Skip to content
โฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brain
  • Creative Learning
    Creative learningLife Long LearningEveryone can be an EducatorUnique TeacherUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    Character building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed MindsetGritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learning
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    BookMovieSpace
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
โฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brain
Transformative learning
6 October 2025

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง

เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย

ตอนที่ 8 เสนอข้อตีความจากบทที่ 6 Defying Gravity : The Art of Flying by Our Bootstraps

สรุปอย่างสั้นที่สุดได้ว่า คนเราต้องรู้จักต้านแรงโน้มถ่วงทางสังคมและจิตวิทยา ที่ดึงเราลงต่ำ โดยมีวิธีดึง ‘พลังภายใน’ หรือ ‘พลังซ่อนเร้น’ ออกมากระทำการ โดยการช่วยเหลือผู้อื่น หรือช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นทีม ดังกรณีของ ‘มนุษย์ทองคำทั้ง 13’

เขาเดินเรื่องด้วย ‘มนุษย์ทองคำทั้ง 13’ สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สามารถร่วมกันเอาชนะ ‘แรงโน้มถ่วง’ ที่มีร่วมกัน คือความเป็นคนดำ ที่ไม่เคยได้รับโอกาสให้เข้าฝึกในโรงเรียนนายทหารเรือมาก่อน ร่วมกันฝึกฝนสอนกันเองอย่างเอาจริงเอาจัง จนเรียนจบเป็นนายทหารเรือที่ได้คะแนนดีกว่าเพื่อนคนขาวในรุ่น เป็นการ ‘ถอดบทเรียน’ จากคนทั้ง 13 ว่าดึงพลังซ่อนเร้นภายในตนออกมาใช้อย่างไร

สอนซึ่งกันและกัน

ในการเผชิญสิ่งยาก อาวุธแรกที่ต้องการคือ กระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) หรือใจสู้นั่นเอง โดยเชื่อว่าตนเองหรือพวกตน หรือคนเราทั้งมวล พัฒนาได้ โดยต้องใช้ร่วมกับตัวช่วย ที่เป็น ‘บันได’ หรือ ‘นั่งร้าน’ (Scaffold) ช่วยการ ปีนที่สูง หรือสู้สิ่งยาก โดยตัวช่วยอาจมาจากผู้อื่น หรือสร้างตัวช่วยให้แก่ตนเอง

ในกรณีของ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ เขาร่วมกันสร้างนั่งร้านให้แก่ตนเอง

ระบบการศึกษาต้องสร้าง ‘วัฒนธรรมสู้สิ่งยาก’ (Cultures of Embracing Challenges) ขึ้นในระบบ เพื่อสร้างจริตสู้สิ่งยาก ไม่ยอมแพ้อุปสรรค ขึ้นในนักเรียน เติบโตขึ้นเป็นพลเมืองที่มีจริตสู้สิ่งยาก ออกไปทำหน้าที่พัฒนาบ้านเมือง

‘13 มนุษย์ทองคำ’ ร่วมกันสร้างนั่งร้านให้แก่ตนเองโดยผลัดกันสอน เอาเรื่องที่อยู่ในหลักสูตร และที่ครูสอน มาสอนกันเองให้ทุกคนเข้าใจแจ่มแจ้งและปฏิบัติได้ เวลานี้เป็นที่รู้กันว่า วิธีเรียนที่ดีที่สุดคือสอนผู้อื่น ที่เรียกว่า Tutor effect ‘นั่งร้าน’ ที่เขาร่วมกันสร้าง คือการนัดหมายมาเรียนเสริมด้วยกันโดยมอบหมายให้แต่ละคนทำหน้าที่ ‘ครูสอน’ คนละส่วน มีการไปค้นคว้าหาหลักการและวิธีการมาทำความเข้าใจและฝึกปฏิบัติ

ผลคือ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ สอบผ่านเป็นนายทหารเรือด้วยคะแนนสูงลิ่ว ลบคำสบประมาทว่าคนดำไม่มีความสามารถ

ศักยภาพที่ไม่คาดฝัน

เพราะเป็นการฝึกนายทหารระหว่างสงคราม จึงต้องใช้หลักสูตรเร่งรัด ลดเวลาเหลือครึ่งเดียวของหลักสูตรปกติ ทีมหลายคนไม่เชื่อว่าจะสามารถเรียนและฝึกสมรรถนะตามที่กำหนดได้ในเวลาสั้นขนาดนั้น

เป็นวิถีปฏิบัติมานาน ว่าการเรียนในโรงเรียนนายเรือ ไม่ทุกคนที่สอบผ่าน นักศึกษาจึงเรียนแบบแข่งขันกัน เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นที่โหล่และสอบตก แต่ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ ปฏิบัติตรงกันข้าม คือเรียนแบบร่วมมือและช่วยเหลือกัน ด้วยอุดมการณ์ “ผ่านด้วยกัน หรือสอบตกด้วยกัน” ที่ช่วยเพิ่มพลังสู้สิ่งยากของกลุ่ม

ใครเก่งหรือถนัดด้านไหน ก็ทำหน้าที่ ‘ครู’ ด้านนั้นให้แก่กลุ่ม ช่วยให้ ‘ครู’ ได้ปลดปล่อยศักยภาพของตนเองออกมา ตาม Tutor Effect

ใช้คำแนะนำของตนเอง

ที่จริง ‘13 มนุษย์ทองคำ’ ไม่เพียง ‘สอน’ (Teach) กันเองเท่านั้น แต่ยัง ‘โค้ช’ (Coach) กันเองด้วย โดยหลักการคือ การสอนช่วยยกระดับสมรรถนะ (Competence) การโค้ชช่วยยกระดับความมั่นใจ (Confidence) ที่ผมตีความต่อว่า การโค้ชชักนำให้เราเรียนรู้เชิงรุก คือปฏิบัติการเพื่อการเรียนรู้ของตนเอง แล้วนำประสบการณ์จากการปฏิบัติสู่การใคร่ครวญสะท้อนคิด ตอบคำถามที่หลากหลาย ที่ตนเองหรือกลุ่มผู้เรียนช่วยกันตั้ง และโค้ชช่วยเป็นนั่งร้าน สู่การยกระดับค่านิยม เจตคติ ทักษะ และความรู้ ที่เรียกว่าเกิดการเรียนรู้ครบด้านหรือเป็นองค์รวม โดยมองอีกมุมหนึ่ง เป็น การเรียนรู้ ‘ขั้นสูง’ จากประสบการณ์

ที่น่าสนใจมากคือ ทั้งการสอนและโค้ชผู้อื่น ส่งผลกลับมาที่ตนเองด้วย คือช่วยยกระดับสมรรถนะ และความมั่นใจของตนเองที่เป็นผู้สอนและโค้ชให้แก่เพื่อนๆ โดยไม่รู้ตัว เรียกว่า Coaching Effect ที่ผู้ทำหน้าที่โค้ชเองเกิดความมั่นใจในตนเองเพิ่มขึ้น คำแนะนำหรือคำถามที่ให้แก่เพื่อน สะท้อนกลับมาที่ตนเอง โดยไม่รู้ตัว ช่วยยกระดับความคาดหมายต่อตนเอง และช่วยกระตุ้นความมานะพยายามของตนเอง เป็นผลดีของการเรียนแบบร่วมมือกัน (Collaborative Learning)

เขาบอกว่า การสอนและโค้ชผู้อื่น ในหลายกรณีมีผลดียิ่งกว่ารับการสอนและการโค้ชจากครู

จึงขอแนะนำครูไทย ว่าควรพิจารณาทดลองฝึกให้นักเรียนชั้นโตช่วยสอนและโค้ชน้องชั้นเล็กกว่า เพื่อใช้ Tutor Effect และ Coaching Effect ช่วยหนุนการพัฒนาตนเองของนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาทักษะเชิงบุคลิก (Character Skills) ของตนเอง

‘13 มนุษย์ทองคำ’ เริ่มต้นการเข้าเรียนโรงเรียนนายเรือด้วยความไม่มั่นใจตนเอง แต่เมื่อร่วมกันสร้างทีมเรียนด้วยกัน ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้น เป็นความมั่นใจต่อตนเอง แต่พวกเขาก็ยังต้องฟันฝ่าความไม่มั่นใจของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของครู

ปีนภูเขาแห่งความไม่มั่นใจ

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอารมณ์ของตนเอง และของผู้อื่น อย่างซับซ้อน ทั้งอิทธิพลของความคาดหวัง และอิทธิพลของความเชื่อมั่น

เขาเดินเรื่องด้วยผู้หญิงอเมริกันตัวเล็กๆ ที่มุ่งมั่นพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ที่ต้องใช้เงินมาก แต่ตัวเองไม่มีเงินมากพอ ต้องหาวิธีจัดทีมหรือคณะปีนเขา และขอสปอนเซอร์จากบริษัทใหญ่ๆ ที่ในที่สุดก็ได้ปีน และเหลืออีกเพียง 100 เมตรก็จะถึงยอด อากาศไม่อำนวย ต้องตัดสินใจเดินกลับ ที่ข่าวสาธารณะเยาะเย้ยถากถางมากมาย ที่ทำลายความมั่นใจของเธอ

จุดประกายความท้าทาย 

นำสู่การทำความเข้าใจปัจจัยสู่ความสำเร็จสองประการที่เชื่อมโยงกัน คือความคาดหวัง (Expectation) ของผู้อื่น กับความน่าเชื่อถือ (Credibility) ของผู้แสดงความคาดหวังนั้นต่อตัวเรา หากปัจจัยทั้งสองประการนี้สูง โอกาสพิชิตสิ่งยากก็สูง สภาพเช่นนี้เป็นเรื่องตรงไปตรงมา

แต่มีสภาพทางจิตวิทยา ที่ตัวเรานำมาใช้ประโยชน์ได้ คือในสภาพที่ ผู้อื่นให้ความคาดหวังต่ำ แต่เรามีความเชื่อว่าผู้อื่นนั้นไม่น่าเชื่อถือ (สภาพ Low Expectation + Low Credibility) ความคาดหวังต่ำนั้นจะกลายเป็นคุณหรือเป็นพลังให้แก่เรา โดยช่วยให้ความท้าทายให้เรามุมานะเอาชนะเสียงดูหมิ่นดูแคลนนั้นให้ได้

ในการเอาชนะสิ่งยาก ‘เสียงนกเสียงกา’ หรือเสียงกองเชียร์ มีสองกลุ่ม คือกลุ่ม ‘ผู้รู้’ กับกลุ่ม ‘ผู้เริ่มต้น’ เสียงความคาดหวังต่ำจากกลุ่มผู้รู้ย่อมทำให้เราถูกทำลายความมั่นใจลงไปมาก สภาพเช่นนี้ในทางจิตวิทยาเรียกว่า Golem Effect แต่เสียงความคาดหวังต่ำจากกลุ่มผู้เริ่มต้น หรือกลุ่มที่ตัวเราไม่เชื่อถือ จะกลายเป็นตัวกระตุ้น ‘แรงฮึด’ ในตัวเราขึ้นมาสู้

แต่สภาพที่เอาชนะยากที่สุด เรียกว่าสภาพ ‘ไก่รองบ่อน’ (Underdog) ที่ไม่มีความสนใจจากกลุ่มผู้รู้เลย ไม่มีเสียงแสดงความคาดหวังใดๆ ไม่ว่าด้านหวังสูงว่าจะสำเร็จ หรือหวังต่ำคือว่าจะไม่สำเร็จ มีแต่เสียงดูถูกจากฟากกลุ่มผู้เริ่มต้นหรือผู้ไม่รู้จริง สะท้อนว่า เรื่องที่เรากำลังพยายามทำนั้น เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีความหมาย ไม่น่าสนใจจากวงการนั้นๆ

ชูคบไฟแห่งชัยชนะ

การสู้สิ่งยาก ต้องการแรงดันจากเสียงดูหมิ่นดูแคลนจากเสียงนกเสียงกาที่ไม่น่าเชื่อถือ และแรงดึงจากความหมาย หรือคุณค่า ของสิ่งที่ต้องการเอาชนะหรือต้องการบรรลุนั้น

ในกรณีของสตรีร่างเล็กนักไต่เขาอเมริกันท่านนี้ มีความใฝ่ฝันส่วนตัวเป็นพื้นฐานพลัง มีแรงดันจากเสียงดูหมิ่นโดยสื่อมวลชน เธอสร้าง ‘แรงดึง’ ขึ้นเอง จากสหายที่เตรียมร่วมปีนเขาเอเวอร์เรสต์ด้วยกันที่ด่วนตายไปเสียก่อน เธอจึงตั้งเป้าพิชิตเอเวอร์เรสต์เพื่อเป็นเกียรติแก่สหายผู้นี้ เป็นการตั้งเป้าชูคบไฟแห่งชัยชนะเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเอง

การสู้สิ่งยาก นอกจากต้องการสมรรถนะ หรือทักษะทางเทคนิก ในการดำเนินการแล้ว ยังต้องการพลังทางใจ หรือทางจิตวิทยา ที่ช่วยให้มุ่งมั่นฟันฝ่าต่อสู้ ไม่ท้อถอยหรือล้มเลิก ที่เรียกว่าทักษะเชิงบุคลิก ที่เป็นพลังซ่อนเร้นในมนุษย์

คนที่ได้รับแต่เสียงเชียร์ ไม่เคยต้องฟันฝ่าเสียงไม่พอใจ ไม่เห็นคุณค่า หรือเสียงคัดค้าน ยังไม่มีโอกาสได้ฝึกปลุกพลังซ่อนเร้นของตนเอง

ฟันฝ่าสู่ชัยชนะ

เส้นทางฟันฝ่าสู่ความสำเร็จของคนเรามี 2 แบบ คือเส้นทางปีนสู่ที่สูงคล้ายปีนเขา กับเส้นทางเดินทางข้ามหุบเหว หรือฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนาม สู่ความสำเร็จที่อีกฝั่งหนึ่งของหุบเหว ชีวิตคนเราต้องฟันฝ่าทั้งสองแบบ และการฟันฝ่าทั้งสองแบบเป็นโอกาสฝึกปลุกพลังซ่อนเร้นของตนเองออกมาใช้งาน ผ่านการฝึกยกระดับทักษะเชิงบุคลิก (Character Skills) ของตนเอง

‘13 มนุษย์ทองคำ’ ต้องฟันฝ่าผ่านพฤติกรรมดูถูกคนดำ มากมายหลากหลายรูปแบบ ในระหว่างการฝึก ส่วนหนึ่งกลายเป็นแรงดัน หรือแรงฮึด ผ่านมุมมองของสมาชิกว่าเสียงดูถูกเหล่านั้น ไม่น่าเชื่อถือ แรงฮึดนี้ยิ่งมีพลังสูง เมื่อเป็น ‘แรงฮึดหมู่’ หรือ ‘แรงฮึดของกลุ่ม’ สู้คำดูแคลนว่าคนดำเป็นนายทหารเรือคุณภาพสูงไม่ได้ เท่ากับคำดูแคลนช่วยเป็นพลังให้ ‘13 มนุษย์ทองคำ’ ร่วมกันปีน ‘หุบเหวมรณะ’ ทางสังคมของพวกตน ให้จงได้

ในทางจิตวิทยา การที่ปัจเจกแต่ละคนมี ‘ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง’ (Sense of Belonging) ของกลุ่ม หรือพวกพ้อง ผู้นั้นจะรู้สึกสบายใจ หรือปลอดภัย ที่จะลงมือทำสิ่งยาก นี่คืออีกคุณค่าของการเรียนเป็นทีม

พลังของเป้าหมายที่สูงส่ง

ผมขอเพิ่มเติม พลังของ ‘เป้าหมายที่สูงส่ง’ (Purpose) เป็นอีกพลังสำหรับเอาไว้ต่อสู้แรงโน้มถ่วง ต่อการสู้สิ่งยาก เป้าหมายที่สูงส่ง เป็นเป้าหมายเพื่อประโยชน์อันไพศาล เหนือผลประโยชน์ของตนเอง หากเป้าหมายนี้มีความคมชัด ประจักษ์ชัดในคุณค่าที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวม จะเกิด ‘พลังศรัทธา’ หรือพลังของความเชื่อ เชื่อในคุณค่ายิ่งใหญ่ของสิ่งที่กำลังมานะพยายามบรรลุให้ได้ บุคคลหรือกลุ่มคนที่ร่วมกันดำเนินกิจกรรมนั้น จะได้รับ ‘พลังจักรวาล’ มาช่วยยามคับขัน โดยไม่รู้ตัว

เป้าหมายที่สูงส่ง สามารถทำหน้าที่รวมพลัง หรือดูดพลัง จากแหล่งต่างๆ มาร่วมกระทำการเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่สูงส่งนั้น เป็นพลังที่ลี้ลับในทำนองเดียวกันกับพลังซ่อนเร้นในมนุษย์

สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP7 ได้ที่นี่

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

Tags:

ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์หนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things (2023)Growth mindsetศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

Author:

illustrator

ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช

รองประธานกรรมการมูลนิธิสยามกัมมาจล ผู้อำนวยการคนแรกของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) และได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม(สคส.) ดำรงตำแหน่งกรรมการของหน่วยงานและมูลนิธิหลายแห่ง

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว 

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Transformative learning
    ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ

    เรื่อง ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts
  • Creative Learning
  • Life
  • Family

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel