- ปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตส่วนตัวมีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน บทบาทของนักจิตวิทยาองค์กร นอกจากจะให้คำปรึกษาและจัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพในการทำงาน ยังครอบคลุมไปถึงปัญหาชีวิตและครอบครัวของพนักงานด้วย
- หลักการของจิตวิทยาขององค์กรเป็นเรื่องของการเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น สื่อสารอย่างไรเพื่อให้งานดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ดีลกับเพื่อนร่วมงานอย่างไรภายใต้กรอบที่ทุกคนรับฟังกันโดยไม่ใช้อารมณ์
- ถ้าสถานที่ทำงานเป็นพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ พื้นที่แห่งความปลอดภัย พื้นที่ที่ทำให้คนทำงานสามารถมีความสุขในทุกๆ วัน สังคมนั้นย่อมเป็นสังคมที่มีความสุขตามไปด้วย
ในโลกของการทำงาน หลายคนอาจมองว่าต้องแยกขาดจากเรื่องส่วนตัวรวมถึงครอบครัว แต่ในความเป็นจริง คนทำงานหรือพนักงานทุกคนล้วนมีผู้คนที่ต้องดูแลรับผิดชอบ ซึ่งภาระผูกพันของแต่ละคนอาจมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ทั้งในแง่ของแรงสนับสนุนและปัจจัยฉุดรั้ง ดังนั้นการขีดเส้นแบ่งระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวจึงไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดเสมอไป
โบว์เบเกอรี่เฮาส์ (Bow Bakery House) โดยสองผู้บริหาร ‘คุณโบว์-รุจา และ คุณดำ-วิสิทธิ์ สดแสงเทียน’ เป็นตัวอย่างของสถานที่ทำงานเป็นมิตรกับครอบครัว Family-Friendly Workplace ซึ่งให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการเพื่อให้พนักงานสามารถดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจของตนเองรวมไปถึงครอบครัวได้ ภายใต้ความเชื่อที่ว่าหากพนักงานมีสุขภาวะที่ดี มีชีวิตการทำงานที่ลงตัวกับการดูแลครอบครัว ย่อมทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับงานได้อย่างเต็มที่

หนึ่งในแนวทางการดูแลพนักงานที่น่าสนใจของที่นี่ก็คือ การจัดให้มีนักจิตวิทยาองค์กรคอยให้คำปรึกษา รวมไปถึงออกแบบกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตและความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในครอบครัวของตนเองและในการทำงาน
‘คุณเหมียว’ โศรยา ทองดี เล่าถึงบทบาทการเป็นนักจิตวิทยาองค์กรของตนเองที่โบว์เบเกอรี่เฮ้าส์ ว่านอกจากการให้คำปรึกษาและจัดอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพในการทำงาน เธอยังมีภารกิจในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความสุขและความเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งในกลุ่มพนักงานด้วยกันเอง และระหว่างพนักงานกับผู้บริหาร
สิ่งแรกที่คุณเหมียวริเริ่มในฐานะนักจิตวิทยาองค์กร คือการสร้าง ‘ห้องเก็บความรัก’ ซึ่งเปรียบเสมือนพื้นที่แห่งความไว้วางใจที่ทุกคนในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับปฏิบัติงาน หัวหน้าฝ่าย หรือแม้แต่ผู้บริหาร ต่างสามารถแวะเข้ามาพูดคุยเปิดใจ ระบายความรู้สึก และขอรับคำปรึกษาได้อย่างเท่าเทียมกัน
“ห้องเก็บความรัก ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีหน้ากาก ทุกคนสามารถระบายปัญหาได้อย่างอิสระ โดยที่เราจะเริ่มต้นตั้งแต่ว่าแต่ละคนมีความเครียดอย่างไร มีปัญหาอะไรบ้าง มาทำงานมีความสุขไหม หรือผลกระทบอะไรที่ทำให้เขาทำงานแล้วประสิทธิภาพน้อยลง
เหมียวจะใช้วิธีหนึ่งก็คือการเปิดใจ รับฟังแล้วก็เข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละคน โดยเหมียวจะไม่ใช้ศัพท์ยากๆ ไม่เข้าไปแทรกแซงในระบบการทำงานของเขา หรือแก้ปัญหาให้โดยตรง แต่จะช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายและเปิดใจพูดคุยถึงสิ่งที่เป็นปัญหาในชีวิตหรือการทำงาน”

แม้ว่าการเข้าพบนักจิตวิทยาในสังคมไทยดูจะเป็นเรื่องที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่ยังมีหลายคนที่มองว่าเป็นเรื่องน่าอายและกลัวคนอื่นจะมองไม่ดี คุณเหมียวจึงปรับตัวและลองเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับตัวบุคคลเพื่อให้ห้องเก็บความรักของเธอเข้าถึงพนักงานทุกคนได้ง่ายขึ้น
“เหมียวมีเครื่องมือเยอะแยะมากมายเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Sound Healing ในการบำบัด หรือแม้กระทั่งการดูดวง ซึ่งเป็นวิธีการที่ช่วยให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสและพูดคุยกับเราง่ายๆ เลย
คือคนไทยนะคะ พอบอกว่าให้ไปหานักจิตวิทยา เขาจะมีกำแพงละ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันไม่ได้ป่วยนะ ฉันไม่ได้บ้า ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย เฮ้ย! มันเป็นเรื่องส่วนตัวทำไมต้องมา คือคนจะมี Bias (อคติ) ก่อนว่านักจิตวิทยาจะวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคอะไรหรือเปล่า จะจ่ายยาให้ฉันหรือเปล่า จะส่งฉันไปโรงพยาบาลอีกหรือเปล่า แต่ถ้าบอกว่าดูดวงปั๊บมาเลย การเงิน การงาน ปัญหาความรัก สุขภาพ เขาจะถามทันที ไม่ต่อรองสักคำ แถมยังจ่ายเงินได้ ถูกต้องไหมคะ

จริงๆ แล้วนักจิตวิทยาในเมืองไทย Culture อาจจะมาจากหมอดูเลยก็ได้ ถ้าหมอดูมีเซนส์ของจิตวิทยานิดนึง จะรู้ว่าสามารถใช้เรื่องพวกนี้ ในการเข้าถึงสภาวะจิตใจของคน แล้วก็ให้คำปรึกษาได้เป็นอย่างดี
เหมียวให้คำปรึกษาหลายเรื่องเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการเงิน เรื่องครอบครัว Social Toxic หรือจะเป็นแบบ Toxic People, Toxic Emotions เราก็รับฟังและให้คำปรึกษาได้ทั้งหมด แต่จะไม่ไปล้วงลูกถึงขนาดแก้ไขปมลึก เหมียวจะประเมินว่าเขามีระดับปัญหาตรงจุดไหน ถ้าเป็นปัญหาระดับเคมีในสมอง เราก็จะทำการส่งต่อไปยังจิตแพทย์ให้เขากินยา แต่ระหว่างนั้นเราจะคอยพูดคุยให้เขารู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ก่อน”
นอกเหนือจากการเป็นผู้ฟังที่ดีและมอบเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับผู้รับคำปรึกษานำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว คุณเหมียวยังเน้นเรื่องความเมตตาต่อกันในองค์กร เธอมองว่าสิ่งนี้จะช่วยสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชีวิตการทำงาน
“สำหรับเหมียว หลักการของจิตวิทยาขององค์กรนั้นเป็นเรื่องของการเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น เริ่มจากตัวเองที่จะสื่อสารให้เราเข้าใจผู้อื่น สื่อสารยังไงเพื่อให้งานมันดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ดีลกับเพื่อนร่วมงานยังไงภายใต้กรอบที่ทุกคนรับฟังกันโดยไม่ใช้อารมณ์ เพราะหนึ่งวันคนเรามาทำงานก็ 7-8 ชั่วโมงแล้ว มันเป็นโลกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เยอะพอสมควร
เพราะฉะนั้นถ้าใครมาทำงานแล้วเขาสามารถเข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจปัญหา เข้าใจสภาวะอารมณ์ตัวเอง แล้วเขาสามารถสร้างพื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ สร้างพื้นที่แห่งความปลอดภัย สร้างพื้นที่ที่ทำให้เขามีความสุขในทุกๆ วัน สังคมนั้นมันจะแฮปปี้มากๆ เลย
จริงๆ ปัญหาบางเรื่องอย่างปัญหาครอบครัวมันก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ถ้ามองในมุมของนักจิตวิทยา เราแค่ให้คำปรึกษาหรือเครื่องมือไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็แล้วแต่บุคคลคนนั้นว่าเขาจะนำไปใช้ยังไง แต่สิ่งสำคัญที่เหมียวเน้นย้ำคือเรื่องความเมตตา ให้เรามีความเมตตาต่อกัน รับฟังกัน ไม่ปิดกั้นกันไม่ว่าจะเป็นอารมณ์บวกหรือลบ แล้วก็ดีลกับอารมณ์นั้นได้
ลองคิดดูว่าถ้าเป็นเรื่องของใครของมัน สมมติเพื่อนร่วมงานของเราทะเลาะกับสามี หรือลูกมีปัญหา เขาก็จะแบกอารมณ์ที่เป็นก้อนขมุกขมัวนั้นมาทำงาน นั่งทำงานอยู่เงียบๆ คนเดียวในมุมมืด ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่ทักทายคนข้างๆ ถามว่าเรายังจะทำงานอย่างมีความสุขไหม แต่ถ้าเราหันหน้าไปมองเพื่อนเรา บางทีไม่ต้องพูดอะไร แค่เข้าไปกอด ไปจับไหล่ให้กำลังใจ แล้วถามนิดนึงว่า “กินข้าวหรือยัง” นี่ก็คือความเมตตาแล้วค่ะ ซึ่งในโลกของเรา พื้นฐานเรื่อง Empathy สมควรที่จะถูกผลักดันและปลูกฝังค่ะ”

เมื่อถามถึงแนวทางการออกแบบกิจกรรมต่างๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงาน คุณเหมียวยกตัวอย่าง คอร์สจิตวิทยาสี ที่ช่วยให้พนักงานรู้จักลักษณะนิสัยของตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น
“เป็นหลักสูตรของ Birkman Test ค่ะ นักจิตวิทยาชื่อคุณเบิร์กแมนได้คิดค้นวิธีการจำแนกมนุษย์ออกเป็น 4 สี แต่ละสีจะมีจุดเด่นจุดด้อยจุดบอดต่างกัน ซึ่งในทีมหรือองค์กรมักจะมีคนอยู่ 4 ประเภท แบบสีแดงเป็นคนลงทุนเป็นผู้นำ สีน้ำเงินเป็นนักสร้างสรรค์ นักนวัตกรรม สามารถทำงานรูทีนเก่ง สีเหลืองเป็นคนที่มีความละเอียดรอบคอบสามารถเป็นนักบัญชีได้ หรือแบบสีเขียวจะเป็นนักประชาสัมพันธ์ที่สามารถรวมใจคนได้ ซึ่งถ้าทุกสีก้าวข้ามจุดบอดของตัวเอง เข้าใจในจุดด้อยของแต่ละสีที่ต่างกัน และสามารถทำงานร่วมกันเป็นทีม เหมียวว่าอันนี้คือประสิทธิภาพที่จะนำองค์กรไปได้อย่างสร้างสรรค์ที่สุด”
นอกเหนือจากความเข้าใจในความแตกต่างด้านลักษณะนิสัยแล้ว คุณเหมียวยังชวนทุกคนมองลึกลงไปในความเป็นมนุษย์ที่เราต่างมีเหมือนกัน ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มสีไหนก็ตาม
“ไม่มีใครสุขหรือทุกข์ตลอด ทุกคนต่างมีมุม God Mode และ Evil Mode ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราจะไม่มองว่าคนอื่น Toxic เลย เพราะเราเข้าใจมนุษย์ เราเข้าใจคนอื่นเหมือนที่เราเข้าใจตัวเอง เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าใจผู้อื่นได้ แล้วไม่ตัดสินเขา เราต้องเข้าใจตัวเองและต้องไม่ตัดสินตัวเองก่อน
ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราจะปรับตัวเองยังไงให้เข้าใจเพื่อนมนุษย์มากขึ้น เพราะตัวเราเองก็มีมุมที่ Toxic เหมือนกัน เพื่อนร่วมงานเราก็เช่นกัน แล้วทำไมเราไม่หันด้านที่เป็น God Mode ใส่กันใช่ไหมคะ”
แม้กิจกรรมในลักษณะนี้จะช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานได้ แต่ต้องยอมรับว่าหากไม่มีการสนับสนุนจากผู้บริหารองค์กร ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะต้องใช้ทั้งชั่วโมงการทำงานและค่าใช้จ่าย ซึ่งคุณเหมียวบอกว่าที่โบว์เบเกอรี่เฮ้าส์นอกจากผู้บริหารจะสนับสนุนในทุกด้านแล้ว ยังร่วมปฏิบัติกับพนักงานด้วย
“เรามีกิจกรรม Sound Bath เป็น Crystal Bowl สำหรับคนที่แพนิกให้เขารู้สึกดีขึ้น แล้วที่นี่ก็มีศูนย์ภาวนา มีกระท่อมแห่งการฝึกสติทั้งหมด 3 หลัง ทั้งหมดสร้างจากแรงจูงใจของ CEO คือคุณโบว์กับคุณดำ เพื่อให้พนักงานทุกคนมีพื้นที่ที่สามารถมาฝึกสติด้วยตัวเองได้โดยไม่ต้องลางาน คือวันไหนที่พนักงานมาทำงานแล้วรู้สึกมีปัญหาต่างๆ ก็สามารถมาฝึกสติในบริษัทได้เลย โดยที่ CEO จะนับเป็นเวลางานให้ด้วย พอเขาได้มาเดินจงกรม สวดมนต์ ฝึกภาวนาทั้งวัน เขาก็สงบขึ้น เรียนรู้กับสภาวะอารมณ์ของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น แล้วก็กลับไปทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันนี้เห็นผลชัดเจนเลยค่ะ

ศูนย์ภาวนานี้เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับพนักงาน และไม่ใช่แค่พนักงานอย่างเดียวนะคะ ครอบครัวของพนักงานก็สามารถเข้ามาใช้สถานที่ตรงนี้ได้ หรือแม้กระทั่งเข้ารับบริการให้คำปรึกษาค่ะ เพราะเหมียวให้คำปรึกษาแฟนของพนักงาน พ่อแม่ของพนักงาน ลูกของพนักงานด้วยถ้าใครอยากเข้ามารับบริการก็ติดต่อลงคิวได้ เหมียวจะให้คำปรึกษา 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ ซึ่งทั้งหมดไม่มีค่าใช้จ่ายเพราะเหมียวเองก็ถือเป็นพนักงานคนหนึ่ง เพียงแต่อยู่ในส่วนของศูนย์ภาวนาค่ะ”
คุณเหมียวทิ้งท้ายว่า นักจิตวิทยาองค์กรในมุมของเธออาจเปรียบได้กับการเป็น Healer หรือผู้ส่งต่อพลังงานบวก เพราะเธอมองว่าถึงที่สุดหน้าที่ของเธอไม่ใช่แค่การเยียวยาปัญหาของแต่ละคน แต่ยังช่วยให้คนเหล่านั้นสามารถส่งต่อพลังบวกแก่ผู้อื่นต่อไป
“เหมียวชอบคำว่านักปรึกษาเยียวยาอารมณ์มาก และชอบให้ตัวเองเป็น Healer เพราะเวลาเราส่งต่อพลังงานที่เยียวยาผู้คน เมื่อคนๆ นั้นเยียวยาตัวเองได้แล้ว เขาก็สามารถเยียวยาเพื่อนร่วมงานและคนรอบข้างของเขาได้ด้วย มันเริ่มจากหนึ่งแล้วก็ส่งต่อออกไป จนเกิดเป็นองค์กรขึ้นมาเหมียวว่าอันนี้มันน่ารัก และอยากให้ทุกองค์กรเปิดกว้างให้นักจิตวิทยาเข้าไปช่วยทำงานในองค์กรมากขึ้น เพราะตอนเราเป็นเด็ก เรายังมีครูแนะแนวประจำโรงเรียนเพื่อช่วยให้เรารับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ ดังนั้นจิตวิทยาไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่มันคือการดูแลและพัฒนาชีวิตของเราให้ดีขึ้น อยากให้ทุกคนสนับสนุนแล้วก็เข้าใจในเรื่องจิตวิทยามากขึ้นค่ะ”