Skip to content
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
  • Creative Learning
    Everyone can be an EducatorUnique TeacherCreative learningLife Long LearningUnique School
  • Family
    Early childhoodHow to get along with teenagerอ่านความรู้จากบ้านอื่นFamily PsychologyDear Parents
  • Knowledge
    GritEF (executive function)Adolescent BrainTransformative learningCharacter building21st Century skillsEducation trendLearning TheoryGrowth & Fixed Mindset
  • Life
    Life classroomHealing the traumaRelationshipHow to enjoy lifeMyth/Life/Crisis
  • Voice of New Gen
  • Playground
    SpaceBookMovie
  • Social Issues
    Social Issues
  • Podcasts
การฟังและตั้งคำถามพัฒนาการgeneration gappublic spaceการสื่อสารอย่างสันติ(Nonviolent Communication)ไวรัสโคโรนา(โควิด-19)ปฐมวัยวัยรุ่นeco literacyการศึกษากลุ่มประเทศนอร์ดิกเทคนิคการสอนแบบแผนทางความสัมพันธ์ปม(trauma)Adolescent Brainโฮมสคูลมายาคติการเป็นแม่ชีวิตการทำงานความรู้สึกส่วนหนึ่งของการเรียนรู้
Adolescent Brain
1 August 2022

โซเชียลมีเดียกับสมองวัยรุ่น: ความอ่อนไหวในโลกออนไลน์ที่งานวิจัยมีคำตอบ

เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

  • พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุราว 10 ปี สมองก็เริ่มกระตุ้นให้มองหารางวัลจากการเข้าสังคม และอยากให้คนรอบข้างสนใจ ประจวบเหมาะกับการได้ครอบครองสมาร์ตโฟน และการใช้แอปในโซเชียลต่างๆ ก็เปิดโอกาสให้ใช้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ
  • มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ใช้อินสตาแกรมหรือสแนปแชต มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่แอปเหล่านี้ ที่จะไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง
  • ดังนั้น ควรสนับสนุนให้เด็กๆ ที่อายุยังน้อย ใช้โซเชียลมีเดียในเวลาไม่มากเกินไปนักต่อวัน และพยายามหากิจกรรมหรือส่งเสริมให้เด็กๆ มีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมแบบ ‘ต่อหน้า’ กันมากขึ้น

วัยรุ่นกับผู้ใหญ่มีปฏิสัมพันธ์กับโซเชียลมีเดียต่างกันหรือไม่? ถ้าต่างกัน เป็นเพราะเหตุใด? เราสามารถใช้ความรู้ดังกล่าว เพื่อจัดการให้วัยรุ่นใช้งานโซเชียลมีเดียอย่างเหมาะสมได้อย่างไร?

ปัจจุบันมีแอปเยอะแยะที่เด็กวัยรุ่นทั่วโลกใช้กัน ไม่ว่าจะดาวรุ่งอย่างติ๊กต่อก (TikTok) หรือแชมป์อย่างยาวนานสำหรับคนชอบความบันเทิงอย่าง ยูทูบ (Youtube) แอปยอดนิยมในหมู่เซเลบอย่างอินสตาแกรม (Instagram) และแอปพูดคุยที่ฮิตมากๆ อย่าง ไลน์ (Line) และสแนปแชต (Snapchat) ฯลฯ 

แต่พฤติกรรมเวลาวัยรุ่นใช้แอปพวกนี้ หากเทียบกับผู้ใหญ่ มีความแตกต่างกันมากทีเดียว คำตอบอาจจะอยู่ที่ความแตกต่างระหว่างสมองของวัยรุ่นกับสมองของผู้ใหญ่ครับ สมองของคนสองกลุ่มนี้มีความแตกต่างกันมากหลายเรื่อง 

พอเด็กเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น อายุสักราว 10 ปี สมองก็เริ่มกระตุ้นให้มองหารางวัลจากการเข้าสังคม และอยากให้คนรอบข้างสนใจ เรื่องนี้ฝังอยู่ในดีเอ็นเอตามวิวัฒนาการของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์ 

จังหวะสำคัญนี้สำหรับหลายคนก็มักจะประจวบเหมาะกับการได้ครอบครองสมาร์ตโฟน และการใช้แอปในโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็เปิดโอกาสให้ใช้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ โดยเฉพาะเมื่อประจวบเหมาะกับการมาถึงของโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นสาเหตุของความกระวนกระวายใจหรือแม้แต่ความซึมเศร้า เนื่องจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางตรงกับเพื่อนฝูง 

โซเชียลมีเดียจึงยิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีกในช่วงเวลาพิเศษนี้ 

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า หากพิจารณาลงละเอียดขึ้นไปอีก จะพบว่าผลกระทบเกิดกับส่วนจำเพาะเจาะจงมากของสมองของวัยรุ่นเหล่านี้ เรียกว่า เวนทรัล สไตรเอตัม (ventral striatum) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่มีตัวรับ ‘ฮอร์โมนความสุข’ ไม่ว่าจะออซิโตซิน (oxytocin) หรือโดพามีน (dopamine) อยู่เต็มไปหมด

สมองจะหลั่งสารเหล่านี้เวลามีคนชมรอยยิ้ม ความฉลาด หรือทรงผมที่เพิ่งตัดมาใหม่ และอีกสารพัดเรื่อง ผลก็คือทำให้พวกวัยรุ่นมีความสุข ความพอใจ ทำให้เด็กวัยนี้ไวเป็นพิเศษต่อความสนอกสนใจหรือความเอาใจใส่ และความชื่นชมของเพื่อนฝูงและแน่นอนว่า แฟนด้วยเช่นกัน 

เรื่องเหล่านี้เป็นผลมาจากวิวัฒนาการอย่างยาวนานของมนุษย์ที่ทำให้ชอบการเข้าสังคม จึงอาจกล่าวได้ไม่ผิดว่า สมองส่วนเวนทรัล สไตรเอตัมนี้ เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการใช้โซเชียลมีเดีย เพราะทุกครั้งที่ได้รับรางวัลจากปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 

ฮอร์โมน 2 ชนิดดังกล่าวในสมองส่วนนี้ก็จะหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ

ตำแหน่งใกล้ๆ กับสมองส่วนดังกล่าวคือ ตำแหน่งสมองส่วนที่เรียกว่า เวนทรัลพัลลิดัม (ventral pallidum) ที่เป็นส่วนหลักที่เกี่ยวข้องกับ ‘แรงจูงใจ’ โครงสร้างทั้ง 2 ส่วนนี้ขับเคลื่อนด้วยพฤติกรรมเชิงสัญชาตญาณต่างๆ และมีตำแหน่งอยู่ใต้เปลือกสมองส่วนหน้าที่ใช้วิเคราะห์หลักเหตุผลและเพิ่งวิวัฒนาการขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้เอง

ในสมองของผู้ใหญ่ โซเชียลมีเดียก็เชื่อมโยงกับการกระตุ้นสมองส่วนศูนย์กลางการให้รางวัลนี้เช่นเดียวกัน แต่ผลลัพธ์แตกต่างกันพอสมควร เพราะมีปัจจัยสำคัญอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย ปัจจัยแรกคือ ในผู้ใหญ่มีแนวโน้มของความรู้สึกเป็นตัวตนมากกว่า จึงพึ่งพาความคิด ความเห็น และปฏิกิริยาตอบสนองจากโซเชียลมีเดียน้อยกว่า 

อีกปัจจัยหนึ่งได้แก่ เรื่องที่ผู้ใหญ่มีสมองส่วนเปลือกสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ที่ใช้ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกเติบโตเต็มที่มากกว่า จึงทำให้ควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์ต่อรางวัลจากการเข้าสังคมออนไลน์น้อยกว่า 

พูดง่ายๆ คือ ผู้ใหญ่โดน ‘ปั่นหัว’ ด้วยปฏิกิริยาในโซเชียลมีเดียอย่างเข้มข้นน้อยกว่า เพราะสมองของพวกเขาต่างจากสมองของวัยรุ่น

สำหรับวัยรุ่นแล้ว ‘แรงขับ (drive)’ จากการมีปฏิสัมพันธ์แบบต่อหน้าต่อตาและจากการโพสต์ในโซเชียลมีเดีย มีความแตกต่างกันมากพอสมควร งานวิจัย [1] ระบุว่า เนื่องจากธรรมชาติของความคงทนถาวรและ ‘ความเป็นสาธารณะ’ ของปฏิสัมพันธ์แบบออนไลน์ ทำให้มันส่งผลกระทบได้มากกว่า 

ในการพูดคุยกันต่อหน้าแบบปกติ แต่ละคนอาจไม่แน่ใจว่าคนอื่นชอบสิ่งที่เราทำหรือไม่ แล้วก็จบไปแบบนั้น แต่กับโซเชียลมีเดียกลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะตัวเด็กเอง เพื่อนๆ และแม้แต่คนที่ไม่เคยรู้จักพบปะกันมาก่อน สามารถ ‘ให้รางวัล’ ผ่านทางการกดไลก์ เขียนคอมเมนต์ ดูสิ่งที่โพสต์ หรือกดติดตามได้

การกระทำต่างๆ ยังทิ้งร่องรอยไว้ และผลลัพธ์จะอยู่บนโลกออนไลน์ไปได้อีกนานมาก  

ยิ่งเด็กและวัยรุ่นเข้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อหาเรื่องสนุกๆ ดู หรือเพื่อพูดคุยกับเพื่อนๆ  ก็ทำให้พวกเขา ‘อ่อนไหว’ ต่อประสบการณ์ในนั้นมากขึ้นด้วย และแม้แต่อาจโดนหลอกใช้หรือทำร้ายล่วงเกินด้วยคำพูดและการกระทำบางอย่างได้โดยง่ายอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากการที่เด็กๆ ที่ใช้โซเชียลมีเดียมาก มักจะอ่อนไหวกับเรื่องรูปร่างมากขึ้น 

มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เด็กอายุต่ำกว่า 11 ปีที่ใช้อินสตาแกรมหรือสแนปแชต มีความเสี่ยงสูงกว่าเด็กที่ไม่ใช่แอปเหล่านี้ ที่จะไม่พอใจในรูปร่างของตนเอง [2] 

อายุที่เริ่มใช้งานโซเชียลมีเดียก็มีความสำคัญ เด็กที่เริ่มใช้โซเชียลมีเดีย (ในงานวิจัยนี้ใช้อินสตาแกรมและสแนปแชตเป็นตัวแทน) ขณะอายุ 10 ปีหรือเร็วกว่านั้น มีปัญหาเรื่องพฤติกรรมบนออนไลน์มากกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับพวกที่เริ่มใช้ขณะเริ่มเข้าวัยรุ่น (อายุ 11-12 ปี) หรือเป็นวัยรุ่นตอนต้น 13 ปีขึ้นไป [3] 

ปัญหาดังกล่าวครอบคลุมทั้งเรื่องเพื่อนที่เลือกคบบนออนไลน์ เว็บไซต์หรือกลุ่มบนโซเชียลมีเดียที่เลือกเข้าร่วม (ที่ผู้ปกครองมักคิดว่าไม่เหมาะจะเข้า) รวมไปถึงการมีพฤติกรรมไม่พึงปรารถนา เช่น หัวร้อนง่าย ชอบล่วงเกินหรือทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูด หรือแม้แต่ล่วงละเมิดทางเพศผ่านออนไลน์     

น่าสงสัยว่าผลกระทบต่อการพัฒนาของสมองแบบนี้จะเกิดขึ้นกับวัยรุ่นเหล่านี้ ‘ยกรุ่น’ เลยหรือไม่?

มีการทดลองที่น่าสนใจ นักวิจัยสร้างสถานการณ์เทียมที่จำลองห้องแชตขึ้น แล้วให้สาววัยรุ่นที่มาเข้าร่วมการวิจัยใช้งาน โดยมีภารกิจกำหนดไว้ให้ และมีสาววัยรุ่นคนอื่นๆ ที่อายุไล่เลี่ยกันกด ‘ยอมรับ’ หรือ ‘ปฏิเสธ’ สิ่งที่อาสาสมัครคนนั้นทำ ขณะเดียวกันก็ใช้เครื่อง fMRI สแกนสมองเพื่อวัดปริมาณเลือดและออกซิเจนไปพร้อมๆ กัน เพื่อทำแผนที่สมอง (ปริมาณเลือดมากและออกซิเจนสูงในที่ใดก็คือ ใช้งานสมองส่วนนั้นมาก)

นอกจากนี้ ยังมีแอปที่เลียนแบบอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก และคอยตรวจวัดสมองในตอนที่มีคนอื่นกดไลก์ให้ ทำให้ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เพราะเชื่อมโยงให้เห็นปฏิกิริยาของสมองต่อสิ่งเร้าได้อย่างชัดเจนมาก 

งานวิจัยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ เริ่มทำให้เห็นว่าอันที่จริงแล้ว สมองวัยรุ่นมีความยืดหยุ่นสูง มีความสามารถในการปรับเปลี่ยน และพัฒนาให้เกิดข้อดีหลายๆ ด้านได้เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เช่น เนื้อสมองส่วนสีเทาในส่วนซีรีบรัลคอร์เทกซ์ (cerebral cortex) มีแนวโน้มจะบางลง ขณะที่เนื้อสมองส่วนสีข่าวที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงกับส่วนอื่นๆ ของสมองมักจะมีปริมาณมากขึ้น 

เดิมเชื่อกันว่าสมองของสาววัยรุ่นจะมีปริมาตรเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่มากที่สุดก่อนวัยรุ่นชาย [4] สอดคล้องกับสภาพร่างกายภายนอกที่เราจะเห็นได้ว่า วัยรุ่นช่วงต้น (ราวมัธยมศึกษาตอนต้น) นั้น เด็กหญิงโตเร็วกว่าเด็กชายอย่างเห็นได้ชัด

แต่เรื่องไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น งานวิจัยใหม่ๆ สรุปว่าสมองของเด็กชายมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงด้วยอัตราที่ใกล้เคียงกันมากกว่า เพียงแต่ลักษณะที่ตรวจวัดได้ง่ายกว่า เช่น ความหนาของส่วนเปลือกสมอง มองเห็นได้ชัดมากกว่าแค่นั้น [5]  

ผู้วิจัยสมองจึงคิดค้นวิธีการแบบใหม่ๆ ขึ้นมาใช้แทนที่การเปรียบเทียบแค่เพียงโครงสร้างหรือการทำงานของวัยรุ่นตอนต้นและตอนกลาย เช่น เทียบระหว่างอายุ 12 ปีกับ 18 ปี แต่อาศัยการทำวิจัยที่เริ่มเมื่ออายุยังน้อย เช่น 12 ปี แล้วติดตามอย่างต่อเนื่องไปตลอด 3 ปี ทำให้เห็นรายละเอียดการพัฒนาของสมองเชิงลึกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

มีความร่วมมือในการทดลองขนาดใหญ่ เช่น โครงการ ABCD (Adolescent Brain Cognitive Development) ที่ศึกษาตัวอย่างเด็กวัยรุ่นเกือบ 12,000 คนต่อเนื่อง 10 ปี ซึ่งให้ข้อมูลการพัฒนาของสมองในช่วงอายุดังกล่าวอย่างละเอียด ทั้งการพัฒนาของเซลล์ประสาท การทดสอบสุขภาพสมองและสุขภาพจิตด้วยวิธีการทางคลินิก และข้อมูลอุปนิสัยที่ครอบคลุมเรื่องการใช้สารเสพติด และสัมฤทธิผลทางการศึกษา 

ขณะนี้มีงานวิจัยราว 250 เปเปอร์แล้วที่ใช้ชุดข้อมูลการสำรวจจากโครงการนี้ โดยครึ่งหนึ่งเป็นการนำข้อมูลไปใช้โดยผู้ที่ไมได้ร่วมก่อตั้งความมือดังกล่าว แต่ขอใช้ข้อมูลดังกล่าวที่เป็นอิสระให้นำไปใช้ได้ 

ยังมีโจทย์ปัญหาที่ท้าทายอีกมากเกี่ยวกับสมองของวัยรุ่น เช่น การหาคำตอบว่าสมองของวัยรุ่นนอก ‘สภาวะจำลอง’ ในห้องทดลองทำงานอย่างไรแน่? มีแบบจำลองอื่นหรือวิธีการอื่นใดที่จะใช้วัดปฏิกิริยาของสมองกับสิ่งแวดล้อมได้บ้าง เช่น สมองของวัยรุ่นมีปฏิสัมพันธ์กับ ‘ตัวกระตุ้น’ อย่างโซเชียลมีเดียหรือวิดีโอเกมอย่างไรกันแน่ในชีวิตจริง? 

ไม่แน่ว่าด้วยเครื่องมือที่ละเอียดอ่อนและสลับซับซ้อนมากขึ้น เราอาจจะลงลึกและเข้าใจสมองของวัยรุ่นได้ดียิ่งขึ้น และสามารถช่วยให้เด็กๆ มีชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น    

แต่ระหว่างนี้ก็ควรสนับสนุนให้เด็กๆ ที่อายุยังน้อย ใช้โซเชียลมีเดียในเวลาไม่มากเกินไปนักต่อวัน และพยายามหากิจกรรมหรือส่งเสริมให้เด็กๆ มีปฏิสัมพันธ์เชิงสังคมแบบ ‘ต่อหน้า’ กันมากขึ้น 

เช่นนี้แล้วก็น่าจะช่วยปกป้องสมองของวัยรุ่นและส่งเสริมบุคลิกลักษณะที่ดี และทำให้เรียนรู้วิธีการเข้าสังคมจริงได้ดียิ่งขึ้น

เอกสารอ้างอิง

[1] Psychological Inquiry, Vol. 21, No. 3, 2020  

[2] Saiphoo, A. N., & Vahedi, Z., Computers in Human Behavior, Vol. 101, 2019

[3] Charmaraman, L., et al., Computers in Human Behavior, Vol. 127, 2022

[4] Lenroot, R. K., & Giedd, J. N., Brain and Cognition, Vol. 72, No. 1, 2010

[5] Mills, K. L., et al., NeuroImage, Vol. 242, 2021

Tags:

โซเชียลมีเดียการเรียนรู้สมองวัยรุ่น

Author:

illustrator

นำชัย ชีววิวรรธน์

นักอณูชีววิทยา นักสื่อสารวิทยาศาสตร์ นักเขียน นักแปล และนักอ่าน ผู้มีความสนใจอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาขับเคลื่อนสังคม

Illustrator:

illustrator

ณัฐวัตร์ สุพรรณกูล

นักวาดภาพที่ใช้ชื่อเล่นว่า ววววิน facebook, ig : wawawawin

Related Posts

  • Creative learningSocial Issues
    ‘อยู่รอดปลอดภัย’ วิชาที่ช่วยให้เด็กคิดได้-ทำเป็น เพราะภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัว

    เรื่อง ศุภณัฐ เติมชัยอนันต์ ภาพ ปริสุทธิ์

  • How to enjoy life
    ‘ไม่มีใครเกิดมาเพื่อที่จะเหงา’ 6 วิธีรับมือกับความเหงา

    เรื่อง นำชัย ชีววิวรรธน์ ภาพ ภาณุพงศ์ สุวรรณจุฑามณี

  • Creative learning
    ‘Seapiens Camp Khaolak’ โรงเรียนชายหาดที่มีเซิร์ฟเป็นวิชาหลัก ทะเลสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต

    เรื่อง ปริสุทธิ์

  • Dear Parents
    การเมือง เรื่องที่ควรเริ่มคุยจากในครอบครัว : ทีปกร วุฒิพิทยามงคล

    เรื่อง ภาพพิมพ์ พิมมะรัตน์

  • Voice of New Gen
    CONNEXT KLONGTOEY : เรื่องจริงของ ‘เด็กคลองเตย’ ผ่านแฟชั่น แร็ป ภาพถ่ายและลายสัก

    เรื่อง รชนีกร ศรีฟ้าวัฒนา ภาพ สิทธิกร ขุนนราศัย

  • Creative Learning
  • Life
  • Family
  • Voice of New Gen
  • Knowledge
  • Playground
  • Social Issues
  • Podcasts

HOME

มูลนิธิสยามกัมมาจล

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

เลขที่ 19 เเขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

Cleantalk Pixel