Skip to content
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Growth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning Theory
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
eco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่น
Myth/Life/Crisis
27 January 2022

มูซาชิ : ที่มองคนอื่นนั้นก็เพียงเงาสะท้อนของเราเอง

เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • ภัทรารัตน์ หยิบ มูซาชิ มาเล่าในมุมการเผชิญกับเงาสะท้อนของตนเอง จริงๆ แล้วที่เรามองคนอื่นนั้นก็เพียงเงาสะท้อนของเราเอง
  • มูซาชิ เป็นผู้ฝึกวิถีแห่งดาบหลอมรวมไปกับการฝึกตนผ่านการเรียนรู้จากสรรพสิ่ง ครั้งเมื่อเขายังหนุ่มและท่วมท้นด้วยความทะยานอยากที่จะเป็นจอมดาบผู้ไร้เทียมทาน เขาออกท่องโลกไปและได้ประลองกับยอดฝีมือนับไม่ถ้วน ซึ่งมักได้รับชัยชนะกลับมาเสมอ
  • เป็นที่ประจักษ์ว่ามูซาชิในห้วงเวลานั้นชอบเอาชนะสิ่งที่อยู่ภายนอกอย่างชัดแจ้ง หากมีคนที่เขารู้สึกว่าแน่กว่าตนแม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาสั่นคลอนแล้ว ความต้องการต่อสู้ช่วงชิงความเหนือกว่าภายในตัวมูซาชิเองได้ถูกฉายออกไปยังสิ่งที่ดำรงอยู่ภายนอก

1.

มูซาชิ เป็นผู้ฝึกวิถีแห่งดาบหลอมรวมไปกับการฝึกตนผ่านการเรียนรู้จากสรรพสิ่ง ครั้งเมื่อเขายังหนุ่มและท่วมท้นด้วยความทะยานอยากที่จะเป็นจอมดาบผู้ไร้เทียมทาน เขาออกท่องโลกไปและได้ประลองกับยอดฝีมือนับไม่ถ้วน หนึ่งในสถานที่ที่เขาได้เดินทางไปรับทราบฝีมือก็คือวัดโฮโซอิน ซึ่งเลื่องชื่อด้านวิชาหอก

โดยในระหว่างที่มูซาชิกำลังเดินผ่านวัดแห่งหนึ่งเพื่อจะทะลุไปถึงด้านหน้าของวัดโฮโซอิน เขาก็ได้เผชิญหน้ากับพระชราคิ้วขาวหลังงุ้มงอซึ่งกำลังพรวนดินอยู่อย่างสงบนิ่ง มูซาชิเห็นว่าท่านกำลังจดจ่อจึงเดินเลียบด้านข้างของท่านไปอย่างเงียบงัน    

ทว่าทันใดนั้นเอง มูซาชิรู้สึกว่ามีพลังคุกคามดั่งสายฟ้าฟาดจากภิกษุชราโถมใส่กระทั่งเขาต้องกระโดดห่างออกไป ราวกับว่าจอบของพระสามารถจะชำแรกอากาศธาตุมาเฉาะเท้าของเขาและประหนึ่งว่าจุดอ่อนของเขากำลังถูกจับจ้องค้นหา 

เขาสะทกสะท้านและฉงนฉงายว่าภิกษุรูปนี้คือผู้ใดกัน? แต่เมื่อเดินไปถึงวัดโฮโซอินแล้วเขาก็เพียงสนใจการดวลฝีมือ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาได้ประมือกับศิษย์เอกวิชาหอกของวัดโฮโซอินกระทั่งฝ่ายนั้นสิ้นใจไป มังกรเฒ่าผู้สุขุมลึกซึ้งรูปนั้นก็เข้ามาขอสนทนากับมูซาชิ ท่านกล่าวให้เกียรติจอมดาบหนุ่มทว่าก็ตักเตือนด้วยว่า “ทำตัวเข้มแข็งเกินไป” โดยย้อนขยายความถึงตอนที่เขาเดินเลียบท่าน แต่โดยฉับพลันก็กลับสะดุ้งโหยงออกจากท่านไปไกล   

มูซาชิย้อนความรับรู้ของตนในห้วงขณะนั้นที่รู้สึกถูกจู่โจม และก็ได้ เผชิญกับเงาสะท้อนของตนเอง 

ด้วยเพราะพระรูปนั้นแถลงไขว่า ในเวลานั้นท่านสัมผัสถึงไอฉุนแห่งการฆ่าฟันจากมูซาชิ ส่งผลให้รู้สึกว่าต้องป้องกันตัว แต่ท่านเองก็เป็นเพียงพระแก่ที่กำลังใช้จอบพรวนดินอยู่หากคนที่เดินผ่านตัวท่านไปเป็นเพียงชาวนาธรรมดาที่ปราศจากกลิ่นกระหายสมรภูมิ

เหมือนดั่งถูกกระทุ้งเข้าอย่างจัง มูซาชิรู้สึกพ่ายแพ้และเก็บเอาถ้อยคำของพระที่ว่าเขา “เข้มแข็งเกินไป” มาเจ็บใจใคร่ครวญต่อ แม้เขาเองมุทะลุน้อยลงกว่าแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะสลัดภาพคนที่แน่กว่าออกจากห้วงคำนึงได้ ความอยากโหยที่จะเอาชนะบุคคลที่เขาคิดว่าเหนือกว่านั้นทำให้เขาปั่นป่วนใจยิ่งนัก..  

2.

เผชิญกับเงาสะท้อนของตนเอง

เป็นที่ประจักษ์ว่ามูซาชิในห้วงเวลาที่ได้กล่าวถึงนั้นยังชอบเอาชนะสิ่งที่อยู่ภายนอกอยู่อย่างชัดแจ้ง หากมีคนที่เขารู้สึกว่าแน่กว่าตนแม้เพียงเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอจะทำให้เขาสั่นคลอนแล้ว ความต้องการต่อสู้ช่วงชิงความเหนือกว่าภายในตัวมูซาชิเองได้ ถูกฉานฉายออกไปยังสิ่งที่ดำรงอยู่ภายนอก ซึ่งในที่นี้ก็คือ พระภิกษุ ที่หากปราศจากบรรยากาศศึกสงครามจากมูซาชิ ก็จะเป็นเพียงชายชราที่เพียงแต่พรวนดินอยู่อย่างสันติเท่านั้น

แม้ภิกษุชราจะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ แต่ความรับรู้ของมูซาชิก็ยังเป็นเครื่องเตือนใจได้ว่าเรามักไม่ได้มองโลกอย่างที่มันเป็น แต่อย่างที่เราเป็น สิ่งที่เราสั่งสมไว้ในใจอีกทั้งอุปนิสัยของเราเองโดยเฉพาะที่เราไม่รู้ตัว ได้ถูกถ่ายโอนไปยังสิ่งอื่นภายนอกตัวอย่างง่ายดาย

3.

ฉายภาวะในใจของเราไปยังสิ่งที่อยู่ภายนอก

ความเปราะบางและต้องการความช่วยเหลือ

นอกเหนือจากการฉายความอยากท้ารบไปที่คนอื่นว่าเขาเป็นปรปักษ์หรือจ้องทำร้ายเรา สถานการณ์อีกขั้วหนึ่งซึ่งเห็นได้ในชีวิตประจำวันก็คือการฉาย ‘ความเปราะบาง’ ‘ความอ่อนแอ’ ที่ ‘ต้องถูกซ่อม’ และ ‘ต้องถูกช่วยชีวิต’ ไปที่คนอื่น เช่น ใครคนหนึ่งมองเห็นคนที่ตนมิได้รู้จักมากนักว่าเปราะบาง ดูน่าจะต้องพึ่งพาคนอื่นอยู่เสมอด้วยสายตาด้อยค่า แต่ในที่สุดผู้มองเองกลับดำดิ่งลงในความซึมเศร้าอนธการและจำต้องเข้าไปในหุบเหวลึกแห่งใจเพื่อเผชิญกับความรับรู้เกี่ยวกับตัวเองว่ามีความเปราะบางและต้องพึ่งพาคนอื่นในหลายเรื่องเหมือนกัน 

ในที่สุดเขาก็ต้องทะลวงความคาดหวังว่าตนเองต้องเข้มแข็งตลอดเวลา และเรียนรู้จะมอบความรักอย่างไร้เงื่อนไขให้แก่ความเปราะบางและต้องการความช่วยเหลือซึ่งดำรงอยู่ภายในตัวเขาเอง แล้วหัวใจเขาจึงเปิดพื้นที่ให้การปลอบประโลมอันอ่อนโยนและสลัดเปลือกกระด้างที่เขานึกว่าเป็นความเข้มแข็งออกไป

เห็นคนอื่นดีเกินจริง

ใช่ว่าคนเราจะฉายแต่ด้านที่ตนไม่ชอบไปที่คนอื่น บางกรณีผู้คนก็เห็นคนอื่นดีเกินจริง บ้างก็รู้สึกว่าคนอื่นจะเป็นมิตรกับเราเหมือนที่เรารู้สึกกับเขาทั้งที่เขาไม่ได้อยากเป็นมิตรด้วย บ้างก็มองไม่เห็นคุณสมบัติด้านบวกของตนเองและไปยกย่องเทิดทูนคนที่ไม่รู้จักดีอย่างปราศจากการตั้งคำถามเพราะได้ฉายอุดมคติเลิศเลอบางอย่างลงไปที่คนอื่น ก่อนที่ในที่สุดจะต้องผิดหวังหรือแม้แต่พังทลายภายใน เมื่อพานพบด้านต่างๆ ของคนอื่นที่ไม่สอดคล้องกับภาพอุดมคติที่ตนเองอยากให้เขาเป็น 

ตำหนิตนเองอยู่แล้วจึงบอกว่าคนอื่นตำหนิ 

การฉายสิ่งที่อยู่ภายในเราเองไปที่คนอื่นนั้นรวมไปถึงการเก็บถ้อยคำของคนอื่นมาคิด(เองเออเอง)ว่าเขาตัดสินเรา ทั้งที่ใจเราสะเทือนอย่างมากมายก็เพราะว่าเราเฆี่ยนตีตัวเองในเรื่องนั้นๆ อยู่ก่อนแล้ว ถ้อยคำของคนอื่นก็เพียงแต่สะกิดแผล ซึ่งหากได้ยินจากคนไกลเราอาจเฝ้ามองความเจ็บปวดขุ่นข้องอยู่ภายใน แต่ในการสื่อสารกับคนที่ค่อนข้างสนิทและรู้ว่าเขาหวังดี เราสามารถสะท้อนว่า “คำพูดเมื่อครู่ของเธอเราตีความว่าอย่างนี้และรู้สึกถูกตัดสิน รู้สึกไม่ดีเลย ซึ่งเธออาจหมายความอีกอย่างหนึ่งก็ได้ จริงๆ เธอหมายความว่าอย่างไรนะ?” และเราอาจประหลาดใจว่าโดยส่วนใหญ่แล้วอีกฝ่ายเขาพูดสิ่งเหล่านั้นออกมาด้วยมุมมองที่เป็นกลางหรือเป็นบวกด้วยซ้ำ สวนทางกับการตีความในเชิงลบของเรา

ด้อยค่าตัวเองและฉายความรู้สึกนี้ลงไปในความสัมพันธ์ 

ในทำนองเดียวกับคนที่เริ่มต้นความสัมพันธ์ใดๆ จากพื้นฐานความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าหรือคิดไปเองว่าตัวต่ำต้อยกว่าอีกฝ่าย ไม่วันใดก็วันหนึ่งความรู้สึกนี้ก็จะถูกฉายลงไปในมิติต่างๆ ของความสัมพันธ์อย่างเข้มข้น ทั้งที่คนอื่นเขาไม่ได้เห็นว่าเราไร้ค่าแบบนั้นเลย และต่อให้เขาและคนแวดล้อมของเขาคิดและพูดออกมาจริง มันก็สะท้อนภาวะต่างๆ ของพวกเขา

ในส่วนภาวะของเราที่แยกจากคนอื่นได้นั้น ลองเพิ่มความรู้สึกตัวให้ถี่ขึ้นรวมไปถึงการสัมผัสถึงความรู้สึกซ้อนความรู้สึก เช่น โกรธตัวเองที่โกรธ รู้สึกไร้ค่าซ้อนความรู้สึกด้อยกว่า โดยไม่ได้บีบเค้นต่อ ก็ถือว่ามีวิวัฒนาการแล้ว ไม่จำเป็นต้องคาดคั้นให้ตัวเองพิสุทธิ์หมดจดทางอารมณ์หรอก   

4.

ลอกหมอกสีหม่นแห่งอดีต

หลายครั้งสิ่งที่เรารับรู้ก็ต้องถูกตรงกันกับความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นและช่วยป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมได้จริง แต่หลายคราก็เป็นเพียงการที่เราฉายภาวะภายในบางอย่างออกไปข้างนอกโดยมิได้ลงรอยกับข้อเท็จจริง  ซึ่งสามารถมีรากมาจากประสบการณ์ที่สั่งสมมานับแต่อดีต

เราจึงสามารถตระหนักถึงแว่นตาชุดหนึ่งที่เราใช้มองสิ่งต่างๆ ซึ่งได้ผสานไปกับกลไกการปกป้องตัวเอง ที่มักสกัดความเป็นไปได้ของประสบการณ์ชีวิตแบบอื่นๆ อันไม่ลงรอยกับแว่นดังกล่าวออกไป  ในหมุดหมายต่างๆ ของชีวิตเราจึงจำต้องสลัดทิ้งร่องเดิมอันคุ้นชินและเปิดโอกาสให้กับสิ่งที่ไม่รู้ เพราะไม่ว่าแว่นตาเดิมนั้นจะเปื้อนเปรอะด้วยประสบการณ์วัยเด็กอันโหดร้าย ครอบครัวพังทลาย หรือชีวิตตอนโตที่ผิดหวังชอกช้ำ ถูกปฏิเสธ ถูกทรยศโชกเลือดปางตายเพียงใด สุดท้ายแล้วเราก็ไม่อาจให้คนอื่นมารับผิดชอบการตระหนักรู้และการเยียวยาของเราได้    

และแม้การโอบกอดความเป็นส่วนเสี้ยวอันช้ำเลือดช้ำหนองและการลอกคราบออกจากโทษวิถีเก่าๆ นั้นต้องอาศัยเวลา แต่อย่างน้อย ในห้วงขณะที่เรารู้สึกตัวว่ากำลังมองผู้คนและประสบการณ์ในปัจจุบันผ่านแว่นของอดีต อีกทั้งตระหนักว่ามันไม่จำเป็นต้องซ้ำรอยกับความร้าวรานในอดีต..  

เราก็ได้ เปิดใจต่อความเป็นไปได้อื่นๆ ในปัจจุบันขณะและอนาคตแล้ว 

อ้างอิง 

มูซาชิ ฉบับท่าพระจันทร์ โดย อาจารย์สุวินัย ภรณวลัย พิมพ์ครั้งที่ 6 โดยโครงการจัดพิมพ์คบไฟ

Tags:

ความเปราะบาง (Vulnerability)มูซาชิการรับรู้Myth Life Crisisตำนาน

Author:

illustrator

ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา

ชอบอยู่กับต้นไม้ใบไม้ต่างๆ ผืนน้ำ เที่ยวไปในโบราณสถาน และเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในเงามืด เราเองยังต้องเรียนรู้และขัดเกลาอะไรอีกมาก รู้สึกขอบคุณที่ให้โอกาสเราได้ฟังเรื่องราวของทุกคนนะ (Line ID: patrasuwan)

Illustrator:

illustrator

กรองพร ทององอาจ

Graphic Designer & Illustrator Instagram: @monkrongpin

Related Posts

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : ความสัมพันธ์ที่เคารพอาณาเขตของตัวเอง (2)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    หลวิชัย : เพื่อนผู้พึ่งพาได้ ในขณะที่ยังมีเส้นอาณาเขตระหว่างตัวเองและผู้อื่นชัดเจน (1)

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    แดรกคิวล่า : เรียนรู้จากผีดิบ และอาการป่วยไข้ที่รุกล้ำอาณาเขตของเรา

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    กุลา: ด้อยค่าคนที่ตนอิจฉาในขณะที่เลียนแบบไปด้วย

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Myth/Life/Crisis
    Burn out (2) ชวนนักรบที่ไม่ยอมพัก ดู 4 ข้อเสนอและคำถามทบทวนตัวเอง โหมงานจนป่วยไข้แปลว่ามีคุณค่าและจริงหรือ?

    เรื่อง ภัทรารัตน์ สุวรรณวัฒนา ภาพ กรองพร ทององอาจ

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel