- ภัทรารัตน์ หยิบ มูซาชิ มาเล่าในมุมการเผชิญกับเงาสะท้อนของตนเอง จริงๆ แล้วที่เรามองคนอื่นนั้นก็เพียงเงาสะท้อนของเราเอง
- มูซาชิ เป็นผู้ฝึกวิถีแห่งดาบหลอมรวมไปกับการฝึกตนผ่านการเรียนรู้จากสรรพสิ่ง ครั้งเมื่อเขายังหนุ่มและท่วมท้นด้วยความทะยานอยากที่จะเป็นจอมดาบผู้ไร้เทียมทาน เขาออกท่องโลกไปและได้ประลองกับยอดฝีมือนับไม่ถ้วน ซึ่งมักได้รับชัยชนะกลับมาเสมอ
- เป็นที่ประจักษ์ว่ามูซาชิในห้วงเวลานั้นชอบเอาชนะสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่างชัดแจ้ง หากมีคนที่เขารู้สึกว่าแน่กว่าตนแม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาสั่นคลอนแล้ว ความต้องการต่อสู้ช่วงชิงความเหนือกว่าภายในตัวมูซาชิเองได้ถูกฉายออกไปยังสิ่งที่ดำรงอยู่ภายนอก
1.
มูซาชิ เป็นผู้ฝึกวิถีแห่งดาบหลอมรวมไปกับการฝึกตนผ่านการเรียนรู้จากสรรพสิ่ง ครั้งเมื่อเขายังหนุ่มและท่วมท้นด้วยความทะยานอยากที่จะเป็นจอมดาบผู้ไร้เทียมทาน เขาออกท่องโลกไปและได้ประลองกับยอดฝีมือนับไม่ถ้วน หนึ่งในสถานที่ที่เขาได้เดินทางไปรับทราบฝีมือก็คือวัดโฮโซอิน ซึ่งเลื่องชื่อด้านวิชาหอก
โดยในระหว่างที่มูซาชิกำลังเดินผ่านวัดแห่งหนึ่งเพื่อจะทะลุไปถึงด้านหน้าของวัดโฮโซอิน เขาก็ได้เผชิญหน้ากับพระชราคิ้วขาวหลังงุ้มงอซึ่งกำลังพรวนดินอยู่อย่างสงบนิ่ง มูซาชิเห็นว่าท่านกำลังจดจ่อจึงเดินเลียบด้านข้างของท่านไปอย่างเงียบงัน
ทว่าทันใดนั้นเอง มูซาชิรู้สึกว่ามีพลังคุกคามดั่งสายฟ้าฟาดจากภิกษุชราโถมใส่กระทั่งเขาต้องกระโดดห่างออกไป ราวกับว่าจอบของพระสามารถจะชำแรกอากาศธาตุมาเฉาะเท้าของเขาและประหนึ่งว่าจุดอ่อนของเขากำลังถูกจับจ้องค้นหา
เขาสะทกสะท้านและฉงนฉงายว่าภิกษุรูปนี้คือผู้ใดกัน? แต่เมื่อเดินไปถึงวัดโฮโซอินแล้วเขาก็เพียงสนใจการดวลฝีมือ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้ประมือกับศิษย์เอกวิชาหอกของวัดโฮโซอินกระทั่งฝ่ายนั้นสิ้นใจไป มังกรเฒ่าผู้สุขุมลึกซึ้งรูปนั้นก็เข้ามาขอสนทนากับมูซาชิ ท่านกล่าวให้เกียรติจอมดาบหนุ่มทว่าก็ตักเตือนด้วยว่า “ทำตัวเข้มแข็งเกินไป” โดยย้อนขยายความถึงตอนที่เขาเดินเลียบท่าน แต่โดยฉับพลันก็กลับสะดุ้งโหยงออกจากท่านไปไกล
มูซาชิย้อนความรับรู้ของตนในห้วงขณะนั้นที่รู้สึกถูกจู่โจม และก็ได้ เผชิญกับเงาสะท้อนของตนเอง
ด้วยเพราะพระรูปนั้นแถลงไขว่า ในเวลานั้นท่านสัมผัสถึงไอฉุนแห่งการฆ่าฟันจากมูซาชิ ส่งผลให้รู้สึกว่าต้องป้องกันตัว แต่ท่านเองก็เป็นเพียงพระแก่ที่กำลังใช้จอบพรวนดินอยู่หากคนที่เดินผ่านตัวท่านไปเป็นเพียงชาวนาธรรมดาที่ปราศจากกลิ่นกระหายสมรภูมิ
เหมือนดั่งถูกกระทุ้งเข้าอย่างจัง มูซาชิรู้สึกพ่ายแพ้และเก็บเอาถ้อยคำของพระที่ว่าเขา “เข้มแข็งเกินไป” มาเจ็บใจใคร่ครวญต่อ แม้เขาเองมุทะลุน้อยลงกว่าแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะสลัดภาพคนที่แน่กว่าออกจากห้วงคำนึงได้ ความอยากโหยที่จะเอาชนะบุคคลที่เขาคิดว่าเหนือกว่านั้นทำให้เขาปั่นป่วนใจยิ่งนัก..
2.
เผชิญกับเงาสะท้อนของตนเอง
เป็นที่ประจักษ์ว่ามูซาชิในห้วงเวลาที่ได้กล่าวถึงนั้นยังชอบเอาชนะสิ่งที่อยู่ภายนอกอยู่อย่างชัดแจ้ง หากมีคนที่เขารู้สึกว่าแน่กว่าตนแม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาสั่นคลอนแล้ว ความต้องการต่อสู้ช่วงชิงความเหนือกว่าภายในตัวมูซาชิเองได้ ถูกฉานฉายออกไปยังสิ่งที่ดำรงอยู่ภายนอก ซึ่งในที่นี้ก็คือ พระภิกษุ ที่หากปราศจากบรรยากาศศึกสงครามจากมูซาชิ ก็จะเป็นเพียงชายชราที่เพียงแต่พรวนดินอยู่อย่างสันติเท่านั้น
แม้ภิกษุชราจะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ แต่ความรับรู้ของมูซาชิก็ยังเป็นเครื่องเตือนใจได้ว่าเรามักไม่ได้มองโลกอย่างที่มันเป็น แต่อย่างที่เราเป็น สิ่งที่เราสั่งสมไว้ในใจอีกทั้งอุปนิสัยของเราเองโดยเฉพาะที่เราไม่รู้ตัว ได้ถูกถ่ายโอนไปยังสิ่งอื่นภายนอกตัวอย่างง่ายดาย
3.
ฉายภาวะในใจของเราไปยังสิ่งที่อยู่ภายนอก
ความเปราะบางและต้องการความช่วยเหลือ
นอกเหนือจากการฉายความอยากท้ารบไปที่คนอื่นว่าเขาเป็นปรปักษ์หรือจ้องทำร้ายเรา สถานการณ์อีกขั้วหนึ่งซึ่งเห็นได้ในชีวิตประจำวันก็คือการฉาย ‘ความเปราะบาง’ ‘ความอ่อนแอ’ ที่ ‘ต้องถูกซ่อม’ และ ‘ต้องถูกช่วยชีวิต’ ไปที่คนอื่น เช่น ใครคนหนึ่งมองเห็นคนที่ตนมิได้รู้จักมากนักว่าเปราะบาง ดูน่าจะต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอด้วยสายตาด้อยค่า แต่ในที่สุดผู้มองเองกลับดำดิ่งลงในความซึมเศร้าอนธการและจำต้องเข้าไปในหุบเหวลึกแห่งใจเพื่อเผชิญกับความรับรู้เกี่ยวกับตัวเองว่ามีความเปราะบางและต้องพึ่งพาคนอื่นในหลายเรื่องเหมือนกัน
ในที่สุดเขาก็ต้องทะลวงความคาดหวังว่าตนเองต้องเข้มแข็งตลอดเวลา และเรียนรู้จะมอบความรักอย่างไร้เงื่อนไขให้แก่ความเปราะบางและต้องการความช่วยเหลือซึ่งดำรงอยู่ภายในตัวเขาเอง แล้วหัวใจเขาจึงเปิดพื้นที่ให้การปลอบประโลมอันอ่อนโยนและสลัดเปลือกกระด้างที่เขานึกว่าเป็นความเข้มแข็งออกไป
เห็นคนอื่นดีเกินจริง
ใช่ว่าคนเราจะฉายแต่ด้านที่ตนไม่ชอบไปที่คนอื่น บางกรณีผู้คนก็เห็นคนอื่นดีเกินจริง บ้างก็รู้สึกว่าคนอื่นจะเป็นมิตรกับเราเหมือนที่เรารู้สึกกับเขาทั้งที่เขาไม่ได้อยากเป็นมิตรด้วย บ้างก็มองไม่เห็นคุณสมบัติด้านบวกของตนเองและไปยกย่องเทิดทูนคนที่ไม่รู้จักดีอย่างปราศจากการตั้งคำถามเพราะได้ฉายอุดมคติเลิศเลอบางอย่างลงไปที่คนอื่น ก่อนที่ในที่สุดจะต้องผิดหวังหรือแม้แต่พังทลายภายใน เมื่อพานพบด้านต่างๆ ของคนอื่นที่ไม่สอดคล้องกับภาพอุดมคติที่ตนเองอยากให้เขาเป็น
ตำหนิตนเองอยู่แล้วจึงบอกว่าคนอื่นตำหนิ
การฉายสิ่งที่อยู่ภายในเราเองไปที่คนอื่นนั้นรวมไปถึงการเก็บถ้อยคำของคนอื่นมาคิด(เองเออเอง)ว่าเขาตัดสินเรา ทั้งที่ใจเราสะเทือนอย่างมากมายก็เพราะว่าเราเฆี่ยนตีตัวเองในเรื่องนั้นๆ อยู่ก่อนแล้ว ถ้อยคำของคนอื่นก็เพียงแต่สะกิดแผล ซึ่งหากได้ยินจากคนไกลเราอาจเฝ้ามองความเจ็บปวดขุ่นข้องอยู่ภายใน แต่ในการสื่อสารกับคนที่ค่อนข้างสนิทและรู้ว่าเขาหวังดี เราสามารถสะท้อนว่า “คำพูดเมื่อครู่ของเธอเราตีความว่าอย่างนี้และรู้สึกถูกตัดสิน รู้สึกไม่ดีเลย ซึ่งเธออาจหมายความอีกอย่างหนึ่งก็ได้ จริงๆ เธอหมายความว่าอย่างไรนะ?” และเราอาจประหลาดใจว่าโดยส่วนใหญ่แล้วอีกฝ่ายเขาพูดสิ่งเหล่านั้นออกมาด้วยมุมมองที่เป็นกลางหรือเป็นบวกด้วยซ้ำ สวนทางกับการตีความในเชิงลบของเรา
ด้อยค่าตัวเองและฉายความรู้สึกนี้ลงไปในความสัมพันธ์
ในทำนองเดียวกับคนที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ใดๆ จากพื้นฐานความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าหรือคิดไปเองว่าตัวต่ำต้อยกว่าอีกฝ่าย ไม่วันใดก็วันหนึ่งความรู้สึกนี้ก็จะถูกฉายลงไปในมิติต่างๆ ของความสัมพันธ์อย่างเข้มข้น ทั้งที่คนอื่นเขาไม่ได้เห็นว่าเราไร้ค่าแบบนั้นเลย และต่อให้เขาและคนแวดล้อมของเขาคิดและพูดออกมาจริง มันก็สะท้อนภาวะต่างๆ ของพวกเขา
ในส่วนภาวะของเราที่แยกจากคนอื่นได้นั้น ลองเพิ่มความรู้สึกตัวให้ถี่ขึ้นรวมไปถึงการสัมผัสถึงความรู้สึกซ้อนความรู้สึก เช่น โกรธตัวเองที่โกรธ รู้สึกไร้ค่าซ้อนความรู้สึกด้อยกว่า โดยไม่ได้บีบเค้นต่อ ก็ถือว่ามีวิวัฒนาการแล้ว ไม่จำเป็นต้องคาดคั้นให้ตัวเองพิสุทธิ์หมดจดทางอารมณ์หรอก
4.
ลอกหมอกสีหม่นแห่งอดีต
หลายครั้งสิ่งที่เรารับรู้ก็ต้องถูกตรงกันกับความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นและช่วยป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมได้จริง แต่หลายคราก็เป็นเพียงการที่เราฉายภาวะภายในบางอย่างออกไปข้างนอกโดยมิได้ลงรอยกับข้อเท็จจริง ซึ่งสามารถมีรากมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานับแต่อดีต
เราจึงสามารถตระหนักถึงแว่นตาชุดหนึ่งที่เราใช้มองสิ่งต่างๆ ซึ่งได้ผสานไปกับกลไกการปกป้องตัวเอง ที่มักสกัดความเป็นไปได้ของประสบการณ์ชีวิตแบบอื่นๆ อันไม่ลงรอยกับแว่นดังกล่าวออกไป ในหมุดหมายต่างๆ ของชีวิตเราจึงจำต้องสลัดทิ้งร่องเดิมอันคุ้นชินและเปิดโอกาสให้กับสิ่งที่ไม่รู้ เพราะไม่ว่าแว่นตาเดิมนั้นจะเปื้อนเปรอะด้วยประสบการณ์วัยเด็กอันโหดร้าย ครอบครัวพังทลาย หรือชีวิตตอนโตที่ผิดหวังชอกช้ำ ถูกปฏิเสธ ถูกทรยศโชกเลือดปางตายเพียงใด สุดท้ายแล้วเราก็ไม่อาจให้คนอื่นมารับผิดชอบการตระหนักรู้และการเยียวยาของเราได้
และแม้การโอบกอดความเป็นส่วนเสี้ยวอันช้ำเลือดช้ำหนองและการลอกคราบออกจากโทษวิถีเก่าๆ นั้นต้องอาศัยเวลา แต่อย่างน้อย ในห้วงขณะที่เรารู้สึกตัวว่ากำลังมองผู้คนและประสบการณ์ในปัจจุบันผ่านแว่นของอดีต อีกทั้งตระหนักว่ามันไม่จำเป็นต้องซ้ำรอยกับความร้าวรานในอดีต..
เราก็ได้ เปิดใจต่อความเป็นไปได้อื่นๆ ในปัจจุบันขณะและอนาคตแล้ว
อ้างอิง
มูซาชิ ฉบับท่าพระจันทร์ โดย อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย พิมพ์ครั้งที่ 6 โดยโครงการจัดพิมพ์คบไฟ