- ‘หน้าจอ’ เป็น ‘ตัวปิดกั้นประสบการณ์’ (Experience Blocker) เพราะแม้ว่าเด็กจะมีประสบการณ์ในโลกเสมือนที่เพิ่มขึ้น แต่สิ่งนั้นเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์ในโลกจริงที่ทำให้เด็กเกิดการพัฒนาสติปัญญาและเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
- โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) นักจิตวิทยาสังคม และผู้เขียนหนังสือ The Anxious Generation แนะนำ 4 ข้อ เพื่อวางรากฐานให้เด็กเติบโตมามีสุขภาพที่ดีในยุคดิจิทัล 1.ห้ามสมาร์ตโฟนก่อนมัธยมปลาย 2.ห้ามโซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 3.โรงเรียนปลอดโทรศัพท์ และ 4.ส่งเสริมการเล่นอิสระและการทำกิจกรรมด้วยตัวเอง
- การเล่นอิสระเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองผิดลองถูกในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เสริมสร้างจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด อีกทั้งการเล่นช่วยเรียนรู้การรับมือทางกายและใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ และช่วยเสริมสร้างทักษะทางสังคม
“เด็กต้องการช่วงเวลาแห่งการเล่นและการสำรวจที่ยาวนานและปราศจากการถูกรบกวน”
คำกล่าวนี้มาจาก ฌอง เพียเจต์ (Jean Piaget) บิดาแห่งจิตวิทยาพัฒนาการ เขาเชื่อว่าเด็กเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่การนั่งเฉยๆ ให้คนอื่นมาบอกความรู้ ดังนั้นการเล่นและการสำรวจจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตและพัฒนาสติปัญญาของเด็ก
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ปี 2010 นักจิตวิทยาสังคม โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) ผู้เขียนหนังสือ The Anxious Generation ชี้ว่า วัยเด็กในยุคนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วจากการเข้ามาของเทคโนโลยีอย่าง ‘สมาร์ตโฟน’ และ ‘โซเชียลมีเดีย’ หน้าจอได้เบียดบังกิจกรรมที่เด็กควรทำ นั่นคือ ‘การเล่นสนุกกับเพื่อนในโลกจริง’ และสิ่งนี้คือการเสียโอกาสครั้งใหญ่ในพัฒนาการของเด็ก
วัยเด็กคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสั่งสมความรู้จากโลกจริง
ไฮด์ท กล่าวว่า ร่างกายของมนุษย์มีการเติบโตที่แตกต่างจากสัตว์อื่น กล่าวคือ ร่างกายของสัตว์อื่น (เช่น ชิมแปนซี) มีการเติบโตที่คงที่จนถึงวัยเจริญพันธุ์ แต่มนุษย์มีการเติบโตแบบไม่คงที่ คือ ช่วง 2 ปีแรกเติบโตเร็ว, ช้าลงในช่วงอายุ 7-10 ปี และกลับมาเร็วขึ้นอย่างมากในช่วงวัยรุ่น
แม้ร่างกายของมนุษย์จะดูเหมือนเติบโตช้าเมื่อเทียบกับสัตว์อื่น แต่สมองของเรากลับมีขนาดที่สมบูรณ์ถึง 90% ตั้งแต่อายุราว 5 ปีแล้ว เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมนุษย์วิวัฒนาการมาเป็นสัตว์สังคม มนุษย์มุ่งเน้นการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยความสามารถในการเรียนรู้และการปรับตัวเข้ากับสังคม
เมื่อมนุษย์อาศัยความสามารถในการเรียนรู้เป็นหลัก การสั่งสมประสบการณ์และความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเหตุที่ทำให้วัยเด็กของมนุษย์ยาวนานกว่าสัตว์ชนิดอื่น
นอกจากนี้ วิวัฒนาการยังได้ติดตั้งความปรารถนาที่แรงกล้าต่อ 3 สิ่งนี้ เพื่อกระตุ้นให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้และสามารถทำมันได้อย่างง่ายดาย
- การเล่นอิสระ (Free Play)
การเล่นเป็นสิ่งสำคัญในวัยเด็ก เพราะเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาทักษะทางกาย อารมณ์ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็น ‘การเล่นอย่างอิสระ’ ปีเตอร์ เกรย์ (Peter Gray) ศาสตราจารย์วิจัยที่ Boston College กล่าวว่า การเล่นอิสระเป็นกิจกรรมที่ไม่มีการกำหนดแบบแผนจากผู้ใหญ่ เด็กเลือกเองว่าจะเล่นอะไรและอย่างไร
การเล่นอิสระเปิดโอกาสให้เด็กได้ลองผิดลองถูกในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เสริมสร้างจินตนาการที่ไร้ขีดจำกัด อีกทั้งการเล่นยังช่วยเรียนรู้การรับมือทางกายและใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ และช่วยเสริมสร้างทักษะทางสังคม เช่น ความร่วมมือ การแก้ไขความขัดแย้ง เป็นต้น
เกรย์ กล่าวว่า การขาดการเล่นอิสระมีความสัมพันธ์กับปัญหาสุขภาพจิต การเล่นอิสระเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับการเข้าสังคมและการใช้ชีวิต เมื่อขาดการเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ย่อมทำให้เราใช้ชีวิตและเข้าสังคมได้อย่างยากลำบาก เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล สิ้นหวัง
- การปรับจูน (Attunement)
เมื่อเด็กมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เด็กจะเรียนรู้ปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้นๆ ผ่านการสังเกตสีหน้าและท่าทางของคนที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย ไฮด์ทเปรียบว่าเหมือนกับ ‘การเล่นปิงปอง’ เราต้องสังเกตว่าอีกคนตีลูกมาอย่างไร เพื่อจะได้โต้กลับอย่างเหมาะสม การตีลูกเหมือนกันทุกรอบไม่ใช่การเล่นที่ดี
เด็กตั้งแต่ทารกมีความปรารถนาที่จะปรับจูนปฏิกิริยาของตัวเองให้สอดคล้องกับปฏิกิริยาคนอื่นอยู่แล้ว เห็นได้จากเวลาที่พ่อแม่พูดคุยด้วย เด็กจะพยายามโต้ตอบบางอย่าง เช่น หัวเราะ เปล่งเสียงอ้อแอ้ หรือใช้ท่าทางบางอย่าง
National Institute for Play ระบุว่า การฝึกฝนการปรับจูนนี้คือรากฐานสำหรับ ‘การควบคุมอารมณ์ของตนเอง’ (Emotional Self-regulation) ในอนาคต เด็กที่ขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่สนุกและไว้ใจได้ มักจะประสบกับความยากลำบากในการจัดการอารมณ์และมีพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้
- การเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning)
มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ดังนั้นการเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมจึงเป็นเรื่องสำคัญ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีสัญชาตญาณสำคัญที่ช่วยเรียนรู้ในเรื่องนี้ นั่นคือ ‘อคติคล้อยตาม’ (Conformist Bias) และ ‘อคติเกียรติภูมิ’ (Prestige Bias)
‘อคติคล้อยตาม’ คือ การทำตามคนหมู่มาก เมื่อคนส่วนใหญ่กระทำสิ่งหนึ่ง เราจะรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างให้เราทำตามด้วย โดยแรงกดดันนี้อาจเกิดขึ้นจริงหรือเป็นเพียงแค่ความรู้สึกของเราเองก็ได้ ส่วน ‘อคติเกียรติภูมิ’ คือ การทำตามคนที่เราเห็นว่าน่ายกย่อง โดยคนที่น่ายกย่องนี้อาจเกิดจากเราเห็นพฤติกรรมของเขาด้วยตัวเองหรือได้ยินจากคำบอกเล่าของคนอื่นก็ได้
อคติเหล่านี้เป็นเหมือนทางลัดอย่างหนึ่งที่ทำให้สังคมของมนุษย์มีความเป็นเอกภาพและมีแบบอย่างที่ดีในการทำตามเพื่อพัฒนาตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไฮด์ท กล่าวว่า ในปัจจุบันมนุษย์เราได้สร้างเครื่องจักรที่ทำให้สัญชาตญาณนี้เข้มข้นมากขึ้นและอาจนำไปสู่พฤติกรรมประหลาดที่กำลังบงการคนรุ่นใหม่ สิ่งนั้นคือ ‘โซเชียลมีเดีย’
โซเชียลมีเดียคือเครื่องจักรที่สร้างการคล้อยตามได้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างมา ผ่านการแสดงยอดจำพวก ‘ไลก์’ และ ‘แชร์’ โพสต์ไหนมีคนกดไลก์กดแชร์มากย่อมชักนำความคิดของคนได้เป็นอย่างดี เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วย อีกทั้งยอดจำพวก ‘ผู้ติดตาม’ ที่มากก็ย่อมชักจูงให้คนเชื่อได้ว่าเป็นบุคคลที่น่ายกย่อง เมื่อคนเหล่านี้พูดอะไร คนก็ย่อมเชื่อและทำตาม
ในภาษาอังกฤษมีสำนวนที่ว่า ‘Famous for being famous’ แปลว่า ‘ดังเพราะแค่มีคนรู้จักมาก’ ใช้กล่าวถึงคนที่มีชื่อเสียงโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ไม่มีการแสดงถึงความสามารถหรือความสำเร็จใดๆ คนเหล่านี้มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะแค่มีคนรู้จักเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันโซเชียลมีเดียทำให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้สามารถมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ผ่านยอด ‘ไลก์’ ‘แชร์’ ‘ผู้ติดตาม’ โดยที่ไม่มีสิ่งไหนบ่งบอกถึงการมีความรู้ความสามารถที่ชัดเจน
ดังนั้นโซเชียลมีเดียจึงไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมผ่านการบริหารสัญชาตญาณเหล่านี้
‘หน้าจอ’ คือตัวปิดกั้นประสบการณ์
บางคนอาจกล่าวว่า ‘สมาร์ตโฟน’ และ ‘โซเชียลมีเดีย’ เปิดโอกาสให้เด็กเข้าถึงประสบการณ์และความรู้ต่างๆ มากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องจริงส่วนหนึ่ง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีที่มีคุณมากมายเหล่านี้กำลังพรากเวลาในการทำกิจกรรมอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจทำให้เด็กขาดการเรียนรู้ชีวิตบนโลกจริงได้เช่นกัน
ทฤษฎีการพัฒนาสติปัญญาของเพียเจต์ระบุว่า เด็กมีการพัฒนาสติปัญญาเป็นลำดับขั้นดังต่อไปนี้ และส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นในโลกจริง
- Sensorimotor Stage (แรกเกิด-2 ปี) – เด็กเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัส พัฒนากล้ามเนื้อผ่านการหยิบจับสิ่งของ และพยายามเลียนแบบคนรอบข้างตามที่เคยเห็น
- Preoperational Stage (2-7 ปี) – เด็กเริ่มเข้าใจว่าภาพ สัญลักษณ์ และภาษา สามารถใช้สิ่งต่างๆ ได้ โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นบทบาทสมมุติ เริ่มพัฒนาการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล
- Concrete Operational Stage (7-11 ปี) – เด็กเริ่มเข้าใจเหตุผลมากขึ้น แต่อาจยังไม่เข้าใจเรื่องที่เป็นนามธรรม การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเริ่มลดลง และเข้าใจมุมมองของผู้อื่นมากขึ้น
- Formal Operational Stage (11 ปีขึ้นไป) – เด็กมีความเข้าใจเรื่องที่เป็นนามธรรมมากขึ้น เช่น การใช้เหตุผลโดยไม่ต้องอ้างถึงสิ่งที่จับต้องได้ การแก้ไขปัญหาในเรื่องสมมุติ รวมไปถึงการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ เช่น ตั้งทฤษฎีและสมมุติฐานต่อปัญหาต่างๆ
จากทฤษฎีของเพียเจต์ ทำให้เห็นว่า เด็กเริ่มต้นพัฒนาสติปัญญาผ่านการเรียนรู้สิ่งที่จับต้องได้ในโลกจริงจนไปสู่การเข้าใจความคิดเชิงนามธรรม การให้เด็กใช้ชีวิตอยู่ในโลกเสมือนมากเกินไป จึงเป็นการปิดกั้นโอกาสในการพัฒนาสติปัญญาขั้นที่สูงขึ้น เพราะการพัฒนาสติปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับขั้น หากขั้นแรกพัฒนาไม่ดีก็จะไม่สามารถพัฒนาขั้นต่อๆ ไปให้ดีขึ้นมาได้
ดังนั้น ‘หน้าจอ’ จึงเป็น ‘ตัวปิดกั้นประสบการณ์’ (Experience Blocker) เพราะแม้ว่าเด็กจะมีประสบการณ์ในโลกเสมือนที่เพิ่มขึ้น แต่สิ่งนั้นเทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์ในโลกจริงที่ทำให้เด็กเกิดการพัฒนาสติปัญญาและเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
แล้วเราควรทำอย่างไรท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยหน้าจอ?
ไฮด์ท กล่าวว่า เทรนด์การเลี้ยงลูกในปัจจุบันคือ การปกป้องลูกในโลกจริงอย่างเกินเหตุ ในขณะที่การปกป้องลูกในโลกเสมือนกลับน้อยเกินไป พ่อแม่ห้ามปรามการทำกิจกรรมในโลกจริงจนขาดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม 3 สิ่งที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ขณะเดียวกันกลับปล่อยปละละเลยในโลกเสมือน ให้เด็กเล่นหน้าจอได้อย่างอิสระจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ
เพื่อวางรากฐานให้เด็กเติบโตมามีสุขภาพที่ดีในยุคดิจิทัล ไฮด์ท ได้สรุปคำแนะนำที่สำคัญไว้ดังนี้
- ห้ามสมาร์ตโฟนก่อนมัธยมปลาย – การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างเสรีควรเกิดขึ้นให้ช้าที่สุด หากลูกจำเป็นต้องมีโทรศัพท์ ให้ใช้เป็นโทรศัพท์แบบปุ่มกดที่ไม่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้
- ห้ามโซเชียลมีเดียก่อนอายุ 16 – วัยเด็กและวัยรุ่นตอนต้นเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการพัฒนาสมอง ไม่ควรให้โลกออนไลน์เข้ามารบกวนการพัฒนาในโลกจริงของเด็ก
- โรงเรียนปลอดโทรศัพท์ – การเรียนในระดับอนุบาลและประถม หรือแม้แต่มัธยม ไม่มีความจำเป็นต้องใช้โทรศัพท์เลย เพราะจะเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กและทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อ แนะนำให้โรงเรียนใช้ตู้ล็อกเกอร์หรือถุงเก็บล็อก (Locked Pouch) ในการควบคุมการใช้โทรศัพท์
- ส่งเสริมการเล่นอิสระและการทำกิจกรรมด้วยตัวเอง – กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะทางสังคมที่จำเป็น ก้าวข้ามความวิตกกังวล และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้
ไฮด์ทเชื่อว่า ข้อเสนอ 4 อย่างนี้ไม่ได้ยากเลย หากทุกคนกระทำพร้อมกัน แม้ผู้ใหญ่อาจไม่ได้รู้สึกวิตกกังวลเท่ากับเด็กยุคนี้ แต่ตั้งแต่เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาชีวิตของเราก็สับสนวุ่นวายมากขึ้น ฟีดข่าวที่ไร้จุดสิ้นสุดของโซเชียลมีเดียทำให้เราหมกมุ่นกับเรื่องคนอื่น หลงลืมเรื่องของตัวเองและคนใกล้ชิดที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา
เรารับรู้ถึงผลร้ายจากการปล่อยให้หน้าจอควบคุมชีวิตของเรามาแล้ว อย่าปล่อยให้หน้าจอควบคุมชีวิตลูกของเราต่อไปเลย
อ้างอิง
พิมพ์จุฑา นิมมาภิรัตน์. (2025). สื่อออนไลน์กับพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น : ใช้อย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะสมกับพัฒนาการ.
Bone, M. (2021). The Role of Play in Early Child Development: An In-depth View. Integrated Studies, 357.
Gray, P. (2011). The Decline of Play and the Rise of Psychopathology in Children and Adolescents. American Journal of Play, 3(4), 443-463.
Gray, P. (2018). Evolutionary Functions of Play: Practice, Resilience, Innovation, and Cooperation. In P. K. Smith & J. L. Roopnarine (Eds.), The Cambridge Handbook of Play: Developmental and Disciplinary Perspectives (pp. 84-102). Cambridge University Press.
Jonathan Haidt. (2024). The Anxious Generation: How the Great Rewiring of Childhood Is Causing an Epidemic of Mental Illness. Penguin Press.
Kendra Cherry. (2024). Piaget’s 4 Stages of Cognitive Development Explained.
National Institute of Play. (n.d.). Attunement Play.
Saul McLeod. (2025). Piaget’s Theory and Stages of Cognitive Development.