- ถ้าเราลองมองอีกมุมหนึ่ง การมีความสุขในชีวิตไม่ใช่การพยายามหาทางเหนือกว่าผู้อื่น แต่เป็นรากความคิดที่พยายาม ‘ไม่เหนือ’ กว่าคนอื่น
- กฎของยานเต้ (Law of Jante) คือกฎ 10 ข้อ จากจากนิยายของอัคเซล ซันเดอโมส (Aksel Sandemose) นักเขียนชาวสแกนดิเนเวียน ที่ส่งเสริมความถ่อมตน และความเท่าเทียม
- แนวคิด Law of Jante ช่วยเราให้ไม่ด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ แต่หล่อหลอมให้เราหัดคิดทบทวน เปิดพื้นที่ให้เราได้ตกผลึกทางความคิดได้ลึกซึ้งกว่าเดิม คิดวิเคราะห์ถี่ถ้วน รอบคอบในการตัดสินใจ บอกลาการคิดอะไรแบบผิวเผิน
โลกของเราทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยการแข่งขัน พวกเราล้วนเคยชินกับการขบคิดวิเคราะห์ว่าตัวเองจะหาทาง ดีกว่า-พิเศษกว่า-เหนือกว่า คนอื่นยังไงได้บ้างอยู่ตลอดไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
- ต้องแซงหน้าคู่แข่งเพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาด
- ต้องโดดเด่นกว่าเพื่อนร่วมงานเพื่อได้รับการโปรโมต
- ต้องทำผลงานความสำเร็จได้ยิ่งใหญ่กว่ารุ่นพ่อแม่ที่สร้างมา
แต่ระหว่างเส้นทางการแข่งขันนี้ กลับเต็มไปด้วยความเครียดความกดดัน มันพ่วงความคาดหวังอันสูงลิบและแรงกระตุ้นบางอย่างที่เราต้องพุ่งชนเพดานศักยภาพตัวเองอยู่ตลอด
มารู้ตัวอีกทีคุณอาจพบว่า มันได้บั่นทอนความสุขในชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกว่าชีวิตไม่ได้เอนจอยอย่างที่ควรจะเป็น บางทีเราคว้าความสำเร็จมาไว้ตรงหน้าได้แท้ๆ แต่ทำไมกลับไม่แฮปปี้เท่าที่ควร?
เป็นไปได้หรือไม่? ถ้าเราลองมองอีกมุมนึง การมีความสุขในชีวิตไม่ใช่การพยายามหาทางเหนือกว่าผู้อื่น แต่เป็นรากความคิดที่พยายาม ‘ไม่เหนือ’ กว่าคนอื่น?
และประเด็นนี้เองได้นำพาเราให้พบกับ กฎของยานเต้ (Law of Jante) ของชาวสแกนดิเนเวียนที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
Law of Jante กฎที่เตือนว่า “เราอาจไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นหรอก”
แม้ว่า Law of Jante จะมีคำว่า ‘Law’ (กฎหมาย) อยู่ก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่กฎหมายที่ใช้ในประเทศจริงๆ แต่เสมือนเป็นกฎทางสังคมที่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร (Unwritten social rules) มากกว่า
โดยต้นกำเนิดของ Law of Jante เป็นเรื่องราวที่มาจากนิยายเรื่องหนึ่งที่แต่งโดย อัคเซล ซันเดอโมส (Aksel Sandemose) นักเขียนชาวสแกนดิเนเวียน
โดยในนิยายมีการเอ่ยถึงเมืองสมมติเล็กๆ แห่งหนึ่งในเดนมาร์กที่ชื่อว่า ‘Jante’ ความโดดเด่นคือ ประชาชนในเมือง Jante ดูจะมีความสุขเอนจอยกับชีวิตและปฏิบัติต่อกันอย่างให้เกียรติมีความเคารพซึ่งกันและกัน เสมือนเป็นดินแดนยูโทเปีย (Utopia) สังคมในอุดมคติอย่างไงอย่างงั้น
เมื่อสืบลึกลงไปพบว่า เพราะประชาชนในเมือง Jante ต่างปฏิบัติตามกฎอยู่ 10 ข้อด้วยกันอย่างเคร่งครัด จึงเป็นที่มาของ Law of Jante นั่นเอง
บัญญัติ 10 ประการ หัวใจของ Law of Jante
หัวใจสำคัญของ Law of Jante คือแนวคิดที่เตือนใจผู้คนอยู่เสมอว่า “เราอาจไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นหรอก”
โดย Law of Jante มีบัญญัติ 10 ประการดังนี้
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเอง ‘พิเศษ’ กว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเอง ‘ดี’ กว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเอง ‘ฉลาด’ กว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเอง ‘เหนือ’ กว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเอง ‘มี’ มากกว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเอง ‘สำคัญ’ กว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเอง ‘เก่ง’ กว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเองควรได้รับ ‘ความสนใจ’ มากกว่าผู้อื่น
- อย่าเผลอคิดว่าตัวเองจะเที่ยวไป ‘เทศนา’ ผู้อื่นได้ตามอำเภอใจ
- อย่าเผลอไป ‘หัวเราะเยาะ’ ผู้อื่น ทั้งด้านทัศนคติความคิด รูปลักษณ์ภายนอก หรือการกระทำ
แม้ Law of Jante จะมีต้นกำเนิดจากในนิยาย แต่มันกลับมี ‘อิทธิพลทางความคิด’ ในโลกแห่งความจริงต่อผู้คนในแถบสแกนดิเนเวีย เพราะได้รับการเผยแพร่บอกต่ออย่างกว้างขวาง ชาวสแกนดิเนเวียนหลายคนก็อ่านหรือได้รับรู้แนวคิดนี้มาตั้งแต่เด็กๆ และปรับใช้กับการดำเนินชีวิต
ถ้าเราขบคิดถึงกฎทั้ง 10 ข้อจะพบว่า มันส่งเสริมความถ่อมตน (Humbleness) สำรวมความสำเร็จของตัวเอง ไม่ยกตนโอ้อวดเหนือผู้อื่น เคารพในความแตกต่างหลากหลายของกันและกัน เป็นแนวคิดที่ให้เกียรติกันในฐานะ ‘เพื่อนมนุษย์’ และส่งเสริมความเท่าเทียม (Equality) ลดความเหลื่อมล้ำ เปิดรับความแตกต่าง
อย่าลืมว่า คนเราทุกคนย่อมมี ‘ศักดิ์ศรี’ ในใจกันอยู่แล้ว (ซึ่งไม่ใช่อีโก้) เป็นจิตวิทยาพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนเลยก็ว่าได้ การเที่ยวไปแสดงออกถึงความเหนือกว่า (Superiority) หรือไปคิดว่าคนอื่นต่ำต้อยกว่าเรา อาจไปกระทบกระทั่งด้อยค่าศักดิ์ศรีในใจของผู้อื่นได้แม้ว่าคุณจะไม่ตั้งใจก็ตาม
ทำไม Law of Jante ถึงน่าสนใจกว่าที่คิด
ถ้าให้อธิบายง่ายๆ Law of Jante กระตุ้นให้เรา ‘เอาใจเขามาใส่ใจเรา’ เราอาจเห็นคนอื่นตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ในมุมมองของเรารู้สึกว่ามันไม่ make sense เอาซะเลย
- มันไม่ make sense สำหรับคุณ
- แต่อาจ make sense สำหรับคนนั้น
สุดท้ายแล้วคุณอาจค้นพบว่า ถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับคนนั้น อยู่ในเงื่อนไขแบบนั้น อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้น คุณเองก็อาจตัดสินใจไม่ต่างไปจากคนนั้นหรอก! (สุดท้ายเราเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก)
แนวคิดนี้ช่วยเราให้ไม่ด่วนตัดสินใจอะไรง่ายๆ แต่หล่อหลอมให้เราหัดคิดทบทวน เปิดพื้นที่ให้เราได้ตกผลึกทางความคิดได้ลึกซึ้งกว่าเดิม คิดวิเคราะห์ถี่ถ้วน รอบคอบในการตัดสินใจ บอกลาการคิดอะไรแบบผิวเผิน
แต่อย่าเข้าใจผิดเชียว Law of Jante ไม่ได้จะมา ‘กดทับ’ ศักยภาพในตัวคุณหรอก (นั่นเป็นคนละเรื่องกัน) แต่จะมายกระดับจิตใจคุณให้มองเห็นคุณค่าและความแตกต่างหลากหลายของผู้อื่นต่างหาก
ในมิติระบบทุนนิยมและการทำงานในโลกธุรกิจ เราถูกตั้งระบบให้หาทางดีเด่นกว่าคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หาวิธีสร้างภาพลักษณ์อันแสนดี ตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์ผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง หรือแม้แต่โจมตีคู่แข่งเมื่อค้นพบจุดอ่อน กดได้ต้องรีบกด ทำลายได้ต้องรีบทำลาย เรื่องนี้นำมาซึ่งความเครียด ความกดดัน ความวิตกกังวล ความอิจฉาริษยา และอาจกระทบต่อจรรยาบรรณของพนักงานระดับปฏิบัติการที่เป็นคนลงมือทำงานจริงๆ กรณีที่ต้องกล่าวหาโจมตีอีกฝ่าย
หรือบางทีแล้ว ในการทำงานและใช้ชีวิต เราจะพบว่าแท้จริงแล้วหลายเรื่องเราทำได้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำถ้าพวกเรา ‘ร่วมมือกัน’ มองเห็นข้อดีและนำจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาใช้ พร้อมๆ กับยอมรับและหาทางป้องกันจุดอ่อนให้กันและกัน
Law of Jante กับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน
ความสุขของคนเราขึ้นอยู่กับ ความคาดหวัง (Expectation) ถ้าเราสร้างเงื่อนไขมีความคาดหวังที่สูง ความสุขจะเกิดยาก แต่ถ้าเราคาดหวังต่ำ เช่น ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องเก่งกาจพิเศษไปกว่าคนอื่น เมื่อเรามองคนด้วยความเท่าเทียมกันทางสิทธิและศักดิ์ศรี เมื่อมองว่าเราไม่ได้แตกต่างกันขนาดนั้นในฐานะมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ แปลกแต่จริง ‘ความสุข’ มักเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าโดยไม่รู้ตัว (ไม่เชื่อไปทดลองทำดู)
นอกจากนี้ เราลงรายละเอียด Law of Jante และนำมาใช้แต่ละข้อได้เลยทีเดียว ทั้งการทำงานและชีวิตส่วนตัว เช่น
- ตามกฎข้อ 3: อย่าเผลอคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าผู้อื่น – ให้เราเปิดใจรับฟังเพื่อนฝูงที่เขาอาจไม่ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพราะการมีโอกาสได้เรียนสูง ไม่ได้หมายความว่าเราจะฉลาดกว่าคนอื่น
- ตามกฎข้อ 8: อย่าเผลอคิดว่าตัวเองควรได้รับความสนใจมากกว่าผู้อื่น -เป็นการเตือนสติตัวเราเองไม่ให้ทำตัวเป็นจ่าฝูงหรือเป็นจุดศูนย์กลางในหมู่เพื่อนที่ทุกคนต้องคอยเอาอกเอาใจ
- ตามกฎข้อ 10: อย่าเผลอไปสั่งสอนเทศนาผู้อื่นโดยอำเภอใจ – ฝึกให้เราคิดหน้าคิดหลังก่อนไปสั่งสอนหรือให้คำแนะนำเพื่อนฝูง เช่น เรื่องความรัก เพราะแต่ละคนเจอสถานการณ์และบริบทที่แตกต่างกัน
เมื่อเรามาพิจารณาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น อาจมีคำถามว่า Law of Jante กำลังกดทับศักยภาพความสามารถของชาวสแกนดิเนเวียน หรือทำให้พวกเขาเป็นคนเก็บกดทางอารมณ์รึเปล่า? คำตอบส่วนใหญ่ก็น่าจะไม่ เพราะชาวสแกนดิเนเวียนถูกจัดอันดับเป็นชาติที่คนมีความสุขติดอันดับต้นๆ ของโลกมาโดยตลอดไม่ว่าจะถูกจัดอันดับโดยสำนักไหนก็ตาม
และในแง่ของเศรษฐกิจและความมั่งคั่งร่ำรวย ชาวสแกนดิเนเวียนก็เป็นชาติที่ผู้คนอยู่ดีกินดี มีรายได้สูงอันดับต้นๆ ของโลกเสมอมา
ตัวอย่างเช่น GDP ต่อหัว (GDP per capita) ของชาวสแกนดิเนเวียนในปี 2021
- สวีเดน อยู่ที่ประมาณ 176,000 บาทต่อเดือน
- เดนมาร์ก อยู่ที่ประมาณ 197,000 บาทต่อเดือน
- นอร์เวย์ อยู่ที่ประมาณ 258,000 บาทต่อเดือน
Law of Jante ยังเปลี่ยนสายตาของเราให้มองอีกด้านหนึ่ง เช่น จากเดิมโฟกัสที่การฉุดรั้ง เตะตัดขา ด้อยค่า หาจุดอ่อน และคอยหาทางขิงกันและกัน ก็เปลี่ยนเป็นการช่วยเหลือค้ำจุน สมานแผลที่ขา หาจุดแข็ง และเคารพซึ่งกันและกัน สุดท้ายทุกคนน่าจะได้ประโยชน์และมีความสุขเอนจอยกับการใช้ชีวิตทั่วหน้ากัน
อ้างอิง
Nordgreen UK. (2019, March 26). Exploring Jante Law: The Cultural Norms in Scandinavian Countries. https://nordgreen.co.uk/blogs/nordic-culture/jante-law
Danish Jante Law: Why is Denmark So Happy? (2017, May 12). Brewminate: A Bold Blend of News and Ideas. https://brewminate.com/danish-jante-law-why-is-denmark-so-happy/
Statista. (2022, October 11). GDP per capita at current prices in the Nordic countries 2010-2022, by country. https://www.statista.com/statistics/1274468/gdp-per-capita-nordic-countries/