวอย่างงานวิจัยของ James Pennebaker จาก University of Texas at Austin บุคคลสำคัญที่ทำให้การเขียนเพื่อเยียวยาตัวเองหรือการเขียนบำบัดเป็นที่รู้จักในวงกว้าง 

เขาได้ทดลองโดยการสุ่มให้นักศึกษาเขียนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบาดแผลและปมของตัวเองเป็นเวลา 15 นาทีต่อวัน ผลปรากฏว่านักศึกษาจำนวนกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่ได้ลองเขียนระบายความรู้สึกและความเจ็บปวด กลุ่มนี้หยุดเข้ารับบริการจากศูนย์ให้คำปรึกษานักศึกษาใน 6 เดือนถัดมา นั่นหมายถึง พวกเขาสามารถเยียวยาความบอบช้ำของตัวเองได้โดยไม่ต้องไปรับคำปรึกษาจากบุคคลอื่นอีกแล้ว งานวิจัยนี้จึงได้สร้างความสนใจให้กับนักจิตวิทยาคลินิกและนักจิตวิทยาสังคมมาก

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยของ Joshua M. Smyth ที่ได้ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Journal of the American Medical Association (Vol. 281, No. 14) เขาได้ให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดและโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ 107 คนเขียนอะไรก็ได้เป็นเวลา 20 นาทีต่อวัน ติดต่อกันสามวัน โดยผู้ป่วย 71 รายเลือกเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตึงเครียดที่สุดในชีวิตและผู้ป่วยที่เหลือเลือกเขียนเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพวกเขา

สี่เดือนหลังจากนั้น ผู้ป่วย 70 รายในกลุ่มการเขียนที่เน้นความเครียดพบว่ามีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายในชีวิต นอกจากนี้ การรับมือกับโรครวมไปถึงอาการป่วยก็ดีขึ้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะมีอาการแย่ลงอีก เราอาจกล่าวได้ว่าการเขียนบำบัดมีผลกับการรักษาบาดแผลทางจิตใจ

อาจเป็นเพราะการเขียนทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น การเขียนเพื่อเยียวยาทำให้เราเห็นความรู้สึกที่อาจพูดออกมาไม่ได้จนติดอยู่ในหัวหรือติดค้างอยู่ในใจบนกระดาษตรงหน้า ทำให้เรารู้สึกว่าความคิดเหล่านั้นจับต้องได้ เป็นการสำรวจทบทวนบาดแผล ทำความเข้าใจ ปรับเปลี่ยนมุมมอง และปล่อยวางได้ในที่สุด

คำแนะนำก่อนการเริ่มเขียนบำบัด

การเตรียมตัวในการเขียนบำบัดทำได้ไม่ยาก เตรียมกระดาษและปากกาให้พร้อม ซื่อสัตย์ต่อตัวเองในการเขียน ไม่ต้องพยายามเขียนให้ดูสวยหรู ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้คำและภาษา ไม่มีข้อจำกัดอะไรเลยในการเขียน กระดาษที่บรรจุความรู้สึกแย่ๆ นี้เราอาจเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย ที่ที่เรามั่นใจว่าจะไม่มีใครล่วงรู้และหาเจอ จำไว้ให้ขึ้นใจว่าเราไม่ต้องเอาไปให้ใครอ่าน เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราทบทวนตัวเอง สำรวจจิตใจ และเข้าใจบาดแผลได้อย่างถ่องแท้แล้ว เราก็สามารถทำลายมันทิ้งได้

นอกจากนี้ ในการเขียนเรื่องราวที่สะเทือนใจนั้นไม่ควรจะรีบร้อนเขียนให้จบ ไม่ต้องพยายามเขียนเรื่องราวทั้งหมดในครั้งเดียว เพราะหัวใจเราอาจยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับความรู้สึกเหล่านั้น ในเมื่อเราไม่สามารถพูดออกมาได้ การเขียนออกมาก็คงยากน้อยกว่ากันเพียงนิดเดียว หากเร่งรีบจนเกินไปอาจทำให้การเขียนบำบัดกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียดยิ่งกว่าเดิม เข้าใจและให้เวลากับตัวเองเยอะๆ และที่สำคัญอนุญาตให้ตัวเองได้รู้สึกแย่ได้เต็มที่แล้วเราจะปรับใจให้เข้มแข็งได้เอง

บนหน้ากระดาษว่างๆ ที่ไม่มีที่สิ้นสุด เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นพื้นที่ที่รองรับความกลัว ความกังวล และความหวังของเรา การเขียนทำให้เรามีพื้นที่สำหรับปลดปล่อยอารมณ์ด้านลบที่คนอื่นอาจไม่เข้าใจและตัดสิน 

ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมีบาดแผลในจิตใจ แต่การเก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านั้นไว้อาจทำให้สภาพจิตใจของเราแย่ถดถอยลงตามไปด้วย ใส่ใจตัวเองให้มาก อย่าเข้มแข็งจนทำให้เสียศูนย์ ไม่เป็นไรถ้าหากจะรู้สึกอ่อนแอ เรื่องแย่ๆ เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้แต่เราต้องยอมรับและปรับตัวอยู่กับมัน ค้นหาความหมายของความทรงจำที่กระทบกระเทือนจิตใจใต้บาดแผลเพื่อยอมรับและเปลี่ยนแปลง ก้าวผ่านความบอบช้ำและเติบโต เหมือนที่ใครสักคนเคยพูดไว้ว่าความเจ็บปวดจะทำให้เราเติบโตขึ้น 

อ้างอิง

Emotional and physical health benefits of expressive writing

How Writing Helps Us Heal

Writing to heal

Tags:

การเติบโตการเขียนการสื่อสารการเขียนบำบัด

Author:

illustrator

จณิสตา ธนาธรชัย

นัก (ทดลอง) เขียนธรรมดาและนักอ่านวรรณกรรม(ฝึกหัด) ชื่นชอบหนังแอคชั่น เรื่องลี้ลับ และการ์ตูนslam dunk

Related Posts

  • Book
    บ้านเล็กในป่าใหญ่: ที่พักพิงแสนปลอดภัยในโลกอันน่าหวาดหวั่นคือ ‘ครอบครัว’

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • Dear ParentsBook
    Toxic Parents: ยังไม่ต้องให้อภัยพ่อแม่ก็ได้ เผชิญหน้ากับความรู้สึกตัวเองก่อน

    เรื่อง พิมพ์พาพ์

  • Education trend
    มองหาสัญญาณเมื่อเด็กขอความช่วยเหลือ: คุยเรื่องจิตบำบัดในโรงเรียนกับ โดม-ธิติภัทร รวมทรัพย์

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Everyone can be an Educator
    ‘เด็กทุกคนมีแสงสว่างในตัวเอง’ สร้างพื้นที่ปลอดภัยและให้โอกาสเติบโต : ราฎา กรมเมือง

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Family Psychology
    เลี้ยงอย่างไรหลังหย่าร้าง : ลูกจะโอเคที่สุดเมื่อพ่อแม่ไม่ขัดแย้งกัน

    เรื่อง วิภาวี เธียรลีลา

  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel