- บันทึกชุด ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ นี้ ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ Hidden Potential : The Science of Achieving Greater Things นำสู่การตีความหนังสือออกเป็นบันทึกชุดนี้ แต่เป็นการตีความที่ต่างจากบันทึกชุดก่อนๆ คือ ผมได้เสริมข้อคิดเห็นของตนเอง จากความรู้เดิมที่มีและจากความรู้ที่ขอให้ปัญญาประดิษฐ์หลายสำนักช่วยค้นและให้ข้อสรุปด้วย
ตอนที่ 13 เสนอข้อตีความจากบท Actions for Impact ซึ่งมี 40 ประการ ภายใต้ 3 หัวข้อใหญ่คือ (1) สร้างทักษะเชิงลักษณะนิสัย (2) สร้างนั่งร้านช่วยเอาชนะอุปสรรค (3) สร้างระบบแห่งโอกาส
เป็นหลักปฏิบัติ 40 ประการเพื่อหนุนให้โลกนี้เต็มไปด้วยมนุษย์นักปลุกพลังซ่อนเร้น
สร้างทักษะเชิงลักษณะนิสัย
1.ปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนเร้น ผ่านทักษะเชิงลักษณะนิสัย
ทักษะเชิงลักษณะนิสัย (Character Skills) เป็นเครื่องมือปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนเร้นออกมายามต้องการ การพัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัยเกิดขึ้นแบบเราไม่รู้ตัว ผ่านการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ตามด้วยการใคร่ครวญสะท้อนคิด (Reflection) มีโค้ชคอยช่วยตั้งคำถามให้สะท้อนคิดตรงตามบริบท สะท้อนคิดสู่การพัฒนาลักษณะนิสัย และสะท้อนคิดอย่างลึก (Critical Reflection)
- เป็นมนุษย์แห่งความรู้สึกไม่สบายใจ
- กล้าลองแนวทางใหม่ๆ กล้าออกจากความเคยชินเดิมๆ เพื่อทดลองใช้แนวทางใหม่ๆ ในการทำกิจกรรม รวมทั้งวิธีการเรียนรู้ เรียนรู้วิธีการหรือแนวทางใหม่ๆ จากการอ่านหนังสือ การฟัง การลอง แล้วนำผลมาสะท้อนคิด รวมทั้งการขอคำแนะนำจากผู้อื่น รวมทั้งเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียน หรือร่วมทำงาน
- ใช้มันหรือยอมไม่รู้จักมันตลอดไป มันในที่นี้คือความกล้าที่จะทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ไม่รอจนมั่นใจแล้วจึงลอง ความมั่นใจจะเกิดตามมาเมื่อมีประสบการณ์ลองทำสิ่งใหม่ๆ บ่อยๆ
- แสวงหาความรู้สึกไม่สบายใจ ต้องไม่เพียงอุตสาหะพยายามเพื่อความเจริญก้าวหน้า ต้องแสวงหาความรู้สึกไม่สบายใจ (Discomfort) ที่จะช่วยให้พัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น ต้องกล้าทำผิดพลาดเพื่อการเรียนรู้
- กำหนดจำนวนความผิดพลาดต่อช่วงเวลา สร้างวิธียุตัวเองให้เรียนรู้และพัฒนาจากการลองถูกลองผิด โดยกำหนดจำนวนความผิดพลาดขั้นต่ำที่จะทำในแต่ละวัน หรือแต่ละสัปดาห์ เป็นการใช้ความผิดพลาดเพื่อการเรียนรู้
2. เป็นเสมือนฟองน้ำที่ดูดซับความรู้และประสบการณ์
- เพิ่มขีดความสามารถในการดูดซับ เพิ่มขีดความสามารถในการแสวงหาความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ และโลกทัศน์ใหม่ เพื่อใช้กระตุ้นการพัฒนาตนเอง ไม่ใช่เพื่อสนองตัณหาหรืออีโก้ของตนเอง เน้นที่คุณภาพของสิ่งที่ดูดซับเข้าตัว ไม่ใช่ที่ปริมาณ
- ขอคำแนะนำ (Advice) ไม่ใช่คำแนะนำป้อนกลับ (Feedback) เป้าหมายคือ ขอคำแนะนำเพื่อคิดไปข้างหน้า เพื่อการปรับปรุง ไม่ใช่เพื่อได้รับคะแนนผลงานในอดีต บางครั้งเขาจึงใช้คำว่า “คำแนะนำป้อนไปข้างหน้า” (Feed Forward) เพื่อสร้างผลงานที่พัฒนาขึ้น มองมุมหนึ่ง นี่คือท่าทีของคนมี Growth Mindset
- พิจารณาว่าจะเชื่อแหล่งใด เลือกเชื่อข้อมูล หรือแหล่งข้อมูล หรือคำแนะนำ โดยมีหลักการคือ เชื่อผู้ที่น่าเชื่อถือ (Credibility) ผู้ที่รู้จักเราดี (Familiarity) และผู้มีความเมตตา (Care) ต่อเรา
- เป็นโค้ชที่คุณอยากได้ หมายความว่าตัวเราเองต้องฝึกตัวเราเองให้เป็นโค้ชแก่ผู้อื่น ในลักษณะของโค้ชที่เราอยากได้ คือมีความจริงใจ (Honesty) และหวังดี (Loyalty) ต่อผู้ที่เราโค้ชอย่างแท้จริง บอกอย่างตรงไปตรงมาและด้วยความเคารพหรือให้เกียรติ แสดงตัวอย่างของการรับฟังความจริงแท้ที่สาหัสต่อตนเอง จากปากของผู้ที่รักและหวังดีต่อเราอย่างแท้จริง
3. ทำตัวเป็นคนไม่สมบูรณ์แบบ (Imperfectionist)
- บากบั่นสู่ความเป็นเลิศ ไม่ใช่ความสมบูรณ์แบบ ความก้าวหน้ามาจากการพัฒนาทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่พัฒนาให้สมบูรณ์แบบในทันที ฝึกมองหาความงามในความไม่สมบูรณ์แบบ โดยมองหาตำหนิที่ยอมรับได้ แยกแยะระหว่างเรื่องที่ต้องดีที่สุด กับเรื่องที่ดีพอยอมรับได้ หมั่นตั้งสองคำถามแก่ตนเอง (1) วันนี้ได้ทำให้ตนเองพัฒนาขึ้นแล้วหรือยัง (2) วันนี้ได้ช่วยให้ผู้อื่นพัฒนาขึ้นบ้างหรือไม่
- แต่งตั้งผู้ตัดสินความก้าวหน้าของตนเอง ขอให้ผู้น่าเชื่อถือสองสามคนช่วยให้คะแนนผลงานของตนในระดับ 0-10 เมื่อได้รับผล ถามต่อว่าจะยกระดับผลงานให้ใกล้ 10 มากที่สุดได้อย่างไร ต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง อย่างไรนำคำแนะนำมาจัดลำดับความสำคัญเพื่อดำเนินการ โดยตระหนักว่าการมุ่งให้ได้คะแนนสูงในด้านหนึ่ง ก็อาจต้องปล่อยให้บางด้านได้คะแนนต่ำ
- รับฟังอย่างกว้างขวาง แล้วตัดสินใจเอง ก่อนปล่อยผลงานออกสู่สาธารณะ ทบทวนใคร่ครวญว่าเป็นผลงานคุณภาพสูง ที่สะท้อนตัวตนของเราอย่างแม่นยำชัดเจน
- เดินทางบนเส้นทางพัฒนาจิตใจอย่างมีสติ ในกรณีที่เผชิญสภาพไม่พอใจความก้าวหน้าของตนเอง ให้จินตนาการสภาพของตนเองเมื่อ 5 ปีก่อน ว่าหากตนเองเมื่อ 5 ปีก่อนมาเห็นสภาพของตนเองในปัจจุบัน จะคิดอย่างไร ต่อความก้าวหน้าในช่วง 5 ปี จะมีความภาคภูมิใจในตนเองพียงไร
สร้างนั่งร้านช่วยเอาชนะอุปสรรค
- แสวงหาความช่วยเหลือจากภายนอกอย่างเหมาะสม ณ เวลาที่เหมาะสม เมื่อทำสิ่งยาก ต้องแสวงหาตัวช่วย ที่เป็นตัวช่วยชั่วคราว หนุนให้เราดำเนินต่อได้เอง นี่คือ ‘นั่งร้าน’ (Scaffold) คนเราต้องแสวงหานั่งร้านให้ตนเองเป็น
1. เปลี่ยนการปฏิบัติเป็นการเล่น
- เปลี่ยนความเคร่งเครียดประจำวันเป็นความสนุกสนานประจำวัน เพื่อธำรงพลังในการฟันฝ่าสิ่งยากและยาวนาน ต้องเปลี่ยนงานเป็นเล่น ที่เรียกว่า “เล่นอย่างเอางานเอาการ” (Deliberate Play) เอาความยากและความท้าทายที่ต้องการบรรลุมาออกแบบเกมให้ตนเองเล่น ผมเองก็ใช้การเล่นเกมช่วยการเขียนหนังสือชุดปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์เล่มนี้ และในการเขียนหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ได้นำออกเผยแพร่มาก่อนแล้ว
- แข่งกับตัวเอง ให้มุ่งแข่งกับตัวเอง ไม่ใช่แข่งกับผู้อื่น การแข่งกับตนเองจะช่วยให้เราพัฒนาขึ้นเสมอ แต่การแข่งกับผู้อื่นอาจไม่ช่วยให้เราพัฒนาขึ้นเลย
- อย่าผูกมัดตัวเองอยู่กับแบบแผนเดิมๆ เมื่อดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งจนรู้สึกเบื่อหรือจำเจ ให้เปลี่ยนไปทำสิ่งอื่นที่ใช้ทักษะต่างกัน เพื่อให้เกิดความรู้สึกสดชื่น แล้วค่อยกลับมาทำเรื่องเดิมให้สำเร็จ นี่คือหลักการสลับงาน หรือสลับวิชาเรียน
- เอาจริงเอาจังกับการพักผ่อนและการฟื้นตัว อย่าปล่อยให้เกิดความรู้สึกหมดไฟ (Burn Out) หรือเบื่อสุดขีด (Bore Out) ให้วางแผนพักผ่อนเป็นระยะๆ ในการเดินทางไกลบนเส้นทางพัฒนางานสำคัญ เรื่องนี้ผมมีประสบการณ์ของตนเอง ในการนำทีมงานเล็กๆ ของหน่วยพันธุศาสตร์ ภาควิชาพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในช่วงปี พ.ศ. 2521-2522 ทำงานที่มีแผน บรรลุผลยิ่งใหญ่ภายใน 2 ปี เมื่อดำเนินการไปได้ 3 เดือน ผมก็ชวนทีมงานเลี้ยงฉลอง ทีมงานงงว่ายังไม่เห็นความสำเร็จเลย ผมจึงได้โอกาสอธิบายว่า เป็นการเลี้ยงฉลองเป้าหมายรายทาง ว่าเราเดินมาถูกทาง ก้าวหน้ามาเห็นผลเบื้องต้นบ้างแล้ว เป็นการสร้างพลังขับเคลื่อนไปข้างหน้า ที่ผมทำ (จัดงานเลี้ยงฉลองเล็กๆ) เป็นระยะๆ
2. เลือกเส้นทางสู่ความก้าวหน้า
- เมื่อสะดุด จงถอยเพื่อก้าวไปข้างหน้า เมื่องานสะดุดหรือไม่ก้าวหน้า นั่นคือสัญญาณให้แสวงหาแนวทางใหม่ ต้องหยุด หรือถอยหลัง เพื่อหาแนวทางใหม่
- หาเข็มทิศ ในการหาเส้นทางใหม่ สิ่งสำคัญที่ต้องการคือเข็มทิศ เพื่อช่วยให้ไม่หลงทาง อาจไม่ถึงกับต้องมีแผนที่
- หาไกด์หลายๆ คน ขอคำแนะนำจากที่ปรึกษาหลายคน ถามเส้นทางเดินหรือประสบการณ์ของแต่ละท่าน และบอกประสบการณ์ หรือเส้นทางเดินของตัวเรา จนมาอยู่ ณ จุดนี้ ขอคำแนะนำเส้นทางเดินต่อ เมื่อได้คำแนะนำจากหลายที่ปรึกษา นำมาคิดเส้นทางของเราเอง
- หางานอดิเรกทำเพื่อฟื้นพลังก้าวไปข้างหน้า การเดินทางไกลเพื่อบรรลุผลที่ยากและซับซ้อน ต้องเตรียมวิธีเอาชนะความท้อถอยหรือล้มเลิกหลากหลายวิธี เพื่อธำรงพลังความมุ่งมั่น วิธีหนึ่งคือพักเบรกไปทำอย่างอื่นเพื่อฟื้นพลัง ให้สามารถทำสิ่งยาก ยาวนาน และซับซ้อน จนบรรลุความสำเร็จได้
3. โบยบินด้วยพลังของตนเอง
- สอนคนอื่นเพื่อการเรียนรู้ของตนเอง เป็นที่รู้กันทั่วไป ว่าวิธีเรียนรู้ที่ดีที่สุด เกิดการเรียนรู้ระดับลึกที่สุด คือสอนคนอื่น หรือโค้ชคนอื่น เพราะมันบังคับให้เราต้องใคร่ครวญสะท้อนคิดเรื่องนั้น และเรียบเรียงออกมาให้เหมาะแก่ผู้ที่เราสอน โดยต้องทำหลายรอบ
- สร้างความมั่นใจแก่ตัวเองโดยการโค้ชคนอื่น เมื่อพบอุปสรรค แทนที่จะแสวงหาคำแนะนำจากคนอื่น ให้ลองสมมติว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือเรื่องนั้น ตนเองจะช่วยโค้ชเขาอย่างไร หรือหากมีคนต้องการการโค้ชจริงๆ ก็ยิ่งดี จะช่วยให้เรามั่นใจตนเองว่ามีความพร้อมที่จะเผชิญความยากนั้น
- ใช้ทั้งเสียงก่นด่าและเสียงเชียร์เป็นแรงจูงใจ ต่อเสียงนกเสียงกาที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวในเรื่องนั้น ให้หาทางพิสูจน์ว่าเขาคิดผิด ต่อเสียงเชียร์จากผู้เชื่อถือเรา ให้หาทางพิสูจน์ว่าท่านเหล่านั้นเข้าใจถูกต้อง
- เป็นผู้ริเริ่มเรื่องที่ดีสำหรับให้มีผู้มาสานต่อ เมื่อรู้สึกหมดไฟ ให้บอกตัวเองว่า เรื่องยากที่กำลังทำ จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ สำหรับให้มีคนมาสานต่อ ต้องมุ่งมั่นริเริ่มให้เกิดความก้าวหน้าที่มั่นคง เพื่อให้ผู้มาสานต่อไม่หนักแรงเกินไป
สร้างระบบแห่งโอกาส
- เปิดโอกาสแก่คนที่ถูกมองว่าไม่มีความสามารถ หรือถูกมองข้าม สร้างระบบงานหรือระบบสังคม ที่เกื้อหนุนคนที่ดูเสมือนไร้ความสามารถ หรือเป็นคนที่อยู่ในฐานะต่ำต้อย ให้ได้มีโอกาสฝึกฝนและใช้ความามานะพยายามของตน เพื่อเปิดโอกาสแก่ทุกคน ได้ปลดปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นออกมากระทำการ
1. ออกแบบโรงเรียนให้หนุนเด็กทุกคนให้ปล่อยพลังที่ซ่อนเร้นออกมา
- อย่าปล่อยให้สมองสูญเปล่าแม้แต่สมองเดียว จงตระหนักว่า ความฉลาดมีหลายแบบ แต่ละคนมีความฉลาดในรูปแบบของตน ซึ่งหมายความว่าเด็กทุกคนมีโอกาสเติบโตก้าวหน้าตามแนวทางของตน จงหนุนกระบวนทัศน์พัฒนา (Growth Mindset) ทั้งในเด็กและในครู
- ทำให้การศึกษาเป็นวงการวิชาชีพชั้นสูง จงฝึกฝนครูให้เป็นวิชาชีพที่คนเชื่อถือโดยมีประเทศฟินแลนด์เป็นแบบอย่าง ครูต้องทำงานตามข้อมูลหลักฐานที่ทันสมัย มีการโค้ชซึ่งกันและกัน และพัฒนาหลักสูตรเองอย่างต่อเนื่อง
- ให้นักเรียนมีครูคนเดิมอยู่หลายชั้นปี นี่คือระบบที่เรียกว่า Looping ที่เปลี่ยนความเชี่ยวชาญ (Specialization) ของครู จากเชี่ยวชาญวิชา เป็นเชี่ยวชาญตัวนักเรียน คือรู้จักตัวนักเรียนแต่ละคนอย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งด้านความสามารถในการเรียนและด้านอื่นๆ รวมทั้งนิสัยใจคอ อารมณ์ และพื้นฐานทางบ้าน ช่วยให้ครูทำหน้าที่โค้ชและเป็นพี่เลี้ยงนักเรียนได้เป็นรายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยสนับสนุนทางอารมณ์แก่ศิษย์ได้อย่างเหมาะสมต่อแต่ละคน และที่สำคัญที่สุด ช่วยหนุนให้ศิษย์แต่ละคนได้พัฒนาพลังที่ซ่อนเร้นของตน
- ให้อิสระนักเรียนแต่ละคนได้ค้นหาและแชร์ความสนใจของตน หนุนให้นักเรียนได้ค้นพบความสนุกในการเรียน ให้ค้นพบความสนใจของตน และได้เรียนรู้ตามที่ตนรักและสนใจ เพื่อพัฒนาแรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) แรงจูงใจภายในและความกระตือรือร้นต่อการเรียนนี้ เป็นสิ่งที่แพร่กระจายไปสร้างแรงจูงใจต่อเพื่อนๆ ในชั้นเรียนได้ด้วย
2. ปลดปล่อยความฉลาดรวมหมู่ของทีม
- เปลี่ยนกลุ่มเป็นทีม การรวมตัวอย่างเหนียวแน่น มีเป้าหมายและคุณค่าเดียวกัน เปลี่ยนกลุ่ม (Group) เป็นทีม (Team) เกิดพลังที่มากกว่าผลบวกของแต่ละคน สามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
- เลือกผู้นำที่มีทักษะเพื่อสังคม (Pro-Social Skills) เลือกผู้นำทีมที่ไม่ทำหรือนำเพื่อสนองอีโก้ของตนเอง เป็นคนที่ทำเพื่อรวมพลังความเหนียวแน่นของทีม ให้ทุกคนได้แสดงความสามารถ เพื่อบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่ของทีม
- เปลี่ยนจากระดมสมอง (Brainstorming) เป็นเขียนสมอง (Brainwriting) การระดมสมอง หรือระดมความคิด โดยให้ทุกคนพูด จะมีข้อจำกัดที่บางคนไม่ได้พูด หรือไม่กล้าพูดบางเรื่องบางประเด็น แก้โดยให้เขียน (Brainwriting) บนกระดาษ Post-It แล้วนำไปจัดกลุ่มข้อเสนอหรือข้อคิดเห็น
- เปลี่ยนบันไดโครงสร้างงาน (Corporate Ladder) เป็นระบบตาข่าย (Lattice System) เปลี่ยนระบบข้อเสนอแนะไอเดียดีๆ (หรือประหลาด) จากเสนอตามขั้นตอนของโครงสร้างงานที่เป็นขั้นบันไดตามสายงาน ให้เป็นเสนอนอกสายงานของตนได้ ที่เรียกว่าเป็น Lattice System จะช่วยให้ไอเดียดีๆ ไม่ถูกสะกัดที่ด่านเดียวก็สิ้นฤทธิ์
3. ค้นหาเพชรที่ยังไม่ได้เจียระไน จากใบสมัครเรียน ใบสมัครงาน และการสอบสัมภาษณ์
- ยกเลิกระบบกำหนดคุณวุฒิและประสบการณ์ อย่ายึดติดระบบคุณวุฒิและประสบการณ์ตรงมากเกินไป จงเปิดโอกาสให้คนไม่มีคุณวุฒิสูง แต่มีประสบการณ์การฟันฝ่าความยากลำบากได้เสนอตัวด้วย เป็นการเปิดโอกาสให้ได้ค้นพบ “เพชรที่ยังไม่ได้เจียระไน”
- สนใจระดับความยากลำบากที่เคยเผชิญ ประวัติของคนจารึกอยู่ในความยากลำบากที่เคยฟันฝ่าด้วย ไม่ใช่อยู่ในความสำเร็จที่เห็นเป็นผลลัพธ์สุดท้าย คนที่ผลลัพธ์สุดท้ายเสมอกัน แต่คนหนึ่งพื้นความรู้ต่ำกว่า ต้องเผชิญความยากลำบากในการบรรลุผลลัพธ์นั้นมากกว่า เป็นคนที่มีคุณสมบัติสูงกว่า
- ประเมินเส้นทางชีวิต การเลือกคนโดยประเมินผลลัพธ์ชีวิตที่มีสมรรถนะตามที่ต้องการ ยังไม่เพียงพอ ต้องพิจารณาเส้นทางชีวิตที่ต้องไต่ระดับบนเส้นทาง เส้นทางที่ไต่ยิ่งสูงและชันเพียงใด บ่งบอกความสามารถที่สูงเพียงนั้น
- ออกแบบการสัมภาษณ์แบบหนุนให้ฉายแสงแห่งอนาคต แทนที่จะสร้างบรรยากาศการสัมภาษณ์ที่เครียด เพื่อทดสอบสมรรถนะเผชิญความเครียด ควรแทนที่ด้วยการสร้างบรรยากาศที่กระตุ้นให้ผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ฉายแสงแห่งอนาคตออกมา ให้โอกาสเขาแสดงความสามารถพิเศษที่หน่วยงานต้องการ หลังจากนั้นถามว่าทั้งหมดนั้นสะท้อนตัวตนของเขาอย่างถูกต้องหรือไม่ หากตอบว่าไม่ ให้โอกาสเสนอใหม่
- นิยามความสำเร็จใหม่ ว่าไม่ใช่จุดสูงสุดที่ปีนขึ้นไป แต่เป็นระยะทางหรือความสูงที่ปีน การวัดความสามารถที่แท้ วัดที่ความพยายามและฟันฝ่า ดีกว่าดูผลลัพธ์สุดท้ายของงานเพียงอย่างเดียว
นี่คือหลักการ หรือเคล็ดลับ 40 ประการ เพื่อปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ออกมากระทำการ โปรดสังเกตว่าเป็นหลักการสร้าง หรือใช้ทักษะเชิงลักษณะนิสัย 4 ประการ อันได้แก่ (1) พฤติกรรมเชิงรุก (2) เห็นแก่ส่วนรวม (3) มีวินัย (4) ตั้งจิตมั่น โดยผมขอย้ำว่า ต้องใช้ร่วมกันให้ครบทั้ง 4 ประการของทักษะเชิงลักษณะนิสัย จึงจะออกฤทธิ์มหัศจรรย์ คนเก่งจำนวนไม่น้อยขาดนิสัยข้อที่ 2 ทำให้ผลดีต่อชีวิตลดลงอย่างน่าเสียดาย
สามารถอ่านบทความ ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1 – EP12 ได้ที่นี่
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP1: บทนำ ‘มนุษย์ทุกคนมีพลังซ่อนเร้น’
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP2: พัฒนาทักษะเชิงลักษณะนิสัย
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP3: คุณค่าของความไม่สบายใจ
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP4: การซึมซับและปรับตัว
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP5: พลังของความไม่สมบูรณ์แบบ
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP6: ฝึกอย่างสนุก
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP7: ข้ามเส้นทางลุ่มๆ ดอนๆ สู่เส้นชัย
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP8: ต้านแรงโน้มถ่วง
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP9: โรงเรียนปลุกพลังซ่อนเร้นในนักเรียน
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP10: ปลุกพลังซ่อนเร้นกลุ่ม
ปลุกพลังซ่อนเร้นในมนุษย์ EP11: คัดเลือกเข้างานหรือเข้าเรียนโดยเน้นผลงานในอนาคต