- ‘กิ๊ก’ นิศาชล คำลือ คือ เด็กสาวอายุ 18 ปีที่ลาออกจากโรงเรียนตอน ม.5 เพราะตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรพรากเวลาไปจากตัวเองอีกแล้ว
- กิ๊ก เป็นเด็กสาวที่เอาคาบการโคจรของบริวารดาวยูเรนัสมาเป็นเสียงดนตรีเมื่อตอนอายุ 17 ปี
- กิ๊กยอมรับว่าเป็นโรคซึมเศร้า ย่างเข้าปีที่สอง และกิ๊กมาพร้อมรอยแผลจากการกรีดบริเวณข้อมือ…จำนวนนับไม่ถ้วน
ภาพ: เฉลิมพล ปัณณานวาสกุล
“เพราะมีเหตุจึงมีผล เพราะมีผลจึงเข้าใจ เพราะเข้าใจจึงอภัย”
เพราะประโยคนี้ของเธอ ทำให้เราตัดสินใจนัดหมาย ‘กิ๊ก’ นิศาชล คำลือ หนึ่งในกำลังสำคัญของทีม SPACETH.CO เพื่อทำความรู้จักให้มากกว่านี้
นี่คือโปรไฟล์คร่าวๆ ของกิ๊กที่เรารู้ล่วงหน้า ก่อนได้เจอหน้ากันจริงๆ
- เป็นเด็กสาวอายุ 18 ปีที่ลาออกจากโรงเรียนตอน ม.5 เพราะตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรพรากเวลาไปจากตัวเองอีกแล้ว
- เป็นเด็กสาวที่เอาคาบการโคจรของบริวารดาวยูเรนัสมาเป็นเสียงดนตรีเมื่อตอนอายุ 17 ปี
- เจ้าตัวกำลังซ้อมเข้มเพื่อขึ้นเวที TED xYOUTH@Bangkok 2019 กลางเดือนนี้
และนี่คือข้อมูลระหว่างการสนทนา ที่ทำให้เราคิดว่าต้องเดินหน้าคุยต่อ ซึ่งเป็นการตัดสินใจไม่ผิด
- กิ๊กยอมรับว่าเป็นโรคซึมเศร้า ย่างเข้าปีที่สอง
- พร้อมรอยแผลจากการกรีดบริเวณข้อมือ…จำนวนนับไม่ถ้วน
“เพราะมีเหตุจึงมีผล เพราะมีผลจึงเข้าใจ เพราะเข้าใจจึงอภัย” กิ๊กยังยืนยันเช่นนั้น
ตั้งแต่เล็ก กิ๊กเป็นเด็กอย่างไร
แก้ผ้าวิ่งเล่นน้ำ ตอนเด็กเราอยู่กับย่า ย่าเลี้ยงแบบใช้ความรุนแรง เราโดนทั้งรองเท้าตบหน้า สายยางฟาดเข้าที่ลำตัว ตอนนั้นเราเจ็ดขวบเองนะ ก็จะหนีไปหลังบ้านที่คนไม่ค่อยไป แต่ตรงนั้นมันจะมองเห็นท้องฟ้าชัดมาก
ทุกครั้งเวลาหนูร้องไห้หนูก็จะมองขึ้นท้องฟ้า เหมือนมันเป็นแค่สิ่งสวยงามเดียวในชีวิต ณ ช่วงนั้น หนูก็เลยชอบท้องฟ้ามาก ชอบสีท้องฟ้า ชอบมาตลอด มันก็เลยเป็นความสุข ที่ทำให้เรารู้สึก peaceful
มันปลอบเราหรือเปล่า
น่าจะ ด้วยสี ด้วยอะไร มันก็เลยทำให้เรารู้สึกได้รับการปลอบประโลม เพราะว่าตอนนั้นมันก็ไม่มีใครปลอบเราด้วยไง เราเองก็ไม่ได้รับการปกป้องจากใคร
แล้วความชอบในวิทยาศาสตร์ อวกาศ มันมาตอนไหน
วันหนึ่งไปเริ่มอ่านหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ตอนนั้นจำอะไรไม่ได้หรอก จำได้แค่เซอร์ไอแซค นิวตัน เราประหลาดใจตรงการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาจากแค่แอปเปิลหล่นใส่หัวเนี่ยนะ แต่เราก็ยังไม่ได้ศึกษาลงลึกอะไร
แต่ถ้ามาชอบจริงๆ เริ่มจากคณิตศาสตร์ก่อน มันเป็นวิชาของเหตุและผล แล้วเราก็เป็นคนที่ค่อนข้างมีเหตุผลในระดับหนึ่ง เราเลยทำมันออกมาได้ดี แต่เริ่มชอบแบบ crazy จริงๆ คือช่วง ม.ปลาย เพราะว่าเราไม่อยากเรียนวิชาอื่นเลย เวลาครูวิชาอื่นเข้ามาสอนก็จะนั่งเมื่อย บางทีลงไปนอนกับพื้น หลับด้วย เรารอเรียนอยู่สองวิชาคือคณิตกับฟิสิกส์
เราชอบฟิสิกส์ เพราะมันเป็นเหตุเป็นผล เช่น เรามีแรงเท่านี้ กระทบไปกับผนังเท่านี้ ผนังจึงสะท้อนแรงออกมาเท่านี้ มันไม่มีคำว่าซับซ้อน มันมี process ของมัน แต่ตอนนั้นเรายังเป็นเด็กหลังห้องอยู่นะ เราเริ่มทิ้งคำว่าเกรดไปแล้ว เพราะรู้สึกว่าเกรดมันตัดสินเราไม่ได้ เราเกินกว่าเกรดจะมาวัด กูแม่งเจ๋งกว่านั้น
แล้วครูไม่ว่าเหรอ
ว่าค่ะ แต่หนึ่ง ด้วยความเป็นเด็กห้อง gifted ครูเขาจะไม่ค่อยกล้าว่า สอง ด้วยความที่เป็นเรา ครูก็ไม่ค่อยกล้าว่าอีก ว่าหลายรอบแล้วมันก็ยังเป็นแบบเดิม เขาเลยปล่อย
ความเป็นเรามันเป็นอย่างไร
ผู้ใหญ่จะพูดว่าเถียง แต่เราใช้คำว่า discuss ด้วยเหตุผล อ้าวแล้วทำไมต้องเป็นแบบนี้ ถ้าครูตอบไม่ได้ว่าทำไม แปลว่าครูไม่มีเหตุผลที่จะมาบังคับเรา ฉะนั้นมันก็เป็นการบังคับที่ไม่สมเหตุสมผล แล้วทำไมฉันต้องทำตามคำสั่งของคุณ
คำถามอะไรที่เราถามครูไปแล้ว ครูตอบไม่ได้
“อะไรอยู่นอกเอกภพ” ซึ่งมันมีทฤษฎีอยู่ว่าอาจจะมีเอกภพในเอกภพ หรือพวกสสารมืด หรือมิติคู่ขนาน แต่ครูเขามองว่าเราคงไม่สามารถเข้าใจอะไรพวกนั้นได้ เขาก็ตอบว่าไม่มี ยังไม่มีใครค้นพบ เขาก็ยังให้คำตอบไม่ได้ แล้วเราแบบ มันต้องมีดิวะ ในเมื่อน้ำมันอยู่ในแก้ว แก้วมันอยู่บนโต๊ะ โต๊ะมันอยู่ในร้าน เราก็เลยรู้สึกไม่เข้าใจ ตอนนั้น (ม.1) เราจึงไม่เอาดาราศาสตร์เลยนะ ทำไมมันย้อนแย้งจัง แต่พอโตมาเราก็เข้าใจนะทำไมมันย้อนแย้ง เพราะว่าทฤษฎีหลายๆ อย่างมันยังรอการพิสูจน์
พอเรามีโอกาสได้ไปทำงานกับสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ ให้เด็กทำโปรเจ็คต์ดาราศาสตร์ออกมา ด้วยความที่เราทิ้งดาราศาสตร์ไปตั้งแต่ ม.1 ตอนนั้นเรารู้ตัวว่า ถ้าเราไม่เข้าใจ แล้วเราไม่ชอบ ไม่เสร็จแน่นอน เราก็เลยหาอะไรบางอย่างที่เราชอบ เลยไปเจอแนวคิดหนึ่งในยุคเรอเนส์ซองส์ (Renaissance) คือการทำให้คาบบริวารของดาวยูเรนัสเป็นเสียงดนตรี โดยเอาคาบการโคจรมาเป็นเสียงดนตรี เอาโน้ตมาเล่นตามความถี่ของมันเท่านั้นเอง
คนอื่นบอก “เจ๋งจังเลย” แต่เราว่าไม่เจ๋งนะ คนเขาคิดได้ตั้งแต่ยุคเรอเนส์ซองส์แล้ว มันแค่ไม่มีคนทำ แต่คนก็สนใจ ได้ออกสื่อ กลายเป็นที่รู้จักในแวดวงวิทยาศาสตร์ เราก็เลยได้มีโอกาสไปต่อ
ตอนที่ทำโปรเจ็คต์ เราได้รู้จักคน อย่าง อาจารย์มติพล ตั้งมติธรรม (นักวิชาการ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (NARIT) ซึ่งเรารักมากเลย เรารู้สึกว่า พระเจ้า! ครูบนโลกนี้มันไม่ได้น่าเบื่อไปทุกคนนี่หว่า เราก็เลยเปิดใจรับฟังคำพูดของผู้ใหญ่มากขึ้น เขาทำให้เรารู้ว่า โลกนี้ไม่ได้มีแค่นั้น เราเริ่มรู้ว่าเราชอบอะไร อยากทำอะไร
แล้วเราเจอคำถามหนึ่งของพี่หวาย พิสิฏฐ นิธิยานันท์ (แฟนพันธ์ุแท้ดวงดาว) เขาถามเราว่า โตไปอยากทำอะไร เป็นคนแรกที่ถามเลย เพราะว่าคนอื่นเขาจะถามว่าโตไปอยากเป็นอะไร เราไม่รู้ แต่อันนี้เรามีคำตอบให้ทันทีเลยว่า
ในวงการดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อวกาศ มันกำลังโตเร็วมาก เราค้นพบและเรียนรู้อะไรใหม่ๆ แทบทุกวัน มันเหมือนน้ำหลาก นี่เป็นครั้งแรกที่เราอยากจะกระโดดลงไปในน้ำแล้วไหลไปกับมันเลย ทั้งที่เมื่อก่อนเราชอบเซฟโซน แต่เราอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของวิทยาศาสตร์อวกาศ ไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ตาม
ย้อนถาม ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนกลางคัน (ม.5)
เราเริ่มคิดมาสักพักว่า คุ้มไหมวะ ค่าเทอม มันก็ไม่ได้แพงอะไร เรามองว่า เงินน่ะ ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่เราก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างที่เราจ่ายไป จู่ๆ เราก็นึกออกว่า เฮ้ย เวลาชีวิตนี่หว่า ที่หายไป ชิบหายแล้ว คิดคำนวณเลยว่าเสียไปกี่ปี เอาเวลาชีวิตไปลงทุน คุ้มไหม ไม่คุ้มแล้ว ทำยังไง เอาคืนไม่ได้ ทีนี้ก็เลยไม่ไป เวลาชีวิตต้องไม่พรากจากเราไปอีกแล้ว เลยส่งไลน์ไปบอกครูที่ปรึกษา
วันที่ตัดสินใจไปโรงเรียนวันสุดท้าย ก็คือบอกเพื่อน มึง กูลาออกแล้วนะ บอกทั้งห้องเลย พวกมันก็ยังเล่นกันอยู่ มีคนเชื่อแค่คนเดียว เพื่อนบางคนก็อยากออกกับเรา เราก็ว่าถามว่า มึงเจอหรือยังว่ามึงจะไปทางไหน ถ้าทางที่มึงจะไปมันอยู่ในระบบมึงก็เดินไป อยู่ในระบบนี่แหละ มันไม่ได้ผิดอะไร แต่ถ้าทางที่มึงเจอมันไม่ได้อยู่ในระบบ มึงก็ออก
มีมาตรการยับยั้งมากน้อยแค่ไหน ทั้งจากโรงเรียน พ่อแม่
พ่อแม่ก็โวยวาย เข้ามาดึงผ้าห่ม บอกว่าไปโรงเรียนเถอะลูก เราก็แบบ ก็บอกว่าไม่ไปแล้วไง จะสอบเทียบเอา เขาไม่เข้าใจแต่เขาทำอะไรไม่ได้ เราเอาแต่ใจมาก ทางโรงเรียนก็จะมีครูที่ปรึกษาที่เป็นครูที่เรารักและเคารพมาก เขาก็บอกให้ใจเย็นๆ แต่ครูคนนี้เขามีความเชื่อในตัวเราว่าเราจะทำได้ ตอนที่เข้าไปคุยกับรองผู้อำนวยการ ก็ถามว่าหนูจะดร็อปไว้ก่อนไหม แล้วปีหน้ามาเรียน ให้พักจิตพักใจให้สงบก่อนก็ได้
เราก็ปฏิเสธ เขาก็ถามต่อ ถ้าหนูสอบ (มหาวิทยาลัย) ไม่ได้ล่ะ? หนูคิดว่าหนูสอบได้ หนูจะสอบให้ได้
ครูที่ปรึกษาเราเขาเคยบอกว่านี่เป็นข้อดีของเธอ ตรงที่เธอมั่นใจว่าเธอจะทำได้แล้วเธอก็จะตั้งใจทำมันจนได้
การที่เรามีใครสักคน ที่เขาเชื่อมั่นใจตัวเราว่าเราทำได้ มันสำคัญกับเรามากน้อยแค่ไหน
จริงๆ เขาคุยกับเราในเชิงที่ไม่ได้เป็นครูที่สอนอย่างเดียว เขาถามว่าเราคิดยังไง เราก็ไม่ได้เห็นตรงกันไปทั้งหมด แต่โชคดีตรงที่เขารับฟังแล้วเคารพในการตัดสินใจของผู้อื่น มันก็เลยทำให้เรารู้สึกดีกับเขา
พอรู้ว่าเวลาเราเอากลับคืนมาไม่ได้ รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไร กิ๊กทำอะไรต่อหลังจากออกจากโรงเรียน
ตอนนั้นคิดว่า ถ้าจะสอบเทียบเข้ามหาวิทยาลัยเลยคงไม่ทัน ฉะนั้นเราเลยคิดว่า งั้นเราจะเข้าปีหน้า แล้วหนึ่งปีจะเอาเวลาไปทำอะไรวะ คืออยากหาประสบการณ์ แต่ก็ยังอยากอยู่ในแวดวงอวกาศ วิทยาศาสตร์ เราก็รู้จักกับพี่เติ้ล (ณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน-บรรณาธิการ SPACETH.CO) เลยทักไปของานทำ แล้วก็ได้งานมาทำแบบงงๆ
จริงๆ การเรียนก็สำคัญ แต่เรายังไม่แน่ใจว่ามันโอเคกับเราไหม คิดว่าลองทำงานดูก่อน ถ้าไม่ได้ยังไงเดี๋ยวว่ากัน เพราะตั้งแต่เด็กหนูไม่เคยมีเป้าหมายแบบเพื่อนเลย อยากเข้าจุฬาฯ อยากเข้าธรรมศาสตร์ หนูไม่เคยอยากเข้าที่ไหน เท่ากับอยากเรียนอะไร
เราอยากเรียนวิศวะแอโร (วิศวกรรมการบินและอวกาศ) จริงๆ แอบคิดไว้หลายอย่าง กฎหมาย จิตวิทยา โน่นนี่นั่น เราอยากเรียนหลายอย่าง เพราะเราเองก็ชอบหลายอย่าง เราก็ทำได้ดีหลายอย่างด้วย เราก็เลย สัส เรียนทีเดียวหลายอย่างไม่ได้เหรอวะ (หัวเราะ) ก็เดี๋ยวลองดู
แต่ช่วงเวลานี้คือ ทำงาน เก็บเงิน แล้วก็หาประสบการณ์ ชีวิตประจำวันตอนนี้คือ เขียนงาน
ตอนนี้หนูทำให้ตัวเองเป็นเครื่องผลิตคอนเทนต์ เราจะต้องได้วันละคอนเทนต์ แล้วให้บรรณาธิการสี่คนตรวจงานเรา ไม่ผ่านส่งมาแก้ ทำ ส่งอีก แล้วมันจะทำให้เราได้ความรู้ใหม่ๆ ด้วย
ที่บอกว่าเป็นเครื่องจักรผลิตงานเขียน วินัยสำคัญกับเรามากน้อยแค่ไหน
สำคัญมาก (ลากเสียง)
แล้วกิ๊กมีวินัยยังไงบ้าง
ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ เราต้องมีความกระเตื้องในตัวเอง แล้วด้วยความที่เราอยู่บ้าน ไม่มีคนบังคับ เราจะทำเมื่อไรก็ได้
วินัยเราไม่ค่อยมี แต่เราพยายามจะมีความรับผิดชอบต่อมัน โอเค อาจจะไม่ได้วันละคอนเทนต์อย่างที่ตั้งใจ แต่ว่าเราจะใส่ใจเรื่องคุณภาพคอนเทนต์มากกว่า หนึ่ง เราอยากจะให้งานมีลายเซ็นเรา คนอ่านจะรู้แล้วว่านี่ของกิ๊กแน่เลย แล้วเราอยากนำเสนอสื่อที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ไม่ยุยงใครไปทางใดทางหนึ่ง เพราะว่าวิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ นำเสนอข้อเท็จจริง
วันไหนที่เราไม่อยากเขียนงาน เราก็จะแอบเล่นเกม แอบอ่านหนังสือ บางครั้งก็เป็นหนังสือที่เป็นหนังสือวิชาการ เราอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก หนูอ่านฟิสิกส์ ม.ปลาย ตั้งแต่ ป.4
ใครเป็นคนบอกให้อ่าน หรืออยากอ่านเอง
อยากอ่านเอง เราไปเห็นหนังสือพี่สาวที่เขาไม่ได้ใช้แล้ว เป็นฟิสิกส์ มันเป็นฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เราหยิบฟิสิกส์มาอ่านก่อน เราก็พอจะเข้าใจสมการง่ายๆ มันก็จะมีรูปอธิบาย ที่คือ f นี่คือ m นี่คือ a อ๋อมันเป็นอย่างนี้เหรอ เราก็เริ่มอ่าน แต่มันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรขนาดนั้น
ส่วนตัวกิ๊กคิดว่า ทักษะอะไรที่กิ๊กยังขาดและยังต้องพัฒนาเรื่อยๆ
ความรับผิดชอบ โดนด่าตลอด เรารู้นะว่าเรายังไม่ได้เขียนงาน แต่ว่าเราก็ยังผลัดไปเรื่อยๆ ดูหนังอีกสักเรื่องแล้วกันน้า อีกสักเรื่องแล้วกันน้า เราจะติดเอาแต่ใจตัวเอง ว่าอยากทำอะไรทำ ซึ่งมันมีทั้งทางที่ดีและไม่ดี พอเราไม่มีความรับผิดชอบเราก็จะโดนว่าบ่อย ว่างานนี้มึงพูดแล้วว่ามึงจะไป มึงต้องไปนะ ไม่ใช่ว่า ไม่ไปแล้วได้ไหม อันนี้เป็นสิ่งที่อยากพัฒนามากๆ เลย ซึ่งเราคิดว่าเราจะสามารถทำได้ดีกว่านี้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น
ความรู้สึกของคนอื่น สำคัญต่อเรามากน้อยแค่ไหน
เมื่อก่อนแทบจะไม่เลย ตอนนี้ก็คือคิดเยอะขึ้นมากๆ เพราะว่า ไม่ว่าจะเป็นข่าวในสังคม หรือตัวเราเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา มันทำให้เรารู้สึกว่าการแสดงความคิดเห็นทางลบ แค่คุณพิมพ์เสร็จ คุณลืมด้วยซ้ำว่าคุณเคยมาเมนท์ แต่มันอาจจะฆ่าคนคนหนึ่ง หลอนคนคนหนึ่งไปตลอด
ความรู้สึกคนที่เรารู้จัก คนที่เราเจอในชีวิต ค่อนข้างสำคัญมาก แต่ถ้าเป็นความรู้สึกของใครก็ไม่รู้เราก็จะไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ เขาไม่ใช่คนที่เรา communicate ด้วยตลอด
ถามเรื่องรอยแผลที่ข้อมือได้ไหม
หนูเคยมีแฟนคนหนึ่ง ความสัมพันธ์มันคือ toxic relationship ตอนนั้นเราเป็นโรคซึมเศร้าจน…พยาบาลฉุกเฉินก็จำหน้าได้หมดแล้ว กรอกยานอนหลับเข้าไป ยามันก็ยัดอยู่ในคอ จนเรารู้สึกว่า สิ่งที่รักษาเราได้ มีสองอย่าง คือยากับสภาพแวดล้อม เขาเรียกพ่อกับแม่ไปคุยเลยนะ ว่าเนี่ย อย่าไปว่าลูกนะ เพราะว่ามันก็เป็นโรคที่ลูกเองก็ไม่ได้ตั้งใจเป็น
ในสภาพแวดล้อมหนูก็มีเขา (อดีตแฟน) ซึ่งเขาเป็น toxic เราก็ยังคงอดทน จนเรารู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว พอดีกว่า เราก็บอกเขา แล้วก็มีเหตุการณ์ภาพหลุดที่โพสต์ลงในไอจีเราเอง ซึ่งเราโดนเพื่อนหลายๆ คนเอาไปพูด ขุดคุ้ยรูปต่างๆ ที่เขา (อดีตแฟน) โกหกว่ามีและบอกว่าเป็นคนปล่อยไป
เรื่องภาพ เราเป็นคน self esteem ต่ำ ก็เลยยอมแลกทุกอย่างเพื่อความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นความไว้ใจในความไม่รู้ของเรา ยังคงหลอกหลอนเราอยู่ เหตุการณ์หลังจากนั้นมันคือ victim blaming และ cyber bully จากเพื่อนเราเอง
เรารู้สึกว่า มันแทบจะฆ่าคนคนนึงได้เลย ตอนนั้นหนูก็แทบจะตาย แต่มันก็ผ่านมาได้ เพราะมีหลายคนช่วย เพื่อนที่เป็นเพื่อนจริงๆ เขาก็ยังอยู่กับเรา เราก็เลยมองว่า เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงมีรูปรูปนั้นขึ้นมา เราก็เลยไม่ได้สนใจ เราให้อภัยนะ แต่ที่เราให้อภัย เราเข้าใจ เพราะคุณเป็นอย่างนี้ไง คุณถึงทำแบบนี้กับเรา แต่ว่าสิ่งที่ผิดก็คือสิ่งที่ผิด ทุกอย่างที่ผิดเราดำเนินตามกฎหมายหมดนะ เราแค่เข้าใจ เราจะไม่แบกก้อนหินแห่งความโกรธแค้นให้ปวดหลังต่อไป
อีกส่วนสำคัญที่ทำให้เราผ่านมาได้ คือจิตแพทย์ ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้เราให้อภัยก็จริง แต่เราฝันร้ายเดิมๆ ซ้ำๆ เราฝันว่าเราตาย นั่งแท็กซี่อยู่แล้วป้ายบอกทางหล่นมาทับ หรือในฝันเราโดนข่มขืนโดยเพื่อน โดยคนใกล้ชิด แล้วมันจะสลับกันอยู่อย่างนี้ เราก็จะฝันอะไรอย่างนี้ซ้ำๆ ทุกคืน
แล้วเราก็ไปขอยานอนหลับกับหมอ ขอให้กินแล้วหลับไม่รู้เรื่องเลย เขาก็ถามว่ามีอะไร ปกติเราเป็นคนไม่ค่อยเล่าอะไรให้หมอฟัง แต่ครั้งนั้นมันรู้สึกว่า มันต้องเล่า เราบอกว่า เราตื่นมาทุกครั้งกับความรู้สึกรังเกียจร่างกายตัวเอง รังเกียจผิวหนัง รังเกียจรูปร่าง เขาเป็นคนฟังคนแรกที่ไม่ตัดสิน แต่ตั้งคำถามแทนว่า แล้วเราให้อภัยตัวเองหรือยัง น้ำตาเราก็ไหลเลย เออว่ะ ยัง
เราให้อภัยทุกคนเลย แต่ลืมคนคนเดียวคือตัวเอง เราเลยรู้สึกเศร้าที่ให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นคนสุดท้ายทุกทีเลย ทำไมวะ เลยตั้งต้นใหม่ ฉันก็ยังเป็นคนหาเหตุผลเหมือนเดิม พยายามเข้าใจและให้อภัยคนอื่นเหมือนเดิม แต่จะรักและเคารพตัวเองให้มากกว่านี้ ถ้าเกิดว่ามันผิด มันมีทั้งเขาผิด เราผิด ไม่ว่าเราจะผิดยังไง เราก็ต้องให้อภัยตัวเองให้ได้
อย่างกิ๊กนี่เป็นภาวะซึมเศร้าหรือเป็นโรคซึมเศร้า
เป็นโรคซึมเศร้าค่ะ จะสองปีแล้ว
ยังคงไปหาจิตแพทย์อยู่เป็นระยะๆ?
ใช่ค่ะ ต้องอัพเดตยา แต่เราก็ยังโอเค คือช่วงนี้มันดีขึ้นมาก แต่ก็มีดาวน์ๆ บ้างนิดหน่อย แต่ก็ปกติ เราเลิกฆ่าตัวตายแล้ว เพราะมันไม่ตายสักที
เราเหนื่อยเหลือเกินจากการฆ่าตัวตาย อยู่ก็ได้ ก็อยู่ไปเรื่อยๆ จริงๆ เราไม่รู้หรอกว่า เราจะตายวันพรุ่งนี้หรือเปล่า เราก็เลยคิดว่าเราอยากทำสิ่งที่เราอยากทำ เราก็เลยปล่อยตัวเองให้ทำสิ่งที่อยากทำ เพราะว่ามันคือความสุขเบื้องต้นในจิตใจเรา
มีทั้งสิ่งที่เราอยากทำระยะสั้น เพื่อที่จะรู้สึกว่า ตื่นมาฉันต้องทำอันนี้ แต่เราก็แอบวางแผนระยะยาวไว้ มีแผนให้กับชีวิตในหลายๆ ทาง
เคยหันกลับไปมองหรือสาเหตุตอนเด็กไหม ว่าทำไมเราโตมากับแผลแบบนี้
ตลอด มันก็คือความเจ็บปวดของครอบครัวที่ไม่พร้อม เราต้องพูดตรงๆ ว่ามันเกิดจากทั้งพ่อและแม่ มันเกิดจากการที่พ่อใช้ความรุนแรง เกิดจากแม่ที่เอาแต่นอนร้องไห้ เกิดจากการที่ทั้งคู่ปล่อยให้ toxic relationship มันดำเนินมาจนถึงสิบสามปี ทั้งหมดนี้มันก็หล่อหลอมเด็กคนนึง แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกเมื่อเราไปส่งต่อ แผลมันเกิดขึ้นตลอด เราทำบ้าง เขาทำบ้าง
ที่บอกว่าชอบมองบนท้องฟ้า เหมือนว่าท้องฟ้ามันทำหน้าที่ปลอบเราอยู่ เคยคิดเชื่อมโยงไหมว่าท้องฟ้าในวันนั้นมันส่งผลที่ทำให้เราสนใจอวกาศในวันนี้หรือเปล่า
เราว่าไม่ใช่ ท้องฟ้าในวันนั้นเรามองมันแค่ความสวยงาม เป็นความสวยที่ส่งต่อความรู้สึกให้กับเรา
แต่ที่เรามาสนใจท้องฟ้า อวกาศ เพราะเรารู้สึกว่า ยิ่งเรารู้เยอะ เรายิ่งเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ เราทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน และเราต่างเป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ เรารู้สึกว่า มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน เราไม่เคารพในศาสนา แต่เราเคารพในธรรมชาติ เคารพในฟิสิกส์ อวกาศ
ที่บอกว่า อวกาศมันแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของทุกสิ่ง เพราะว่าสิ่งอื่นมันแตกแยกหรือเปล่า เราเลยรู้สึกว่า อวกาศนี่แหละ มัน Unique มันเป็นหนึ่งเดียว
ทุกอย่างมันคือก้อนๆ หนึ่ง เพียงแต่ว่าคนนี้อาจจะมองในมุมนี้ อีกคนมองในมุมนี้ ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะที่ทุกคนจะมองก้อนพวกนี้ต่างกันออกไป แต่ในทางวิทยาศาสตร์ โลก ดวงอาทิตย์ ทุกอย่างมันเคยเป็นก้อนเดียวกัน มนุษย์ก็เคยเป็นก้อนเดียวกันอยู่ในน้ำ ก่อนที่มันจะแตกวิวัฒนาการมาเรื่อยๆ เราอยากรู้ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ เลยมองหาจุดเริ่มต้นของอวกาศ โลก มนุษย์ ฯลฯ มองย้อนกลับไปเรื่อยๆ มันมีเหตุผล หนูชอบที่มันอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านการทดสอบมาแล้ว มันน่าเชื่อถือ เราเลยชอบมัน
คำว่า ‘อวกาศ’ ของเรามันไม่ใช่แค่วิชาดาราศาสตร์ วิชาฟิสิกส์ วิชาคณิตศาสตร์ แต่มันเป็นทุกอย่างอยู่ในคำว่าอวกาศ
มนุษย์แบบกิ๊ก เกิดมาเพื่ออะไร
สำหรับหนู หนูเกิดมาเพื่อตาย คนเราเกิดมาก็ต้องตายกันทุกคนแหละ แต่ความสำคัญมันอยู่ที่ว่า ระหว่างทาง เกิดไปจนถึงก่อนตาย เราทำอะไรบ้าง
ในระหว่างทาง สิ่งที่เราตั้งใจไว้คือ เราจะทำอะไรก็ได้ให้ตัวเรามีความสุขมากที่สุด โดยที่ไม่ต้องไปเบียดเบียนเพราะการเบียดเบียนคนอื่นมันก็ไม่ใช่ความสุขสำหรับเราเหมือนกัน
เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้วงการอวกาศมันเติบโตไปได้ เพื่อหาความรู้ใหม่ๆ เพื่อคนรุ่นหลังนั่นแหละ ทุกวันนี้เรากำลังหาดาวที่มันคล้ายโลก จุดประสงค์ก็คือการอพยพมนุษยชาติ เพราะว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดวงอาทิตย์ก็เหมือนกัน จากการศึกษาวิวัฒนาการดาวฤกษ์แล้ว ถ้ามันเกิดซูเปอร์โนวาจริงๆ เราอาจจะสูญพันธุ์ จึงต้องย้ายไปดาราจักรอื่นๆ ที่เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ นี่คือหนึ่งในภารกิจการค้นหา มันจะทำให้มนุษย์มีชีวิตต่อไปได้เรื่อยๆ ดำรงพันธุ์กันไปได้เรื่อยๆ
เราอยู่ไม่ถึงดวงอาทิตย์ระเบิดหรอก แต่เราก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในการค้นหา (ยิ้ม)