- Micro-Connection เป็นการสานสัมพันธ์แบบสั้นๆ หรือเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การทักทายสวัสดี การจับมือกัน การยิ้มให้เมื่อเดินผ่านกัน การโอบกอดให้กำลังใจกัน ฯลฯ กระตุ้นให้เกิดการหลั่งออกซีโตซิน หรือฮอร์โมนแห่งความสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อเริ่มทำแล้ว เราจะรู้สึกดีและอยากทำบ่อยมากขึ้นไปอีก
- การสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันแบบสั้นๆ ให้เกิดขึ้นกับเด็กๆ บ่อยๆ ตั้งแต่ในครอบครัว เป็นการสร้างความเคยชินกับ ‘วงจรความรู้สึกเชิงบวก’ ในตัวเด็กได้
- พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควร ‘ใช้เวลาร่วมกัน’ กับลูกหลาน โอบกอด พูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร เล่นเกม ร้องเพลง แก้โจทย์ปัญหาด้วยกัน สร้างความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ
มนุษย์เป็น ‘สัตว์สังคม’ และร่างกายวิวัฒนาการมาให้ชื่นชอบการเข้าร่วมกลุ่มและการได้รับความยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เราจึงโหยหาความยอมรับและความรู้สึกถึง ‘ตัวตน’ ในจิตใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เพราะในอดีตย้อนกลับไปนับแสนปี การได้อยู่ในกลุ่มถือเป็นเรื่องได้เปรียบและอาจชี้ชะตาชีวิตของมนุษย์นั้นว่าจะสั้นหรือยาวได้เลยทีเดียว
โดยจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม สมองของเราถูกพัฒนาให้ชื่นชอบการสร้างสัมพันธ์เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเล็กน้อย สั้นหรือยาวเพียงใด สมองเราก็ชอบหมด เมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด สมองจะหลั่งฮอร์โมนชื่อ ออกซีโตซิน (oxytocin) ออกมา บางคนก็เรียกมันว่าเป็น ‘ฮอร์โมนแห่งความสัมพันธ์’ หรือ ‘โมเลกุลของความสัมพันธ์’ ทีเดียว [1]
หลายคนอาจคิดว่าความสัมพันธ์ที่ยืนยาวและแน่นแฟ้น เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือกับเพื่อนสนิทน่าจะส่งผลได้มากกว่า แต่งานวิจัยในระยะหลายปีหลังมานี้ระบุว่า การมีปฏิสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การทักทายสวัสดี การจับมือกัน การยิ้มให้เมื่อเดินผ่านกัน การโอบกอดให้กำลังใจกัน ฯลฯ ล้วนกระตุ้นให้เกิดการหลั่งออกซีโตซินได้ทั้งสิ้น
การกระทำเหล่านี้จึงคล้ายกับเป็นการวางอิฐที่เป็นฐานรากความสัมพันธ์ทีละก้อนๆ อย่างไม่รู้ตัว
แต่เท่านั้นยังไม่พอ สารเคมีวิเศษตัวนี้ไม่ได้มีพลังวิเศษเพียงแค่นั้น มันยังไปช่วยทำให้วิถีของกระแสประสาท (Neural Pathway) ที่เชื่อมโยงต่อกันระหว่างเซลล์ประสาททำงานได้รวดเร็วขึ้นในอนาคตอีกด้วย ผลอีกอย่างที่สำคัญคือ วงจรแบบนี้มันทำให้เกิดการตอบสนองเชิงบวก (Positive Feedback Loop) ขึ้นด้วย พูดง่ายๆ คือ เมื่อเริ่มทำแล้ว เราจะรู้สึกดีและอยากทำบ่อยมากขึ้นไปอีก [1]
นักวิทยาศาสตร์เรียกความสัมพันธ์สั้นๆ ที่กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนออกซีโตซินแบบนี้ว่า ไมโคร-คอนเน็กชัน (Micro-Connection) หรือ ‘ความเชื่อมโยงกันแบบสั้นๆ หรือเล็กๆ น้อยๆ’
การสานสัมพันธ์แบบนี้สั้นเพียงใดกันแน่?
ประมาณกันว่าแค่เวลาเพียง 20 วินาทีของการแลกเปลี่ยนสัญญะต่อกันก็เพียงพอจะส่งผลบวกกับร่างกายได้แล้ว ไม่ต่างกับการพูดคุยหรือทำอะไรร่วมกันนานๆ เรียกว่า เป็นการกระทำแบบ ‘น้อยแต่มาก’ เหมาะกับคนที่ชอบมินิมอลเป็นอย่างยิ่ง [1]
หากไปถามเด็กนักเรียนให้เลือกมาสักอย่างหนึ่งว่า พวกเขาคิดว่าสิ่งที่พวกเขาจดจำได้ดีที่สุดในโรงเรียนคืออะไร คำตอบมักหนีไม่พ้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเพื่อนๆ ร่วมห้องหรือร่วมชั้นเรียนของตัวเอง หากมองลึกลงไปอีกว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
คำตอบอาจเป็นว่า พวกเด็กๆ ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ เพราะรับรู้ได้ถึงความหมายและความลึกซึ้งของความสัมพันธ์กับคนอื่นนั่นเอง [2]
ศาสตราจารย์ริชาร์ด เดวิดสัน จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ทำวิจัยเกี่ยวกับสมองและพบว่าสมองมีระบบ ‘ให้รางวัล’ และ ‘ระบบเตือนภัย’ ที่เกี่ยวข้องและไวต่อความสัมพันธ์เชิงสังคมอยู่ การได้รับการยอมรับจากกลุ่มในสังคมทำให้ระบบให้รางวัลทำงาน ทำให้เรามีความสุข ระบบนี้ตั้งอยู่ในสมองบริเวณหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม การถูกปฏิเสธ ความรู้สึกเจ็บปวด การโดนคุกคาม และความสูญเสีย ควบคุมโดยสมองในตำแหน่งที่แตกต่างออกไป
การทำงานของสมองแต่ละส่วนเห็นได้ชัดเจน เมื่อใช้อุปกรณ์สนามแม่เหล็กตรวจสอบการทำงานของสมอง อารมณ์แต่ละอย่างที่กล่าวมาจึงไม่ได้เข้าไป ‘ทดแทน’ อารมณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะถูกควบคุมด้วยสมองคนละส่วนกัน
การสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันแบบสั้นๆ ให้เกิดขึ้นกับเด็กๆ บ่อยๆ ตั้งแต่ในครอบครัว จึงเป็นการสร้างความเคยชินกับ ‘วงจรความรู้สึกเชิงบวก’ ในตัวเด็กได้
มีการทดลองที่ทำให้อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งเกิดความเชื่อมโยงกับคนอื่นในกลุ่มแบบที่เจ้าตัวรับรู้ได้ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งหาวิธีการสร้างความเข้าใจผิดและกีดกันไม่ให้เกิดความสนิทชิดเชื้อกับคนในกลุ่ม เมื่อนำอาสาสมัครทั้งสองกลุ่มไปแช่มือในกระติกน้ำที่ใส่น้ำแข็งไว้เต็ม นักวิจัยพบว่าพวกกลุ่มแรกสามารถจุ่มมือในกระติกน้ำแข็งได้นานกว่า [2]
คนที่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกลุ่มจึงทนทานกับความเจ็บปวดทางกายได้มากกว่า
ในอีกการทดลองหนึ่ง นำอาสาสมัครที่คล้ายกับสองกลุ่มข้างต้นไปไว้ที่เนินเขา แล้วบอกว่าจะให้พวกเขาวิ่งขึ้นและลงเนินเขานั้น แต่ให้ประเมินก่อนว่าพวกเขาคิดว่า เนินเขานั้นไกลสักแค่ไหน และเขาน่าจะรู้สึกเหนื่อยสักแค่ไหน หากต้องวิ่งไปและกลับจริงๆ ให้ระบุระดับความเหนื่อยออกมา
ผลก็คือพวกที่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มประเมินความชันของเนินเขาน้อยกว่า ระยะทางที่ต้องวิ่งก็สั้นกว่า และประเมินความยากง่ายของการวิ่งไปกลับว่า ‘ง่ายกว่า’ อีกกลุ่มอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจึงช่วยสร้างกำลังใจ ทำให้เกิดอาการทดท้อต่ออุปสรรคที่จะต้องผจญน้อยกว่า [2]
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยอีกชุดหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างกาย-ใจ อีกทั้งความปรารถนาจะมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพว่า เป็นผลจากความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสังคมด้วยเช่นกัน [2]
พ่อแม่ผู้ปกครองจึงควร ‘ใช้เวลาร่วมกัน’ กับลูกหลานตนเอง การสัมผัส โอบกอด การพูดคุยระหว่างรับประทานอาหาร การเล่นเกมด้วยกัน การร้องเพลงด้วยกัน แก้โจทย์ปัญหาบางอย่างด้วยกัน ล้วนเป็นวิธีการสร้างความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันที่ทำได้ไม่ยากเลย ครูอาจารย์และเพื่อนๆ ในโรงเรียนก็ทำสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้ดูจะไม่มีอะไรมาก แต่กลับส่งผลดีอย่างมหาศาลต่อเด็กเหล่านั้นในอนาคตต่อไป
แอปหาคู่ชื่อดัง ทินเดอร์ (Tinder) สรุปเป็นรายงานชื่อ Tinder’s Year in Swipe 2024 สรุปเทรนด์น่าสนใจว่า Micro-Connection กับคนอื่น โดยไม่คาดหวังว่าจะต้องเกิดสายสัมพันธ์ยืดยาวในอนาคต กลับอาจส่งผลดีในอนาคตได้อย่างคาดไม่ถึง
ในรายงานพูดถึง Eyecontactship หรือ ‘การสร้างสายสัมพันธ์ผ่านการสบตา’ และแม้แต่ Textuationship หรือ ‘การสร้างสายสัมพันธ์ผ่านการส่งข้อความหรือรูปภาพหากัน’ ที่บางครั้งก็เกิดขึ้นอย่างปุบปับ แต่ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ เป็นความสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เรียกรวมว่าเป็น นาโนชิป (Nanoship) เป็นเทรนด์สำคัญสำหรับปี 2025 นี้ [3]
ในรายงานยังยกตัวอย่างด้วยว่า การแบ่งอาหารกันกิน การพูดคุยเรื่องส่วนตั้วส่วนตัวก็สร้างความสัมพันธ์ทางใจได้ไม่แพ้การกอดรัดฟัดเหวี่ยงเช่นกัน แต่ทั้งหมดนั้นก็ถือเป็นนาโนชิปได้หมดไม่ต่างกัน
แม้นาโนชิปจะไม่ได้เกิดจากความคาดหวัง แต่ก็อาจนำไปสู่สายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและซับซ้อนมากขึ้น ยั่งยืนยาวและอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์แบบโรแมนติกหรือความสัมพันธ์ทางเพศได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์แบบผิวเผินเบาบางเช่นนี้ ก็อาจมีจุดอ่อนด้วยเช่นกัน เพราะอาจมีคนใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความสัมพันธ์แบบ ‘ไม่ผูกมัด’ และหลอกใช้คนอื่นหรือแค่คบกันแบบ ‘สนุกๆ’ แล้วจากกันไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งหมดนั้นคงต้องขึ้นกับทั้งสองฝ่ายว่า ต้องการจะนำพาความสัมพันธ์ไปถึงจุดไหน และทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันเรื่องนี้แค่ไหน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์หรือปฏิสัมพันธ์แบบสั้นๆ เล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันก็ดูจะมีประโยชน์ไม่น้อย เพราะอย่างไรเสียโดยพื้นฐานเราทุกคนก็เป็นมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคมอยู่นั่นเอง
เอกสารอ้างอิง
[1] https://ahead-app.com/blog/procrastination/the-science-of-micro-connections-small-daily-actions-that-build-stronger-relationships-20250106-204916 เข้าถึงข้อมูลวันที่ 23 ก.ค. 2025
[2] https://www.leawaters.com/blog/understanding-micro-connections-and-the-benefits-they-hold-for-children เข้าถึงข้อมูลวันที่ 23 ก.ค. 2025
[3] https://www.psychologytoday.com/us/blog/a-funny-bone-to-pick/202501/is-microconnecting-the-next-big-dating-trend เข้าถึงข้อมูลวันที่ 23 ก.ค. 2025