- ทำความรู้จัก Quest ในคอร์สภาวนา 3 มิติ คือ รู้ตัว รู้ตน รู้ธรรมชาติ กับ ณัฐ-ณัฐฬส วังวิญญู นักเคลื่อนไหวทางสังคม จากสถาบันขวัญแผ่นดิน
- ละ-ลอกคราบ-หลอมรวม คือกระบวนการเควส เพื่อเปิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ได้หยั่งลงไปอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติดั้งเดิม และได้ค้นเจอจิตวิญญาณเดิมแท้
- เมื่อหันหลังให้ป่ากลับสู่เมือง การทำเควสทำให้พบว่า โลกทัศน์ต่อธรรมชาติเปลี่ยนไป น้ำที่เราดื่ม คนที่เราคุยด้วย ลมที่พัดผ่านเรา ทำให้ลึกซึ้งกับภาวะตรงหน้ามากขึ้น
My Soul Journey to the Quest
เราเป็นคนกรุงเทพฯ แท้ๆ พ่อแม่ให้ชีวิตเกิดมาและก็ใช้ชีวิตไปตามปกติสุข แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางของชีวิตที่ว่ากันว่ามันจะมี midlife crisis เกิดขึ้นได้กับคนหนึ่งคน สำหรับเราก็เป็นเหมือนกันแต่มันผ่านมา 2 ปีแล้ว ตอนนั้นเราคิดว่าเรามีตัวตนแข็งทื่อ ขับเคลื่อนด้วย passion ที่มุ่งเป้าไปสู่ความสำเร็จในชีวิต ยึดเหนี่ยวอยู่กับสิ่งที่สังคมให้ค่าและมันเกาะยึดเราจนรู้สึกว่าหนักอึ้ง งานการสำเร็จก็จริงแต่ยุ่งยากซับซ้อน ความสัมพันธ์รอบตัวเรียบง่ายแต่ก็ซ่อนความขัดแย้งไว้อยู่ แม้รู้สึกว่าเป้าหมายชัดเจนแต่ยังลังเลสับสนและกังวลเสมอว่าหนทางที่ว่านั้นชัดเจนจริงหรือเปล่า
ช่วงเวลานั้นเราเลยตัดสินใจเดินทางเพื่อรู้จักกับการเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ ที่เข้าไปทำความรู้จักตัวตนด้านใน เราเห็นความกลัวที่แช่แข็งอยู่ในตัวเรา เรามีความขัดแย้งภายในที่สะท้อนออกไปแสดงออกยังโลกภายนอก ยิ่งเรียนรู้โลกภายในเท่าไรก็ยิ่งทำให้อยากคืนกลับสู่ความเป็นธรรมชาติและความจริงแท้ที่ธรรมชาติมอบให้

หนึ่งในนั้นทำให้เราได้รู้จักกับเควส (Quest) ในคอร์สภาวนา 3 มิติ คือ รู้ตัว รู้ตน รู้ธรรมชาติ กับ พี่ณัฐ-ณัฐฬส วังวิญญู กระบวนกรจากสถาบันขวัญแผ่นดิน จัดขึ้นในป่าลุ่มน้ำไทรโยค เมืองกาญฯ ทำให้ได้ชิมลางกับการเข้าสู่ธรรมชาติ เราอดอาหาร 1 วัน 1 คืน เราได้เผชิญหน้ากับความกลัว กับความเชื่อมโยงอันหลากหลายกับต้นไม้ หิน ดิน น้ำ บรรดาผีเสื้อ แมลง นก ดวงดาวและพระจันทร์ ธรรมชาติให้พลังต่อชีวิตเรามาได้เฮือกหนึ่ง พร้อมกับปัญญาญาณมากมาย ที่ทิ้งร่อยรอยเอาไว้ให้เราได้ทำการบ้านต่อ หลังจากนั้น บอกได้เลยว่า… “ชีวิตเราไม่ง่ายเลย”
แน่นอน…ครบรอบเดือนเกิดในรอบปีแห่งวัยกลางของชีวิต เราสัญญากับตัวเองว่าจะไปเควสอีกครั้ง เราวางใจให้ GAIA MOTHER EARTH หรือแม่ธรรมชาติ ได้โอบกอดเรา ได้ขัดเกลาดวงจิตอย่างที่มันควรเป็น ได้ให้ขุมพลังและสารสำคัญ ที่จะเป็นปัญญาญาณให้เราได้ใช้ชีวิตต่อในเส้นทางเดินหลังขวบวัยนี้

การเดินทางเริ่มต้น
กลางดึกในคืนแรมจันทร์ ใต้ร่มไม้ใหญ่ที่บ่อน้ำพุร้อนยางปู่โต๊ะ ป่าต้นน้ำดอยหลวงเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เราได้แม่ธรรมชาติให้พลังกับเรา ความร้อน-เย็นช่วยให้ร่างกายเราปรับสมดุล ชั่วขณะที่น้ำเย็นแช่ตัวไหลผ่านร่างกายและหัวใจเรา มือเราเท้ากับก้อนหินก้อนหนึ่งที่เราคว้าขึ้นมา หินรูปทรงกลมก้อนเท่าหัวใจ เราลูบคลำไปจนพบเส้นสายแร่ธาตุ นูนขึ้นมาเป็นเส้นๆ ใช่…เหมือนเป็นเส้นเลือด ฉับพลันเราคิดทันทีว่า นี่คือหัวใจที่แข็งเป็นหินของเรา
เช้าวันนั้น เราพกหินเดินทางไปเชียงราย ด้วยเป้าหมายที่จะหาคำตอบว่าเราจะเยียวยา ‘หินในใจ’ เราได้อย่างไร หินที่ทำให้ใจเราแข็งแกร่ง แข็งแรงมุ่งมั่น ท้าทายฝ่าฟัน ต่อโลกที่เรายืนอยู่นี้
Journey Down
“เควสเป็นพิธีกรรมแห่งการเปลี่ยนผ่าน ละทิ้ง ตายแล้วเกิดใหม่ เดินทางดิ่งลงสู่ดิน การเข้าไปเผชิญกับความกลัว ความโดดเดี่ยว ความตาย เดินทางไปสู่สภาวะไร้ที่พึ่ง เพื่อค้นหาว่า soul (จิตวิญญาณ) ของเราคืออะไร ต้องการอะไร” และนี่คือการเดินทางอย่างท้าทายของฮีโร่ พี่ณัฐบอก…
แม้ว่าการเดินทางของจิตวิญญาณแบ่งได้เป็น 3 ระดับ หนึ่ง journey up ไปหาแสงสว่าง สวรรค์ ท้องฟ้าอันแผ่ไพศาล สอง journey middle การแสวงหาการพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ เครื่องมือในการเข้าใจตัวเองและการกลับมาเป็นปกติ และสุดท้าย journey down เดินทางดำดิ่ง เข้าไปเผชิญกับความกลัวของตัวเอง ซึ่งมันยั่วหัวใจเรามาก ทั้งๆ ที่เรากลัวว่าเราจะเปราะบางมาก เหมือนเมื่อย้อนกลับไป 2 ปีที่ผ่านมา ก็ตามที

เพียงคืนแรกที่มาถึง ความมืดและเงาของความกลัวก็เคาะประตูเราอย่างเบาๆ ขณะเล่าชีวิตให้เพื่อนร่วมทริปทั้ง 10 คนฟัง เราเผยชีวิตในวัยเด็กให้เพื่อนๆ ที่เรียกว่า ‘สภาอันศักสิทธิ์’ ได้สืบค้นและช่วยสร้างความชัดเจน
แน่นอน…การเป็นตัวเราที่ช่างเล่าและวางโครงเรื่องผ่านการกลั่นกลองด้วยความคิด ทำให้เพื่อนเห็นได้ว่าช่างไร้ชีวิตและความรู้สึก ซึ่งนั่นคือส่วนลึกที่ปิดประตูเอาไว้ในตัวเรา พอถามความรู้สึกจึงไม่อาจรู้สึกได้ ขณะถูกท้าทายความรู้สึกที่ชวนให้หยั่งถึง ทันใดนั้น ทีมเจ้าบ้านที่หน่วยจัดการต้นน้ำแม่งา ขุนน้ำวัง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย จึงออกมาทำงานเป็นตัวแทนความรู้สึกภายในของเรา ด้วยธรรมชาติจัดสรร เมาท์ออร์แกน ‘เพลงเดือนเพ็ญ’ ถูกเป่าอย่างเยือกเย็น ในความเงียบ…พอๆ กับความหนาว และความมืดในคืนนั้น พลันต่อมาด้วยขอบของการแสดงความรู้สึกของครอบครัวที่เราเองก็ไม่สามารถสวมบทได้ เราคิดว่านี่เป็นบทบาท (role) ที่ผุดขึ้นมาสะท้อนจิตวิญญาณของเราในปัจจุบันที่ไม่อาจเป็นอื่นได้อีกต่อไป
“ชายผู้ใช้ความคิด หัวใจที่เป็นหิน นักเล่าเรื่องที่ไม่เข้าไปแตะความรู้สึก เด็กน้อยที่โดดเดี่ยว” คือส่วนหนึ่งของบทที่เราเล่นในชีวิตจริง เป็น archetype (รูปแบบ) หนึ่งในแบบแผนทางจิตของชีวิตมนุษย์ที่มีอีกมากมาย คงคุณลักษณะโบราณมีมายาวนานแต่เป็นสากล แบบแผนที่มีอิทธิพลในชีวิตอย่างที่สุด ถ้าเรายึดเกาะกุมมันเข้ามาและเล่นบทนั้นยาวนานเกินไป เพราะขั้วบวก ขั้วลบที่ไหลวนอย่างไม่สมดุล
เช่น ‘นักเลง’ ด้านหนึ่งคืออันธพาลระรานคนอื่น ด้านหนึ่งมันให้อำนาจและภาวะผู้นำที่เราเฉลิมฉลองได้ทุกครั้งเมื่อคนอื่นบาดเจ็บ “นางฟ้า นางบำเรอ นักรัก นักเล่น กษัตริย์ ชายแก่ พ่อ แม่” ล้วนเป็นบทที่เราเล่นเป็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นบทบาทที่ให้เรื่องราวในชีวิตที่ทั้งแข็งแกร่ง เสริมพลังอำนาจ และความเปราะบาง ไปพร้อมๆ กัน เส้นบางๆ ที่คั่นกลางอยู่ภายในตัวเราเช่นนี้ คือ ขอบ (edge) ที่ท้าทายเราให้ก้าวข้ามความคุ้นชินเดิม ไปสู่อาณาเขตที่เราไม่รู้จัก ขอบที่ผุดปรากฏขึ้นมานี้เองที่เชื้อเชิญให้เราทำงานกับมันต่อ เพื่อให้ทั้งขั้วบวกและขั้วลบนั้นกลับมาสมดุล
ละ (Severance) ลอกคราบ (Threshold) หลอมรวม (Incorporation)
กระบวนการเควส เป็นพิธีกรรมโบราณที่ช่วยให้เราหลงลืมเวลาของมนุษย์ เพื่อเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของตัวเอง ณ กาลเวลาที่โบราณจนมันไร้กาลเวลา การอดอาหารทำให้เราอ่อนแอทางร่างกาย ที่จะช่วยส่ง ‘ความทรงจำ’ บางอย่างมาทำงานต่อ
หากเล่าโดยง่าย เราเข้าไปเควสในป่าผ่านการตั้งโจทย์อะไรบางอย่างที่อยากหาคำตอบ เข้าสู่ธรรมชาติ เพื่อให้ป่าหยิบยื่นคำตอบ ผ่านปรากฏการณ์ที่เผยให้กับเรา พี่ณัฐเรียกว่าเป็น “ภาษาจิตวิญญาณธรรมชาติ” ลม ความร้อน ความพลิ้วไหว สัตว์ทั้งหลาย และบรรดาความฝันคือ ญาณทัศนะที่เราจะนำกลับมา รอให้เราถอดรหัส และหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

สละ/ละ (severance) คือขั้นแรกที่เราได้เข้าสู่พิธีกรรมแห่งการตาย รอบกองไฟก่อนจะเข้าสู่ป่า เราบอกกับตัวเองว่า เราขอสลัดละตัวตนที่ติดดี ความหลอกลวงและการยึดติดในวัตถุนิยม เราขอให้เรา “ค้นพบตัวตนอันจริงแท้ ขุมพลัง และหนทางการเดินต่อของเราต่อไปในชีวิตนี้” คืนแห่งการใคร่ครวญเพื่อทำความเข้าใจตัวตนความเป็นมนุษย์ของตัวเรา เพื่อแยกออกสู่การสัมผัสจิตวิญญาณที่ต้องการเดินทางสู่การเติบโต ทำให้เราได้คำถามและเควสที่เราต้องการชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เราละที่จะกินอาหาร 3 คืน 3 วัน สละที่พำนักอันสะดวกสบาย เสื้อผ้าที่เสริมสร้างอำนาจในบทบาทที่เราเป็นในชีวิตประจำวัน หยิบเอาเพียงข้าวของบางส่วนที่จะช่วยให้เราอยู่ในป่าได้อย่างไม่ตายไปจริงๆ

ป่าสนผสมผสานกับไม้ใหญ่ต้นน้ำวัง ร่องรอยของเฟิร์น มอส และความชื้นที่ปกคลุมเขาหินปูน ความสูง 1,000 เมตรสูงจากระดับน้ำทะเล ต้นไม้ใหญ่ปากทางต้อนรับเราตั้งแต่ทางเข้า เราแวะขอพรอันศักดิ์สิทธิ์จากต้นไม้ หลับตาเพื่อให้เราหลอมรวมกับความนิ่งเงียบ การเติบโต และจังหวะชีวิตแบบที่ป่าเป็นอยู่จริง เราเดินทางไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่จุดสูงสุดของพื้นที่ป่าลึก โอบล้อมด้วยสันเขาที่สูงใหญ่ของผืนป่าอุทยานแห่งชาติดอยหลวง ที่ซึ่งผืนดินยืนสูงแตะสู่ผืนฟ้า ลมหนาวพัดโชยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปลุกวิญญาณความกล้าระหว่างเดินข้ามขอบถนนตรงดิ่งเข้าสู่ป่าของเรา
ลอกคราบ (threshold) กล้าๆ กลัวๆ คือ ความรู้สึกที่มาถึงในที่สุด ในความว่างเปล่าจากโลกวุ่นวาย ความมืดของค่ำคืน ท้องฟ้า ดวงดาว แสงจันทร์ นอกจากเสียงแมลง ลม ในความมืดนั้นค่อยๆ ปรากฏ เสียงที่ดังก้องจากการคุยกับตัวเองอยู่โดดเดี่ยว และความอ่อนล้าของร่างกาย นำพาความทรงจำหนึ่งที่ผุดขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ‘ที่พึ่งพา’ ในวัยเด็ก หญิงหม้าย นักต่อสู้ที่เราพักพิงมาแต่อ้อนแต่ออก ในยามที่เราไม่มีใคร ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าในคืนนั้น คนที่เราตัดขาดความรู้สึก คิดถึง รัก ห่วงหา นับตั้งแต่วันที่เขาตายจาก ‘ตัวตนที่รู้สึก’ ของเราได้ตายลงไปพร้อมๆ กับความทรงจำที่เรามี
ต้นไม้ที่เราพัก กระตุ้นให้เราสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณความเก่าแก่ของเพศหญิง ที่โอบอุ้มเรา พระจันทร์เต็มเดือนที่เรียกร้องให้เราออกมายืนโดดเดี่ยวในป่ายามค่ำคืน ท้าทายความกลัวที่ลึกลงไปในหัวใจ ชั่วขณะที่ลมพัด นกร้อง ผีเสื้อบินมาเกาะ เราหันกลับไปก้มมองเงาในตัวเราที่พาดผ่านจากฟ้าลงสู่ดิน ไม่มีอะไรปลุกเราได้เท่าเงาในตัวเราเอง กล้า-กลัว สว่าง-มืด สายตาของหญิงหม้ายในเงาของตัวเรา ทำงานส่งสัญญาณให้เราใช้ปัญญาญาณทำงานต่อ น่าแปลกตรงที่การทำงานของคืนนั้นไม่ได้ลอกคราบเราในทันที แต่กระตุ้นให้เรานำมาทำงานต่อ ในสภาอันศักดิ์สิทธิ์

3 วัน 3 คืนกับการเดินไปพำนักกับต้นไม้ ต้นแล้วต้นเล่า ลมที่พัดขัดเกลาจิตให้ปั่นป่วน การเดินทางของ มด แมลง นก ผีเสื้อในยามเช้า เสียงจิ้งหรีด กรีดร้องฟ้องพระจันทร์ ความว่าง และอิดโรย นำพาให้เรามาถึงจุดที่อ่อนแรงที่สุด ไข้ขึ้นจนเพ้อทุกบ่ายของวัน แต่นั่น ไม่ได้ทำให้เราตายได้เลย
พอช่วงเย็นของคืนสุดท้ายที่อยู่ในป่า เราได้ไปสวนดอกไม้ซึ่งอยู่ระหว่างทางไปป่าชื้น ตรงนั้นได้ให้พลังงานอาหารและความตื่นตาตื่นใจ เหมือนที่ตั๊กแตน ผีเสื้อ ผึ้ง มากินดื่มน้ำหวานจากดอกไม้ พลังงานจากภูเขาสูงใหญ่ร้องขอให้เราหนักแน่น ไว้ใจในความโดดเดี่ยว ในฉับพลันนั้นมันผลักดันให้เราเคลื่อนไหวในจังหวะเดียวกับธรรมชาติ จู่ๆ การเคลื่อนไหวร่ายรำ คำพูดไม่มีความหมายก็ผุดขึ้นมาเอง เราเต้นรำต่อเนื่อง ไปพร้อมกับนก แมลง และป่าสนที่ส่งเสียง นั่นหรือไม่ที่เรียกว่าการลอกคราบทางจิตวิญญาณ ที่เขย่าให้เราได้ด้นสดแบบไม่ต้องคิดและคาดหวังอะไร จากสิ่งรอบตัวในที่แห่งนี้
เวลาผ่านไป ในเช้าวันใหม่ เรากับเพื่อนเดินอย่างอิดโรยก้าวออกจากพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ กายอ่อนแรง แต่จิตวิญญาณตื่นรู้ดื่มด่ำกำซาบเข้ามาพร้อมให้เรานำกลับไปใช้ในโลกมนุษย์เมืองอย่างเรา

หลอมรวม (incorporation) ตัวตนที่เราได้รับ คือ ตัวตนรู้สึก การคอนเนคกับจิตวิญญาณธรรมชาติ รวมถึงผู้คน การทำความเข้าใจด้านที่เราตัดขาดอย่างลึกซึ้งเพราะความกลัวเปราะบางเป็นของขวัญที่นำกลับมา สภาอันศักดิ์สิทธิ์เชื้อเชิญให้เราได้คุยกับคนรักที่ตายจาก บรรดาเสียงที่เราไม่เคยพูดได้พรั่งพรูบอกออกมา การเดินทางสู่ความมืด ตัวตนที่เราไม่ยอมเป็นเหมือนมันได้เปิดโอกาสให้เราได้หลอมรวม
ตำนานชีวิต (Life Myth)
เหมือนกับว่าตำนานชีวิตเราไม่จบลงง่ายๆ หรอก vision quest เปิดพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ให้เราได้หยั่งลงไปอย่างลึกซึ้งในธรรมชาติดั้งเดิม ให้เราได้ค้นเจอจิตวิญญาณเดิมแท้
วันนี้เรากลับมายังเมืองหลวงที่ไร้ป่าเขาแล้ว ระหว่างกินข้าวมดดำเดินไต่ขึ้นมาบนโต๊ะอาหาร แต่เราไม่ฆ่าทิ้งเหมือนที่เคยทำ เรายิ้มและพูดคุยกับมดดำอย่างงงๆ เรานั่งรถผ่านต้นไม้น้อยใหญ่ข้างถนน ทักทายเหมือนเพื่อนอีกคนที่เราไม่ได้ทักทายมานาน โอ้โห… เราว่าโลกทัศน์ต่อธรรมชาติของเราเปลี่ยนไป น้ำที่เราดื่ม คนที่เราคุยด้วย ลมที่พัดผ่านเรา เราว่าเราลึกซึ้งถึงความศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างจากตอนที่อยู่บนเขา บนดอย
ที่สำคัญ เราเห็นได้ว่า หัวใจของเรามันกลับมาไว้ใจในความรู้สึก และเชื่อมั่นในตัวของเราเองมากขึ้น พอๆ กับเชื่อมั่นในทุกจิตวิญญาณที่เราพบเจอในแต่ละวัน “ด้วยความเคารพ และการอยู่ร่วมกัน”
จนวันนี้ เรายังคิดถึงเพื่อน พี่ น้อง ในสภาอันศักดิ์สิทธิ์ พี่น้องผู้ดูแลป่าต้นน้ำแม่งา พี่น้องหมู่บ้านงิ้วเฒ่า อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย ที่ดูแลป่าต้นน้ำให้คนปลายน้ำอย่างเรา และที่สำคัญ เราเชื่อว่าถ้ามีโอกาสอีก เราอยากอนุญาตให้เราได้เข้าไปทบทวนตำนานชีวิตของเรา ได้เล่าเรื่อง ได้ดูละครตำนานชีวิตของเราอีกครั้ง…

ขอขอบคุณ พี่ณัฐ-ณัฐฬส และ พี่อ้อ-จิตติมา วังวิญญู และครอบครัว และทีมงานสถาบันขวัญแผ่นดิน ที่จัดกระบวนการเรียนรู้ ให้เราได้เรียนรู้อย่างดำดิ่ง และกระโจนไปสู่ป่าอย่างห้าวหาญ
นิเวศภาวนา (Vision Quest) พัฒนามาจากพิธีกรรมของชาวอินเดียนแดงโบราณ ผสมผสานกับการสมาทานธุดงควัตรบางข้อในพุทธศาสนา ออกแบบมาเพื่อให้คนมีประสบการณ์การเปลี่ยนผ่านของช่วงชีวิต และเติบโตทางจิตวิญญาณจากการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ นิเวศภาวนาเป็นการเรียนรู้ทางจิตวิญญาณที่อาศัยการอดอาหารและอยู่ลำพังในธรรมชาติ เพื่อสลัดละความปลอดภัยมั่นคงอย่างอ่อนน้อม ผู้เดินทางจะต้องยอมสละชีวิตของตนให้เป็นของธรรมชาติ ยอมตายลงในเชิงจิตวิทยาเพื่อเกิดใหม่อย่างมีเป้าหมาย เพื่อค้นหาว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร โลกปรารถนาให้เราทำอะไรที่จะเกิดประโยชน์ ศักยภาพและความหมายของชีวิตของเราคืออะไร นิเวศภาวนาจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเปลี่ยนผ่าน เช่น วัยรุ่นกำลังจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ คนที่กำลังจะเปลี่ยนงาน หรือคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตนเอง รวมถึงคนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่พื้นที่ใหม่ในชีวิต เช่น กำลังจะบวช กำลังจะแต่งงาน หรือแม้แต่กำลงจะหย่า นิเวศภาวนาจะช่วยให้เราละทิ้งตัวตนเก่าและเพิ่มพลังชีวิตใหม่ ในวัฒนธรรมโบราณ มนุษย์เฉลิมฉลองและประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในช่วงสำคัญของชีวิต ไม่ว่าจะตอนเกิด วัยรุ่น หรือย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และในบางพื้นที่ยังมีพิธีกรรมในช่วงที่ชีวิตประสบภาวะวิกฤตหรือการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เช่น ประสบอุบัติเหตุ หรือต้องเดินทางไกล เป็นต้น แต่วิถีชีวิตสมัยใหม่ทำให้คนห่างหายจากพิธีกรรมเหล่านี้ จึงไม่มีโอกาสใคร่ครวญและถอดบทเรียน โลกทัศน์แบบวิทยาศาสตร์เก่าก็ทำให้คนมองว่าพิธีกรรมเป็นเรื่อง “งมงาย” และไม่เกี่ยวข้องกับชีวิต นี่คือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สมัยใหม่รู้สึกว่างเปล่าและไม่เชื่อมโยงกับใครเลย นิเวศภาวนาจะนำเราเข้าสู่เส้นทางการเปลี่ยนผ่านอย่างมีความหมาย อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ ที่มา คุณ Nueng Srisuda Chomp |