- ทักษะการฟังเพื่อจับใจความ ฟังเพื่อจับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อสื่อสารหรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่น เป็นทักษะหายาก เพราะคนให้ความสำคัญกับการพูดมากเสียจนอาจจะมากเกินไป สวนทางกับการรับฟังที่ได้รับความสำคัญน้อย
- ประโยชน์ของ ‘การฟังเป็น’ ช่วยทำให้สัมพันธภาพกับคนอื่นดีมากขึ้นและยังช่วยให้เรารับรู้และชื่นชมโลกรอบตัวมากขึ้น จนทำให้สุขภาพกายสุขภาพใจของเราดีขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย
- ความเข้าใจผิดสำคัญเรื่องหนึ่งของการรับฟังคนอื่นก็คือ คนจำนวนมากคิดหรือเชื่อว่าเราควรตั้งใจฟังเพื่อ ‘ให้คำแนะนำ’ แต่จริงๆ แล้วแค่เราเป็น ‘พื้นที่ปลอดภัย’ เป็นคนคอยรับฟังก็เป็นดั่งผนังคอยให้พิงหลังในยามเหนื่อยล้าได้แล้ว
เราอยู่ในยุคสมัยที่ทุกคนโดนบังคับให้ต้อง ‘เปิดเผยตัว’ เพื่อสัมผัสกับประสบการณ์ต่างๆ กลายเป็นคนมีตัวตนทั้งทางแบบกายเนื้อในโลกจริงและอวตารบนโลกโซเชียลมีเดีย บางคนรู้สึกว่าโดนบีบให้กลายเป็นคนเปิดตัว (extrovert) ทั้งที่ตัวเองเป็นคนเก็บตัว (introvert) หลายคนชอบฟังมากกว่า แต่ก็โดนบังคับให้ต้องพูดให้มากเข้าไว้กับโลกภายนอก ขายตัวเอง ขายความคิด ขายของต่างๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดมีคอร์สสอนการพูดและการนำเสนอตัวเองอย่างมืออาชีพในราคาแพงๆ อยู่มากมาย ไม่สมดุลกับจำนวนคอร์สสอนฟังที่มีอยู่น้อยมาก จนกล่าวได้ว่าน้อยจนเกินไป
ทักษะการฟังเพื่อจับใจความ ฟังเพื่อจับอารมณ์ความรู้สึก เพื่อสื่อสารหรือเพื่อช่วยเหลือคนอื่นจึงเป็นทักษะที่ถือได้ว่าหายากทีเดียว เพราะคนให้ความสำคัญกับการพูดมากเสียจนอาจจะมากเกินไป สวนทางกับการรับฟังที่ได้รับความสำคัญน้อย จนอาจถือได้ว่าน้อยจนเกินไปอย่างสวนทางกัน
เราอยากเป็นคนพูด คนสั่ง อยากเป็นหัวหน้าที่เก่ง แต่กลับไม่อยากรับฟัง อยากเป็นผู้นำหรือผู้ตามที่ดีหรือมีความสุข ผ่านการรับฟังกันให้มากเข้าไว้!
‘การฟังเป็น’ มีประโยชน์มากนะครับ เพราะช่วยทำให้สัมพันธภาพกับคนอื่นดีมากขึ้นและยังช่วยให้เรารับรู้และชื่นชมโลกรอบตัวมากขึ้น จนทำให้สุขภาพกายสุขภาพใจของเราดีขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย
มีการศึกษาของนักวิจัยชาวเยอรมันที่ตีพิมพ์ในปี 2022 ที่ชี้ว่า การฟังเสียงธรรมชาติอย่างเสียงนกร้องแค่เพียง 6 นาทีก็สามารถช่วยลดความกระวนกระวายใจและปรับอารมณ์ของเราได้แล้ว [1]
ในการทดลองดังกล่าว อาสาสมัคร 295 คนได้ฟังเสียงที่แตกต่างกันนาน 6 นาที มีทั้งเสียงเบาหรือดังของการจราจรหรือเสียงนก โดยที่ต้องทำแบบทดสอบความซึมเศร้า ความกระวนกระวายใจ และความหวาดระแวงก่อนและหลังฟังเสียงเหล่านี้ ผลก็คือเสียงการจราจรมีผลเพิ่มอารมณ์ซึมเศร้า ยิ่งเสียงดังก็ยิ่งส่งผลมาก สวนทางกับการฟังเสียงนกร้องที่ช่วยลดได้ทั้งความกระวนกระวายใจและความหวาดระแวงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนความซึมเศร้านั้นก็มีส่วนช่วยด้วยเช่นกัน แต่ได้ผลน้อยกว่า
นักวิจัยเชื่อว่าการปรับเสียงของสิ่งแวดล้อมในสถานที่ต่างๆ เช่น วอร์ดผู้ป่วยโรคจิต น่าจะมีประโยชน์ช่วยผู้ป่วยได้
เรื่องนี้ก็สอดคล้องดีกับอีกการศึกษาหนึ่งที่พบว่า ‘การอาบป่า’ หรือการเข้าไปเดินอยู่ในธรรมชาติท่ามกลางต้นไม้และใบไม้สีเขียว การได้เห็นได้ฟังเสียงธรรมชาติในป่าต่างๆ ที่สุ่มมา 24 แห่งในญี่ปุ่นช่วยลดความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ และระดับฮอร์โมนความเครียด (คอร์ติซอล) ได้ [2]
มีผู้เห็นประโยชน์และเสนอว่าแพทย์น่าจะสามารถสั่งผู้ป่วยบางคนที่มีอาการเครียดให้ไปรับการ ‘อาบป่า’ แทนการรับยาที่เป็นสารเคมีสังเคราะห์ได้
ประโยชน์ของการฟังผู้อื่นอย่างลึกซึ้งเข้าไปถึงหัวใจยังมีอีกหลายข้อ เช่น การช่วยปรับความคิดจิตใจ ทำให้เราเข้าอกเข้าใจ เห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้นได้ ช่วยให้เราตอบสนองกับคนตรงหน้าที่อาจเป็นเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ไปจนถึงคนแปลกหน้าที่กำลังต้องการความช่วยเหลือได้
แต่ความเข้าใจผิดสำคัญเรื่องหนึ่งของการรับฟังคนอื่นก็คือ คนจำนวนมากคิดหรือเชื่อว่าเราควรตั้งใจฟังเพื่อ ‘ให้คำแนะนำ’ เพราะความจริงก็คือบ่อยครั้งทีเดียวที่คนที่ต้องการให้เรานั่งฟังอยู่ด้วยนั้น ‘ไม่ได้ต้องการคำแนะนำ’ แต่อย่างใดเลย
อันที่จริงแล้วเขาหรือเธอแค่ต้องการ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ และคนที่มารับฟังการระบายถึงความยากลำบากที่เขาหรือเธอกำลังเผชิญหน้าอยู่ต่างหาก แค่รับฟังก็เป็นดั่งผนังคอยให้พิงหลังในยามเหนื่อยล้าสุดทานทนแล้วครับ
อีกความเชื่อที่ไม่ถูกต้องที่พบได้บ่อยคือ มีบางคนที่เกิดมาเพื่อเป็น ‘นักฟัง’ ที่ดีมากกว่าคนอื่น อันที่จริงการฟังเป็นทักษะที่พอจะฝึกกันได้ และมีข้อดีดังที่ท่านทะไลลามะเคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ในยามที่คุณพูดคุย คุณแค่พูดสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วออกมาซ้ำๆ แต่เมื่อคุณฟัง คุณก็อาจได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ”
การฟังเพื่อทำความเข้าใจจึงสามารถทำให้เรา ‘เติบโต’ ทางจิตใจ ทำให้รู้สึกขอบคุณหรือเป็นหนี้ต่อความรู้ ความเข้าใจใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่ว่าใครก็ล้วนรับรู้ถึงได้ความใจดีและความเสียสละ (เวลาและความพยายามรับฟัง) ที่คุณมอบให้
ปัจจัยที่พบบ่อยว่ามีส่วนทำให้การรับฟังอย่างลึกซึ้งเป็นเรื่องยากสำหรับคนส่วนใหญ่มีอยู่ 5 ข้อ นั่นก็คือ ปัจจัยแรกคุณมักรู้สึกว่าตัวเองยุ่งเกินกว่าจะเสียเวลานั่งฟัง ยุคนี้คนจำนวนมากหมกมุ่นกับเรื่องราวมากมายที่ต้องทำในแต่ละวัน จนคร้านที่จะรับฟังความทุกข์ยากลำบากหรือไม่สบายใจของคนอื่น
คุณอาจต้องเรียนรู้วิธีทำตัวให้ช้าลงและนิ่งมากขึ้น การเรียนเรื่องการทำสมาธิหรือการฝึกทำโยคะช่วยหลายคนในเรื่องนี้ เมื่อคุณกล่อมเกลาร่างกายและจิตใจให้นุ่มนวลเยือกเย็นมากขึ้นแล้ว การตั้งอกตั้งใจฟังเรื่องราวของคนอื่นก็จะไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไป
ความไม่พร้อมทางกายก็อาจเป็นปัจจัยลำดับต่อมา บางคนอาจเกิดความผิดปกติในการรับฟังหรือมีอาการหูตึงจนทำให้ไม่สามารถรับฟังอย่างมีประสิทธิภาพได้ การศึกษาวิจัยในอังกฤษทำให้ทราบว่า มีคนอายุระหว่าง 45-70 ปีกว่า 1 ใน 3 (36%) ที่มีปัญหาการฟังในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง [3]
ถัดมาอีกเป็นปัจจัยเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกได้แก่ การที่ตัวเราเองกำลังตกอยู่ในความกระวนกระวายใจหรือความเศร้าซึมบางอย่างอยู่ มันก็จะครอบงำความคิดจนทำอะไรไม่ถูก ในสภาวะเช่นนี้ยังยากจะเอาตัวเองรอด จึงไม่พร้อมจะช่วยเหลือรับฟังอะไรใครได้
หากคุณตกอยู่ในภาวะอารมณ์แบบนี้ก็น่าจะบอกไปตรงๆ ว่า คุณไม่พร้อมจะช่วยเหลือรับฟัง เพราะการจะ ‘ให้กำลังใจ’ คนอื่นได้นั้น ตัวเองก็คงต้องมีกำลังใจเป็นทุนรอนอยู่ในตัวมากพอ หากพบว่าตัวเองเริ่มจมอยู่กับอารมณ์ลบแบบนี้นานเกินไป เช่น สองสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ก็ควรไปพบแพทย์
ปฏิกิริยาของผู้ฟังก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การรับฟังนั้นสำเร็จหรือล้มเหลวเช่นกัน การที่ไม่มีใครฟังเราย่อมทำให้เราไม่พอใจ การถูกมองข้ามหรือไม่ยอมฟังความคิดเห็นของเราบ่อยครั้งก็อาจส่งผลให้เราเองไม่อยากรับฟังคนผู้นั้นหรือคนอื่นตามไปด้วย เรียกว่า ‘พลังงานพร่อง’ ก็คงพอได้
ปัจจัยสุดท้ายคือการมีอคติหรือมี ‘ภาพจำ’ บางอย่างของบางคนในใจก็มีส่วนขัดขวางการสื่อสารด้วยการฟังเช่นกัน หลายคนคงเคยเจอเพื่อนหรือญาติบางคนที่ช่างพูดมาก เราก็จะรู้สึกไปก่อนแล้วว่า ไอ้หมอนี่หรือนางคนนี้ช่างจ้อไร้สาระเหลือเกิน ความตั้งใจฟังก็จะลดลงแทบจะเป็นอัตโนมัติตั้งแต่ก่อนหน้าจะได้ยินได้ฟังอะไร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องฟังก็จะเกิดอาการคล้ายกับแผ่นเสียงตกร่อง คือรู้สึกเหมือนมีจุดติดขัดไม่สามารถรับฟังได้อย่างราบรื่นเท่าที่ควร
ตัวอย่างที่พบบ่อยคือ คุณพ่อหรือคุณแม่ป้ายแดงก็มักจะพูดวนเวียนอยู่กับเรื่องลูกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสำหรับบางคนแล้วที่ไม่อินด้วยก็อาจจะรู้สึกว่ามากไปหน่อยจนเกิดความรำคาญใจได้ บางคนก็มีธรรมชาติการมองโลกในแง่ร้ายอยู่เป็นนิจ เวลาคุยกันก็เหมือนกับทำตัว ‘ท็อกซิก’ กับคนรอบข้าง จนคนรอบตัวระอาเกินกว่าจะอยากคุยด้วย ผมเองเจอกรณีเช่นนี้อยู่ 2-3 รายบนเฟซบุ๊กจนต้องอันเฟรนด์ไป
นอกจากนี้ก็ยังมีกรณีของคนผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ บางคนอาจจะเพิ่งหย่าร้าง ตกงาน หรือเจ็บป่วยจากโรคบางอย่าง คนรอบข้างคนรอบตัวก็อาจจะต้องรับฟังเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่ทุกครั้ง การมีจิตใจเมตตากรุณาต่อคนเหล่านี้ เอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดเสียว่าเป็นธรรมดาที่ยากหลีกเลี่ยงสำหรับคนทั่วไป ก็จะช่วยให้เราตั้งใจรับฟังได้อย่างเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างความดีกับคนใกล้ตัวได้อย่างมาก
หากหมั่นฝึกฝนและตระหนักอยู่เสมอเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องทำนองนี้ ก็น่าจะทำให้กลายเป็นคนที่เปิดใจรับฟังคนอื่น ได้ยินเสียงใครต่อใครลึกลงไปถึงหัวใจของเราเองได้ไม่ยาก
เอกสารอ้างอิง
[1] Stobbe E. et al. (2022) Birdsongs alleviate anxiety and paranoia in healthy participants. Scientific Reports, 12:16414. doi.org/10.1038/s41598-022-20841-0
[2] https://www.bbc.com/news/science-environment-33368691
[3] Debra Waters (2024) Hear This. Psychology Now, Vol. 8, 90-92.