- บางครั้งเราจำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกทำร้ายทารุณ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะผูกพันกับคนที่มีพฤติกรรมเป็นโทษต่อเรา หรือทำร้ายเราทางกายหรือจิตใจ
- เด็กแต่ละคนตอบสนองต่อเหตุการณ์ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ แตกต่างกัน บางคนอาจจะเก็บไว้ มาแสดงอารมณ์ออกไป ซึ่งผลที่ตามมานั้นอาจทำให้เด็กกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ชินกับการกดความโกรธไว้ในใจ
- ขั้นตอนสำคัญของการเยียวยาและออกมาหากต้องการก็คือ ยอมรับให้ได้ก่อนว่าพฤติกรรมนั้นๆ มันทำร้ายหรือเป็นโทษกับเราจริงๆ และเลิกหลอกตัวเองว่าทุกอย่างโอเค
1.
ความผูกพันอันไม่น่าไว้วางใจ
เคยไหม? ที่เกิดรู้สึกผูกพันกับใครบางคนอย่างเข้มข้น และยังรู้สึก ‘คุ้นๆ’ ‘ฉันเคยไปที่นี่มาแล้วในอดีตและมันยังไม่จบ’ สัญชาตญาณบรรพกาลถูกกระตุ้น
ในขณะเดียวกันก็รู้แต่แรกหรือทีหลังว่ามีความทารุณอยู่ แต่.. ก็ถูกดูดเข้าไปเหมือนคนโดนของ ถูกสะกดโดยจอมขมังเวทย์ ราวกับคนชอบดูหนังผีสยดสยองและจิตวิตยาเขย่าขวัญแม้มันรบกวนใจ
แล้วเราก็ผูกพันกับคนที่มีพฤติกรรมเป็นโทษต่อเรา หรือทำร้ายเราทางกายหรือจิตใจ..
2.
ผูกพันกับคนที่ทำร้ายทารุณ
ในความผูกพันลักษณะดังกล่าว ฝ่ายหนึ่งจะซ้ำวงจรความเสน่หาและความรุนแรงอย่างแปรปรวนและถืออำนาจบงการมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกฝ่ายก็ยอมจำนน ฝ่ายหลังมักพยายามเอาใจ ปกป้องหรือหาเหตุผลแก้ตัวให้ฝ่ายที่ทำไม่ดีกับตัวเอง, ซ่อนความต้องการและความรู้สึกของตัวเพราะถ้าพูดออกไปจะโดนเล่นงาน ฯลฯ ซึ่งความผูกพันที่มีลักษณะเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเป็นเชิงโรแมนติกเสมอไป
กระจกและการเวียนสลับบท
อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ได้เรียนรู้มากนักหากลดทอนว่าอีกฝ่ายเท่านั้นกระทำทารุณส่วนเราก็แค่ถูกกระทำ หากเราผ่านการเยียวยามาและเข้มแข็งพอจะมองแล้ว อีกฝ่ายสามารถเป็น ‘กระจก’ ส่องหลายพฤติกรรมลบๆ แบบเดียวกันที่เราก็เคยทำ อีกทั้งทำให้เห็นส่วนที่ยังไม่ได้เยียวยาของตัวเอง การถูกทำร้ายและการทำร้ายนั้นปฏิสัมพันธ์กันอยู่ ซึ่งหากบทบาทนั้นสลับไปมาได้ นั่นแปลว่าหลายครั้งเราก็อาจทำร้ายทารุณอีกฝ่ายเหมือนกัน เราสามารถเพิ่มความตระหนักรู้และเห็นความย้อนแย้งในสิ่งทั้งปวงรวมถึงในตัวเอง ที่สุดแล้วก็ไม่อาจยึดถือว่าเรื่องเล่าใดเรื่องเล่าหนึ่งเป็นคำตอบเดียวถาวร
ความสัมพันธ์ของเด็กกับผู้ดูแลซึ่งเด็กต้องพึ่ง
แต่หากจะมองว่ามีใครคนหนึ่งมีพฤติกรรมทำร้ายเป็นหลัก (ในที่นี้ขอเน้นเฉพาะทางจิตใจก่อน) คนที่เสี่ยงจะผูกพันกับคนที่ทำร้ายเขา ก็คือคนที่เคยถูกทำร้ายทารุณลักษณะนั้นๆ ในอดีตซึ่งมักเป็นวัยเด็ก (หรืออีกมุมหนึ่ง เด็กไม่ได้ถูกทำร้ายแต่ก็รู้สึกบาดเจ็บและด้อยค่าตนเองไปแล้ว และพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่เจตนาทำร้าย เช่น พ่อแม่จำเป็นต้องทิ้งเด็กตั้งแต่แรกเกิดหรือทอดทิ้งเด็กในโอกาสต่างๆ ที่เด็กกำลังต้องการเพราะจำเป็น)
ทว่าบางกรณีพ่อแม่อารมณ์ร้อนฉับไวในการระเบิดอารมณ์ใส่เด็กเป็นอาจิณเมื่อไม่ได้ดั่งใจ, พรั่งพรูถ้อยคำลดทอดคุณค่า, คอยหักล้างความเป็นจริงที่เด็กรับรู้ถ้าหากมันจะไปกระทบตัวตนของพ่อแม่ ฯลฯ
เด็กแต่ละคนตอบสนองต่อเหตุการณ์ทำนองเดียวกันไม่เหมือนกัน หนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากสถานการณ์ลักษณะนี้ก็คือ เด็กสร้างความชอบธรรมให้พฤติกรรมที่เป็นโทษกับตัวเองซึ่งกระทำโดยคนที่เด็กรักและต้องพึ่งพา เด็กโทษตัวเองแทน สัญญาณเตือนภัยและการตอบโต้จะทำงานอย่างไรหากอันตรายมาจากคนที่ดูแลเด็ก? เด็กอาจไม่เคยรู้สึกดีพอ หวาดระแวงว่าจะถูกทำโทษ ชินกับการทำให้ความทุกข์ของตัวเป็นเรื่องเล็กและความจริงของตัวไม่มีความหมาย อีกทั้งคอยปรับพฤติกรรมคำพูดให้ถูกใจพ่อแม่และคนรอบข้าง
ผู้ใหญ่กับการสานสัมพันธ์ที่ทำร้ายทารุณ
เด็กคนนั้นโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ชินกับการกดความโกรธ ปกป้องอาณาเขตตัวเองได้ยาก และละเลยสัญญาณเตือนภัยแม้จะสัมผัสเค้าลาง โดยเฉพาะเมื่อมันคุ้นมาก และที่ผ่านมาก็เอาแต่บอกตัวเองว่า “ไม่เป็นไร” “ความรู้สึกคนอื่นสำคัญกว่าของเรา”
ในความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก หากเขาได้รับการทุ่มเทกระหน่ำรักในตอนต้นจากคนที่มีพฤติกรรมทารุณแต่เขาคุ้นกับพฤติกรรมและยังไม่ได้ทำงานกับแผลเก่า มันก็ง่ายที่จะถูกดึงดูด (ส่วนความสัมพันธ์ที่นำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ดีกว่าก็ดันไม่น่าสนใจ) อาจถึงขั้นรู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่ถูกด้อยค่า ถูกปั่นให้สงสัยในความรับรู้ของตัวเอง (gaslighted) ถูกแยกให้โดดเดี่ยวทำให้ถูกบงการโดยอีกฝ่ายโดยง่ายนั้น เป็นเคมีที่เข้ากันอย่างอัศจรรย์ เป็นจิตวิญญาณส่วนที่ขาดหาย หลงเชื่อว่าความรักดำรงอยู่ในการถูกข่มเหงและในความโมโหโทโสจากความผิดที่ไม่ได้ก่อ หมกมุ่นกับคนที่ไม่เสถียรเหมือนต้องเดินบนเปลือกไข่ที่จะถูกทำโทษตลอดเวลา ฯลฯ
ความสัมพันธ์อันทารุณในแวงวงทางจิตใจ
หากผู้ที่มีบาดแผลในวัยเด็กไปซ้ำรอยความสัมพันธ์ที่มีการทำร้ายทารุณกับคนในแวดวงแนวหมอดูคนทรง, สำนักจิตวิญญาณอุดมการณ์ ‘ดีงาม’ ในเครือข่ายความสัมพันธ์ที่มีผลประโยชน์และสิเน่หาอื่นๆ เรื่องราวก็จะยิ่งซับซ้อนขึ้น บรรดาผู้รอดอาจถูกต่อว่าแทนทั้งที่ยังต้องพยายามเยียวยาตนเองอย่างหนักและมักแก้ต่างให้กับผู้ทำทารุณ และ/หรือกระทำสิ่งที่กฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิดต่อตนด้วยซ้ำไป
เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ผู้สนใจศึกษาเพิ่มจากสื่อต่างๆ ได้เอง หนังสือซึ่งพยายามไม่ตัดสินฝ่ายใดเลยที่แนะนำคือ The Wisdom of Imperfections มีประเด็นน่าสนใจ เช่น
● ความต้องการ(ไม่ว่ารู้ตัวหรือไม่)เป็นคนโปรด/วงในของครูบาอาจารย์ เจ้าลัทธิต่างๆ เป็นเสมือนความหิวโหยความรักจากพ่อแม่อย่างหนึ่ง
● ผู้มีลำดับขั้นสูงใช้อำนาจเหนือ(ซึ่งอาจไม่รู้ตัวว่าใช้)ในทางที่เป็นโทษในที่ลับต่อผู้ศรัทธาบางคน และอาจปั่นให้ผู้ศรัทธาสงสัยความรับรู้ของตนเอง แต่ผู้ศรัทธาอาจเป็นแพะรับบาปแทน
● ความเชื่อทาง ‘จิตวิญญาณ’ บางทีก็ถูกนำมาชดเชยคุณค่าในตัวที่ผู้ศรัทธารู้สึกขาด หรือความเชื่อกลายเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงความป่วยไข้ร่วมกันของผู้มีศรัทธา(แม้คนเราหาปัญญาได้จากสิ่งที่ถูกเรียกว่าป่วย)
● การนำอำนาจกลับมาที่ตนเองของผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณ
3.
ตื่นๆ! ยอมรับก่อนว่ามีบางอย่างที่เป็นโทษ ซึ่งไม่ใช่การติดอยู่ในบทเหยื่อ
ไม่ว่าบริบทจะเป็นเช่นไร เราอาจตระหนักว่าได้พยายามใช้ความสัมพันธ์ที่มีการทำร้ายมาแก้ไขอดีตที่พ่อแม่ หรือใครสักคนเคยกระทำหรืองดเว้นการกระทำบางอย่างกับเรา
อีกทั้ง เราสามารถทำความเข้าใจ เห็นใจและให้อภัยอีกฝ่ายได้
แต่.. ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพฤติกรรมทารุณต่อเรา เพราะเขาเองก็เคยถูกพ่อแม่/ผู้ดูแลทำแบบนั้นมาก่อนหรืออะไรก็ตาม ขั้นตอนสำคัญของการเยียวยาและออกมาหากต้องการก็คือ ยอมรับให้ได้ก่อนว่าพฤติกรรมนั้นๆ มันทำร้ายหรือเป็นโทษกับเราจริงๆ และเลิกหลอกตัวเองว่าทุกอย่างโอเค
เราไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานการณ์แบบเดิมต่อไปหรอกนะ
อ้างอิง
The Wisdom of Imperfections โดย Rob Preece
Healing Trauma in a Toxic Culture with Dr. Gabor Maté | Being Well Podcast
How to be a Cult Leader สารคดีซึ่งมีฉายใน Netflix
How to Tell if You’re in a Trauma Bonding Relationship: An unhealthy relationship characterized by cycles of ‘love-bombing” and abuse โดย Melissa Porrey LPC, NCC
No Such Thing as a Good Cult with Mark Vicente Part 1 | Navigating Narcissism with Dr. Ramani WATCH THIS! To learn how to break the trauma bond with a narcissist หมายเหตุ* หากต้องการคำอธิบายเพิ่มเติมแบบแรงชัดจัดเต็มให้ดูเนื้อหาของ Dr.Ramani Suryakantham Durvasula แต่หากต้องการข้อมูลที่นุ่มนวลขึ้นให้ค้นหาชื่อ Dr.Gabor Maté