- พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุราว 10 ปี สมองก็เริ่มกระตุ้นให้มองหารางวัลจากการเข้าสังคม และอยากให้คนรอบข้างสนใจ ประจวบเหมาะกับการได้ครอบครองสมาร์ตโฟน และการใช้แอปในโซเชียลต่างๆ ก็เปิดโอกาสให้ใช้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ
- มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ใช้อินสตาแกรมหรือสแนปแชต มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่แอปเหล่านี้ ที่จะไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง
- ดังนั้น ควรสนับสนุนให้เด็กๆ ที่อายุยังน้อย ใช้โซเชียลมีเดียในเวลาไม่มากเกินไปนักต่อวัน และพยายามหากิจกรรมหรือส่งเสริมให้เด็กๆ มีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมแบบ ‘ต่อหน้า’ กันมากขึ้น
วัยรุ่นกับผู้ใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับโซเชียลมีเดียต่างกันหรือไม่? ถ้าต่างกัน เป็นเพราะเหตุใด? เราสามารถใช้ความรู้ดังกล่าว เพื่อจัดการให้วัยรุ่นใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสมได้อย่างไร?
ปัจจุบันมีแอปเยอะแยะที่เด็กวัยรุ่นทั่วโลกใช้กัน ไม่ว่าจะดาวรุ่งอย่างติ๊กต่อก (TikTok) หรือแชมป์อย่างยาวนานสำหรับคนชอบความบันเทิงอย่าง ยูทูบ (Youtube) แอปยอดนิยมในหมู่เซเลบอย่างอินสตาแกรม (Instagram) และแอปพูดคุยที่ฮิตมากๆ อย่าง ไลน์ (Line) และสแนปแชต (Snapchat) ฯลฯ
แต่พฤติกรรมเวลาวัยรุ่นใช้แอปพวกนี้ หากเทียบกับผู้ใหญ่ มีความแตกต่างกันมากทีเดียว คำตอบอาจจะอยู่ที่ความแตกต่างระหว่างสมองของวัยรุ่นกับสมองของผู้ใหญ่ครับ สมองของคนสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันมากหลายเรื่อง
พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุสักราว 10 ปี สมองก็เริ่มกระตุ้นให้มองหารางวัลจากการเข้าสังคม และอยากให้คนรอบข้างสนใจ เรื่องนี้ฝังอยู่ในดีเอ็นเอตามวิวัฒนาการของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์
จังหวะสำคัญนี้สำหรับหลายคนก็มักจะประจวบเหมาะกับการได้ครอบครองสมาร์ตโฟน และการใช้แอปในโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็เปิดโอกาสให้ใช้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ โดยเฉพาะเมื่อประจวบเหมาะกับการมาถึงของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นสาเหตุของความกระวนกระวายใจหรือแม้แต่ความซึมเศร้า เนื่องจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางตรงกับเพื่อนฝูง
โซเชียลมีเดียจึงยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงเวลาพิเศษนี้
งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า หากพิจารณาลงละเอียดขึ้นไปอีก จะพบว่าผลกระทบเกิดกับส่วนจำเพาะเจาะจงมากของสมองของวัยรุ่นเหล่านี้ เรียกว่า เวนทรัล สไตรเอตัม (ventral striatum) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่มีตัวรับ ‘ฮอร์โมนความสุข’ ไม่ว่าจะออซิโตซิน (oxytocin) หรือโดพามีน (dopamine) อยู่เต็มไปหมด
สมองจะหลั่งสารเหล่านี้เวลามีคนชมรอยยิ้ม ความฉลาด หรือทรงผมที่เพิ่งตัดมาใหม่ และอีกสารพัดเรื่อง ผลก็คือทำให้พวกวัยรุ่นมีความสุข ความพอใจ ทำให้เด็กวัยนี้ไวเป็นพิเศษต่อความสนอกสนใจหรือความเอาใจใส่ และความชื่นชมของเพื่อนฝูงและแน่นอนว่า แฟนด้วยเช่นกัน
เรื่องเหล่านี้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการอย่างยาวนานของมนุษย์ที่ทำให้ชอบการเข้าสังคม จึงอาจกล่าวได้ไม่ผิดว่า สมองส่วนเวนทรัล สไตรเอตัมนี้ เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการใช้โซเชียลมีเดีย เพราะทุกครั้งที่ได้รับรางวัลจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
ฮอร์โมน 2 ชนิดดังกล่าวในสมองส่วนนี้ก็จะหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ
ตำแหน่งใกล้ๆ กับสมองส่วนดังกล่าวคือ ตำแหน่งสมองส่วนที่เรียกว่า เวนทรัลพัลลิดัม (ventral pallidum) ที่เป็นส่วนหลักที่เกี่ยวข้องกับ ‘แรงจูงใจ’ โครงสร้างทั้ง 2 ส่วนนี้ขับเคลื่อนด้วยพฤติกรรมเชิงสัญชาตญาณต่างๆ และมีตำแหน่งอยู่ใต้เปลือกสมองส่วนหน้าที่ใช้วิเคราะห์หลักเหตุผลและเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้เอง
ในสมองของผู้ใหญ่ โซเชียลมีเดียก็เชื่อมโยงกับการกระตุ้นสมองส่วนศูนย์กลางการให้รางวัลนี้เช่นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์แตกต่างกันพอสมควร เพราะมีปัจจัยสำคัญอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย ปัจจัยแรกคือ ในผู้ใหญ่มีแนวโน้มของความรู้สึกเป็นตัวตนมากกว่า จึงพึ่งพาความคิด ความเห็น และปฏิกิริยาตอบสนองจากโซเชียลมีเดียน้อยกว่า
อีกปัจจัยหนึ่งได้แก่ เรื่องที่ผู้ใหญ่มีสมองส่วนเปลือกสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ที่ใช้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกเติบโตเต็มที่มากกว่า จึงทำให้ควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์ต่อรางวัลจากการเข้าสังคมออนไลน์น้อยกว่า
พูดง่ายๆ คือ ผู้ใหญ่โดน ‘ปั่นหัว’ ด้วยปฏิกิริยาในโซเชียลมีเดียอย่างเข้มข้นน้อยกว่า เพราะสมองของพวกเขาต่างจากสมองของวัยรุ่น
สำหรับวัยรุ่นแล้ว ‘แรงขับ (drive)’ จากการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้าต่อตาและจากการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย มีความแตกต่างกันมากพอสมควร งานวิจัย [1] ระบุว่า เนื่องจากธรรมชาติของความคงทนถาวรและ ‘ความเป็นสาธารณะ’ ของปฏิสัมพันธ์แบบออนไลน์ ทำให้มันส่งผลกระทบได้มากกว่า
ในการพูดคุยกันต่อหน้าแบบปกติ แต่ละคนอาจไม่แน่ใจว่าคนอื่นชอบสิ่งที่เราทำหรือไม่ แล้วก็จบไปแบบนั้น แต่กับโซเชียลมีเดียกลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะตัวเด็กเอง เพื่อนๆ และแม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักพบปะกันมาก่อน สามารถ ‘ให้รางวัล’ ผ่านทางการกดไลก์ เขียนคอมเมนต์ ดูสิ่งที่โพสต์ หรือกดติดตามได้
การกระทำต่างๆ ยังทิ้งร่องรอยไว้ และผลลัพธ์จะอยู่บนโลกออนไลน์ไปได้อีกนานมาก
ยิ่งเด็กและวัยรุ่นเข้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อหาเรื่องสนุกๆ ดู หรือเพื่อพูดคุยกับเพื่อนๆ ก็ทำให้พวกเขา ‘อ่อนไหว’ ต่อประสบการณ์ในนั้นมากขึ้นด้วย และแม้แต่อาจโดนหลอกใช้หรือทำร้ายล่วงเกินด้วยคำพูดและการกระทำบางอย่างได้โดยง่ายอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่เด็กๆ ที่ใช้โซเชียลมีเดียมาก มักจะอ่อนไหวกับเรื่องรูปร่างมากขึ้น
มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ใช้อินสตาแกรมหรือสแนปแชต มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่แอปเหล่านี้ ที่จะไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง [2]
อายุที่เริ่มใช้งานโซเชียลมีเดียก็มีความสำคัญ เด็กที่เริ่มใช้โซเชียลมีเดีย (ในงานวิจัยนี้ใช้อินสตาแกรมและสแนปแชตเป็นตัวแทน) ขณะอายุ 10 ปีหรือเร็วกว่านั้น มีปัญหาเรื่องพฤติกรรมบนออนไลน์มากกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับพวกที่เริ่มใช้ขณะเริ่มเข้าวัยรุ่น (อายุ 11-12 ปี) หรือเป็นวัยรุ่นตอนต้น 13 ปีขึ้นไป [3]
ปัญหาดังกล่าวครอบคลุมทั้งเรื่องเพื่อนที่เลือกคบบนออนไลน์ เว็บไซต์หรือกลุ่มบนโซเชียลมีเดียที่เลือกเข้าร่วม (ที่ผู้ปกครองมักคิดว่าไม่เหมาะจะเข้า) รวมไปถึงการมีพฤติกรรมไม่พึงปรารถนา เช่น หัวร้อนง่าย ชอบล่วงเกินหรือทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูด หรือแม้แต่ล่วงละเมิดทางเพศผ่านออนไลน์
น่าสงสัยว่าผลกระทบต่อการพัฒนาของสมองแบบนี้จะเกิดขึ้นกับวัยรุ่นเหล่านี้ ‘ยกรุ่น’ เลยหรือไม่?
มีการทดลองที่น่าสนใจ นักวิจัยสร้างสถานการณ์เทียมที่จำลองห้องแชตขึ้น แล้วให้สาววัยรุ่นที่มาเข้าร่วมการวิจัยใช้งาน โดยมีภารกิจกำหนดไว้ให้ และมีสาววัยรุ่นคนอื่นๆ ที่อายุไล่เลี่ยกันกด ‘ยอมรับ’ หรือ ‘ปฏิเสธ’ สิ่งที่อาสาสมัครคนนั้นทำ ขณะเดียวกันก็ใช้เครื่อง fMRI สแกนสมองเพื่อวัดปริมาณเลือดและออกซิเจนไปพร้อมๆ กัน เพื่อทำแผนที่สมอง (ปริมาณเลือดมากและออกซิเจนสูงในที่ใดก็คือ ใช้งานสมองส่วนนั้นมาก)
นอกจากนี้ ยังมีแอปที่เลียนแบบอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก และคอยตรวจวัดสมองในตอนที่มีคนอื่นกดไลก์ให้ ทำให้ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เพราะเชื่อมโยงให้เห็นปฏิกิริยาของสมองต่อสิ่งเร้าได้อย่างชัดเจนมาก
งานวิจัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ เริ่มทำให้เห็นว่าอันที่จริงแล้ว สมองวัยรุ่นมีความยืดหยุ่นสูง มีความสามารถในการปรับเปลี่ยน และพัฒนาให้เกิดข้อดีหลายๆ ด้านได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เช่น เนื้อสมองส่วนสีเทาในส่วนซีรีบรัลคอร์เทกซ์ (cerebral cortex) มีแนวโน้มจะบางลง ขณะที่เนื้อสมองส่วนสีข่าวที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของสมองมักจะมีปริมาณมากขึ้น
เดิมเชื่อกันว่าสมองของสาววัยรุ่นจะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่มากที่สุดก่อนวัยรุ่นชาย [4] สอดคล้องกับสภาพร่างกายภายนอกที่เราจะเห็นได้ว่า วัยรุ่นช่วงต้น (ราวมัธยมศึกษาตอนต้น) นั้น เด็กหญิงโตเร็วกว่าเด็กชายอย่างเห็นได้ชัด
แต่เรื่องไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น งานวิจัยใหม่ๆ สรุปว่าสมองของเด็กชายมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราที่ใกล้เคียงกันมากกว่า เพียงแต่ลักษณะที่ตรวจวัดได้ง่ายกว่า เช่น ความหนาของส่วนเปลือกสมอง มองเห็นได้ชัดมากกว่าแค่นั้น [5]
ผู้วิจัยสมองจึงคิดค้นวิธีการแบบใหม่ๆ ขึ้นมาใช้แทนที่การเปรียบเทียบแค่เพียงโครงสร้างหรือการทำงานของวัยรุ่นตอนต้นและตอนกลาย เช่น เทียบระหว่างอายุ 12 ปีกับ 18 ปี แต่อาศัยการทำวิจัยที่เริ่มเมื่ออายุยังน้อย เช่น 12 ปี แล้วติดตามอย่างต่อเนื่องไปตลอด 3 ปี ทำให้เห็นรายละเอียดการพัฒนาของสมองเชิงลึกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
มีความร่วมมือในการทดลองขนาดใหญ่ เช่น โครงการ ABCD (Adolescent Brain Cognitive Development) ที่ศึกษาตัวอย่างเด็กวัยรุ่นเกือบ 12,000 คนต่อเนื่อง 10 ปี ซึ่งให้ข้อมูลการพัฒนาของสมองในช่วงอายุดังกล่าวอย่างละเอียด ทั้งการพัฒนาของเซลล์ประสาท การทดสอบสุขภาพสมองและสุขภาพจิตด้วยวิธีการทางคลินิก และข้อมูลอุปนิสัยที่ครอบคลุมเรื่องการใช้สารเสพติด และสัมฤทธิผลทางการศึกษา
ขณะนี้มีงานวิจัยราว 250 เปเปอร์แล้วที่ใช้ชุดข้อมูลการสำรวจจากโครงการนี้ โดยครึ่งหนึ่งเป็นการนำข้อมูลไปใช้โดยผู้ที่ไมได้ร่วมก่อตั้งความมือดังกล่าว แต่ขอใช้ข้อมูลดังกล่าวที่เป็นอิสระให้นำไปใช้ได้
ยังมีโจทย์ปัญหาที่ท้าทายอีกมากเกี่ยวกับสมองของวัยรุ่น เช่น การหาคำตอบว่าสมองของวัยรุ่นนอก ‘สภาวะจำลอง’ ในห้องทดลองทำงานอย่างไรแน่? มีแบบจำลองอื่นหรือวิธีการอื่นใดที่จะใช้วัดปฏิกิริยาของสมองกับสิ่งแวดล้อมได้บ้าง เช่น สมองของวัยรุ่นมีปฏิสัมพันธ์กับ ‘ตัวกระตุ้น’ อย่างโซเชียลมีเดียหรือวิดีโอเกมอย่างไรกันแน่ในชีวิตจริง?
ไม่แน่ว่าด้วยเครื่องมือที่ละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อนมากขึ้น เราอาจจะลงลึกและเข้าใจสมองของวัยรุ่นได้ดียิ่งขึ้น และสามารถช่วยให้เด็กๆ มีชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
แต่ระหว่างนี้ก็ควรสนับสนุนให้เด็กๆ ที่อายุยังน้อย ใช้โซเชียลมีเดียในเวลาไม่มากเกินไปนักต่อวัน และพยายามหากิจกรรมหรือส่งเสริมให้เด็กๆ มีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมแบบ ‘ต่อหน้า’ กันมากขึ้น
เช่นนี้แล้วก็น่าจะช่วยปกป้องสมองของวัยรุ่นและส่งเสริมบุคลิกลักษณะที่ดี และทำให้เรียนรู้วิธีการเข้าสังคมจริงได้ดียิ่งขึ้น
เอกสารอ้างอิง
[1] Psychological Inquiry, Vol. 21, No. 3, 2020
[2] Saiphoo, A. N., & Vahedi, Z., Computers in Human Behavior, Vol. 101, 2019
[3] Charmaraman, L., et al., Computers in Human Behavior, Vol. 127, 2022
[4] Lenroot, R. K., & Giedd, J. N., Brain and Cognition, Vol. 72, No. 1, 2010
[5] Mills, K. L., et al., NeuroImage, Vol. 242, 2021