- “คิดมากเกินไปหรือป่าว เรื่องแค่นี้เอง” “ที่ผมนอกใจคุณก็เพราะคุณทำตัวไม่ดีเอง” “ลูกอย่ามาโกรธพ่อนะ นี่คือคนให้กำเนิดนะ”… คุณเคยเจอกับคำพูดแนวๆ นี้หรือไม่ หากเคยได้ยินแปลว่าคุณอาจกำลังถูกปั่นหัว (Gaslighting)
- การปั่น (Gaslighting) ใช้เรียกพฤติกรรมของคนคนหนึ่งที่พยายามเบี่ยงเบน ความคิด หรือความรู้สึกของอีกฝ่าย เพื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่มั่นใจ แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างตงิดใจ สงสัย แต่ไม่กล้าฟันธง ความคิดถูกสั่นคลอน และสุดท้ายคิดว่าตนเองเป็นคนผิดแทน
- พฤติกรรมนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบการทารุณกรรมทางจิตวิทยา (Psychological Abuse) และหากเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ใดบ่อย เช่น เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว คู่รัก ย่อมเป็นหนึ่งในสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ที่ทำให้ความสัมพันธ์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เคลือบแคลง กังวล ไม่มั่นใจ นานวันเข้าก็อาจด้านชากับความรู้สึกตัวเอง และย่อมเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบจากคนที่ไม่หวังดี
หนึ่งในความเจ็บปวดที่สุดของความเป็นมนุษย์ คือ การที่คนคนนั้นไม่สามารถใช้ชีวิตตามเสียงหัวใจที่บอกเขาได้ เขาอาจกำลังสงสัยกับความคิด ความรู้สึกตัวเองว่ามันจริงหรือเปล่าที่ฉันคิดแบบนี้ จนต้องคอยถามความเห็นคนอื่นเสมอว่า สิ่งที่เขารู้สึกมันสมเหตุสมผลไหม
เมื่อไม่สามารถเชื่อใจตนเองได้ก็ยากที่จะรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย เพราะต้องคอยระแวดระวังสงสัยสิ่งที่ตนเองรู้สึกเสมอ
“คิดมากเกินไปหรือป่าว เรื่องแค่นี้เอง”
“เรื่องเล็กน้อย อย่าหยิบมาเป็นประเด็นได้ไหม”
“ที่ผมนอกใจคุณก็เพราะคุณทำตัวไม่ดีเอง”
“ที่พ่อแม่บังคับก็เพราะเรารักลูกไง”
“ลูกอย่ามาโกรธพ่อนะ นี่คือคนให้กำเนิดนะ”
“ไม่จริง! แม่ไม่เคยพูดแบบนั้น มั่วหรือป่าว”
คุ้นๆ กับประโยคตัวอย่างข้างต้นหรือป่าวครับ ?
หากคุ้นอาจแปลว่าคุณอาจเคยถูกปั่นหัว หรือ Gaslighting
สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจกำลังถูกปั่น
- รู้สึกสงสัยและกังวลในความคิดและความรู้สึกของตัวเอง
- รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร
- กังวลว่าตัวเองคิดมากเกินไปหรือป่าว
- รู้สึกกลัวที่จะต้องสื่อสารหรือออกความคิดเห็นกับอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง
- หมดความเชื่อมั่น หมดหวังในตัวเอง และอาจมีภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวลด้วย
- สงสัยว่าอะไรคือความจริง
- ขอโทษเยอะเกินไป ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าผิดจริงหรือไม่
- อีกฝ่ายพยายามเบี่ยงเบนเพื่อหลีกหนีความผิด
- อีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เฉยเมยเพื่อให้เราสับสนกับตัวเอง
Gaslight แปลว่า ตะเกียง เป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่คนหนึ่งพยายามปั่น เบี่ยงเบน ความคิด หรือความรู้สึกของอีกฝ่าย อาจเกิดขึ้นด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ การปั่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่มั่นใจ แม้จะรู้สึกว่ามีบางอย่างตงิดแต่ก็ยังคงสงสัยและไม่กล้าฟันธงความคิดอยู่ดี เพราะเสียงข้างในสั่นคลอนจากการที่ถูกปั่นหัวมาต่อเนื่อง
การปั่นเป็นหนึ่งในรูปแบบการทารุณกรรมทางจิตวิทยา (Psychological Abuse) และหากเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ใดบ่อย เช่น เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว คู่รัก ย่อมเป็นหนึ่งในสัญญาณของความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (Toxic Relationship) ที่ทำให้ความสัมพันธ์นั้นเต็มไปด้วยความสงสัย เคลือบแคลง กังวล ไม่มั่นใจ นานวันเข้าก็อาจด้านชากับความรู้สึกตัวเอง และย่อมเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบจากคนที่ไม่หวังดี
การปั่น (Gaslighting) เป็นการทำร้ายทางจิตใจที่รุนแรงและเจ็บปวด แม้สังคมจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเจ็บปวดทางใจมากเท่าความเจ็บทางกาย แต่งานทางวิทยาศาสตร์พบว่า สมองแทบจะไม่สามารถแยกความเจ็บปวดทางกายและทางใจได้
พูดง่ายๆ ความเจ็บปวดทางใจก็อาจมีความรุนแรงเท่าๆ กับความเจ็บปวดทางร่างกายได้ เพียงแค่ไม่ได้เห็นชัด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นไม่ได้เจ็บปวด การปั่น การใช้คำพูดที่รุนแรง การส่อเสียด จึงควรได้รับความสนใจว่าเป็นหนึ่งในความเจ็บปวดที่สำคัญ
การปั่นเป็นพฤติกรรมที่มักเกี่ยวข้องกับอำนาจ ความรู้สึกเหนือกว่า หลายครั้งคนที่ปั่นก็ทำไปเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจในการควบคุมหรือบงการ (Manipulation) อีกฝ่ายให้จำยอมต่อความจริงที่เขากำลังมอบ ไม่ว่าคนปั่นจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม และยิ่งคนปั่นมีอำนาจทางร่างกายหรือจิตใจที่เหนือกว่าก็ยิ่งจะทำให้การปั่นเป็นไปได้ง่ายขึ้นด้วย
เมื่อโดนปั่นหัวเป็นเวลานาน มีแนวโน้มที่ความเชื่อมั่นในตัวเอง (Self-Esteem) จะลดลงเรื่อยๆ หากมีกรณีที่อีกฝ่ายผิด แต่เขากลับโวยวายว่าเราน่ะคิดมากเกินไป เขาไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แม้จะมีหลักฐานอยู่คาตา แต่ก็มีแนวโน้มที่เราจะสรุปกับตัวเองว่าเรานั้นคิดมากไปตามที่อีกฝ่ายบอก นี่คือความน่ากลัวของการปั่น (Gaslighting) ที่ทำให้เรามองเห็นความจริงบิดเบือนไป
นึกให้เห็นภาพชัดอาจเป็นสถานการณ์ที่ภรรยาจับได้ว่าสามีนอกใจแล้วเขาก็บอกเธอว่า “ที่ผมต้องนอกใจก็เป็นเพราะคุณนั่นแหละที่ไม่ดูแลผม” หากภรรยาไม่ยืดหยัดในความผิดของสามี และเชื่อมั่นในตัวเองมากพอ คำพูดนี้อาจทำให้เธอรู้สึกสับสน และอาจกลับมารู้สึกแย่กับตัวเองที่เป็นสาเหตุให้สามีทำพฤติกรรมแบบนั้น การปั่นนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการบ่ายเบี่ยงความผิดจากสามีไปที่ภรรยาที่มักเห็นได้ในชีวิตประจำวัน
หรืออาจเป็นเหตุการณ์ที่ลูกโกรธที่แม่บังคับลูกให้ไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่แม่ชอบทั้งที่ลูกไม่ได้ต้องการจะเรียนเลย ลูกเคยพยายามอธิบายให้แม่รู้แล้วว่าสาขานี้ไม่ใช่ความชอบลูก ลูกมีอีกที่ที่ลูกชอบ แต่ทุกครั้งแม่ก็จะตอบกลับไปด้วยประโยคทวงบุญคุณว่า “นี่ฉันเป็นแม่แกนะ ฉันน่ะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แกอยู่แล้ว”
จากบริบทนี้แม้แม่จะไม่ได้ตั้งใจจะปั่นลูกให้สับสนกับความต้องการตัวเอง แต่ก็เห็นได้ว่าลูกมีแนวโน้มที่จะรู้สึกแย่ที่ตัวเองมีความต้องการเช่นนั้น แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง แล้วอาจเกิดความรู้สึกโทษตัวเองว่า “ที่ฉันไม่อยากเรียนวิชานี้ เพราะฉันไม่เห็นบุญคุณของแม่” หากลูกไม่ได้ฟังเสียงหัวใจและมองสถานการณ์อย่างเป็นกลางมากพอก็อาจตกหลุมพรางของการปั่นนี้
การปั่นเกิดขึ้นเป็นปกติในทุกความสัมพันธ์ แม้บางครั้งเราจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการปั่นมีผลเสียต่อผู้ถูกกระทำอย่างมาก ผู้พูดอาจจะไม่ได้สนใจคำพูดตัวเองนัก แต่สำหรับคนถูกปั่นบ่อยๆ ก็อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ ได้ จากการที่ไม่สามารถเชื่อความคิด ความรู้สึกตัวเองได้ หรือพูดอีกอย่างคือ คนที่ถูกปั่นอาจไม่สามารถเชื่อมโยงกับตัวเองได้ (Disconnect from Authentic Self) การเชื่อมโยงหมายถึง การรับรู้ ยอมรับความรู้สึก ความคิดของตัวเอง หากปล่อยไว้เป็นเวลานาน เวลาเขาเจอเหตุการณ์ที่ผิด เช่น คนรักทำร้ายเขา จากที่เขาสมควรจะวิ่งหนีเพราะเหตุการณ์อันเลวร้าย เขาก็อาจจำยอมอยู่ในความสัมพันธ์นั้นเพราะไม่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณตัวเองมากพอ
หากอ่านแล้วรู้สึกว่าคุณกำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ว่าจะเป็นคนกระทำ หรือถูกกระทำ
นี่เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่จะทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวด แม้มันจะไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รวดร้าว แต่มันจะค่อยๆ บั่นทอนความเป็นตัวคุณทีละนิดทีละน้อย
วิธีรับมือกับการปั่น 101 (Gaslighting)
- หัวใจสำคัญของการป้องกันการปั่นหัว คือ การเชื่อมั่นในความคิด ความรู้สึกตัวเอง (ไม่ใช่ยึดถือ) จังหวะที่คุณถูกปั่นหัว คุณอาจรู้สึกกังวล ประหม่าอย่างมาก ให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้กลับมามีสติอยู่กับตัวเอง เพราะอีกฝ่ายจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้คุณสับสน ไม่เชื่อมั่นในตัวเองเพื่อที่เขาจะสามารถควบคุมคุณได้ และคุณก็อาจเดินออกจากตรงนั้นก่อน อย่าพึ่งคุยกับเขา หยุดฟังเสียงคนอื่น แล้วกลับมาถาม ‘แค่ตัวเอง’ ว่าสิ่งที่คุณรู้สึกมันจริงไหม ถ้ามันจริงแม้ร้อยคนจะบอกว่ามันไม่จริงมันไม่สมเหตุสมผล แต่สำหรับความรู้สึกส่วนใหญ่มักจะสมเหตุสมผลในตัวเองอยู่แล้ว
- สิ่งที่ต้องระวัง คือ หากคุณเริ่มฝึกที่จะฟังเสียงตัวเองและต่อต้านคนที่ติดนิสัยการปั่นหัว ด้วยความที่เขารู้สึกเหมือนจะสูญเสียอำนาจ และความเคยชินเดิมไป อาจทำให้เขาปั่นคุณแรงขึ้น ให้เตรียมใจรับมือตรงจุดนี้ให้ดี จุดนี้เขาจะมีความกลัวที่คุณจะเปลี่ยนไป ยิ่งกลัวเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้คือจุดชี้วัดเลยให้ใจแข็งมากๆ อาจคิดสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าก็ได้ว่าถ้าเขาทำแบบนี้คุณจะตอบกลับอย่างไร จำลองสถานการณ์ในหัวเลย พอเจอของจริงจะได้ไม่ประหม่าและรู้ว่าต้องตอบโต้อย่างไร
- ตระหนักถึงความจริง พิจารณาหลักฐานที่เรามีอยู่ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงไหม อย่างกรณีที่แม่มาบอกเราว่า “ฉันทำทุกอย่างเพื่อแกนะ” อย่าพึ่งปล่อยให้บุญคุณมาหักล้างความคิด หรือทำให้คุณรู้สึกผิดหากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง คีย์เวิร์ดคือ ถามตัวเองว่าเสียงข้างในบอกว่าอย่างไร
- หากรู้สึกไม่มั่นใจตัวเองจริงๆ ลองหาคนที่ไว้ใจที่เขากล้าบอกความจริง แล้วเล่าเหตุการณ์ให้เขาช่วยออกความคิดเห็นในการตัดสินใจ บางครั้งการเผชิญหน้ากับคนที่ชอบปั่นหัวเพียงลำพังก็เป็นเรื่องยาก การหาใครสักคนเป็นที่พึ่งข้างกายจะช่วยให้เรามองเห็นความจริง และมีจุดยืนกับความจริงที่มั่นคงขึ้น คนนั้นอาจเป็นคนในครอบครัว เพื่อน หรือนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ หรือจิตแพทย์ก็ได้
ความสัมพันธ์ใดก็ตามที่ต้องคอยนั่งกังวลสอบถามตัวเองจนเกินความปกติ เฉกเช่นการปั่น เป็นหนึ่งในความสัมพันธ์ที่ต้องตรวจสอบให้ดีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ แล้วหาทางแก้ไขหรือออกจากความสัมพันธ์นั้นหากรู้สึกรับมือไม่ไหว
การปั่นเป็นพฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีแนวโน้มหลงตัวเอง (Narcissist) และกลุ่มคนที่มักจะตกเป็นเหยื่อวังวนนี้ คือ คนที่มีแนวโน้มเป็นคนที่ชอบพึ่งพาคนอื่น (Codependent) และเช่นเคย อยากเป็นกำลังใจให้ค่อยเป็นค่อยไปกับตัวเองนะครับ การที่มีใครทำไม่ดีกับคุณ ไม่ได้แปลว่าคุณแย่เลย คุณแค่กำลังเจอคนที่อาจไม่ควรค่าที่จะอยู่กับคุณ ซึ่งก็อาจไม่ใช่ความผิดเขาเหมือนกัน เพราะคนที่ปั่นหรือชอบควบคุมคนอื่นก็อาจมีความรู้สึกเบื้องลึกของความไม่ปลอดภัย ไม่แน่นอน กลัวบางอย่างเป็นอย่างมาก จนทำให้เขาต้องพยายามควบคุมสิ่งภายนอกเพื่อให้ข้างในใจเขารู้สึกปลอดภัยขึ้นมา (ชั่วคราว) แต่ก็นั่นแหละครับ วันนี้มันยากลำบาก แต่อีกหน่อยถ้าผ่านไปแล้ว คุณจะรู้สึกเหมือนปลดปล่อยเป็นอิสระเลยแหละ
ขอให้วันนี้เชื่อมั่นในตัวเองครับ 🙂