- เอเซ็กชวล (asexual) เป็นหนึ่งในความหลากหลายทางเพศ ในด้านชีวิตรัก พวกเขาไม่รู้สึกดึงดูดใจหรืออยากเป็นคู่รักกับเพศใดๆ เลย รวมถึงไม่ได้ต้องการโดยไม่มีเหตุผลักดันภายนอกอะไร คนกลุ่มนี้มีเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
- เอเซ็กชวลที่อยู่ในแต่ละสังคมวัฒนธรรมอาจมีขอบเขตของพฤติกรรมที่แสดงความใกล้ชิดที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือพวกเขาจะไม่ทำในสิ่งใดๆ เพราะไปตอบสนองต่อความต้องการทางเพศในมุมมองและการรับรู้ของตน
- เอเซ็กชวลบางคนก็ต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัวให้มีคู่รัก แต่งงาน หรือมีลูก ถ้าตอนนี้สังคมเริ่มยอมรับได้ที่คนเพศเดียวกันจะเป็นคู่รักกัน สังคมก็ควรเปิดใจยอมรับคนที่ไม่ต้องการชีวิตคู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ช่วงที่ผมเขียนบทความนี้ หากพูดถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ คือเรื่องของกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับประเทศไทยครับ การรณรงค์จากหลายๆ ฝ่ายทำให้เรารู้ว่า ความรักแม้จะเป็นเรื่องของคนสองคน แต่การยอมรับจากสังคมและกฎหมายก็มีส่วนสำคัญที่จะทำให้บุคคลไม่ว่าเพศใดมีความสุขในสังคมได้อย่างไม่ถูกกีดกันในด้านต่างๆ ตอนนี้แวดวงสื่อทั้งซีรีส์โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หรือการ์ตูนก็มีการสอดแทรกเนื้อหาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ LGBTQ+ เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งส่วนใหญ่นั้นจะเน้นไปทาง ‘ชีวิตรัก’ เป็นแกนเรื่องเกี่ยวกับความรักรูปแบบที่ต่างออกไป เช่น รักเพศเดียวกัน แต่วันนี้ผมจะมาชวนคุยถึงคนกลุ่มหนึ่งของสังคม ซึ่งเรียกว่า ‘เอเซ็กชวล’ (asexual) ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในความหลากหลายทางเพศเช่นกัน แต่ในด้านชีวิตรัก พวกเขาไม่รู้สึกดึงดูดใจหรืออยากเป็นคู่รักกับเพศใดๆ เลย ถึงแม้ว่าเอเซ็กชวลจะมีอยู่น้อยมากในสังคมแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามแน่นอน และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักคนกลุ่มนี้กันครับ
เวลาเราพูดถึงเรื่อง ‘เพศ’ เราต้องรู้ก่อนว่า คำนี้ประกอบด้วยหลากหลายแง่มุม สิ่งที่ชัดเจนสุดคือร่างกายว่าสรีระเป็นแบบไหน เพศหญิง เพศชาย หรือมีความคลุมเครือ (intersex) นอกจากนี้ยังมีเรื่องของอัตลักษณ์ทางเพศ (sexual identity) ว่าตัวบุคคลเองรับรู้ว่าตนคือเพศไหน ซึ่งไม่จำเป็นต้องตรงกับร่างกายก็ได้ (เลยมีคำว่าบุคคลข้ามเพศหรือ transexual เกิดขึ้น) นอกจากนี้ยังมีอีกด้านที่สำคัญซึ่งใช้เป็นจุดแบ่งคือเรื่องของ ‘เพศวิถี’ (sexual orientation) คำนี้เป็นคำทางวิชาการอาจจะไม่คุ้นหูนัก แต่ความหมายนั้นเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดี เพศวิถี คือ ลักษณะที่คงทนของแต่ละคนว่ารู้สึกดึงดูดใจกับคนเพศไหน ซึ่งการรู้สึกดึงดูดที่ว่ารวมถึงความรู้สึก ‘รักใคร่’ ในแบบทางเพศ หรืออยากเป็นคู่รักอยากมีเพศสัมพันธ์ทางเพศกับเพศใด เพศวิถีเองก็มีรายละเอียดเชิงลึกทางทฤษฎีที่ต่างกันไปตามนักวิชาการแต่ละท่าน แต่ทฤษฎีที่ได้รับความนิยมคือทฤษฎีของเพศวิถีของ ไมเคิล สตอร์ม (ค.ศ. 1980) ว่าเพศวิถีนั้นถูกกำหนดใน 2 มิติ ดังภาพด้านล่างครับ
จากแผนภาพด้านบน คนเราจะมีความรู้สึกดึงดูดทางเพศใน 2 แกน แกนหนึ่งคือดึงดูดทางเพศต่อบุคคลต่างเพศ และอีกแกนคือดึงดูดทางเพศต่อบุคคลเพศเดียวกัน ระดับความรู้สึกดึงดูดทั้ง 2 อย่างนั้นเป็นอิสระต่อกัน จะมากหรือน้อยก็ไม่เกี่ยวข้องกับอีกแกน หากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศมาก และดึงดูดต่อบุคคลเพศเดียวกันน้อย ก็จะเรียกว่าชายแท้หรือหญิงแท้ (straight) หากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศน้อย และดึงดูดทางบุคคลเพศเดียวกันมาก ก็จะเรียกว่าเกย์หรือเลสเบียน หากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศและเพศเดียวกันมากทั้งคู่ ก็จะเรียกว่าไบเซ็กชวล (bisexual) และหากรู้สึกดึงดูดต่อบุคคลต่างเพศและเพศเดียวกันน้อยทั้งคู่ ก็จะเรียกว่าเอเซ็กชวล (asexual)
เราน่าจะคุ้นเคยกับเพศวิถี 3 ประเภทแรกกันดี แต่เราอาจจะไม่คุ้นเคยกับเอเซ็กชวล การที่ดึงดูดทางเพศต่อบุคคลต่างเพศและเพศเดียวกันน้อยทั้งคู่ทำให้เอเซ็กชวลไม่สนใจที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศใดๆ ไม่รู้สึกอยากมีคู่รัก ไม่รู้สึกอยากมีเพศสัมพันธ์ สิ่งที่น่าสังเกตคือเรากำลังพูดถึง ‘การดึงดูดใจ’ นั่นแปลว่าเป็นเรื่องทางความคิดหรือจิตใจ ดังนั้นเราไม่ถือว่าบุคคลทุพพลภาพที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้แต่ในใจยังอยากมีอยู่นั้นเป็นเอเซ็กชวล และเอเซ็กชวลไม่รวมถึงบุคคลที่ข่มใจตัวเองไม่ให้ต้องการมีความรู้สึกดึงดูดดังกล่าว เช่น บุคคลที่ที่ต้องการถือพรหมจรรย์ด้วยเหตุผลทางศาสนา ความเชื่อ หรือเหตุผลอื่นๆ
เอเซ็กชวลไม่ได้รู้สึกและไม่ได้ต้องการโดยไม่มีเหตุผลักดันภายนอกอะไร “แค่ไม่อยากเฉยๆ” ครับ ฟังดูแล้วอาจเป็นเรื่องแปลกสำหรับหลายๆ คน เพราะเราคุ้นชินกับสังคมวัฒนธรรมที่ถือว่าชีวิตรักคือเรื่องใหญ่ของทุกคน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือทั้งแวดวงวรรณกรรมและดนตรีโดยหลักแล้วจะเกี่ยวข้องกับความรัก และเรื่องความรักและการแต่งงานในวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้นนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในเป้าหมายชีวิตของใครหลายๆ คน แต่เอเซ็กชวลนั้นมีอยู่จริง จากการสำรวจในประเทศตะวันตกหลากหลายงานพบว่ามีเอเซ็กชวลประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์จากกลุ่มตัวอย่างซึ่งก็ถือว่ามีน้อยมาก แต่หากเรามองถึงปริมาณของมนุษย์ทั้งโลกแล้ว 1 เปอร์เซ็นต์ก็ถือว่าไม่น้อยเลยจริงไหมครับ
สาเหตุที่ว่าคนเราจะมีเพศวิถีแบบใดนั้นยังเป็นสิ่งที่แวดวงวิชาการยังไม่มีคำตอบแน่ชัด และยังคงวิจัยหาคำตอบกันอยู่ แต่เป็นไปได้ว่ามาจากทั้งเรื่องของปัจจัยภายในคือ ร่างกายหรือพันธุกรรม และเรื่องของปัจจัยภายนอกอย่างการเลี้ยงดู ประสบการณ์ และการเรียนรู้ และปฏิสัมพันธ์ของทั้งภายในและภายนอก (เช่น การมีร่างกายแบบหนึ่ง เอื้อต่อการพบประสบการณ์แบบหนึ่งๆ) แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ได้แน่ชัดคือการมีเพศวิถีหลากหลายนั้นเป็นเรื่องปกติของธรรมชาติ พฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์ในเพศเดียวกันพบได้เป็นปกติในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สิงโต โลมา หรือช้าง ฯลฯ และตัวอย่างของสัตว์ที่มีความหลากหลายเรื่องเพศวิถีสูงมากอย่างคือแกะ ที่จะพบว่าจะมีบางตัวที่ดึงดูดกับเพศเดียวกันเท่านั้น และพบว่ามีส่วนน้อยที่เป็นเอเซ็กชวล ซึ่งไม่มีความปกติทางร่างกายใดๆ แต่ไม่พบว่าร่างกายดึงดูดกับเพศใดๆ เลย
หากเรายึดตามแผนภาพของสตอร์ม เพศวิถีเป็นระดับที่มีการลดหลั่นกันไปจากต่ำไปสูง ชายแท้หรือหญิงแท้ก็อาจมีระดับการดึงดูดต่อบุคคลเพศเดียวกันได้ แต่อยู่ในระดับต่ำ หรือไบเซ็กชวลก็อาจจะดึงดูดเพศเดียวกันกับเพศตรงข้ามในระดับที่แตกต่างกัน เช่น ไบเซ็กชวลบางคนอาจจะดึงดูดใจกับเพศตรงข้ามมากกว่าเพศเดียวกัน จุดตัดว่าสูงหรือต่ำนั้นไม่มีตำแหน่งที่ตายตัวแน่ชัด หากใครที่มีด้านไหนสูงหรือต่ำเป็นพิเศษอาจจะชัดเจนในเพศวิถีของตนเอง แต่หากมีความก้ำกึ่งว่าคือดึงดูดใจกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามในระดับกลางๆ ทั้งคู่ก็อาจจะอยู่ในโซนสีเทาที่ยังไม่ชัดเจนได้ว่าเป็นเพศวิถีใด
เช่นเดียวกัน เอเซ็กชวลเองก็ไม่ได้มีระดับของการดึงดูดทางเพศที่เท่ากันหมด และทำให้แต่ละคนมีรูปแบบชีวิตในเรื่องความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไป เอเซ็กชวลบางคนไม่มีความรู้สึกต้องการความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากไปกว่าความสัมพันธ์เชิงเครือญาติหรือเพื่อนสนิท หรือเอเซ็กชวลบางคนก็ยังต้องการความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ต้องการสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความโรแมนติกอย่างเช่นการกอด หรือการจูบ ซึ่งมีคำเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าเป็นแบบ ‘queerplatonic’ คือใกล้ชิดสนิทสนมอย่างยิ่งแต่ไม่มีเรื่องโรแมนติกมาเกี่ยวข้องเด็ดขาด
หรือเอเซ็กชวลบางคนอาจจะมีความสัมพันธ์แบบโรแมนติก แต่ไม่สนใจที่จะมีความรู้สึกและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ อาจจะต้องการกอดหรือจูบบุคคลที่อยากจะสัมพันธ์ชิดใกล้ แต่เจ้าตัวจะไม่รู้สึกว่านั่นทำไปเพราะความต้องการทางเพศ (ในบางชาติการจูบทำได้ในหลายโอกาส ไม่เพียงแต่ในคู่รัก)
คำถามที่ว่าแล้วพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่าเป็นเรื่องทางเพศนั้นค่อนข้างซับซ้อนครับ เพราะสิ่งดังกล่าวแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม เอเซ็กชวลแต่ละคนที่อยู่ในสังคมหลากหลายเลยมีขอบเขตของพฤติกรรมที่แสดงความใกล้ชิดที่แตกต่างกันไปด้วย
แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือเอเซ็กชวลจะไม่ทำในสิ่งใดๆ เพราะไปตอบสนองต่อความต้องการทางเพศในมุมมองและการรับรู้ของตน
ความแตกต่างของเอเซ็กชวลยังรวมไปถึงเรื่องทางเพศที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเอเซ็กชวลบางคนอาจจะปราศจากความรู้สึกถูกกระตุ้นในเชิงสรีระใดๆ ไม่มีแม้แต่ความต้องการ ‘ช่วยตัวเอง’ แต่ร่างกายของบางคนก็ยังถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวทางเพศได้ (ร่างกายตอบสนองเช่นอวัยวะเพศชายแข็งตัว) แต่จะไม่ทำให้เจ้าตัวรู้สึกว่าอยากมีเพศสัมพันธ์ มีคำสัมภาษณ์จากงานวิจัยที่เห็นภาพคือ เอเซ็กชวลที่ร่างกายเป็นเพศชายท่านหนึ่งบอกว่าการช่วยตัวเองก็เหมือน “การระบายของที่ค้างในร่างกายออกไป” ไม่ใช่เพื่อความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศ เอเซ็กชวลอาจใช้การจินตนาการถึงบุคคลเพศเดียวกันหรือต่างเพศเพื่อกระตุ้นให้ถึงจุดสุดยอดในการช่วยตัวเอง แต่บุคคลที่นึกถึงนั้นมักจะเป็นบุคคลที่ไม่มีตัวตนอยู่จริง บางคนจินตนาการถึง ‘ตัวเองในเวอร์ชันเพศตรงข้าม’ หรือต่อให้จินตนาการถึงคนที่มีอยู่จริง เอเซ็กชวลก็ไม่มีความต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลนั้นแต่อย่างใด
นอกจากนี้ เอเซ็กชวลบางคนอาจจะแต่งงานด้วยเหตุผลอื่น ๆ นอกเหนือจากการอยากมีคู่รักหรือต้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศ โดยเฉพาะคนที่ยังต้องการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือความสัมพันธ์แบบโรแมนติกก็อาจเลือกที่จะใช้ชีวิตในรูปแบบคู่แต่งงานกับคนนั้น แม้ว่าตนเองจะไม่ต้องการความสัมพันธ์ทางเพศ และอาจจะมีเพศสัมพันธ์เพื่อตอบสนองความต้องการของอีกฝ่าย หรือบางคนแต่งงานเพราะต้องการมีลูก บางคนแต่งงานเพราะอิทธิพลจากสังคม หรือแม้แต่เรื่องของเศรษฐกิจเช่นสวัสดิการที่เกี่ยวกับครอบครัว
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ หลายๆ ท่านอาจจะเห็นแล้วว่าเอเซ็กชวลมีรายละเอียดและความหลากหลายที่มาก และด้วยจำนวนที่น้อย สังคมเองก็ไม่ได้มีการตระหนักว่ามีเพศวิถีนี้เท่าใดนัก ในบางสังคมไม่รู้ว่าเอเซ็กชวลมีอยู่จริงด้วยซ้ำ การประกาศตนว่าเป็นเอเซ็กชวลจึงหายากมาก แถมบางสังคมก็อาจจะเข้าใจผิดว่าเอเซ็กชวลเป็นเหมือนโรค อย่างไรก็ตามในแวดวงการแพทย์ เช่น คู่มือวินิจฉัยอาการผิดปกติทางจิตฉบับที่ 5 (DSM 5) ที่เป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคของแพทย์ในสหรัฐอเมริกาและอีกหลายๆ ประเทศ ไม่ถือว่าเอเซ็กชวลหรือเพศวิถีอื่นๆ คือโรค แต่เป็นความแตกต่างของความพึงพอใจ นอกจากนี้จากงานวิจัยคนทีเป็นเอเซ็กชวลไม่ได้รู้สึกแย่หรือทุกข์ที่ตัวเองไม่มีความสนใจทางเพศหรือดึงดูดใจกับเพศใดๆ ไม่ได้เดือดร้อนจนกระทบจนใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้ และไม่ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่มีปัญหาที่ต้องบำบัด
แม้ว่าจะมีอยู่เพียงประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ในสังคม แต่เอเซ็กชวลก็เป็นประเด็นที่ผมคิดว่าทุกๆ สังคมควรให้ความสำคัญ การสำรวจในต่างประเทศพบว่าปัญหาหลักๆ ของเอเซ็กชวลหลายคนคือเรื่องของการยอมรับทางสังคม ด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องเอเซ็กชวลยังมีน้อย การเปิดตัวว่าพวกเขาเป็นเอเซ็กชวลและได้รับการยอมรับจึงเป็นเรื่องยากตามไปด้วย
คนส่วนใหญ่ในสังคมยังไม่เข้าใจมุมมองของเอเซ็กชวล และคิดว่ามนุษย์ย่อมต้องการมีความสัมพันธ์ทางเพศ หรือมีคู่รัก และไม่เข้าในว่าเอเซ็กชวลไม่ใช่มีข้อจำกัด ไม่ได้ป่วย หรือไม่ได้ฝืน ที่ไม่มีสิ่งนั้น แต่พวกเขาไม่ต้องการจะมีจริงๆ
และเป็นเรื่องปกติที่คนเรานั้นหากสนิทกับใครเช่น คนในครอบครัว หรือเพื่อน ก็อยากให้เข้าใจถึงตัวตนเขาในทุกแง่มุม เพศวิถีเองก็เป็นเรื่องหนึ่งที่แม้ว่าจะไม่ต้องป่าวประกาศกับสังคม แต่หากแม้แต่คนใกล้ชิดยังไม่เข้าใจ ก็ย่อมสร้างความทุกข์ ความเครียด และความอึดอัดให้กับคนกลุ่มนี้ เอเซ็กชวลเองก็เหมือนคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศอื่นๆ นอกเหนือจากชายหรือหญิง (หรือกลุ่ม LGBTQ+) ที่ต้องการให้สังคมยอมรับความเป็นตัวของเขา
เอเซ็กชวลบางคนก็ต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัวให้มีคู่รัก แต่งงาน หรือมีลูก ถ้าตอนนี้สังคมเริ่มยอมรับได้ที่คนเพศเดียวกันจะเป็นคู่รักกัน ดังนั้นคนที่ไม่ต้องการจะมีคู่รักไม่ว่าจะด้วยเหตุผลว่าเขาเป็นเอเซ็กชวล ก็น่าจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สังคมควรเปิดใจยอมรับเช่นกัน (แต่แน่นอนครับว่าต่อให้ไม่ใช่เอเซ็กชวล ก็ไม่จำเป็นจะต้องการมีคู่รักหรือแต่งงานทุกคน) ส่วนเอเซ็กชวลบางคนที่อยากแต่งงาน หากคู่ของพวกเข้าใจว่าจะมีความสัมพันธ์กันในแบบใด เข้าใจว่าฝ่ายเอเซ็กชวลมอบความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่ต่างไปจากคู่รักปกติ และยอมรับเรื่องนั้นได้ ไม่มีการปิดบัง นั่นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดเพราะทั้งสองฝ่ายต่างพอใจ
ในแง่มุมที่กว้างขึ้นอย่างเรื่องของนโยบายระดับประเทศ ก็อาจจะต้องคำนึงถึงตัวตนของเอเซ็กชวลเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่ไม่ว่าภาครัฐของประเทศใด ณ ปัจจุบันก็ต้องการสนับสนุนการมีครอบครัวและการมีลูกด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ (อ่านเพิ่มเติมในบทความ “ทำไมรัฐบาลกับป้าข้างบ้านอยากให้เราแต่งงาน”) และแน่นอนว่าในเอเซ็กชวลนั้น การมีครอบครัวและลูกอาจเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แม้ว่าไทยและหลายๆ ประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับคู่รักเพศเดียวกัน รวมถึงการรับอุปการะบุตรบุญธรรมอย่างถูกกฎหมายสำหรับคู่ที่ต้องการมีครอบครัว แต่กับคนที่ไม่ต้องการมีครอบครัวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ นั้น ก็ไม่ควรจะกลายเป็นฝ่ายที่เสียประโยชน์จนเกินไป การที่สังคมเริ่มมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับเอเซ็กชวล อาจจะทำให้นโยบายของภาครัฐใส่ใจในประเด็นเหล่านี้มากขึ้นก็ได้
ในปัจจุบันมีเครือข่ายของกลุ่มคนเอเซ็กชวลที่ชื่อ ‘เครือข่ายการมองเห็นและการศึกษาเกี่ยวกับเอเซ็กชวล’ (Asexual Visibility and Education Network หรือ AVEN) กลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นเพื่อสร้างการยอมรับเอเซ็กชวลในสังคม ส่งเสริมและเผยแพร่งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเอเซ็กชวล รวมถึงจัดพื้นที่ในการถกประเด็นในเรื่องดังกล่าว และอำนวยความสะดวกในการเติบโตของของชุมชนเอเซ็กชวล ตอนนี้มีสมาชิกทั่วโลกประมาณ 50,000 คน
แม้ในประเทศไทยเรื่องนี้จะยังเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่มีการพูดถึงมากนัก แต่การยอมรับความแตกต่างหลากหลายของคนในด้านต่างๆ เริ่มเปิดกว้างมากขึ้น ผมว่าคงมีสักวันหนึ่งที่คนในทุกๆ เพศวิถีจะมีชีวิตอยู่ได้แบบเต็มภาคภูมิในสังคมเหมือนกับ ‘ชายแท้’ หรือ ‘หญิงแท้’ ที่สังคมสมัยเก่ามองว่าคือเพศวิถีหลัก ผมมองว่าสังคมที่ยอมรับความแตกต่างน่าจะน่าอยู่กว่าสังคมที่กีดกันหรือบังคับแม้แต่ประเด็นที่เกี่ยวกับ ‘ความรัก’ ไม่ว่าด้านไหน จริงไหมครับ
เอกสารอ้างอิง
Bogaert, A. F. (2006). Toward a conceptual understanding of asexuality. Review of General Psychology, 10(3), 241-250.
Bogaert, A. F. (2015). Asexuality: What it is and why it matters. Journal of sex research, 52(4), 362-379.
Brotto, L. A., Yule, M. A., & Gorzalka, B. B. (2015). Asexuality: An extreme variant of sexual desire disorder?. The Journal of Sexual Medicine, 12(3), 646-660.
Milligan, M. S., & Neufeldt, A. H. (2001). The myth of asexuality: A survey of social and empirical evidence. Sexuality and disability, 19, 91-109.
Storms, M. D. (1980). Theories of sexual orientation. Journal of Personality and Social Psychology, 38(5), 783.
https://en.wikipedia.org/wiki/Queerplatonic_relationship
https://www.asexuality.org (เว็บไซต์ของ AVEN เครือข่ายของเอเซ็กชวล)