Skip to content
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Learning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trend
  • Life
    Healing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/CrisisLife classroom
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
วัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัย
Myth/Life/Crisis
1 July 2025

ความตายขับเคลื่อนชีวิต (1): เพราะมนุษย์รู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องตาย การเห็นคุณค่าในตัวเองจึงสำคัญ

เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • มนุษย์เรากลัวความตายเป็นเรื่องปกติจากสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด การพบว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะต้องตายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับสัญชาตญาณดังกล่าว มนุษย์จึงคิดหาวิธีการจัดการกับความกลัวนี้ โดยนักจิตวิทยาได้ศึกษาเรื่องนี้ผ่านทฤษฎีที่เรียกว่า ‘Terror Management Theory’
  • สิ่งที่มนุษย์ทำคือการสร้างเกราะป้องกันทางจิตใจที่เรียกว่า ‘กันชนความวิตกกังวล’ ซึ่งประกอบไปด้วย 2 สิ่งหลักๆ คือ โลกทัศน์ทางวัฒนธรรม และ การเห็นคุณค่าในตนเอง
  • ‘การเห็นคุณค่าในตนเอง’ (Self-esteem) ก็เป็นสิ่งที่ช่วยลดความวิตกกังวลต่อความตายได้ โดยการดำเนินชีวิตตามคุณค่าที่วัฒนธรรมได้วางไว้ว่าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่สำคัญ จะช่วยเพิ่มการเห็นคุณค่าในตนเอง เพราะมันก่อให้เกิดความรู้สึกที่ว่าฉันเป็นคนที่ดีและมีคุณค่า

มนุษย์ต่างจากสัตว์อย่างไร?

อันที่จริงแล้วมนุษย์กับสัตว์แทบไม่ต่างกันเลยในเรื่องของ ‘สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด’ เมื่อมนุษย์เจอกับภัยอันตราย ระบบสู้หรือหนี (Fight or Flight) จะทำงาน ทำให้มนุษย์มีพละกำลังมหาศาลภายในชั่วพริบตาที่จะต่อสู้หรือวิ่งหนีจากภัยนั้นอย่างสุดชีวิต ดังนั้นแล้วมนุษย์กับสัตว์ย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่กลัวความตาย

แต่มนุษย์ต่างจากสัตว์ในเรื่องของ ‘สติปัญญา’ มนุษย์สามารถใช้ความคิดที่ซับซ้อนและมีความเป็นนามธรรมสูงจนทำให้รับรู้ ‘เวลา’ ได้อย่างถ่องแท้ 

มนุษย์รู้ว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตคืออะไร รู้ว่าวันที่ผ่านมาคืออะไร และวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุนี้เองมนุษย์จึงค้นพบว่าสิ่งน่ากลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นั่นคือ ‘ความตาย’

มนุษย์เรากลัวความตายเป็นเรื่องปกติจากสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด การพบว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะต้องตายเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับสัญชาตญาณดังกล่าว ดังนั้นมนุษย์จึงต้องคิดหาวิธีการในจัดการกับความกลัวนี้ โดยนักจิตวิทยาได้ศึกษาเรื่องนี้ผ่านทฤษฎีที่เรียกว่า ‘Terror Management Theory’

Terror Management Theory คืออะไร?

‘Terror Management Theory’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘TMT’ เป็นทฤษฎีที่คิดขึ้นมาในปี 1986 จากนักจิตวิทยา 3 คน ได้แก่ Jeff Greenberg, Sheldon Solomon และ Tom Pyszczynski โดยเป็นการต่อยอดจากหนังสือ The Denial of Death ของนักมานุษยวิทยา Ernest Becker

TMT เสนอว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ตระหนักรู้ว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะต้องตาย โดยการตระหนักรู้นี้เองก่อให้เกิด ‘ความวิตกกังวลต่อความตาย’ (Death Anxiety) หากความวิตกกังวลนี้ไม่ได้รับการจัดการจะทำให้เราเครียดมากจนร่างกายขยับเขยื้อนไม่ได้และส่งผลต่อการใช้ชีวิต

ดังนั้นมนุษย์จึงต้องคิดหาวิธีการบางอย่างเพื่อลดความวิตกกังวลนี้ โดยสิ่งที่มนุษย์ทำคือการสร้างเกราะป้องกันทางจิตใจที่เรียกว่า ‘กันชนความวิตกกังวล’ (Anxiety Buffers) ซึ่งประกอบไปด้วย 2 สิ่งหลักๆ ดังนี้

  1. โลกทัศน์ทางวัฒนธรรม (Cultural Worldview)

เมื่อมนุษย์มีความสามารถในการคิดเชิงนามธรรมที่เข้าใจถึงเวลาและความตาย มนุษย์ก็ได้ใช้ความคิดเชิงนามธรรมนั้นมาใช้ในการแก้ไขปัญหานี้ด้วยการสร้าง ‘วัฒนธรรม’ ขึ้นมา วัฒนธรรมทำให้การใช้ชีวิตมีระบบระเบียบ เข้าใจได้ และคาดการณ์ได้ เมื่อทุกอย่างสามารถคาดการณ์ได้จึงทำให้ความตายน่ากลัวน้อยลง

ต่อมาคือการสร้างความหมายให้กับชีวิต หากเรารู้ว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะต้องตาย เราก็คงไม่มีกะจิตกะใจในการใช้ชีวิต ดังนั้นวัฒนธรรมจึงได้สร้างชุดความคิดความเชื่อขึ้นมาเพื่อบอกว่าสิ่งไหนดี-ไม่ดี สิ่งไหนสำคัญ สิ่งไหนควรปฏิบัติ เรียกว่า ‘โลกทัศน์ทางวัฒนธรรม’ (Cultural Worldview) สิ่งนี้ทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย เรารู้สึกมีเป้าหมายว่าจะใช้ชีวิตเพื่ออะไร

นอกจากนี้ โลกทัศน์ทางวัฒนธรรมยังให้แนวทางในการก้าวข้ามความตายผ่านการชี้ว่าชีวิตยังคงดำเนินต่อไปแม้เราจะตายไปแล้วผ่าน ‘ความเป็นอมตะ’ (Immortality) โดยในที่นี้ตีความได้ 2 แบบ ได้แก่ 

  • ความเป็นอมตะโดยแท้จริง (Literal Immortality) คือ แนวคิดที่ว่ามนุษย์ไม่ได้สูญสลายไปอย่างแท้จริง เพียงแต่ย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่ง ในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนา เช่น การเวียนว่ายตายเกิด, การขึ้นสวรรค์, การพบกับพระเจ้า ฯลฯ
  • ความเป็นอมตะเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Immortality) คือ แนวคิดที่ว่าแม้มนุษย์เราจะตายไป แต่สิ่งต่างๆ ที่เราได้สร้างหรือทำไว้ย่อมหลงเหลือไว้ให้แก่โลกใบนี้ เป็นเหมือนตัวแทนของเรา เช่น ครอบครัว, อนุสรณ์สถาน, หนังสือ, วาดภาพ, แนวคิด ฯลฯ
  1. การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem)

กลับมาที่ระดับปัจเจก การใฝ่หาพฤติกรรมหรือกิจกรรมที่เพิ่ม ‘การเห็นคุณค่าในตนเอง’ (Self-esteem) ก็เป็นสิ่งที่ช่วยลดความวิตกกังวลต่อความตายได้ โดยการดำเนินชีวิตตามคุณค่าที่วัฒนธรรมได้วางไว้ว่าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่สำคัญ จะช่วยเพิ่มการเห็นคุณค่าในตนเอง เพราะมันก่อให้เกิดความรู้สึกที่ว่าฉันเป็นคนที่ดีและมีคุณค่า

Becker กล่าวว่า การเห็นคุณค่าในตัวเองคือความรู้สึกถึง ‘ความสำคัญระดับจักรวาล’ (Cosmic Significance) กล่าวคือ เรารู้สึกว่าการดำรงอยู่ของเรามีความสำคัญ สิ่งต่างๆ ที่เราได้กระทำลงไปเป็นสิ่งที่มีความหมายและมีความสำคัญนอกเหนือไปจากตัวเราเอง เราจึงมีคุณค่ามากกว่าวัตถุหรือสัตว์อื่นๆ อีกทั้งตัวเราจะยังคงอยู่ต่อไปแม้จะตายไปแล้วผ่านความเป็นอมตะสองแบบที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้

ผลพวงจากการสร้าง ‘กันชนความวิตกกังวล’

กันชนความวิตกกังวลก่อให้เกิดผลในทางบวก เป็นเหมือนเกราะป้องกันทางจิตใจไม่ให้เราวิตกกังวลต่อความตายจนส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเรา มนุษย์ได้สร้างวัฒนธรรมขึ้นมา และวัฒนธรรมเองก็ได้ก่อร่างเป็นสังคมของมนุษย์ที่มีแบบแผน ความมีแบบแผนทำให้ความตายน่ากลัวน้อยลง เราใช้ชีวิตได้สงบสุขมากขึ้น

นอกจากนี้ วัฒนธรรมก็ได้ให้มุมมองต่างๆ ที่มีต่อโลก (โลกทัศน์ทางวัฒนธรรม) ทำให้ชีวิตของเรามีความหมาย รู้สึกมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตต่อไป อีกทั้งการมีโลกทัศน์ที่เหมือนกับคนอื่นก็ยังช่วยสร้างความรู้สึกเชื่อมต่อและเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ทำให้เราอยากสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและมีส่วนร่วมในการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่คงอยู่ไปได้อย่างยาวนาน (ความเป็นอมตะเชิงสัญลักษณ์)

อย่างไรก็ตาม การสร้างกันชนความวิตกกังวลอย่างวัฒนธรรมขึ้นมาก็ก่อให้เกิดผลในทางลบได้เช่นกัน บางครั้งอาจเกิดการแบ่งแยก ‘พวกเรา’ กับ ‘พวกเขา’ เมื่อพบเจอกับวัฒนธรรมที่ต่างกัน นำไปสู่ทัศนคติรังเกียจกลุ่มอื่น (Prejudice) และอคติเข้าข้างกลุ่มตัวเอง (In-group Bias)

Pyszczynski และคณะ (2006) ได้ศึกษาพบว่า ในสถานการณ์ที่กระตุ้นให้นึกถึงความตาย (Mortality Salience) เช่น สงคราม ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความสุดโต่งในความเชื่อของตัวเอง พูดง่ายๆ คือ มีความยึดมั่นในกลุ่มของตัวเองมากขึ้น และพยายามกำจัดอีกกลุ่มที่มีความเชื่อไม่เหมือนตัวเอง 

การศึกษาดังกล่าวรวบรวมความคิดเห็นของ ‘ชาวอเมริกัน’ และ ‘ชาวอิหร่าน’ ที่มีต่อความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน โดยพบว่า ชาวอเมริกันสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารอย่างรุนแรงกับอิหร่าน แม้จะเสี่ยงทำให้พลเรือนเสียชีวิตจำนวนมากก็ตาม ในทางกลับกัน ชาวอิหร่านก็สนับสนุนการโจมตีแบบพลีชีพต่อเป้าหมายในสหรัฐฯ มากขึ้น พร้อมทั้งมีความเต็มใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวด้วยตนเอง

โดยสรุปคือ การกระตุ้นให้นึกถึงความตายทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในโลกทัศน์ของตัวเองมากขึ้น ปกป้องความเชื่อของตนเมื่อถูกท้าทาย และพยายามแสวงหาการเห็นคุณค่าในตนเองผ่านการดำเนินชีวิตตามสิ่งที่วัฒนธรรมมองว่าดี แทนที่จะเกิดการคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนถึงความตาย เช่น ความตายเป็นสิ่งไม่แน่นอนและควบคุมไม่ได้

แผนภาพสรุปกลไกของ TMT

แม้มนุษย์จะสามารถลดความวิตกกังวลต่อความตายผ่านการสร้างกันชนความวิตกกังวลอย่าง ‘วัฒนธรรม’ ขึ้นมา แต่วิธีการนี้ก็อาจก่อให้เกิดผลเสีย เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก เกิดความคิดสุดโต่ง และนำไปสู่การเข่นฆ่ากัน ซึ่งขัดกับจุดประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างวัฒนธรรมขึ้นมา

ดังนั้นในบทความหน้าจะพูดถึงการจัดการกับความวิตกกังวลต่อความตายในแนวทางอื่นที่เน้นความเข้าใจในความตายอย่างแท้จริง

อ้างอิง

Hayes, J. (2017). Terror Management Theory. In Zeigler-Hill, V., & Shackelford, T. (Eds), Encyclopedia of Personality and Individual Differences. Springer.

Myers, E. (2023). Terror Management Theory.

Pyszczynski, T., Abdollahi, A., Solomon, S., Greenberg, J., Cohen, F., & Weise, D. (2006). Mortality Salience, Martyrdom, and Military Might: The Great Satan Versus the Axis of Evil. Personality and Social Psychology Bulletin, 32(4), 525-537.

Vinney, C. (2024). Terror Management Theory: How Humans Cope With the Awareness of Their Own Death.

Tags:

Terror Management Theoryระบบสู้หรือหนี (Fight or Flight)ความวิตกกังวลต่อความตายการเห็นคุณค่าในตัวเอง(Self-esteem)

Author:

illustrator

ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • How to enjoy life
    ‘รักตัวเอง’ สุขจริงหรือแค่ปลอบใจ แล้วแค่ไหนถึงกลายเป็นหลงตัวเอง

    เรื่อง พงศ์มนัส บุศยประทีป ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Book
    ที่ปลายขอบฟ้า มีขุมทรัพย์…และความฝัน

    เรื่อง สิทธิพงศ์ อุรุวาทิน

  • How to enjoy life
    ‘สัตว์เลี้ยงนักบำบัด’ มากกว่าเพื่อนคลายเหงา คือการเสริมสร้าง Self-esteem ในตัวเด็ก

    เรื่อง นฤมล ทับปาน

  • How to get along with teenager
    จิตวิทยาวัยรุ่นเรื่องการยอมรับนับถือตัวเอง กับ หมอโอ๋ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

    เรื่อง กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร ภาพ จิตติมา หลักบุญ

  • Dear ParentsMovie
    Queer eye: รายการที่บอกให้เห็นคุณค่าตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่มี และเราสมควรได้รับความรักเช่นกัน

    เรื่องและภาพ พิมพ์พาพ์

  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel