- ‘Rage Bait’ คือการผลิตคอนเทนต์ที่เน้นการเผยแพร่เนื้อหาเชิง ‘ยั่วให้โกรธ’ หรือ ‘ยั่วให้แย้ง’ เพื่อแลกกับเอนเกจเมนต์ ทั้งยอดไลก์ แชร์ และคอมเมนต์
- อารมณ์ที่เกิดขึ้นจาก Rage Bait จะมีความโกรธหรือบางครั้งก็มีความรังเกียจ ซึ่งก่อให้เกิดความคับข้องใจ สูญเสียพลังงาน และสิ้นหวัง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปในระยะยาวอาจนำไปสู่อาการซึมเศร้าและวิตกกังวลได้
- การอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิด ‘ความด้านชาทางอารมณ์’ (Emotional Numbness) กล่าวอีกนัยคือ เรารู้สึก ‘เหนื่อยล้าเกินไปที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ (Compassion Fatigue)
เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในโซเชียลมีเดียทุกวันนี้แทนที่จะได้ดูอะไรสนุกๆ กลับกระตุ้นให้เรารู้สึกหงุดหงิด หรือจมอยู่กับความโกรธเพราะเห็นโพสต์ที่ชวนเดือดดาล
นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจงใจของผู้ผลิตคอนเทนต์ที่เน้นการเผยแพร่เนื้อหาเชิง ‘ยั่วให้โกรธ’ หรือ ‘ยั่วให้แย้ง’ เพื่อแลกกับเอนเกจเมนต์ ทั้งยอดไลก์ แชร์ และคอมเมนต์
การสร้างเนื้อหาที่จงใจทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกโกรธหรือขุ่นเคือง เรียกว่า ‘Rage Bait’ ซึ่งเป็นการหลอกล่อเพื่อดึงดูดความสนใจรูปแบบใหม่ที่สังคมออนไลน์ใช้กันอย่างแพร่หลายและเป็นที่พูดถึงในวงกว้างจนพจนานุกรม Oxford ยกให้เป็นคำประจำปี 2025
‘Rage Bait’ หรือ ‘เนื้อหายั่วให้เคือง’ คืออะไร?
พจนานุกรม Oxford ให้ความหมายของ ‘Rage Bait’ ว่าเป็น “เนื้อหาออนไลน์ที่จงใจออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความโกรธหรือความเดือดดาลผ่านการสร้างความหงุดหงิด ยั่วยุ หรือหยาบคาย โดยทั่วไปโพสต์เพื่อเพิ่มปริมาณการเข้าชมหรือการมีส่วนร่วมกับเว็บเพจหรือเนื้อหาบนโซเชียลมีเดียหนึ่ง ๆ”
คำว่า ‘Rage Bait’ อาจฟังดูคล้ายกับ ‘Clickbait’ (พาดหัวยั่วให้คลิก) เพราะทั้งสองอย่างนี้มุ่งเน้นการดึงดูดความสนใจแก่ผู้ที่พบเห็น แต่สิ่งที่ต่างกันคือการเลือกกระตุ้นอารมณ์ ‘Clickbait’ เน้นกระตุ้นให้เกิดความสงสัยอยากรู้ แต่ ‘Rage Bait’ เน้นกระตุ้นอารมณ์ลบที่รุนแรงอย่างความโกรธ
แองเจล คริสติน (Angèle Christin) รองศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารจาก Stanford School of Humanities and Sciences กล่าวว่า ลักษณะเด่นของ Rage Bait คือ มีคนกล่าวหรือกระทำบางอย่างรุนแรงเกินเหตุ ไม่ถูกต้อง หยาบคาย หรือน่ารังเกียจด้วยความมั่นใจ โดยท่าทีที่มั่นใจและการขาดความเข้าใจถึงความละเอียดอ่อนในประเด็นนั้นๆ คือกุญแจสำคัญในการสร้าง Rage Bait
ตัวอย่าง Rage Bait ที่พบเห็นได้ง่ายและบ่อยที่สุดคือ การโพสต์ด่าคนด้วยถ้อยคำรุนแรง ซึ่งนอกจากความสะใจแล้ว ผู้โพสต์ยังมีจุดประสงค์แอบแฝงคือต้องการดึงดูดความสนใจจากคนอื่น เพราะแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียบางเจ้าในปัจจุบันมีการจ่ายเงินให้แก่ผู้สร้างคอนเทนต์ตามยอดวิวหรือยอดเข้าชม
Rage Bait ไม่ใช่แค่การด่าคนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงคอนเทนต์ที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้าน คอนเทนต์ทำอาหารโดยใช้วัตถุดิบสิ้นเปลืองและหน้าตาดูกินไม่ได้ หรือคอนเทนต์จำพวกเคล็ดลับสูตรลับ (Life Hack) ที่เอาไปใช้งานจริงไม่ได้ ฯลฯ
ทำไม Rage Bait ถึงดึงดูดความสนใจของเราได้ดีนัก?
เดวิด เว็บบ์ (David Webb) นักเขียนและอดีตอาจารย์จิตวิทยาจาก University of Huddersfield กล่าวว่า Rage Bait เป็นสิ่งที่เรามองข้ามได้ยาก เพราะมันเล่นกับสัญชาตญาณเก่าแก่ของมนุษย์ นั่นคือ ‘อคติต่อเรื่องลบ’ (Negativity Bias)
มนุษย์เราจะให้ความสนใจกับข้อมูลเรื่องลบเป็นพิเศษ เพราะถ้าย้อนไปในยุคดึกดำบรรพ์ ข้อมูลลบอาจเป็นภัยร้ายที่จะมาคุกคามชีวิตของเราได้ ดังนั้นเราจึงต้องสนใจและประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าจะทำอย่างไรกับมัน การตอบสนองที่ช้าเกินไปอาจนำมาซึ่งจุดจบของชีวิตเราได้
กลับมาที่โลกปัจจุบัน เมื่อเราเจอเรื่องลบๆ บนอินเทอร์เน็ต เราไม่ได้มีโอกาส ‘เลือก’ ที่จะสนใจมัน แต่เราจะ ‘ถูกดึง’ ให้สนใจโดยอัตโนมัติตามสัญชาตญาณ
ดังนั้น Rage Bait จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการดึงดูดความสนใจ เพราะมันจะบายพาสการคิดอย่างมีสติของเราและตรงเข้าไปที่การสั่งการให้ตอบสนองทันที
นอกจากนี้ อ.เว็บบ์ยังชี้ว่า เมื่อเรา ‘เดือดดาลต่อเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควร’ (Moral Outrage) เราไม่ได้แค่กำลังปกป้องแนวคิดของตัวเองหรือพยายามแก้ไขผู้อื่น แต่สมองของเรายังรู้สึกว่าได้รับรางวัลและรู้สึกว่าตัวเองสำคัญด้วย ดังนั้นเราจึงรู้สึกดีเมื่อได้ด่าคนที่ทำไม่ถูกต้องด้วยถ้อยคำรุนแรง แม้ว่าสุดท้ายเราจะเสียใจในภายหลังก็ตาม
Rage Bait ก็มีการเล่นกับกลไกนี้เช่นกัน เพราะ Rage Bait คือการจงใจทำเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรให้คนอื่นพบเห็น เมื่อคนเห็น คนจึงเดือด เมื่อคนเดือด คนจึงด่า และเมื่อคนด่า คนนั้นจะรู้สึกดีที่ได้สั่งสอนและยกระดับศีลธรรมของตัวเอง ก่อเกิดเป็นวัฏจักรที่มีคนด่าเข้ามากันเรื่อยๆ ต่อไปไม่รู้จบ
สภาพจิตใจของเราเมื่อถูกยั่วให้โกรธบ่อยเข้า
ดร.ซารา ควินน์ (Sara Quinn) นักจิตวิทยาคลินิกและประธานสมาคมจิตวิทยาแห่งออสเตรเลีย (APS) กล่าวว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้นจาก Rage Bait จะมีความโกรธหรือบางครั้งก็มีความรังเกียจ ซึ่งก่อให้เกิดความคับข้องใจ สูญเสียพลังงาน และสิ้นหวัง โดยหากเป็นเช่นนี้ต่อไปในระยะยาวอาจนำไปสู่อาการซึมเศร้าและวิตกกังวลได้
ดร.ทีโอดอร์ ไมทิว (Teodor Mitew) อาจารย์อาวุโสด้านสื่อดิจิทัลจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ เสริมว่า Rage Bait สามารถเสพติดได้ เพราะมันทำให้เราอยู่ใน ‘สภาวะที่รู้สึกดีอย่างต่อเนื่อง’ ผ่านการสั่งสอนคนที่ทำสิ่งไม่ดีหรือเฝ้าดูความย่อยยับของคนนั้น ก่อเกิดเป็นวงจรอุบาทว์ที่เราวนกลับไปเสพเนื้อหา Rage Bait อยู่เรื่อยๆ
เมื่อเราอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่ถูกกระตุ้นเร้าอารมณ์อยู่ตลอด จึงไม่แปลกใจที่เราจะรู้สึกหมดแรง สูญเสียพลังงาน หรือแม้กระทั่งที่ ดร.ควินน์เรียกว่า ‘หมดไฟ’ (Burnout) ก็เป็นไปได้ กล่าวคือ เราเผชิญกับความเครียดเป็นเวลานานจนร่างกายและจิตใจไม่สามารถทนรับได้อีกต่อไป ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าและไร้แรงจูงใจที่จะทำสิ่งต่างๆ
ในส่วนของ อ.เว็บบ์อธิบายว่า การอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ต่อไปเรื่อยๆ จะทำให้เกิด ‘ความด้านชาทางอารมณ์’ (Emotional Numbness) กล่าวอีกนัยคือ เรารู้สึก ‘เหนื่อยล้าเกินไปที่จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่น’ (Compassion Fatigue) ซึ่งเขาเตือนว่า
เราไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าจากข้อมูลอันมหาศาล แต่เราเหนื่อยล้าจากการถูกดึงเข้าไปในการโต้เถียงและการยั่วยุทางอารมณ์อยู่ตลอดเวลาต่างหาก
คิดให้ดีก่อนด่าใครบนอินเทอร์เน็ต
แม้ว่า Rage Bait จะบายพาสการคิดอย่างมีสติของเรา แต่ถ้าเรามีสติในทุกการกระทำของเราก็จะช่วยได้ การสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายคือหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีสติ เช่น ร่างกายเรามีอาการไหล่ตึง หายใจเร็ว รู้สึกปั่นป่วน อาจเป็นสัญญาณว่าเรากำลังโกรธอยู่ เมื่อมีสติเราจะเกิดการคิดไตร่ตรอง ขั้นต่อไปคือการพิจารณาว่า เนื้อหาที่เราเห็นนั้นเป็น Rage Bait หรือไม่
อ.เว็บบ์แนะนำว่า วิธีสังเกต Rage Bait คือ ‘การขาดบริบท’ โดยเนื้อหาที่จงใจยั่วยุให้คนโกรธมักเป็นคลิป ภาพ หรือข้อความสั้นๆ ที่ตัดมาจากที่อื่นโดยปราศจากรายละเอียดที่ชัดเจนของเหตุการณ์ทั้งหมด อีกทั้งส่วนที่ตัดมานั้นจะพยายามนำเสนอชักจูงให้ผู้ชมตีความไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อีกสัญญาณของ Rage Bait คือ ‘การใช้ภาษาสุดขั้วสุดโต่ง’ เพื่อดึงดูดให้คนเกิดอารมณ์และตอบสนองรุนแรง เนื้อหาใดที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด โกรธเคือง หรือถูกยั่วยุทางศีลธรรม มีโอกาสสูงที่จะเป็น Rage Bait และเราไม่ควรที่จะตอบโต้ทันที ควรรอให้ใจเย็นลงเสียก่อนแล้วคิดให้ดีว่าควรค่าพอที่จะตอบโต้หรือไม่
นอกจากนี้ การตรวจสอบผู้โพสต์คอนเทนต์ก็สามารถช่วยได้ วิธีคือให้เข้าไปดูว่าผู้ใช้คนนี้ชอบโพสต์เนื้อหาเร้าอารมณ์รุนแรงอยู่เป็นประจำหรือไม่ และมีจุดประสงค์แอบแฝงอื่นๆ หรือไม่ เช่น ต้องการเผยแพร่ความเชื่อบางอย่าง หรือต้องการสร้างยอดเข้าชมเพื่อขายสินค้าบางอย่าง
ทั้งหมดที่กล่าวว่าคือการสังเกต Rage Bait ในเบื้องต้น แต่หากต้องการผลในระยะยาว ควรลดการมีปฏิสัมพันธ์กับ Rage Bait เพื่อให้เราเห็นเนื้อหาทำนองนี้น้อยลง เพราะในปัจจุบันโซเชียลมีเดียมักแนะนำเนื้อหาจากการวิเคราะห์ความสนใจของเรา ถ้าเรามีปฏิสัมพันธ์ เช่น ดู-ไลก์-แชร์-คอมเมนต์ กับเนื้อหาลักษณะใดบ่อยๆ ระบบก็จะแนะนำแต่เนื้อหาลักษณะนั้น ทำให้เรามีแต่จะเจอ Rage Bait บ่อยขึ้น
การโต้เถียงกับคนบนอินเทอร์เน็ตไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เพราะเราจะไม่มีวันชนะ ลองเปรียบเป็นการเล่น ‘หมากรุก’ แม้เราจะเล่นเก่งแค่ไหน หาเหตุผลมาสนับสนุนข้อโต้แย้งได้ดีเพียงใด แต่ถ้าคนที่เราเล่นด้วยเล่นไม่เป็นหรือเล่นนอกกติกา ทุกอย่างก็จบ เขาพร้อมที่จะล้มกระดานและป่าวประกาศชัยชนะทันที
สุดท้าย อ.เว็บบ์อยากให้เราเปลี่ยนมุมมองต่อ Rage Bait ว่า มันไม่ใช่คำชวนให้เราเข้าไปโต้เถียงด้วยหรือที่ที่เราเข้าไปปกป้องแนวคิดของตัวเอง แต่มันคือเทคนิคที่ออกแบบมาเพื่อเก็บเกี่ยวความสนใจของเรา เมื่อเราให้ความสนใจมัน คนที่ชนะไม่ใช่เรา แต่เป็นเขา
เขาได้แสง เขาได้ยอด เขาได้เงิน ส่วนเราได้แต่ความขุ่นเคืองติดตัวไปทั้งวัน ท้ายที่สุดแล้วมันอาจไม่คุ้มกันเลยกับสิ่งที่เราต้องแลกมาเพราะความสะใจจากการได้ด่าคนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วอึดใจ
อ้างอิง
ทินารมภ์ ชัยพุทธานุกูล. (2567). Burnout เหนื่อยล้าเกินไป..สู่ภาวะหมดไฟ.
แมทเล่าให้ฟัง | MLHF. 100% เถียงแบบนี้ยังไงก็ไม่แพ้ (และไม่ชนะด้วย) | Logical Fallacy Explained.
Australian Psychological Society. (2025). ‘Rage bait’ is burning you out – here’s how to save yourself, APS in Body+Soul.
David Webb. (2025). Why Rage Bait Works.
Kellie Scott. (2025). The ‘vicious cycle’ of rage bait and how to avoid it.
Melissa De Witte. (2025). Why we can’t stop clicking on rage bait.
Oxford University Press. (2025). The Oxford Word of the Year 2025 is rage bait.
Tassana Puttaprasart. (2023). อยากกดโกรธให้สักร้อยครั้ง! Rage Bait กับการสร้างคอนเทนต์ยั่วให้คลิกอย่างโมโห.